บท 11
รัฐบาลหนึ่งซึ่งจะปราบศัตรูของมนุษย์คือความตาย
พระดำริแรกเดิมของพระเจ้าสำหรับมนุษย์คือ เพื่อให้เขาดำรงชีวิตอยู่และได้รับความพอใจจากชีวิตบนพื้นแผ่นดินโลกนี้อันมีสภาพเป็นอุทยาน. เราสามารถแน่ใจได้ว่าพระดำริในเรื่องนี้จะเป็นจริงเป็นจังขึ้น. พระดำรินั้น ๆ ได้รับการสนับสนุนโดยคำทรงสัญญาของพระเจ้าอันเป็นที่ไว้วางใจได้ ที่ว่าศัตรูของมนุษย์อันได้แก่ความตายนั้นจะถูกปราบ คือจะถูกทำลายให้สูญสิ้นไป.—1 โกรินโธ 15:26.
ช่วงชีวิตเพียงแต่เจ็ดสิบหรือแปดสิบปีหาใช่ว่าจะมีแค่นั้นไม่. หากว่านั่นคือขนาดเต็มขีดเกี่ยวกับสิ่งซึ่งแม้แต่บรรดาผู้ซึ่งรักพระเจ้า ก็สามารถคาดหวังได้เช่นนั้นแล้ว ฐานะของเขาก็คงไม่แตกต่างกันเท่าไรนักจากฐานะของคนเหล่านั้นผู้ที่ไม่เคารพนับถือพระเจ้าหรือพระวจนะของพระองค์. แต่ว่ากรณีหาเป็นเช่นนี้ไม่. พระคัมภีร์บอกว่า: “พระเจ้ามิใช่อธรรมจนถึงกับจะทรงละลืมการงานของท่าน และความรักที่ท่านได้สำแดงต่อพระนามของพระองค์.”—เฮ็บราย 6:10; 11:6.
บำเหน็จสำหรับคนเหล่านั้นผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าเนื่องจากความรักอันสุดซึ้งของเขาที่มีต่อพระองค์ และต่อแนวทางอันชอบธรรมของพระองค์นั้นคืออะไร? บำเหน็จมีทั้งในปัจจุบันและอนาคตด้วย. อัครสาวกเปาโลจารึกไว้ดังนี้: “ความเลื่อมใสศรัทธาในทางธรรมนั้นมีประโยชน์สำหรับทุกอย่าง คือมีคำสัญญาเกี่ยวกับชีวิตปัจจุบันและชีวิตในอนาคตด้วย.” (1 ติโมเธียว 4:8) แม้แต่ในปัจจุบันนี้การเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าก็ย่อมนำไปสู่การได้รับประโยชน์จากชีวิตอันทำให้เกิดความพอใจ และความเป็นสุขเบิกบาน. เกี่ยวกับชีวิตในอนาคตนั้น พระธรรมโรม 6:23 บอกว่า: “ของประทานซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานนั้นคือชีวิตนิรันดร.”
แน่ทีเดียว ภายใต้สภาพต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้แล้ว ชีวิตนิรันดรอาจจะดูเหมือนว่าไม่เป็นที่พึงปรารถนา. แต่ว่าเป็นชีวิตไม่รู้จักสิ้นสุดภายใต้การบริหารการปกครองที่ชอบธรรมซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้นั้น. เพื่อที่คำมั่นสัญญานั้น ๆ จะเป็นความจริงขึ้นได้ สำคัญที่สุดคือ มนุษย์จำต้องได้รับการปลดเปลื้องให้พ้นจากต้นเหตุของความตาย. ต้นเหตุนั้น ๆ คืออะไร? อัครสาวกเปาโลผู้ได้รับการดลใจได้ให้คำตอบว่า: “เหล็กในที่ก่อให้เกิดความตายนั้นคือความบาป.”—1 โกรินโธ 15:56.
ขณะที่มีการแถลงคำพิพากษาต่ออาดามกับฮาวามนุษย์คู่นั้นที่ก่อการจลาจลขึ้น และต่อผู้ซึ่งยุยงส่งเสริมเกี่ยวกับการจลาจลนั้นพระยะโฮวาพระเจ้าก็ทรงชี้ถึงวิถีทางซึ่งมนุษย์จะได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากความบาป และความตาย. คำตรัสของพระเจ้าหาใช่ว่าตรัสต่องูที่ไม่รู้จักเหตุผล ซึ่งถูกนำมาใช้ในการหลอกลวงนั้นไม่ หากแต่ตรัสต่อซาตานเองซึ่งราวกับเป็น “งูตัวแรกเดิม” นั้นที่ว่า: “เราจะให้มีการเป็นศัตรูกันระหว่างเจ้ากับหญิงนั้นและระหว่างพงศ์พันธุ์ของเจ้ากับพงศ์พันธุ์ของเขา. เขาจะทำให้หัวของเจ้าฟกช้ำ และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ.” คำพิพากษาที่มีบันทึกลงไว้ในเยเนซิศ 3:15 นี้ให้หลักสำคัญเพื่อความหวังสำหรับลูกหลานในวันข้างหน้าของอาดามและฮาวา. คำพิพากษานั้น ๆ แสดงว่าศัตรูของมนุษย์จะต้องได้ถูกปราบทีเดียว.—วิวรณ์ 12:9.
แน่ะละ เพียงการฆ่าพญามารซาตาน “งูตัวแรกเดิม” เสียเฉย ๆ เท่านั้นย่อมไม่พอเพียงที่จะแก้ความเสียหายทั้งหมดที่มันก่อให้เกิดขึ้นด้วยการชักจูงให้มนุษย์คู่แรกขัดขืนพระเจ้า. แต่ว่าการแก้นั้นจะมีขึ้นโดยวิธีใดนั้น ยังคงเป็นความลับอยู่จนกว่าจะถึงเวลาที่พระเจ้าทรงเห็นว่าเหมาะที่จะเปิดเผย.—1 โยฮัน 3:8.
โดยอาศัยความช่วยเหลือจากพระคัมภีร์ครบชุดนั่นเอง พวกเราทุกวันนี้จึงสามารถคลี่คลายข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้. “หญิง” ที่มีการกล่าวพาดพิงถึงในเยเนซิศ 3:15 นั้นจะเป็นฮาวาไปไม่ได้. ตามวิถีทางของเธอในเรื่องการขัดขืนนั้นแล้ว ฮาวาเอาตัวเข้าเป็นพวกเดียวกับ “งูตัวแรกเดิม” นั้น ด้วยเหตุนี้จึงเท่ากับเธอทำตัวให้เป็นส่วนประกอบแห่ง “พงศ์พันธุ์” ของมันทีเดียว. นอกจากนี้แล้ว ลูกหลานของอาดามและฮาวาที่เป็นผู้หญิงก็ไม่มีเลยสักคนเดียวเช่นกันที่จะเป็นหญิงนั้นได้. เพราะเหตุใดเล่า? เพราะว่า ‘พงศ์พันธุ์ของหญิงนั้น’ จะต้องได้มีอำนาจยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดาเพื่อที่จะขยี้ “งูตัวแรกเดิม” ซึ่งได้แก่พญามารซาตานผู้ที่เป็นกายวิญญาณ ซึ่งไม่เป็นที่ประจักษ์แก่ตานั้น. เพื่อให้กำเนิด “พงศ์พันธุ์” ที่จะมีกำลังอำนาจใหญ่ยิ่งเช่นนั้นแล้ว “หญิง” นั้น จึงจะต้องไม่ใช่มนุษย์ หากแต่จะต้องได้เป็นฝ่ายวิญญาณ.
ในฆะลาเตีย 4:26 ก็ได้มีการพิสูจน์หลักฐานหญิงนั้นว่าเป็น “ยะรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบน.” เรื่องนี้นับว่าสำคัญจริง ๆ. สำคัญอย่างไร?
ยะรูซาเล็มนครโบราณนั้นเคยเป็นนครหลวงแห่งอาณาจักรยูดา. เพราะดาวิดกษัตริย์ชาติยิวองค์แรกได้สถาปนาที่ตั้งแห่งรัฐบาลของท่านขึ้นไว้ที่นั่น ยะรูซาเล็มตั้งแต่สมัยของท่านต่อมาก็ได้ก่อให้เกิดกษัตริย์หลายองค์ขึ้นปกครองชนชาตินั้น. โดยเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาอยู่เอง ในการที่จะพึงคาดหมายว่า “ยะรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบน” นั้นก็จะต้องได้ก่อให้เกิดกษัตริย์ปกครองเช่นกัน. กรณีเช่นนี้ได้ชี้ไปยังรัฐบาลหนึ่งทางภาคสวรรค์ซึ่งมีกษัตริย์ปกครองอยู่ทางภาคสวรรค์ในฐานะเป็นวิถีทางเพื่อที่จะกระทำให้ความบาปและความตายยุติลง.
“ยะรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบน” นั้นหาใช่ผู้หญิงหรือนครจริง ๆ ตามตัวอักษรไม่. ยะรูซาเล็มนั้นคือนครฝ่ายวิญญาณตามความหมายเป็นนัย. เนื่องด้วยนครนั้นอยู่ทางภาคสวรรค์ จึงต้องประกอบขึ้นด้วยเหล่าทูตสวรรค์บุคคลจำพวกกายวิญญาณที่มีอำนาจมาก. ดังนั้นแล้ว ในการที่จะมีผู้หนึ่งจากท่ามกลางบุคคลจำพวกกายวิญญาณเหล่านี้ถูกตั้งขึ้นเป็นกษัตริย์ก็ย่อมหมายความว่า “ยะรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบน” นั้นได้ก่อให้เกิดมีทายาทผู้หนึ่งขึ้นสำหรับราชอาณาจักรนั้น. เรื่องสำคัญนั้น ๆ ได้อุบัติขึ้นแล้วหรือยัง?
กษัตริย์นั้นปรากฏขึ้น
นั่นเป็นสิ่งซึ่งเกิดขึ้นพอดีในปี 29 ส.ศ. ในตอนนั้นท่านมนุษย์เยซูได้รับการเจิมขึ้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อที่จะให้เป็นพระมาซีฮาในอนาคต. พฤติการณ์นี้เกิดขึ้นในตอนที่พระองค์ทรงเสนอตัวต่อโยฮันบัพติสโต เพื่อการจุ่มตัวในน้ำ. พระคัมภีร์รายงานเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังนี้: “ภายหลังที่รับบัพติสมาแล้วพระเยซูก็เสด็จขึ้นจากน้ำทันที และดูเถิด! ท้องฟ้าได้แหวกออก และพระองค์ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าลงมาดุจนกพิราบสถิตอยู่บนพระองค์. นี่แน่ะ! มีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์อีกด้วยว่า: ‘ท่านนี้คือบุตรของเรา ผู้เป็นที่รัก ผู้ซึ่งเราพอใจมาก.’”—มัดธาย 3:16, 17.
ต่อมาอีกไม่กี่เดือน พระเยซูทรงเริ่มต้นประกาศดังนี้: “ท่านประชาชนทั้งหลาย จงกลับใจเสียใหม่ เพราะราชอาณาจักรทางภาคสวรรค์มาใกล้แล้ว.” (มัดธาย 4:17) จริงทีเดียว ราชอาณาจักรนั้นมาใกล้จริง ๆ แล้วในลักษณะบุคคลผู้ซึ่งถูกแต่งตั้งขึ้น เพื่อที่จะให้เป็นพระมหากษัตริย์ทำการปกครองในอนาคต.
แม้ว่ามีกำเนิดในฐานะเป็นมนุษย์อยู่ที่แผ่นดินโลกนี้ก็ตาม พระเยซูก็ได้เคยดำรงชีวิตอยู่แล้วก่อนที่มารับเอาสภาพเป็นมนุษย์. พระองค์เองตรัสดังนี้: “ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปยังสวรรค์ เว้นแต่ท่านที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์นั้น.” (โยฮัน 3:13) เพื่อแนะให้พิจารณาดูตัวอย่างที่เด่นของพระเยซูในเรื่องความถ่อมตัว อัครสาวกเปาโลผู้ได้รับการดลใจ ได้จารึกลงดังต่อไปนี้: “พระองค์ได้ยอมสละพระองค์เองแล้วทรงรับเอาสภาพอย่างทาส และทรงถือเอากำเนิดเป็นมนุษย์.” (ฟิลิปปอย 2:5-7) ในเรื่องการโยกย้ายชีวิตทางภาคสวรรค์มาสู่ชีวิตทางภาคโลกนั้น เป็นขึ้นได้โดยวิธีใด พวกเรามีบทบันทึกเกี่ยวกับการสนทนาของทูตสวรรค์ฆับรีเอลกับมาเรียหญิงพรหมจารีดังต่อไปนี้:
“ทูตสวรรค์กล่าวแก่เธอว่า: ‘มาเรียเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว และนี่แน่ะ! เธอจะตั้งครรภ์แล้วจะประสูติบุตรชาย และเธอต้องตั้งชื่อบุตรชายนั้นว่าเยซู. บุตรคนนี้จะเป็นใหญ่และจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของผู้สูงสุด และพระยะโฮวาจะทรงประทานพระที่นั่งของดาวิดบิดาของท่านให้แก่ท่าน และท่านจะเป็นกษัตริย์ปกครองเหนือเผ่าพันธุ์ของยาโคบตลอดไปเป็นนิตย์ และอาณาจักรของท่านจะไม่รู้สิ้นสุดเลย.’
“ฝ่ายมาเรียทูลทูตสวรรค์นั้นว่า. ‘เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็นไปอย่างไรได้ เพราะข้าพเจ้ายังหาได้ร่วมกับชายไม่?’ ทูตสวรรค์จึงตอบเธอว่า: ‘พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาบนเธอ และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะสวมทับเธอ. เหตุฉะนั้นบุตรที่จะเกิดมานั้นจะได้ชื่อว่า องค์บริสุทธิ์คือพระบุตรของพระเจ้า.’”—ลูกา 1:30-35.
ด้วยวิธีนี้ ในฐานะที่เป็นบุตรผู้หนึ่งในบรรดาบุตรทั้งหลายของพระเจ้าซึ่งประกอบขึ้นเป็น “ยะรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบน” นั้น พระเยซูจึงได้มีการย้ายชีวิตของพระองค์จากสวรรค์ให้มาอยู่ในครรภ์ของมาเรียหญิงพรหมจารีและมีกำเหนิดเป็นทารกในลักษณะมนุษย์ที่สมบูรณ์. การมหัศจรรย์เช่นนั้นเมื่อฟังแล้วดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อสำหรับบางคน กระนั้นก็ดี ก็หาได้หมายความไม่ว่ามีเหตุผลที่จะพึงสงสัยในเรื่องความจริงเกี่ยวกับกรณีนั้น. แน่นอนผู้ที่ทำให้มีทางเป็นไปได้ที่มนุษย์จะพัฒนาขึ้นเป็นผู้ใหญ่จากไข่ เซลล์หนึ่งซึ่งเล็กกว่าจุดที่อยู่ตอนจบของประโยคนี้นั้น คงสามารถที่จะโยกย้ายชีวิตจากสวรรค์ให้มายังแผ่นดินโลกนี้ได้ โดยพระวิญญาณ หรือพลังงานของพระองค์. และโดยเหตุที่ชีวิตของ พระเยซูถูกโยกย้ายมาโดยวิธีเช่นนี้ เพื่อที่พระองค์ จะมาเป็นรัชทายาทองค์ถาวรของกษัตริย์ดาวิด เป็นความจริงพระองค์เสด็จมาจาก “ยะรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบน.”
ตามที่มีบอกล่วงหน้าไว้ในคำพยากรณ์ของ พระเจ้า ที่พระธรรมเยเนซิศ 3:15 นั้นคือพระเยซู ได้รับ ‘บาดเจ็บที่ส้นเท้า’ จริงเนื่องจาก “งูตัวแรกเดิม” นั้นคือขณะที่พระองค์ถูกตอกไว้กับหลักประหารในวันที่ 14 เดือนไนซานแห่งปี 33 ส.ศ. ไม่เหมือนกับการขยี้ที่หัวซึ่งจะไม่มีการกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีก ‘บาดเจ็บที่ส้นเท้า’ เช่นนั้นเป็นเพียงแต่ชั่วคราว. ในวันที่สามพระเจ้าทรงปลุกพระเยซูขึ้นจากสภาพความตาย ทรงโปรดให้พระองค์ “มีฤทธิ์เดชเกี่ยวกับชีวิตอันจะไม่สามารถถูกทำลายได้.” (กิจการ 10:40; เฮ็บราย 7:16) ด้วยเหตุที่เป็นบุคคลซึ่งมีลักษณะกายวิญญาณที่ไม่รู้จักตาย พระมหา กษัตริย์เยซูคริสต์จึงอยู่ในฐานะที่จะขยี้ทำลายหัวของ “งูตัวแรกเดิม” นั้น และแก้ความเสียหายทั้งหมดที่มันได้ก่อให้เกิดขึ้น.
คณะผู้บริหารการปกครอง
พระเยซูคริสต์คือบุคคลสำคัญในบรรดาผู้ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็น “พงศ์พันธุ์” นั้น ๆ. โดยทางพระองค์นั่นเองพระยะโฮวาพระเจ้าจะทรงขยี้พญามารซาตานลงใต้เท้าแห่งบรรดาเพื่อนร่วมคณะของพระเยซูในราชอาณาจักรทางภาคสวรรค์. (วิวรณ์ 20:1-3) คริสเตียนอัครสาวกเปาโลเขียนไปยังชนเหล่านั้นที่มีหวังจะเข้าประจำตำแหน่งการปกครองโดยแถลงดังนี้: “มิช้ามินานพระเจ้าองค์นั้นผู้จะทรงก่อให้เกิดสันติภาพก็จะขยี้ซาตานให้ยับเยินลงใต้เท้าของท่านทั้งหลาย.” (โรม 16:20) คณะผู้บริหารการปกครองเหล่านี้คือใครกัน?
ในพระธรรมวิวรณ์หนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์ได้แจ้งจำนวนไว้คือ 144,000 คน. อัครสาวกโยฮันผู้จารึกพระธรรมวิวรณ์พรรณนาถึงสิ่งที่ท่านแลเห็นในภาพนิมิตโดยบอกต่อไปดังนี้: “นี่แน่ะ! พระเมษโปดก [พระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งวายพระชนม์เช่นเดียวกับลูกแกะซึ่งมีการนำมาถวายเป็นเครื่องบูชายัญ] ทรงยืนอยู่ที่ภูเขาซีโอน และผู้ที่อยู่กับพระองค์มีจำนวนแสนสี่หมื่นสี่พันคนที่มีพระนามของพระองค์และพระนามแห่งพระบิดาของพระองค์จารึกไว้ที่หน้าผากของเขา. . . . คนเหล่านี้คือผู้ที่คอยติดตามพระเมษโปดกไปไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน. ทรงซื้อคนเหล่านี้ไว้แล้วจากท่ามกลางมนุษยชาติ [หาใช่เพียงแต่ประชาชนชาติเดียวเหมือนอย่างชนชาติยิศราเอลนั้นไม่] เป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดกนั้น.”—วิวรณ์ 14:1-4.
นับว่าเหมาะสมจริง ๆ ที่ได้มีพรรณนาไว้ถึงชน 144,000 คนในฐานะที่อยู่กับพระเมษโปดกที่ภูเขาซีโอน. ภูเขาซีโอนแห่งยะรูซาเล็ม นครโบราณนั้นเป็นแหล่งซึ่งบรรดากษัตริย์ของอาณาจักรยูดาทำการปกครอง เป็นที่ตั้งแห่งพระราชวัง. ณ ภูเขาซีโอนอีกเช่นกันที่ดาวิดได้ปักกระโจมขึ้นไว้สำหรับเก็บหีบศักดิ์สิทธิ์แห่งคำสัญญาไมตรีซึ่งมีแผ่นศิลาจารึกพระบัญญัติสิบประการสองแผ่นอยู่ในนั้น. ภายหลังก็ได้มีการย้ายเอาหีบแห่งคำสัญญาไมตรีนั้นไปไว้ ณ ห้องชั้นในที่สุดแห่งพระวิหารซึ่งซะโลโมราชโอรสของดาวิดได้สร้างขึ้นที่บนภูเขาโมรียาอันอยู่ในระยะไม่สู้ไกลเท่าใดนัก. ด้วยเหตุนี้ซีโอนจึงได้มีความสัมพันธ์อย่างเป็นที่น่าสังเกตเกี่ยวกับตำแหน่งกษัตริย์รวมทั้งตำแหน่งปุโรหิตด้วยเช่นกัน.—2 ซามูเอล 6:12, 17; 1 กษัตริย์ 8:1; ยะซายา 8:18.
ข้อนี้นับว่าสอดคล้องกันกับความจริงในการที่พระเยซูทรงเป็นทั้งกษัตริย์และปุโรหิตเช่นเดียวกันกับมัลคีเซเด็คแห่งกรุงซาเล็มสมัยก่อนโน้น. เพราะฉะนั้นเฮ็บราย 6:20 จึงมีการพูดถึงพระเยซูในฐานะที่ “เป็นมหาปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างมัลคีเซเด็ค.” ในฐานะที่เป็นทั้งกษัตริย์และปุโรหิตพระเยซูจึงทรงครอบครองจากภูเขาซีโอนทางภาคสวรรค์.
บรรดาคณะผู้บริหารการปกครองของพระองค์ก็เป็นเหล่าปุโรหิตด้วย. ในฐานะที่เป็นหมู่คณะเขาจึงถูกเรียกว่า “พวกปุโรหิตหลวง.” (1 เปโตร 2:9) พระธรรมวิวรณ์ 5:10 บอกเราถึงหน้าที่ของพวกเขาดังนี้: “พระองค์ [พระคริสต์] ทรงตั้งให้เขาเป็นอาณาจักรและเป็นปุโรหิตแด่พระเจ้าของเรา และเขาจะครอบครองเป็นกษัตริย์เหนือแผ่นดินโลก.”
จุดมุ่งหมายของการบริหารงาน
การเอาใจใส่อย่างที่สำคัญของพระเยซูคริสต์มหาปุโรหิต และคณะพรรคของพระองค์ผู้ร่วมการปกครองแบบปุโรหิต ก็คือการที่จะนำเอามวลมนุษยชาติให้เข้ามาร่วมสามัคคีปรองดองกันกับพระยะโฮวาพระเจ้า. ทั้งนี้ย่อมหมายถึงการขจัดปัดเป่าออกเสียซึ่งร่องรอยทั้งสิ้นของความบาปและความไม่สมบูรณ์ เพราะคนเหล่านั้นผู้ที่สะท้อนให้เห็นแบบฉายาของพระเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้น จะสามารถยืนหยัดอยู่จำเพาะพระองค์ได้ด้วยตนเอง. การที่ราชอาณาจักรฝ่ายการปกครองนั้นเป็นส่วนประกอบแห่งการบริหารงานของพระเจ้าเกี่ยวกับธุระกิจต่าง ๆ เพื่อก่อให้เกิดผลเช่นนั้นขึ้นก็ได้มีแสดงไว้ในเอเฟโซ 1:9-12 ดังนี้:
“[พระเจ้า] ได้ทรงโปรดให้เราทราบความลับลึกอันศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระองค์. ตามซึ่งชอบน้ำพระทัยของพระองค์ที่พระองค์ดำริไว้ด้วยพระองค์เอง เพื่อการบริหารงานตามเวลากำหนดที่ครบถ้วน กล่าวคือ จะทรงรวบรวมสิ่งสารพัดเข้าไว้ในพระคริสต์อีก คือสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ในสวรรค์และที่แผ่นดินโลกด้วย. ในพระองค์นั้นด้วยการรวมกันกับผู้ซึ่งเราทั้งหลายถูกมอบหมายไว้ให้เป็นผู้รับมรดกด้วยเช่นกัน ในการที่เราทั้งหลายถูกกำหนดเอาไว้ก่อนแล้วตามตามพระดำริของพระองค์ ผู้ซึ่งกระทำสิ่งสารพัดตามวิถีทางที่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อที่เราทั้งหลายจะได้ปรนนิบัติรับใช้พระองค์ให้เป็นการถวายสรรเสริญซึ่งพระเกียรติของพระองค์.”
ด้วยเหตุที่พระเยซูคริสต์เป็นผู้ซึ่งปราศจากความผิดบาป และปรองดองกันอย่างดีเลิศกับพระยะโฮวาพระเจ้า การนำเอาสิ่งสารพัดให้เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์จึงยังผลด้วยการนำเอามนุษยชาติให้เข้ามาปรองดองกันกับพระยะโฮวาพระเจ้า. ข้อนี้จะปรากฏชัดเจนจากความจริงที่ว่าภายหลังที่การงานแห่งราชอาณาจักรนี้สำเร็จอย่างครบถ้วนแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ก็ “จะทรงมอบราชอาณาจักรนั้นแด่พระเจ้า พระบิดาของพระองค์.”—1 โกรินโธ 15:24.
เพื่อที่จะให้การงานอันใหญ่โตในเรื่องการปรับปรุงมนุษยชาติให้กลับเข้าสู่สภาพที่สมบูรณ์เช่นนั้น ผู้ครอบครองทั้งหลายทางภาคสวรรค์ก็จะใช้บรรดาชนผู้ซึ่งมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อความชอบธรรมเป็นตัวแทนเช่นกัน. (บทเพลงสรรเสริญ 45:16; ยะซายา 32:1, 2) ชนเหล่านี้จะต้องมีคุณลักษณะต่าง ๆ ตามที่พระเยซูคริสต์ทรงมองหาในตัวคนเหล่านั้น ผู้ที่พระองค์จะทรงมอบหมายซึ่งความรับผิดชอบ. คุณลักษณะสำคัญสองประการก็คือความถ่อมใจและความรักแบบที่ยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัว. พระเยซูตรัสดังนี้: “ท่านทั้งหลายย่อมรู้อยู่ว่าผู้ครอบครองแห่งนานาประเทศย่อมกดขี่บังคับบัญชาเขาและผู้ใหญ่ทั้งหลายก็เอาอำนาจเข้าข่ม. ในพวกท่านหาเป็นเช่นนี้ไม่ แต่ผู้หนึ่งผู้ใดใคร่จะเป็นใหญ่ในพวกท่าน ก็จำต้องเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ท่านทั้งหลาย และผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้นในพวกท่านก็ให้ผู้นั้นเป็นทาสของท่าน.” (มัดธาย 20:25-27) พระองค์ตรัสเช่นกันว่า: “นี่แหละเป็นบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกันและกัน เหมือนเราได้รักท่าน. ไม่มีผู้ใดมีความรักใหญ่ไปกว่านี้ คือที่ผู้ใดจะสละจิตวิญญาณของตนแทนมิตรสหายของตน.”—โยฮัน 15:12, 13.
ท่านจะไม่รู้สึกปลอดภัยหรอกหรือภายใต้บรรดาผู้แทนแห่งราชอาณาจักรผู้ซึ่งส่อให้เห็นความรักและความถ่อมตัวเช่นนั้น คือผู้ซึ่งจะเอาใจใส่ดูแลท่านจริง ๆ?
จะไม่มีปัญหาเลยในเรื่องการติดต่อสื่อสารระหว่างรัฐบาลฝ่ายสวรรค์กับบรรดาผู้แทนทางภาคพื้นโลกของพระมหากษัตริย์เยซูคริสต์. ในสมัยอดีตพระยะโฮวาพระเจ้าทรงส่งข่าวสารมายังบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ทางแผ่นดินโลกนี้โดยทางพวกทูตสวรรค์และโดยทางพลังงานของพระองค์อันไม่ประจักษ์ด้วยตา. (ดานิเอล 10:12-14; 2 เปโตร 1:21) แม้แต่คนเราก็ยังสามารถส่งข่าวสารและรับข่าวสารได้จากยานอวกาศและสถานีอวกาศซึ่งโคจรอยู่ห่างไกลเหนือแผ่นดินโลกมากนักนั้นเสียด้วยซ้ำ. ถ้ามนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์สามารถทำอะไรต่าง ๆ ได้เช่นนั้น เหตุไฉนเล่าใคร ๆ จึงจะคิดว่างานเช่นนี้จะยากเกินไปสำหรับพวกผู้ครอบครองที่สมบูรณ์ฝ่ายสวรรค์นั้น?
อย่างไรก็ดี ก่อนที่การบริหารการปกครองฝ่ายราชอาณาจักรของพระเยซูคริสต์และบรรดาเพื่อนผู้ครอบครองของพระองค์จะสามารถดำเนินงานเกี่ยวกับการนำเอามนุษยชาติให้เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าได้นั้น บรรดาอำนาจที่ต่อต้านทั้งปวงจำต้องได้ถูกขจัดออกไปเสียสิ้น. ไม่มีทีท่าอาการแสดงให้เห็นเลยแม้แต่น้อยว่าพวกเหล่านั้นที่ครอบครองมนุษยชาติทุกวันนี้เต็มใจที่จะมอบอำนาจอธิปไตยของตนให้แก่พระเยซูคริสต์ และคณะผู้ครอบครองร่วมกันกับพระองค์. พวกเขาเย้ยหยันความคิดความเห็นที่ว่ารัฐบาลฝ่ายสวรรค์จะยึดเอาอำนาจบังคับบัญชาเหนือกิจธุระทั้งมวลแห่งแผ่นดินโลกนี้. เหตุฉะนั้นพวกเขาจึงจะต้องฝืนใจยอมรับเอาอำนาจแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าโดยพระคริสต์ของพระองค์. พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมจะทำให้เขาสูญเสียตำแหน่งการปกครองพร้อมทั้งชีวิตด้วย. ดังที่พระคัมภีร์บอกให้เราทราบว่า: “พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่งขึ้นซึ่งจะไม่มีวันถูกทำลายเสียได้. และอาณาจักรนั้นจะไม่ตกไปอยู่ในมือของคนใดอื่น. อาณาจักรนั้นจะบดขยี้และทำลายบรรดาอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมดลงให้ย่อยยับและเผาผลาญเสียสิ้น. และอาณาจักรนี้จะดำรงอยู่ตลอดไปจนกระทั่งไม่มีเวลากำหนด.”—ดานิเอล 2:44.
หลังจากที่ได้มีการขจัดปัดเป่าบรรดาสิ่งที่เป็นฝ่ายปฏิปักษ์นั้นทั้งหมดแล้ว การบริหารฝ่ายราชอาณาจักรก็จะเริ่มลงมือดำเนินงานเกี่ยวกับการปลดเปลื้องมวลมนุษย์ให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บและความตายทีเดียว. งานเช่นนี้จะบรรลุผลสำเร็จโดยวิธีใด?