บท 8
ชีวิตครอบครัว—วิธีที่คุณจะบรรลุความสำเร็จได้
คนส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า ชีวิตครอบครัวและความสุขเกี่ยวข้องกัน. จากการสำรวจ ในหมู่ผู้ชายมีร้อยละ 85 พูดว่า “ชีวิตครอบครัวมีความสำคัญมากต่อความสุขและความพอใจในชีวิต. กระนั้น คุณอาจรู้จักผู้ชายหลายคนซึ่งได้เลือกที่จะหย่าภรรยา. ผู้หญิงจำนวนมากขึ้นเลือกเอาการหย่าร้างเพื่อยุติชีวิตสมรสซึ่งมีความเบื่อหน่าย การขัดแย้งหรือการกดขี่.
2 เราไม่สามารถเปลี่ยนการกระทำของผู้อื่น. แต่เราควรสนใจในการปรับปรุงชีวิตครอบครัวของเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยา. เราทุกคนน่าจะถามตัวเองทำนองนี้ว่า ‘ความสัมพันธ์นี้ในครอบครัวของฉันเป็นอย่างไร?’
3 พระผู้สร้างทรงเป็นผู้ที่ได้ริเริ่มจัดเตรียมการเกี่ยวด้วยครอบครัว. (เอเฟโซ 3:14, 15) พระองค์ทรงเตรียมคำแนะนำอันเป็นประโยชน์ซึ่งได้ช่วยคู่สมรสมาแล้วมากมายประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัว. คำแนะนำอันเดียวกันนี้ย่อมให้ประโยชน์แก่คุณ.
บทเรียนซึ่งใช้ได้ผลจริงจากการสมรสรายแรก
4 ในตอนเริ่มต้นของพระคัมภีร์ เราพบบันทึกว่าด้วยเรื่องพระเจ้าทรงเริ่มตั้งครอบครัวมนุษย์ครอบครัวแรก. หลังจากพระยะโฮวาเจ้าได้สร้างบุรุษคนแรกคืออาดามแล้วชั่วระยะหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า:
“‘ซึ่งมนุษย์ผู้นั้นจะอยู่คนเดียวก็ไม่เหมาะ. เราจะสร้างขึ้นอีกคนหนึ่ง ให้เป็นคู่เคียงเหมาะกับเขา.’ ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระยะโฮวาเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ได้สร้างขึ้นเป็นหญิง แล้วประทานให้ชายนั้น. ชายจึงว่า ‘นี้เป็นกระดูกแท้และเนื้อแท้ของเรา. . . . ’ เพราะเหตุนั้น ผู้ชายจึงจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อหนังอันเดียวกัน.”—เยเนซิศ 2:18, 22-24.
5 โปรดสังเกตว่า ครอบครัวแรกนั้นมิได้มาจากการตัดสินใจของสองคนว่าจะอยู่ร่วมกัน. พระเจ้าทรงอนุมัติการสมรสนั้นและพระเจ้าทำให้ทั้งสองเข้าสู่สัมพันธภาพถาวร. อาดามได้รับรองฮาวาเป็นภรรยาของตนจำเพาะผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งเอกภพ.
6 เมื่อชายและหญิงทำขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อการสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นที่ยอมรับ เขาทั้งสองผูกพันกัน ในสายตาของคนทั่วไป. (เยเนซิศ 24:4, 34-67; มัดธาย 25:1-10) ไม่มีการผูกพันกันเช่นนั้น เมื่อชายกับหญิงเพียงแต่กินอยู่ด้วยกันโดยไม่มีการสมรส. แทนที่เป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ของเขาเป็นอย่างที่เรียกในคัมภีร์ไบเบิลว่า “การผิดประเวณี” หรือ “การเล่นชู้.” (เฮ็บราย 13:4) ถึงแม้เขาอ้างว่ารักกัน แต่ไม่ช้าไม่นาน ความสัมพันธ์ที่เขามีต่อกันคงจะไม่ราบรื่น เพราะขาดซึ่งความผูกพันที่เหนียวแน่นแห่งสายสมรส ซึ่งพระคัมภีร์ชี้ให้เห็นว่าสำคัญ. ตัวอย่างเช่น:
หญิงวัย 34 ปีบอกว่า “ดิฉันอาจเป็นคนล้าสมัย แต่การผูกมัดกันด้วยการสมรสทำให้ดิฉันรู้สึกว่าปลอดภัยกว่า. . . . ดิฉันชอบความสบายใจที่เรายอมรับแก่ตัวเราเองและแก่โลกว่า เราตั้งใจที่จะแนบสนิทกัน.”
ครูคนหนึ่งในวัย 28 ปีเล่าเรื่องการสำนึกของตัวเองว่า “เมื่อเวลาผ่านไปราวสองปี ผมเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่า ผมมีชีวิตอยู่อย่างว่างเปล่า. การอยู่ร่วมกัน [โดยไม่สมรส] ทำให้ชีวิตในวันข้างหน้าไม่แน่นอน.”
เมื่อมีการศึกษาเรื่องนี้ แนนซี่ เอ็ม. แคล็ทเวอร์ธี นักสังคมสงเคราะห์พบว่า ชายหญิงซึ่งมีข้อผูกมัดกันโดยการสมรส แต่มิได้อยู่กินด้วยกันก่อนการวิวาห์ แสดงออกมาซึ่ง “ความสุขใจอิ่มใจพอใจมากกว่า.”
7 บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลว่าด้วยเรื่องการสมรสรายแรกอาจช่วยเราหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกี่ยวพันกับฝ่ายบิดามารดาและญาติ. ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องธรรมดาที่มีบ่อยที่สุด ตามคำกล่าวของผู้ให้คำปรึกษาแก่คู่สมรสคนหนึ่ง. กระนั้น ก่อนจะเกิดปัญหากับพ่อแม่และญาติ บันทึกในพระคัมภีร์แจ้งถึงการสมรสรายแรกว่า “ผู้ชายจึงจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา.”—เยเนซิศ 2:24.
8 เป็นสิ่งธรรมดา พวกเราแทบทุกคนรักบิดามารดาของเรา. พระคัมภีร์ยังสนับสนุนเราให้อุปการะเขาในยามแก่ชราหากจำเป็น ด้วยการจุนเจือให้สิ่งของเสียด้วยซ้ำ. (1 ติโมเธียว 5:8; พระบัญญัติ 27:16; สุภาษิต 20:20) แต่พระคัมภีร์เน้นว่า เมื่อสมรสแล้ว คู่สมรสเป็นญาติใกล้ชิดที่สุดของคุณ. บุคคลแรกที่คุณพึงรักและให้ความเอาใจใส่ และปรึกษาหารือด้วยคือสามีหรือภรรยาของคุณนั่นเอง.
9 ทัศนะเช่นนี้ยับยั้งคนที่สมรสแล้วมิให้ ‘หนีกลับบ้าน’ ไปหาบิดามารดาเมื่อมีปัญหา และช่วยบิดามารดาให้หยั่งรู้เข้าใจว่า ในวันแต่งงาน บุตรของตน “ละไป”และตั้งครอบครัวเป็นเอกเทศ แม้ธรรมเนียมหรือการเงินทำให้คู่สมรสต้องอยู่ใกล้หรืออยู่ร่วมบ้านบิดามารดาชั่วระยะหนึ่งก็ตาม. เป็นสิ่งเหมาะสมที่บุตรพึงหยั่งรู้คุณค่าและรับประโยชน์จากสติปัญญาและประสบการณ์ของบิดามารดาของเขา. (โยบ 12:12; 32:6, 7) กระนั้น ข้อความในเยเนซิศ 2:24 เป็นการเตือนบิดามารดาทั้งหลายให้ระวังที่จะไม่พยายามบงการหรือตรวจสอบชีวิตบุตรที่สมรสแล้ว. ถูกแล้ว การปฏิบัติตามคำแนะนำข้อนี้ในพระคัมภีร์ย่อมมีส่วนส่งเสริมความสำเร็จของชีวิตสมรสได้.
คู่ครองกี่คน?
10 อนึ่ง เราเห็นได้จากบันทึกในเยเนซิศว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมคู่ครองคนเดียว เท่านั้นให้แก่อาดาม. วัฒนธรรมในบางประเทศ ผู้ชายจะมีภรรยาได้หลายคน. แต่การมีภรรยาหลายคนทำให้ครอบครัวมีความสุขไหม? ตรงกันข้าม ประสบการณ์ชี้ให้เห็นว่า การมีภรรยาหลายคนบ่อยครั้งทำให้เกิดความหึงหวงอย่างรุนแรง หรือไม่ก็ชิงดีชิงเด่นกัน รวมไปถึงทารุณกรรมภรรยาที่มีอายุมากกว่า. (สุภาษิต 27:4; เยเนซิศ 30:1) ธรรมเนียมการมีภรรยาหลายคนหรือขับไล่ไสส่งภรรยาโดยจัดการหย่าให้นั้นเคยปฏิบัติกันในหมู่ชาวฮีบรูสมัยโบราณ. แม้พระเจ้าทรงยอมให้สภาพเช่นนั้นดำรงอยู่ แต่พระองค์ได้ประทานกฎหมายแก่ชาติยิศราเอลเพื่อป้องกันการกระทำผิดอย่างร้ายแรง. กระนั้น เมื่อพิจารณาเรื่องนี้ พระเยซูทรงแนะนำให้เอาใจใส่ต่อพระประสงค์ของพระเจ้าดังที่กล่าวไว้ในพระธรรมเยเนซิศ. เมื่อเขาซักถามพระองค์ถึงสาเหตุประการต่าง ๆ ว่าด้วยการหย่าร้าง พระเยซูตรัสว่า:
“พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิมได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า ‘เพราะเหตุนั้น บุรุษจึงต้องละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา . . . ’? . . . เหตุฉะนั้น ซึ่งพระเจ้าได้ผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย. . . . โมเซ [ในพระบัญญัติของพระเจ้า] ได้ยอมให้ท่านทั้งหลาย [ชาวฮีบรู] หย่าภรรยาของตนเพราะใจท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง แต่เมื่อเดิมมิได้เป็นอย่างนั้น. ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุต่าง ๆ เว้นแต่ผิดกับชายอื่นแล้วไปมีภรรยาใหม่ ก็ผิดประเวณี.”—มัดธาย 19:3-9.
11 พระเยซูทรงทำให้ชัดแจ้งที่ว่า มาตรฐานสำหรับบรรดาสาวกของพระองค์นั้นไม่ใช่การมีคู่ครองหลายคน แต่มีเพียงคนเดียว ดังที่พระเจ้าได้ทรงจัดไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม. (1 ติโมเธียว 3:2) การยอมรับสติปัญญาและอำนาจของพระเจ้าในเรื่องนี้เป็นก้าวหนึ่งไปสู่ความสุข.
12 เป็นเช่นเดียวกันเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูตรัสเรื่องการหย่าร้าง. เมื่อการหย่าร้างทำกันได้อย่างง่ายดาย จึงมีการหย่ามากมาย. ทุกวันนี้ เราก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้น. แต่พระเจ้าทรงถือว่าการสมรสเป็นการถาวร. จริงอยู่ พระเยซูได้ตรัสว่า หากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำ “ผิดประเวณี” (ภาษากรีกพอร์นิอา หมายถึงการผิดศีลธรรมทางเพศอย่างร้ายแรง) ฉะนั้น ผู้ทำผิดได้เป็น “เนื้อหนังอันเดียวกัน” กับอีกบุคคลหนึ่ง ฝ่ายที่ไม่มีความผิดอาจหย่าและสมรสใหม่ได้. แต่นอกจากนั้น พระผู้สร้างทรงมีทัศนะต่อคู่สมรสว่าเขาได้ผูกพันกันเป็นการถาวร. ด้วยเหตุนี้ คนเหล่านั้นที่ยอมรับอำนาจของพระเจ้าสำหรับเรื่องนี้ยิ่งมีเหตุผลเพื่อจะทำให้ชีวิตสมรสของตนมั่นคงและรับมือได้กับปัญหาที่อาจมีขึ้น. (ท่านผู้ประกาศ 4:11, 12; โรม 7:2, 3) ฉะนั้น แทนที่จะทำให้เกิดความทุกข์ ทัศนะดังกล่าวเป็นสิ่งที่จะช่วยชีวิตสมรสประสบความสำเร็จ. ประสบการณ์แสดงว่าเป็นเช่นนั้น.
13 บางคนอาจคิดว่า ‘แต่การสมรสบางรายมีปัญหาร้ายแรง หรือว่าคู่สามีภรรยาเข้ากันไม่ได้.’ แล้วจะทำอย่างไร? มีหลายอย่างซึ่งเป็นประโยชน์ที่เราอาจเรียนรู้ได้จากพระคัมภีร์.
สามีที่รักภรรยาของตนอย่างแท้จริง
14 เคล็ดลับที่นำครอบครัวไปสู่ความสำเร็จคือทัศนะที่สามีแสดงและวิธีที่เขาปฏิบัติต่อภรรยาของตน. แต่ใครล่ะจะบอกว่าวิธีไหนดีที่สุด? อีกครั้งหนึ่งที่เราจะได้สิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้เกี่ยวกับการสมรสรายแรกนั้นเป็นเครื่องช่วย. บทบันทึกอธิบายว่า พระเจ้าทรงชักเอาบางส่วนจากร่างกายของอาดามมาใช้สร้างคู่ครองให้แก่เขา. ต่อมาพระคัมภีร์ได้ขยายความเรื่องนี้ว่า:
“สามีทั้งหลายจึงควรรักภรรยาของตนเหมือนรักร่างกายของตนเอง. ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตัวเอง เพราะไม่มีชายคนใดเคยเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง แต่เขาเลี้ยงดูและทะนุถนอมเนื้อหนังนั้น ดังที่พระคริสต์ได้ทรงกระทำกับประชาคม.”
หลังจากได้ยกเยเนซิศ 2:24 ขึ้นมากล่าวแล้ว เปาโลพูดต่อไปว่า “จงให้พวกท่านทุกคนต่างคนต่างรักภรรยาของตนเหมือนรักตัวเอง.”—เอเฟโซ 5:28-33, ล.ม.
15 ผู้ชายบางคนอาจคิดว่า ตนน่าจะปฏิบัติกับภรรยาอย่างเกรี้ยวกราดหรือไม่ก็ทำตัวห่างเหิน. แต่ผู้ที่เริ่มจัดการสมรสขึ้นครั้งแรกได้ตรัสว่า สามีควรรักภรรยาของตนอย่างสุดซึ้งและแสดง ความรักให้ประจักษ์. ที่จะเป็นคนมีความสุขจริง ภรรยาจำต้องแน่ใจว่าเธอเป็นที่รักของสามีอย่างแท้จริง.
16 ที่สามี ‘เลี้ยงดูและทะนุถนอมภรรยาเหมือนร่างกายของตนเอง’ นั้น เกี่ยวข้องกับความมุ่งมั่นของเขาที่จะเป็นผู้เตรียมการที่ดี. แต่เขาไม่ควรหมกมุ่นกับการทำมาหากิน จนกระทั่งมองข้ามการใช้เวลาอยู่กับภรรยาและให้ความเอาใจใส่เธออย่างอบอุ่นในฐานะเป็นบุคคล. ยิ่งกว่านั้น ไม่มีชายคนใดที่มีจิตปกติ จะเกลียดชังตัวเองหรือทำร้ายร่างกายตัวเอง แม้แต่เมื่อตัวเองโมโห. ดังนั้น สิ่งที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์จึงไม่อนุญาตให้ผู้ชายเกรี้ยวกราดภรรยาของตน.—บทเพลงสรรเสริญ 11:5; 37:8.
17 ผู้หญิงคนแรกถูกสร้างให้เป็น ‘คู่เคียง ของสามี.’ (เยเนซิศ 2:18) พระเจ้าทรงทราบดีว่า ชายและหญิงมีคุณลักษณะที่ต่างกัน. ข้อนี้ยังเป็นความจริงอยู่. ตามปกติผู้หญิงก็ต่างไปจากผู้ชายอยู่แล้วทั้งคุณสมบัติและอุปนิสัย. ผู้ชายอาจเป็นคนเฉียบขาด ผู้หญิงอาจอดทนอย่างมีใจปรานีมากกว่า. ผู้หญิงอาจจะชอบอยู่ในกลุ่ม ผู้ชายอาจพอใจอยู่โดดเดี่ยว. ผู้ชายอาจจริงจังกับเรื่องการตรงต่อเวลา ผู้หญิงจะ “ปล่อยอารมณ์ตามสบาย” มากกว่าผู้ชายในเรื่องเวลา. คำอธิบายในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า พระเจ้าทรงสร้างฮาวาเป็น “คู่เคียง” นั้น น่าจะช่วยให้สามีเข้าใจความแตกต่างเช่นนั้น.
18 อัครสาวกเปโตรเตือนสามีทั้งหลาย ให้ “อยู่กินกับภรรยาโดยใช้ความรู้ จงให้เกียรติแก่ภรรยาเหมือนหนึ่งเป็นภาชนะที่อ่อนแอกว่า.” (1 เปโตร 3:7) “เกียรติ” นั้นหมายรวมถึงการคล้อยตามรสนิยมของภรรยาที่ต่างออกไป. สามีอาจชอบกีฬา แต่ภรรยาอาจชอบเดินเที่ยวดูของตามร้านหรือไปดูระบำบัลเล่ต์. รสนิยมของเธอก็มีเหตุผลเช่นเดียวกับของสามี. การให้เกียรติย่อมยินยอมให้กับความแตกต่างเช่นนั้น.
19 อารมณ์ของภรรยาอันอาจเนื่องมาจากการมีรอบเดือน บางครั้งอาจก่อความงงงันแก่สามีและอาจเป็นได้ แก่ภรรยาเหมือนกัน. แต่สามีอาจมีส่วนส่งเสริมความสุขแก่กันและกันได้ โดยพยายาม ‘อยู่กินกับเธอโดยใช้ความรู้.’ บ่อยครั้งสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดคือ อยู่ในอ้อมกอดอันอ่อนละมุน ขณะที่สามีพูดคุยกับเธอด้วยความรักใคร่.
ภรรยาที่แสดงความนับถือสามีของตน
20 เนื่องจากภรรยาต้องทำส่วนของเธอเช่นกันเพื่อทำให้เกิดความสุขในครอบครัว พระผู้สร้างจึงทรงจัดเครื่องนำทางให้แก่ภรรยาด้วย.
21 ทันทีหลังจากสั่งสามีให้รักภรรยาแล้ว มีคำแนะนำในพระคัมภีร์ต่อไปว่า “ภรรยาควรมีความนับถืออย่างสุดซึ้งต่อสามีของเธอ.” (เอเฟโซ 5:33, ล.ม.) ในกรณีของการสมรสรายแรก มีปัจจัยหลายอย่างซึ่งปกติแล้วน่าจะทำให้ฮาวาหมายพึ่งสามีของเธอ. อาดามถูกสร้างขึ้นก่อน. เขามีความรู้และผ่านประสบการณ์ในชีวิตมากกว่าเธอ ทั้งยังได้รับคำแนะนำโดยตรงจากพระเจ้าด้วยซ้ำ.
22 แต่การสมรสในทุกวันนี้ล่ะเป็นอย่างไร? ถ้าสามีพยายามด้วยความจริงใจจะปฏิบัติตามคำแนะนำที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล ตามที่ได้พิจารณามาแล้วในตอนต้น ทั้งนี้คงจะกระตุ้นภรรยาได้มากในการแสดงความนับถือต่อสามี. แม้ภรรยาเป็นคนเก่งในด้านใดด้านหนึ่ง หรือสามีอาจบกพร่องทางใดทางหนึ่ง แต่ก็มีเหตุผลที่จะแสดงความนับถือ—โดยการคำนึงถึงวิธีการของพระยะโฮวาซึ่งครอบครัวก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งการจัดเตรียมนั้น. อัครสาวกเปาโลเขียนไว้อย่างนี้:
“จงให้ภรรยาทั้งหลายยินยอมอ่อนน้อมต่อสามีของตนเหมือนกระทำต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสามีเป็นประมุขของภรรยาของตน เหมือนพระคริสต์เป็นประมุขของประชาคม.”—เอเฟโซ 5:22, 23, ล.ม.
23 ทั้งนี้มิใช่จะหมายความว่าสามีเป็นนักเผด็จการที่รู้ไปหมดทุกอย่างภายในครอบครัว. เพราะนั่นคงขัดแย้งกับตัวอย่างแห่งความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจของพระคริสต์. พระเจ้าทรงสนับสนุนภรรยาทั้งหลายให้หมายพึ่งสามีในด้านการเป็นผู้นำ. สามีและภรรยาอาจปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องสำคัญภายในครอบครัว เหมือนการปฏิบัติงานของส่วนต่าง ๆ ในร่างกายเดียว. กระนั้น พระเจ้าทรงถือว่า ในอันดับแรกสามีต้องรับผิดชอบเพื่อครอบครัว.—โกโลซาย 3:18, 19.
24 ประสบการณ์แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องนี้มีเหตุผล. ขณะที่ภรรยากระทำตนเพื่อจะได้รับความรักและการเอาใจใส่จากสามี และหมายพึ่งเขาเพื่อการนำทางในเรื่องของครอบครัวแล้ว เธอมักจะพบว่า สามียิ่งจะเต็มใจรับเอาหน้าที่รับผิดชอบและปฏิบัติหน้าที่นั้นด้วยความรัก.—สุภาษิต 31:26-28; ติโต 2:4, 5.
ทำงานร่วมกันเพื่อนำครอบครัวไปสู่ความสำเร็จ
25 การสนทนาเป็นปัจจัยสำคัญซึ่งหลายครอบครัวเหลือเกินขาดสิ่งนี้. นักสังคมศาสตร์คนหนึ่งตั้งข้อสังเกตดังนี้: “คู่สมรสส่วนมากไม่ยอมฟังกัน แล้วเลยกลายเป็นการวิวาทกัน.” เรามักจะประสบกับความขุ่นเคือง ความคับข้องใจและความผิดหวังในชีวิต. เราจะทำอย่างไรเพื่อสิ่งเหล่านี้จะไม่ก่อความเสียหายแก่ชีวิตสมรสของเรา? การพูดจาสนทนาที่ดีช่วยได้. จงระวังที่จะไม่ทึกทักเอาสิ่งนี้ มิฉะนั้นแล้วก็จะพบว่า การพูดจาระหว่างกันชักจะน้อยลงทุกที.
26 จงตั้งใจ จะสนทนากัน. คุณสนทนากันเรื่องการงานและความรู้สึก ของคุณเป็นประจำไหม? บ่อยครั้ง เรารีบร้อนเกินไปจนไม่มีเวลาพูด และเราไม่ฟังสิ่งที่คนอื่นพูด. (สุภาษิต 10:19, 20; ยาโกโบ 1:19, 26) แทนที่จะคอยหาโอกาสจะพูด ก็จงฟัง พยายามเข้าใจ บางทีตอบรับด้วยการถาม ‘คุณหมายความว่า . . . ?’ หรือ ‘คุณพูดว่า . . . ?’ (สุภาษิต 15:30, 31; 20:5; 21:28) สามีหรือภรรยาที่รับฟังความคิดและความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างจริงใจ มักจะไม่ค่อยปฏิบัติตนในทางเห็นแก่ตัว หรืออย่างที่จะดัดแปลงไม่ได้.
27 การพูดจาสนทนากันจะมีคุณค่ามากขึ้นถ้าคู่สามีภรรยาจะคุยกันถึงปัญหาที่เขาประสบโดยคำนึงถึงคำแนะนำในพระคัมภีร์. ตัวอย่างเช่น หลักการอันดีเลิศเพื่อใช้ในการพิจารณาเรื่องรายได้และการวางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายของครอบครัวจะพบได้ใน 1 ติโมเธียว 6:6-10; 17-19 และมัดธาย 6:24-34. คำแนะนำมากมายตามหลักการของพระคัมภีร์เกี่ยวกับชีวิตครอบครัวในแง่มุมต่าง ๆ ก็มีอยู่ในหนังสือ การทำให้ชีวิตครอบครัวของท่านมีความสุข.a
28 เนื่องจากคำแนะนำในพระคัมภีร์มาจากผู้เป็นต้นตำรับดีที่สุดในเรื่องการสมรสและชีวิตครอบครัวคือพระยะโฮวาเจ้า จึงชอบด้วยเหตุผลที่ว่า หากเราพากเพียรปฏิบัติตามคำแนะนำในพระคัมภีร์อย่างไม่ลดละ คำแนะนำต่าง ๆ เหล่านั้นจะช่วยเราในทางปฏิบัติเพื่อจะบรรลุความสำเร็จได้. คู่สมรสที่เป็นคริสเตียนหลายพันคู่ตลอดทั่วโลกได้ปฏิบัติมาแล้ว และยังผลให้ชีวิตสมรสของเขามีความสุข.
[เชิงอรรถ]
a พิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็คท์.
[คำถามศึกษา]
เราอาจทำได้อย่างไรเพื่อความสำเร็จยิ่ง ๆ ขึ้นในชีวิตครอบครัว? (1-3)
การผูกพันกันมีบทบาทอย่างไรในการสมรสครั้งแรก และทำไมเรื่องนี้สำคัญ? (4-6)
เราสามารถจะเรียนอะไรได้จากการสมรสครั้งแรกเกี่ยวข้องกับบิดามารดาและญาติ? (7-9)
เราได้บทเรียนอะไรซึ่งเป็นประโยชน์จากพระธรรมเยเนซิศในเรื่องจำนวนคู่สมรส? (10, 11)
พระคัมภีร์สนับสนุนให้มีทัศนะเช่นไรในเรื่องการหย่าร้าง? (12, 13)
สามีจะใช้คำแนะนำในพระคัมภีร์สำหรับสามีให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร? (14-16)
ที่ว่าภรรยาเป็น “คู่เคียง” เช่นนั้นสามีควรเข้าใจอย่างไร? (17-19)
พระคัมภีร์สนับสนุนภรรยาให้มีทัศนะเช่นไรต่อสามี? (20-22)
ทำไมภรรยาสามารถมั่นใจได้ว่า คำแนะนำนี้จะช่วยได้? (23, 24)
การสนทนาหารือกันส่งเสริมความสำเร็จของครอบครัวอย่างไร? (25-28)
[กรอบหน้า 86]
ชายผู้หนึ่งจากภาคตะวันตกของสหรัฐชี้แจงว่า “ในชีวิตสมรสของผม ผมได้วัตถุสิ่งของทุกอย่างเท่าที่ผมต้องการ เช่น บ้านหรู รถยนต์ เรือและม้า. แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ทำให้ผมมีความสุข. ภรรยาไม่สนใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่ผมสนใจ. เราทะเลาะกันเสมอ. ผมหันไปสูบกัญชาหาความสบายใจ.
“พอถึงวันสุดสัปดาห์ผมมักจะออกจากบ้านไปล่าสัตว์เสียส่วนใหญ่. นอกจากนั้น การงานของผมทำให้ผมไม่ได้อยู่บ้าน. เหตุนี้จึงทำให้ผมถลำประพฤติผิดประเวณี. ผมคิดว่าภรรยาไม่รักผม ผมจึงย้ายออกจากบ้านไปติดพันผู้หญิงอื่นคนแล้วคนเล่า กระทั่งดูเหมือนว่าชีวิตของผมไร้ความหมาย.
“ระหว่างนั้นผมก็ได้อ่านพระคัมภีร์บ้าง. พระธรรมเอเฟโซบท 5 ทำให้ผมมีความมั่นใจจะพยายามคืนดีกับภรรยา. ผมตระหนักว่าเธอไม่อ่อนน้อมเชื่อฟัง และผมก็ไม่ได้นำเธออย่างเหมาะสม. แต่ในอาทิตย์ถัดไปขณะเดินทางทำธุรกิจ ผมก็ประพฤติผิดประเวณีอีก.”
มีเพื่อนคนหนึ่งแนะเขาว่า ถ้าเขาสนใจเรื่องพระเจ้าจริง พยานพระยะโฮวาคงจะช่วยเขาได้. เขาเล่าต่อไปว่า “พยานฯช่วยจริง ๆ. ผู้ดูแลคนหนึ่งในประชาคมจัดเวลานำการศึกษาพระคัมภีร์กับผม. เนื่องจากการดำเนินชีวิตของผมเปลี่ยนไปมาก ภรรยาของผมได้เข้าร่วมการศึกษาด้วย. บัดนี้ เป็นครั้งแรกที่ชีวิตครอบครัวของเรามีความสุข แม้แต่ลูกสาวสองคนของเราก็มองเห็นความแตกต่าง. ไม่มีคำพูดจะพรรณนาได้ถึงความสุขอันเต็มเปี่ยมซึ่งผมกับภรรยาได้ประสบเมื่อใช้ความรู้ในพระคัมภีร์กับชีวิตของเรา.”
[รูปภาพหน้า 89]
การสนทนา—สำคัญต่อความสุขในครอบครัว