บท 15
คนตายแล้วหลายพันล้านคนจะมีชีวิตอีกในไม่ช้า
การบริหารงานแห่งราชอาณาจักรในพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์ และคณะผู้ครอบครองของพระองค์ 144,000 คนนั้นจะจัดให้มีพระพรที่ดีเยี่ยมนานาชนิดเหนือบรรดาผู้ที่มีชีวิตรอดจาก “ความทุกข์ลำบากอันใหญ่ยิ่ง” นั้นจริง ๆ ทีเดียว. ในสมัยนั้นผลเสียหายต่าง ๆ ของการที่อาดามผลักตัวเองและลูกหลานของตนที่ยังไม่เกิดให้เข้าสู่ความบาปนั้นจะไม่มีการรำลึกถึงอีกเลยในฐานะเป็นสิ่งซึ่งทำให้ปวดร้าวทางด้านจิตใจและความรู้สึก. คำพูดของผู้พยากรณ์ยะซายาโดยการดลใจนั้นได้ให้คำสัญญาดังนี้: “ของเก่า ๆ เราจะไม่รำลึกถึง และสิ่งเหล่านั้นจะไม่เข้ามาสู่หัวใจของเราอีก.”—ยะซายา 65:17.
เพื่อรูปการณ์จะเป็นเช่นนั้นได้ ความเจ็บปวดและความเศร้าโศกที่ปรากฏขึ้นเนื่องจากความตายอันเป็นผลแห่งความผิดบาปนั้นจำต้องถูกปลดเปลื้องออกเสียโดยสิ้นเชิง. ทั้งนี้ย่อมหมายรวมทั้งการปลุกเอาคนที่ตายไปแล้วเวลานี้หลายพันล้านคนให้กลับคืนมีชีวิตอีกนั้นเข้าด้วย. เพราะเหตุใด?
เอาละ มาตรว่าท่านมีชีวิตรอดจาก “ความทุกข์ลำบากอันใหญ่ยิ่ง” แล้วท่านจะยินดีเบิกบานอย่างแท้จริงไหมที่ได้มาทราบว่าบรรดาเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องที่รักผู้ซึ่งตายไปแล้วนั้นยังคงถูกตัดสิทธิ์ในเรื่องชีวิตและพระพรต่าง ๆ นั้นอยู่ เช่นนั้นแล้ว จะไม่ทำให้ท่านรู้สึกปวดร้าวในหัวใจหรอกหรือ? เพื่อที่จะถอนเอาความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนั้นให้ออกไปเสียได้ คนที่ตายไปนั้นก็จำต้องได้ถูกปลุกให้เป็นขึ้นมา. หากเขาเหล่านั้นจะถูกนำให้กลับคืนมาสู่ชีวิตได้และได้รับการช่วยเหลือให้บรรลุสุขภาพความสมบูรณ์ทางด้านร่างกายและจิตใจเท่านั้นแล้ว ผลเสียหายต่าง ๆ เนื่องด้วยความบาปก็จะถูกลบล้างออกเสียอย่างเต็มที่. พระคัมภีร์บริสุทธิ์น่าเคารพให้คำรับรองอันทำให้เราแน่ใจว่า คนที่ตายไปแล้วโดยทั่ว ๆ ไปจะกลับมีชีวิตอีก. เขาจะได้รับพระราชทานโอกาสให้มีช่วงชีวิตอันยาวนานยิ่งเสียกว่าช่วงชีวิตสั้น ๆ ที่ต้องสิ้นสุดลงด้วยความตาย. พระยะโฮวาพระเจ้าได้พระราชทานอำนาจให้แก่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์เพื่อที่จะปลุกเขาให้กลับเป็นขึ้นอีก. (โยฮัน 5:26-28) โดยการที่พระเยซูได้รับอำนาจให้ปลุกคนที่ตายแล้วกลับเป็นขึ้นอีกนั้น นับว่าสอดคล้องกันกับความจริงซึ่งมีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์อันเป็นเชิงพยากรณ์ที่พาดพิงถึงพระองค์ในฐานะเป็น “พระบิดาองค์ถาวร.” (ยะซายา 9:6) พระเยซูเป็นพระบิดาของพวกเขาก็โดยการที่ทรงปลุกคนเหล่านั้นซึ่งนอนหลับอยู่ในความตายให้ขึ้นมาสู่ชีวิตนั่นเอง.—เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 45:16.
หลักสำคัญสำหรับความเชื่อ
สำหรับผู้ที่ยอมรับรองเอาความเป็นอยู่ของพระเจ้านั้น ย่อมจะไม่มีปัญหาเลยในการที่เขามีความเชื่ออย่างแน่นอนในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย. ที่จะเชื่อว่าผู้ซึ่งทรงเป็นผู้เริ่มต้นชีวิตขึ้นแต่เดิมนั้นย่อมฉลาดรอบรู้เพียงพอเช่นกันที่จะทำให้คนซึ่งตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีกดังเดิม คือที่จะสร้างมวลมนุษย์ซึ่งตายไปนั้นขึ้นใหม่เช่นนั้นจะไม่มีเหตุผลหรอกหรือ? พระยะโฮวาพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ด้วยพระองค์เองว่าคนที่ตายไปแล้วจะมีชีวิตอีก. พระองค์ยังได้สำแดงพระราชกิจอันประกอบด้วยอานุภาพ เพื่อที่จะสนับสนุนความไว้วางใจของคนเราให้มั่นคงในคำทรงสัญญานี้.
พระยะโฮวาพระเจ้าทรงประทานอำนาจแก่ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์บางคนของพระองค์ให้ปลุกคนที่ตายไปนั้นให้กลับเป็นขึ้นอีกอย่างแท้จริง. ที่เมืองซาเร็บตาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้น เอลียาผู้พยากรณ์ได้ปลุกลูกชายคนเดียวของหญิงม่ายคนหนึ่งให้กลับเป็นขึ้นมาจากตาย. (1 กษัตริย์ 17:21-23) อะลีซาผู้สืบตำแหน่งของท่านได้ปลุกลูกชายคนเดียวของหญิงผู้ดีมีชื่อผู้มีใจยินดีต้อนรับขับสู้ ที่เมืองซุเนมทางภาคเหนือของประเทศยิศราเอลนั้นให้เป็นขึ้นจากตาย. (2 กษัตริย์ 4:8, 32-37) พระเยซูคริสต์ทรงปลุกลูกสาวของญายโร หัวหน้าเจ้าหน้าที่ดูแลธรรมศาลาใกล้ ๆ ทะเลฆาลิลายให้เป็นขึ้นจากตาย ลูกชายคนเดียวของหญิงม่ายที่เมืองนาอินซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้แห่งทะเลฆาลิลาย และทรงปลุกลาซะโรสหายที่รักของพระองค์ ผู้ซึ่งตายไปตั้งสี่วันแล้วและถูกฝังไว้ไม่ไกลจากกรุงยะรูซาเล็ม. (มาระโก 5:22, 35, 41-43; ลูกา 7:11-17; โยฮัน 11:38-45) อัครสาวกเปโตรปลุกโดระกา (ตะบีธา) ให้เป็นขึ้นจากตายที่เมืองยปเปชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน. (กิจการ 9:36-42) และอัครสาวกเปาโลขณะเมื่อพักแรมระหว่างทางที่มณฑลเอเชียของชนชาวโรมันนั้น ได้ปลุกยูตุโคให้เป็นขึ้นจากตายหลังจากพลัดตกจากหน้าต่างตึกชั้นที่สาม.—กิจการ 20:7-12.
การกลับเป็นขึ้นจากตายรายที่น่าสังเกตที่สุดก็คือ การกลับเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์เอง. เหตุการณ์ที่เป็นหลักฐานยืนยันอย่างดีในประวัติศาสตร์นี้ได้ให้ข้อพิสูจน์ที่แข็งแรงที่สุดในเรื่องที่ว่า การกลับเป็นขึ้นจากตายนั้นมีจริง. เหตุฉะนั้นอัครสาวกเปาโลจึงได้แจ้งให้ชนเหล่านั้นที่มาประชุมกัน ณ ภูเขาอาเรียวในเมืองอะเธนาย ประเทศกรีซทราบดังนี้: “[พระเจ้า] ทรงดำริไว้ที่จะทำการพิพากษาแผ่นดินโลกที่มีผู้คนอาศัยอยู่นั้น ด้วยความชอบธรรมโดยท่านผู้หนึ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงกำหนดตั้งขึ้นไว้ และพระองค์ได้ทรงให้คำรับรองแก่มนุษย์ทุกคนด้วยการที่ทรงโปรดให้ท่านผู้นั้นกลับฟื้นคืนพระชนม์.”—กิจการ 17:31.
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเป็นความจริงที่แน่นอนอย่างไม่มีข้อสงสัย. มีพยานมากกว่าสองหรือสามคนผู้ซึ่งสามารถให้การเป็นพยานได้. ณ โอกาสหนึ่งพระเยซูคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์แล้วได้ปรากฏตัวแก่บรรดาสาวกทั้งหลายกว่าห้าร้อยคน. การฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ได้มีการรับรองเป็นอย่างดีจริง ๆ จนกระทั่งอัครสาวกเปาโลสามารถกล่าวได้ว่าการปฏิเสธเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายย่อมหมายความถึงการปฏิเสธซึ่งความเชื่อฝ่ายคริสเตียนทั้งหมด. ท่านเขียนดังนี้: “จริง ๆ ทีเดียว ถ้าการกลับเป็นขึ้นจากตายไม่มี พระคริสต์ก็หาได้ทรงคืนพระชนม์ไม่. ถ้าพระคริสต์มิได้คืนพระชนม์ การเทศนาของเราก็ไม่มีประโยชน์แน่ ๆ และความเชื่อของเราก็ไม่มีประโยชน์ด้วย. ยิ่งกว่านั้น เราก็จะปรากฏว่าเป็นพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราให้การเป็นพยานถึงพระเจ้าว่าพระองค์ได้ทรงบันดาลให้พระคริสต์คืนพระชนม์ แต่ถ้าการปลุกให้กลับเป็นขึ้นจากตายไม่มีจริง ๆ แล้ว พระองค์ก็หาได้ทรงบันดาลให้พระคริสต์คืนพระชนม์ไม่.”—1 โกรินโธ 15:13-15.
เช่นเดียวกับอัครสาวกเปาโล ชนคริสเตียนรุ่นแรกทั้งหลายทราบโดยแน่นอนว่าพระเยซูถูกปลุกให้กลับฟื้นคืนพระชนม์ ความเชื่อมั่นของพวกเขามีอานุภาพจริง ๆ ในเรื่องการที่จะได้รับบำเหน็จด้วยการกลับเป็นขึ้นจากตาย ถึงขนาดที่พวกเขายอมเผชิญกับการเคี่ยวเข็ญประหัตประหารแบบที่รุนแรง แม้กระทั่งความตายเสียด้วยซ้ำ.
การกลับเป็นขึ้นจากตายเข้าสู่ชีวิตฝ่ายสวรรค์
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์แสดงให้เห็นว่าการปลุกคนที่ตายไปแล้วให้เป็นขึ้นมานั้นมิได้หมายถึงการนำเอาร่างกายอันเดียวกันกลับคืนสู่ชีวิตอีก. พระเยซูถูกปลุกให้คืนพระชนม์นั้นมิใช่กลับคืนสู่ชีวิตในลักษณะมนุษย์ หากแต่คืนสู่ชีวิตในลักษณะกายวิญญาณ. อัครสาวกเปโตรจารึกไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “พระคริสต์ได้ตายครั้งเดียวสำหรับตลอดกาล เนื่องด้วยความผิดบาปคือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อที่พระองค์จะได้นำท่านทั้งหลายไปถึงพระเจ้า พระองค์ทรงถูกประหารในสภาพกายเนื้อหนัง แต่ถูกกระทำให้มีชีวิตในสภาพกายวิญญาณ.” (1 เปโตร 3:18) เมื่อพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์นั้นพระองค์ได้รับร่างกาย มิใช่อย่างที่มีเนื้อและเลือด แต่อย่างที่เหมาะสมสำหรับชีวิตทางภาคสวรรค์.—1 โกรินโธ 15:40, 50.
แน่ทีเดียว กายวิญญาณเช่นนั้นย่อมไม่เป็นที่ประจักษ์แก่ตาของมนุษย์. ด้วยเหตุนี้เพื่อที่จะให้พวกสาวกเห็นพระองค์ได้หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์แล้ว พระเยซูจึงจำต้องแปลงกายให้เป็นลักษณะกายเนื้อหนัง. พึงจดจำไว้ว่าพระเยซูมิได้ถูกฝังพร้อมด้วยเครื่องนุ่งห่ม นอกจากมีการเอาผ้าป่านอย่างดีพันกายไว้. หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์แล้วผ้าพันพระกายก็ยังอยู่ในอุโมงค์. ฉะนั้น ดังที่พระเยซูจำต้องบันดาลให้มีเครื่องนุ่งห่ม พระองค์จึงได้แปลงร่างกายเพื่อจะให้เป็นที่ประจักษ์แก่ตาแห่งเหล่าสาวกของพระองค์. (ลูกา 23:53; โยฮัน 19:40; 20:6, 7) แปลกประหลาดหรือ? หามิได้ ทั้งนี้ก็เหมือนกันทีเดียวกับการที่พวกทูตสวรรค์ได้เคยกระทำมาแล้วก่อนเวลานั้นเมื่อปรากฏตัวแก่มนุษย์. การที่พระเยซูแปลงกายเป็นลักษณะกายเนื้อหนังเช่นนั้นย่อมอธิบายเหตุผลของการที่เหล่าสาวกไม่สามารถจำพระองค์ได้บ่อยครั้งในตอนแรก และอธิบายเหตุผลของการที่พระองค์สามารถปรากฏตัวแล้วก็หายตัวไปในทันทีทันใดได้.—ลูกา 24:15-31; โยฮัน 20:13-16, 20.
เพียงแต่พวกรัชทายาท 144,000 คนร่วมกันผู้ซึ่งสมทบกับพระเยซูคริสต์ในการครอบครองเท่านั้น จะได้รับการกลับฟื้นขึ้นจากตายเช่นเดียวกันนี้. ในการพิจารณาการกลับฟื้นขึ้นจากตายเข้าสู่ชีวิตด้วยลักษณะกายวิญญาณเช่นนั้น พระคัมภีร์ไบเบิลบอกเราดังนี้:
“เมล็ดที่ท่านหว่านลงไปนั้น ถ้ามิได้ตายเสียก่อนแล้วจะงอกขึ้นใหม่ไม่ได้. รูปแห่งเมล็ดที่ท่านหว่านนั้น จะเป็นข้าวสาลีก็ดีหรือพืชอื่น ๆ ก็ดี ท่านมิได้หว่านเป็นรูปต้นที่จะงอกขึ้นมา แต่ได้หว่านเมล็ดเท่านั้น. ฝ่ายพระเจ้าประทานรูปร่างแก่เมล็ดตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบ และประทานรูปแก่พืชทุกพรรณตามชนิดของมันเอง. . . .
“การกลับเป็นขึ้นมาจากตายก็เหมือนกันอย่างนั้น. เมื่อหว่านลงก็เป็นของที่จะเปื่อยเน่า ครั้นเมื่อเป็นขึ้นมาแล้วก็จะหารู้เปื่อยเน่าไม่. เมื่อหว่านลงก็เป็นที่อัปยศ ครั้นเมื่อเป็นขึ้นมาแล้วก็จะมีเกียรติยศ เมื่อหว่านลงนั้นก็อ่อนกำลัง ครั้นเมื่อเป็นขึ้นมาก็จะมีกำลังมาก. เมื่อหว่านลงนั้นก็เป็นกายธรรมดา ครั้นเมื่อเป็นขึ้นมาก็จะเป็นกายวิญญาณ. ถ้าแม้นกายธรรมดามี ก็ต้องมีกายวิญญาณด้วย. เหมือนมีคำจารึกไว้ว่า ‘อาดามมนุษย์คนแรกนั้นเป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิต’ อาดามผู้ซึ่งมาภายหลังนั้นเป็นวิญญาณผู้ประสาทซึ่งชีวิต. แต่กระนั้นกายที่มาก่อนนั้นหาใช่กายวิญญาณไม่ หากแต่เป็นกายธรรมดา ภายหลังจึงเป็นกายวิญญาณ. มนุษย์คนแรกนั้นมีกำเนิดมาแต่ดิน. มนุษย์คนที่สองมาแต่สวรรค์. ผู้ที่ถูกสร้างด้วยผงคลีดินเป็นอย่างไร คนเหล่านั้นที่ถูกสร้างด้วยผงคลีดินก็เป็นอย่างนั้นด้วย และผู้อยู่ทางภาคสวรรค์เป็นอย่างไร คนเหล่านั้นที่เป็นฝ่ายสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้นด้วย. และก็อย่างที่เรามีรูปลักษณะแห่งผู้ที่ถูกสร้างด้วยผงคลีดิน เราก็จะมีรูปลักษณะแห่งผู้ที่อยู่ทางภาคสวรรค์นั้นด้วย.”—1 โกรินโธ 15:36-49.
การกลับเป็นขึ้นจากตายเข้าสู่ชีวิตที่แผ่นดินโลกนี้
แต่ก็จะเป็นประการใดกับคนเหล่านั้นผู้ที่จะได้เป็นขึ้นมาสู่ชีวิตทางแผ่นดินโลกนี้ซึ่งแตกต่างกันกับพระเยซู และเพื่อนผู้ครอบครองของพระองค์ 144,000 คนนั้น? โดยเหตุที่พวกเขาได้ ‘กลับคืนเป็นผงคลีดินอีก’ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะต้องเอาบรรดาปรมาณูทั้งหมดซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของเขาครั้งหนึ่งนั้นมารวมกันอีก เพื่อที่ร่างกายของเขาจะได้เป็นอย่างเดียวกันในทุกประการขณะเมื่อเขาตายไปกระนั้นไหม?
เปล่าเลย จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้. ทำไมเล่า? ก่อนอื่น เพราะทั้งนี้ย่อมหมายความว่าเขาจะถูกนำกลับมาสู่ชีวิตในสภาพที่ใกล้จะถึงซึ่งความตาย. คนที่ถูกปลุกให้กลับเป็นขึ้นจากตายในครั้งอดีตหาใช่ว่าถูกนำให้กลับคืนมาในสภาพที่เจ็บป่วยเช่นเดียวกันกับเมื่อก่อนที่เขาตายไปนั้นไม่. ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ในขณะเมื่อเขากลับเป็นขึ้นจากตายนั้นก็ตาม เขาก็มีร่างกายเป็นปกติตามสมควร.
ยิ่งกว่านั้น คงไม่มีเหตุผลที่จะยืนกรานว่าจำต้องได้มีการเอาปรมาณูอย่างเดียวกันเข้ามาประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายเดิมนั้นอีก. หลังจากที่ตายไปแล้วและโดยผ่านกรรมวิธีแห่งความเน่าเปื่อย ร่างกายมนุษย์ก็มีการเปลี่ยนไปเป็นธาตุเคมีอื่น ๆ ธาตุเคมีเหล่านี้อาจจะถูกพฤกษชาติดูดเอาหรือรับเข้าไว้ก็ได้ แล้วคนเราก็อาจจะกินพฤกษชาติเหล่านี้หรือผลของมันเข้าไป. เนื่องด้วยเหตุนี้ปรมาณูต่าง ๆ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นตัวบุคคลผู้ที่ตายไปนั้นในที่สุดก็สามารถเข้าไปอยู่ในตัวของคนอื่น ๆ ได้. ปรากฏชัดว่าเมื่อมีการกลับเป็นขึ้นจากตายนั้นจะเอาบรรดาปรมาณูอันเดียวกัน มารวมกันเข้าอีกครั้งหนึ่งในตัวบุคคลทุกคนที่กลับเป็นขึ้นจากตายนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้.
ถ้าเช่นนั้นแล้ว การกลับเป็นขึ้นจากตายจะหมายความว่าอย่างไรสำหรับแต่ละบุคคล? การกลับเป็นขึ้นจากตายย่อมหมายถึงการนำเอาคนเรามาสู่ชีวิตอีกในฐานะเป็นบุคคลผู้เดียวกัน. และก็อะไรเล่าที่ทำให้แต่ละคนเป็นตัวบุคคลคนนั้น? จะเป็นวัตถุทางเคมีที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเขานั้นไหม? หามิได้ ด้วยเหตุที่อณูทั้งหลายในร่างกายนั้นมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการทดแทนอยู่เสมอเป็นประจำ. ดังนั้นแล้วสิ่งที่ทำให้เขาผิดแผกไปจริง ๆ จากคนอื่นนั้นก็คือรูปร่างท่าทางโดยปกติของเขา เสียงพูดของเขา บุคลิกลักษณะของเขา ประสบการณ์ของเขา ความเจริญเติบโตทางด้านความคิดและความทรงจำของเขานั่นเอง. ดังนั้นเมื่อพระยะโฮวาพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์นั้นจะทรงปลุกบุคคลใด ๆ ให้ออกมาจากความตายนั้น ปรากฏว่าพระองค์ก็จะจัดเตรียมบุคคลผู้นั้นขึ้นไว้พร้อมด้วยร่างกายที่มีคุณลักษณะต่าง ๆ เยี่ยงแต่ก่อน. บุคคลที่กลับเป็นขึ้นจากตายนั้นจะมีความจำอย่างเดียวกันกับที่เขาได้เคยมีมาในระหว่างทียังมีชีวิตอยู่นั้น และเขาจะรู้สำนึกได้อย่างเต็มที่เกี่ยวกับความจำนั้น ๆ. บุคคลคนนั้นจะสามารถพิสูจน์หลักฐานตัวเองได้ และคนเหล่านั้นผู้ที่รู้จักเขา ก็จะสามารถจำเขาได้ด้วยเช่นกัน.
บางคนอาจจะกล่าวก็ได้ว่า ‘แต่ถ้าบุคคลใดถูกสร้างขึ้นอีกเช่นนี้ เขาคือบุคคลคนเดียวกันนั้นจริง ๆ หรือ? เขาไม่เพียงแต่เป็นแบบจำลองเท่านั้นหรอกหรือ?’ เปล่าเลย เพราะการชักเหตุผลเช่นนี้เป็นการมองข้ามความเป็นจริงที่กล่าวถึงในตอนต้น ๆ นั้นว่าแม้แต่ขณะที่เรามีชีวิตอยู่ ร่างกายของเราก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ๆ. ราวเจ็ดปีมาแล้วอณูต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของเรานั้นแตกต่างไปจากอณูที่ก่อขึ้นเป็นร่างกายทุกวันนี้ เราก็ยังแตกต่างไปอีกในรูปร่างท่าทางขณะที่เวลาผ่านไป. แต่กระนั้นก็ดี เราก็ยังมีลายนิ้วมือเหมือนอย่างเดิมมิใช่หรือ? เรามิใช่บุคคลคนเดียวกันนั้นหรอกหรือ? แน่นอนที่สุด.
สำหรับคนเหล่านั้นผู้ซึ่งการกลับเป็นขึ้นจากตายดูเหมือนเกือบจะเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อนั้น ควรจะคำนึงถึงกรรมวิธีที่น่าพิศวงคล้ายคลึงกันซึ่งมีขึ้นแล้วในคราวที่คนเราตั้งครรภ์นั้น. เซลล์ขนาดเล็กที่ก่อตัวขึ้นโดยการรวมกันแห่งเชื้ออสุจิและไข่ มีความสามารถแฝงอยู่ภายในเพื่อที่จะเป็นตัวบุคคลซึ่งแตกต่างไปจากบุคคลใดอื่นที่เคยมีชีวิตอยู่นั้นได้. ภายในเซลล์นี้มีปัจจัยต่าง ๆ ที่ควบคุมการก่อตัวของแต่ละบุคคลและการเพาะบุคลิกลักษณะอันเป็นมูลฐานซึ่งเขารับช่วงเป็นมรดกจากบิดามารดาของเขานั้น. แน่ทีเดียว ครั้นแล้วก็ประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตภายหลังจากนั้นก็ย่อมจะเพิ่มเข้ากับบุคลิกลักษณะนั้น ๆ. ทำนองเดียวกันกับสิ่งที่อุบัติขึ้นในคราวแห่งการตั้งครรภ์ คือในคราวที่มีการกลับเป็นขึ้นจากตายหรือการสร้างขึ้นใหม่อีกนั้น บุคคลที่ตายไปก็จะมีบุคลิกลักษณะและมีบันทึกชีวิตกลับคืนไปสู่เขาดังเดิม ทุก ๆ เซลล์แห่งร่างกายของเขาจะได้รับการประทับขึ้นไว้ด้วยลักษณะพิเศษที่ทำให้เขาแตกต่างไปจากบุคคลอื่น ๆ ทั้งหมด. แล้วหัวใจ จิตใจ และร่างกายของเขาก็จะประทับคุณลักษณะ สันดาน และความสามารถต่าง ๆ ที่เขาพัฒนามาในระหว่างชีวิตของเขาแต่ก่อนนั้นเพิ่มเข้าไป.
ท่านผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญโดยการดลใจได้ให้ข้อสังเกตในเรื่องพระผู้สร้างดังนี้: “พระเนตรของพระองค์ได้ทรงเห็นสภาพของข้าพเจ้าขณะที่ยังอยู่ในครรภ์ และพระองค์ได้ทรงจดส่วนต่าง ๆ ทั้งหมดลงไว้ในหนังสือของพระองค์ และเกี่ยวกับสมัยเมื่อส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นถูกก่อเป็นรูปขึ้นและเมื่อยังไม่มีส่วนใดปรากฏขึ้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:16) ฉะนั้น ทันใดที่มีการก่อการผสมหน่วยถ่ายพันธุ์ในเวลาที่ตั้งครรภ์นั้น พระยะโฮวาพระเจ้าสามารถแลเห็นได้และทรงมีบันทึกเกี่ยวกับลักษณะต่าง ๆ อันเป็นมูลฐานของเด็กอยู่แล้วนั้น. ดังนั้นจึงนับว่ามีเหตุผลในการที่พระองค์สามารถมีบันทึกอันถูกต้องแม่นยำได้เพื่อการสร้างคนที่ตายไปแล้วขึ้นใหม่อีก.
เราสามารถไว้วางใจในความทรงจำอันสมบูรณ์พร้อมทุกประการของพระยะโฮวาได้. เพราะแม้แต่มนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์ซึ่งโดยทางแผ่นโลหะบันทึกภาพก็ยังสามารถรักษาและทำการถอดรูปร่างท่าทางและเสียงของคนเราไว้ได้. ความสามารถของพระเจ้าในการรักษาประวัติต่าง ๆ เช่นนั้นก็นับว่าใหญ่ยิ่งกว่านั้นมากนัก เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ตั้งชื่อให้บรรดาดวงดาวทั้งปวงอันมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนนั้นทีเดียว!—บทเพลงสรรเสริญ 147:4.
เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถแลเห็นได้ว่าการปลุกให้กลับเป็นขึ้นมาหรือการสร้างขึ้นใหม่นั้นย่อมมีทางเป็นไปได้ เพราะคนที่ตายไปนั้นอยู่ในความทรงจำของพระเจ้า. เนื่องจากความทรงจำอันสมบูรณ์ทุกประการของพระองค์เกี่ยวกับแบบชีวิตและจุดมุ่งหมายของพระองค์ที่จะปลุกคนตายให้กลับเป็นขึ้นอีกนั้น ผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาซึ่งตายไปแล้วดังเช่น อับราฮาม ยิศฮาคและยาโคบนั้น พระยะโฮวาพระเจ้าจึงสามารถถือได้ว่าเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่. นั่นคือสิ่งซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงแนะให้พวกซาดูกายที่ไม่เชื่อให้พิจารณาดู พระองค์ตรัสดังนี้: “การที่คนตายจะเป็นขึ้นมานั้น โมเซก็ยังได้เปิดเผยเรื่องที่เกี่ยวด้วยพุ่มหนาม ขณะที่ท่านเรียกพระยะโฮวาว่า ‘พระเจ้าของอับราฮามและพระเจ้าของยิศฮาคและพระเจ้าของยาโคบ.’ พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น ด้วยว่าจำเพาะพระองค์พวกเขาทุกคนยังเป็นอยู่.”—ลูกา 20:37, 38.
มีหลีกฐานมากพอจริง ๆ สำหรับการเชื่อถือในเรื่องการกลับเป็นขึ้นมาหรือการสร้างขึ้นใหม่. จริงทีเดียว บางคนอาจจะไม่ยอมรับเอาความคิดเห็นนั้นก็ได้. แต่การที่ท่านจะปิดตาและปิดใจของท่านต่อพยานหลักฐานและไม่ยอมเชื่อในเรื่องการกลับเป็นขึ้นมานั้นจะทำให้ท่านอยู่ในฐานะดีกว่ากระนั้นหรือ? นั่นจะทำให้เป็นการง่ายขึ้นอีกสำหรับท่านที่จะสูญเสียญาติที่รักหรือเพื่อนไปด้วยความตายกระนั้นหรือ? ท่านอยู่ในฐานะที่ดีกว่ากระนั้นหรือหากท่านเองต้องเผชิญกับความตาย?
การที่ทราบว่าชีวิตมิใช่มีแค่นี้เช่นนั้นย่อมจะทำให้คนเราพ้นจากความกลัวในเรื่องที่ชีวิตจะถูกตัดออกก่อนกำหนดในสภาพที่รุนแรง. ซาตานพญามารได้ถือเอาความกลัวเช่นนี้ไปทำประโยชน์ด้วยการเหนี่ยวร้างประชาชนให้อยู่ในสภาพการเป็นทาส บังคับให้เขาปฏิบัติตามคำสั่งของมัน โดยทางบรรดาตัวแทนทั้งหลายทางแผ่นดินโลกนี้. (มัดธาย 10:28; เฮ็บราย 2:14) เนื่องจากการกลัวที่จะถูกประหาร หลายคนจึงมิได้ดำเนินตามคำบงการแห่งสติรู้สึกผิดชอบของตนและจึงได้ลงมือทำความผิดทางอาญาต่อเพื่อนมนุษย์แบบที่ทารุณ ดังที่ได้มีการกระทำกันในค่ายรวมขังนักโทษแห่งประเทศเยอรมนีระบอบนาซีนั้น.
อย่างไรก็ดี บุคคลซึ่งมีความเชื่อแข็งแรงในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายนั้น ได้รับการชูกำลังในการตกลงปลงใจ กระทำสิ่งซึ่งถูกต้องเป็นธรรม มาตรว่าการปฏิบัติเช่นนั้นจะหมายถึงความตายสำหรับตนก็ตาม. สำหรับเขาแล้วชีวิตที่เขาจะได้รับความพอใจเพลิดเพลินจากการกลับเป็นขึ้นจากตายนั้นมีค่ายิ่งเสียกว่าชีวิตไม่กี่ปีในเวลานี้มากนัก. เขาไม่ปรารถนาจะเสี่ยงโอกาสของตนที่จะได้มาซึ่งชีวิตนิรันดร์โดยแลกกับสิ่งซึ่งเมื่อเทียบเคียงกันดูแล้วก็แทบจะนับไม่ได้ว่าเป็นการต่อชีวิตให้ยาวออกไปได้จริง ๆ. เขาเป็นเช่นเดียวกันกับชนในสมัยก่อนโน้นผู้ซึ่งพระธรรมเฮ็บรายได้รายงานไว้ดังนี้: “[พวกเขา] ถูกการทรมาน เพราะไม่ยอมรับการช่วยให้รอดพ้นด้วยค่าไถ่อย่างใดอย่างหนึ่ง [การอะลุ่มอล่วยเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกต้อง] เพื่อเขาจะได้รับการกลับเป็นขึ้นจากตายที่ดีกว่า.”—เฮ็บราย 11:35.
แน่นอนคนเหล่านั้นผู้ที่ไว้วางใจในคำทรงสัญญาของพระเจ้าที่จะปลุกคนซึ่งตายไปแล้วให้กลับเป็นขึ้นมานั้น ย่อมอยู่ในฐานะที่ดีกว่าคนเหล่านั้นผู้ซึ่งไม่มีความหวังในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายนั้นอย่างไกลลิบ. พวกเขาสามารถมองไปยังอนาคตโดยปราศจากความกลัว.
พยานหลักฐานในพระคัมภีร์ไบเบิลเผยให้เห็นว่า ระเบียบการปัจจุบันนี้จะมาถึงซึ่งอวสานของมันในไม่ช้า คือภายในชั่วอายุนี้ทีเดียว แล้วการบริหารที่ชอบธรรมในพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์ พร้อมด้วยคณะผู้ครอบครองของพระองค์ก็จะรับหน้าที่แทน. ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ตายไปแล้วหลายพันล้านคนเวลานี้ก็จะมีชีวิตอยู่อีกในไม่ช้าและจะเริ่มได้รับประโยชน์จากการครอบครองแห่งราชอาณาจักร. ช่างจะเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมสักเพียงไรที่บรรดาผู้มีชีวิตรอดจาก “ความทุกข์ลำบากอันใหญ่ยิ่ง” จะได้แสดงความยินดีต้อนรับบรรดาผู้ซึ่งตายไปแล้วนั้นกลับมาอีก! โปรดนึกถึงความยินดีร่าเริงในการที่จะสามารถมีมิตรภาพอันทำให้เกิดกำลังใจได้จากบรรดาเพื่อนรัก และญาติพี่น้องผู้ซึ่งเป็นที่รักทั้งหลาย ที่จะได้ยินได้ฟังเสียงพูดซึ่งเคยชินหู และแลเห็นเขามีสุขภาพอย่างดีอีกครั้งหนึ่งนั้นก็แล้วกัน.
เรื่องนี้น่าจะก่อให้บังเกิดผลประการใดแก่ท่านบ้าง? จะไม่กระตุ้นท่านให้นึกขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความหวังอันน่ามหัศจรรย์เรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายหรอกหรือ? การที่ท่านรู้สำนึกถึงบุญคุณเช่นนี้ จะไม่กระตุ้นท่านให้ลงมือทำทุกอย่างที่ท่านจะสามารถทำได้เพื่อเรียนให้รู้เกี่ยวด้วยพระองค์นั้น แล้วปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจซื่อสัตย์จงรักภักดีหรอกหรือ?
[รูปภาพหน้า 179]
เป็นไปไม่ได้หรือในการที่ผู้ซึ่งกระทำให้ทารกเติบโตขึ้นในครรภ์ของมารดานั้น จะปลุกคนที่ตายไปแล้วให้เป็นขึ้นมาดุจกัน?