บท 9
หนุ่มสาวทั้งหลาย—คุณจะมีความสุขได้อย่างไร?
วัยหนุ่มสาวอาจเป็นช่วงหนึ่งในชีวิตที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด. อนาคตอยู่ตรงหน้าคุณ. ดังนั้น จงใช้วัยนี้ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด. จงแสวงหาความสุข.
2 แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย. ดร. โรเบิร์ต เอส. บราวน์ได้ทำการสำรวจผู้คนที่เพิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เคยตั้งใจดำเนินชีวิตตามอุดมการณ์ของเขาเพื่อสังคมและรัฐบาล. เขารายงานว่า คนเหล่านี้มีมากกว่าหนึ่งในสามกลายเป็นคนสิ้นหวัง หดหู่ใจและกระวนกระวาย.
3 คุณมักจะได้ยินคำพูดที่ว่า การเรียนสูง ๆ น่ะแหละดี. แต่ทุกวันนี้ คนวัยหนุ่มสาวหลายคนมีการศึกษาดี แต่ก็ยังหางานทำไม่ได้. บางคนทำงานมีรายได้ดีแต่กลับพบว่า งานที่ให้รายได้สูงเช่นนั้นไม่ทำให้เขาประสบความอิ่มใจพอใจในชีวิต. หรือเรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาวส่วนใหญ่ก็ใช่ว่านำไปสู่ความสุขไม่. ในบางแห่งการสมรสของคนในวัยรุ่นร้อยละ 80 ล้มเหลวภายในห้าปี.
4 คุณสามารถทำประการใดเพื่อจะไม่เป็นดังกล่าว และคุณเองจะชื่นชมกับชีวิตในปัจจุบันและมีอนาคตที่น่าพอใจ? หรือถ้าคุณเป็นบิดามารดา คุณจะช่วยบุตรของคุณให้บรรลุเป้านั้นได้อย่างไร?
การคำนึงถึงพระผู้สร้าง
5 คนหนุ่มสาวมักจะได้รับอิทธิพลจากคนอื่น ๆ วัยเดียวกันซึ่งความจัดเจนในชีวิตมีจำกัด. พระคัมภีร์ให้ข้อสังเกตว่า:
“คนฉลาดมองเห็นภัยแล้วหนีไปซ่อนตัว แต่คนโง่เดินเซ่อไปและก็เป็นอันตราย.”—สุภาษิต 22:3; 13:20.
คนหนุ่มซึ่งคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงจะยอมรับว่า เพื่อนนักเรียนหรือเพื่อนเกลอมีเพียงไม่กี่คนที่ห่วงใยสวัสดิภาพถาวรของเขา อย่างลึกซึ้ง. คุณอาจถามว่า ‘ในวันข้างหน้า พวกเขาจะห่วงฉันไหม ถ้าความสุขของฉันเสียไปเนื่องจากสิ่งที่ฉันทำขณะนี้?’
6 แต่ใครล่ะที่เป็นห่วงและสามารถให้คำแนะนำที่ดีที่สุดแก่คุณได้? พระเจ้าผู้ได้สร้างคุณนั่นเอง. พระองค์ทรงประสงค์จะให้หนุ่มสาวเพลิดเพลินกับชีวิต. พระองค์มิได้มีทัศนะในแง่ลบเรื่องสิ่งต่าง ๆ อันเป็นที่ให้ความเจริญตาเจริญใจแก่หนุ่มสาว. ในขณะที่พระองค์มิได้ปกป้องหนุ่มสาวให้พ้นจากการรับผลอันขื่นขมอันเนื่องมาจากการกระทำอย่างไม่ยั้งคิด แต่พระองค์ก็ทรงกระทำอย่างที่คุณคงจะคาดหมายจากผู้ที่สนใจคุณอย่างแท้จริง: พระองค์ทรงเตือนให้คุณระวังสิ่งที่จะนำมาซึ่งความเสียใจและความหายนะ และพระองค์ทรงให้คำแนะนำถึงวิธีหลีกเลี่ยงหลุมพรางเหล่านี้. (สุภาษิต 27:5; บทเพลงสรรเสริญ 119:9) พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า:
“โอ้ยุวชนยุวดี จงชื่นชมยินดีในปฐมวัยของเจ้า และให้จิตใจของเจ้าทำตัวเจ้าให้ชุ่มชื่นในปฐมวัยของเจ้า จงดำเนินตามทางที่ใจของเจ้าปลงไว้ และตามทางในสายตาของเจ้าเถิด แต่จงรู้ไว้ว่า เนื่องด้วยกิจการทั้งปวงเหล่านี้ พระเจ้าจะทรงนำเจ้าเข้ามาถึงการพิพากษา. เพราะฉะนั้น จงตัดความกระวนกระวายออกเสียจากใจของเจ้าและจงสลัดความชั่วให้หลุดเสียจากตัวของเจ้า.”—ท่านผู้ประกาศ 11:9, 10.
7 อย่างไรก็ดี มีเหตุผลที่จะคำนึงถึงพระผู้สร้างมากกว่าความใฝ่พระทัยของพระองค์ที่มีต่อคุณ. บางทีคุณคงเคยได้สังเกตเห็นแล้วว่า หนุ่มสาวหลายคนใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยปราศจากเป้าหมาย. พวกเขาไม่มีเป้าหมายเฉพาะหรือมาตรฐานใด ๆ ที่แน่นอนซึ่งจะเป็นหลักยึดสำหรับชีวิตของเขา. บ่อยครั้ง พวกเขาหันไปใช้ยาเสพย์ติด สูบบุหรี่และหาความตื่นเต้นแบบที่เป็นอันตรายเพื่อชดเชยความว่างเปล่าในชีวิตของเขา หรือหาความตื่นเต้นบางอย่างในชีวิตอันน่าเบื่อหน่าย. คุณอาจได้ทำสิ่งเหล่านั้นมาบ้างแล้ว ไม่ว่าคุณตระหนักถึงอันตรายหรือไม่ก็ตาม. คุณพึงพอใจกับชีวิตของคุณขณะนี้ไหมและพอใจกับสิ่งที่คุณมองเห็นในอนาคตไหม? เวลานี้คุณน่าจะไตร่ตรองนึกถึงชีวิตของตัวเองมิใช่หรือ?
8 ดังที่เราได้พิจารณาในตอนต้น ๆ แล้วว่า เพื่อชีวิตของคนเราจะมีความหมายและเข้าประสานกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ นั้น เขาต้องยอมรับว่ามีผู้สร้างเอกภพ. พระองค์ผู้นั้น พระผู้ได้สร้างเราทั้งหลาย ทรงมีมาตรฐาน. (บทเพลงสรรเสริญ 100:3) มาตรฐานเหล่านั้นลงรอยกับวิธีที่พระองค์ทรงสร้างตัวเราให้ดำรงชีวิตอยู่. มาตรฐานนั้นเป็นประโยชน์และส่งเสริมความสุข. เราเห็นหลักฐานของเรื่องนี้จากการพิจารณาในบทต้น ๆ ถึงเรื่องการลักลอบได้เสีย การดื่มจัด และการเล่นพนัน.a ดังนั้น หากคุณต้องการมีชีวิตที่เพลิดเพลิน จะไม่เป็นการฉลาดหรือที่จะคำนึงถึงพระผู้สร้างเมื่อคุณคิดว่า คุณจะดำเนินชีวิตอย่างไร คุณจะยึดมั่นกับมาตรฐานอะไร และทิศทางที่คุณจะมุ่งหน้าไป?
ชีวิตที่มีจุดมุ่งหมายและความนับถือตัวเอง
9 เราได้สังเกตข้อคัมภีร์ในพระธรรมท่านผู้ประกาศ 11:9, 10 บางข้อมุ่งเล็งไปที่คนหนุ่มสาว. พระธรรมเล่มนั้นสรุปเรื่องดังนี้:
“ให้เราฟังคำสรุปของเรื่องทั้งหมด: จงเกรงกลัวพระเจ้า จงถือรักษาบัญญัติทั้งปวงของพระองค์ เพราะว่าการนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน.”—ท่านผู้ประกาศ 12:13.
10 ทั่วโลกมีหนุ่มสาวหลายแสนคนซึ่งคำนึงถึงเรื่องชีวิตของตัวเองอย่างจริงจัง. พวกเขาคำนึงถึงพระผู้สร้างและได้ศึกษาพระวจนะของพระองค์. และพวกเขาเห็นแล้วว่า ข้อเรียกร้องขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งเพื่อจะได้ความสุขคือการดำเนินชีวิตประสานกับพระผู้สร้างของตน. เรื่องนี้คุณควรถือเป็นหน้าที่และจุดมุ่งหมายในชีวิตเช่นกัน. การดำเนินชีวิตสมกับที่พระคัมภีร์กำหนดเค้าโครงไว้ไม่ใช่เรื่องแปลก ผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ไม่น่าเพลิดเพลิน. ตรงกันข้าม มันเป็นวิถีชีวิตที่สมดุลและมีความหมาย. การดำเนินชีวิตประสานกับพระผู้สร้างทำให้คนเราสามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างสุขุมและประสบความสำเร็จ เช่นด้านการเงิน งานอาชีพ ศีลธรรม ชีวิตครอบครัว การพักผ่อนหย่อนใจและเรื่องอื่น ๆ ที่คุณเผชิญในขณะนี้ หรือยังจะต้องเผชิญในวันข้างหน้า. ประสบการณ์ในชีวิตของพยานพระยะโฮวาเป็นข้อยืนยันว่า สติปัญญาซึ่งอาศัยพระคัมภีร์เป็นหลัก
“เป็นต้นไม้แห่งชีวิตแก่คนเหล่านั้นที่ฉวยเอาไว้ และคนเหล่านั้นที่ยึดถือไว้แน่นก็จะมีความผาสุก.”—สุภาษิต 3:18, ล.ม.
พระคัมภีร์ให้คำแนะนำดังนี้: “ศิษย์ของเราเอ๋ย อย่าลืมโอวาทของเรา แต่จงให้ใจของเจ้ารักษาบัญญัติทั้งหลายของเรา เพราะว่าบัญญัตินั้นจะเพิ่มวันและปีเดือนทั้งหลายแห่งชีวิตของเจ้า กับสันติสุขให้แก่เจ้า.”—สุภาษิต 3:1, 2.
11 เมื่อคุณปฏิบัติตามคำแนะนำของพระคัมภีร์ คุณอาจค่อนข้างจะต่างไปจากหนุ่มสาวส่วนมาก. อันที่จริง บางคนอาจติเตียนคุณในเรื่องนี้ก็ได้. (1 เปโตร 2:20; 4:4) คุณยอมให้การกระทำของเขาหน่วงเหนี่ยวคุณไว้จากแนวทางซึ่งจะยังความเพลิดเพลินแก่ชีวิตของคุณทีเดียวหรือ?
12 มีหนุ่มสาวหลายคนซึ่งพูดถึงการมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่กระนั้น ข้อเท็จจริงต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า เขากลัวจะดูแตกต่างไปจากคนอื่น. อย่างไรก็ดี มีตัวอย่างที่ดีในคัมภีร์ไบเบิลว่าด้วยผู้เยาว์ซึ่งไม่ได้ทำตามคนหมู่มาก. ขณะที่เขาเป็นหนุ่มสาวปกติ มีความสนใจ ความห่วงใยและความหวังเช่นเดียวกับพวกคุณ แต่คนเหล่านั้นได้อาศัยคำแนะนำอันฉลาดสุขุมของพระเจ้าเป็นเครื่องนำความคิดและการกระทำของเขา.
13 คุณจะอ่านตัวอย่างหนึ่งได้ที่พระธรรมดานิเอล 1:6-20; 3:1-30. ชายหนุ่มชาวฮีบรูสามคนซึ่งเป็นสหายของดานิเอลเต็มใจที่จะแตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ที่อยู่ล้อมรอบเขา. เมื่อมีคำสั่งให้พวกเขาก้มคำนับรูปปั้น อันเป็นสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าห้าม พวกเขาไม่ยอมทำตามคำสั่ง. คุณจะทำเช่นนั้นได้ไหม? คนอื่น ๆ ต้องการจะสังหารเขาด้วยซ้ำ เพราะการยืนหยัดของเขา. กระนั้น พวกเขาก็ได้ยึดมั่นอยู่กับหลักการ และคุณจะเห็นจากเรื่องราวนั้นว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยและได้คุ้มครองพวกเขา. ในที่สุด กษัตริย์แห่งบาบูโลนได้ยกย่องให้เกียรติเขา เป็นการยืนยันข้อความที่ซะโลโมได้จารึกไว้ที่ว่า “ความสวัสดิมงคลจะมีแก่เขาทั้งหลายที่ยำเกรงพระเจ้า.”—ท่านผู้ประกาศ 8:12; เอ็กโซโด 20:4, 5.
14 ชายหนุ่มเหล่านั้นได้รับความนับถือจากผู้อื่น แต่พวกเขาก็มีความนับถือตัวเองด้วย. เป็นจริงเช่นนั้นกับพยานหนุ่มสาวจำนวนมากของพระยะโฮวาในสมัยปัจจุบัน. เพื่อนนักเรียนได้กล่าวชมเชยพวกเขาที่มีความมั่นใจ และข้อเท็จจริงที่ว่า คริสเตียนเหล่านี้รู้ว่าตนกำลังมุ่งชีวิตไปทางไหน. คุณเห็นด้วยไหมว่า การได้รับความนับถือและการนับถือตัวเองทำให้ชีวิตมีความหมายยิ่งขึ้น?
ความสุขในครอบครัว
15 เช่นเดียวกัน คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลมีส่วนส่งเสริมให้ชีวิตน่าอภิรมย์มากขึ้นสำหรับคนหนุ่มสาว โดยที่เขามีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นภายในครอบครัว.
16 ไม่ต้องสงสัย คุณคงรู้จักหลายครอบครัวซึ่งมีช่องว่างระหว่างบิดามารดากับบุตร ไม่ว่าบุตรยังเล็กมากหรือเป็นเด็กในวัยรุ่นก็ตาม. ช่องว่างนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อบิดามารดาพยายามบงการบุตรซึ่งไม่ชอบคำสั่งว่าให้ทำอย่างนั้นหรืออย่าทำอย่างนี้.
17 คัมภีร์ไบเบิลช่วยแก้ปัญหานี้โดยให้คำแนะนำอย่างสุขุมแก่ทั้งสองฝ่ายคือ หนุ่มสาวและบิดามารดาดังนี้:
“ฝ่ายบุตรทั้งหลาย จงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนด้วยความปรองดองกันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าการนี้ชอบธรรม. ‘จงนับถือบิดามารดาของตน’ ซึ่งเป็นบัญญัติแรกพร้อมด้วยคำสัญญา: ‘ด้วยว่าสวัสดิภาพจะมีแก่เจ้าทั้งหลาย และเจ้าจะมีอายุยืนนานในแผ่นดินนั้น.’ และท่านทั้งหลายผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของท่านให้ขัดเคืองใจ แต่จงอบรมเขาด้วยการตีสอน และการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา.”—เอเฟโซ 6:1-4, ล.ม.
18 จริงอยู่ ไม่มีบิดามารดาคนใดจะสมบูรณ์พร้อม. กระนั้น ก็เป็น “การชอบธรรม” สำหรับบุตรวัยหนุ่มสาวพึงนับถือบิดามารดาของตน. เพราะเหตุใด? ประการหนึ่ง เพราะบิดามารดาได้กระทำมามากมายจริง ๆ เพื่อเรา—เช่น เลี้ยงดูเรา เอาใจใส่ดูแลเมื่อเราป่วย ทำงานเพื่อจัดเตรียมบ้านให้เราได้อยู่อาศัย ทั้งจัดหาสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ให้เรา. เราไม่อาจจะว่าจ้างใครทำงานสารพัดอย่างที่บิดามารดาทำให้เราด้วยความสนใจรักใคร่. ดังนั้น จึงเป็นการถูกต้องด้วยศีลธรรมที่เราควรนับถือบิดามารดา ดังที่เราเองคงอยากได้รับความนับถือจากบุตรซึ่งวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะมีก็ได้.
19 หนุ่มสาวผู้ซึ่งพยายามตั้งใจจริง ๆ ที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำแห่งคัมภีร์ไบเบิลนั้นจะมีความรู้สึกปลอดภัยมากกว่า. เขาจะมีส่วนส่งเสริมให้ครอบครัวใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เขามีชีวิตที่สงบสุขและสบายใจมากขึ้น. และเขาจะได้รับการป้องกันไว้จากปัญหาบางอย่างซึ่งบิดามารดาสามารถมองเห็นได้ล่วงหน้า เพราะเหตุที่ชีวิตของเขามีประสบการณ์มากกว่าบุตร. (สุภาษิต 30:17) อีกอย่างหนึ่งที่จะมองข้ามไม่ได้ก็คือ หนุ่มสาวจะอิ่มใจพอใจเมื่อรู้ว่า เขากำลังปฏิบัติให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้สร้าง.
20 การยอมรับคำแนะนำแห่งคัมภีร์ไบเบิลยังเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวในทางอื่นอีกด้วย. โดยการหยั่งรู้คุณค่าของการร่วมมือและการแสดงความนับถือต่อผู้มีอำนาจ พวกเขาจะสามารถร่วมงานได้อย่างราบรื่นกับทางโรงเรียน ในวันข้างหน้า ในความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างลูกจ้าง และเมื่อเขาติดต่อเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่. (มัดธาย 5:41) อีกประการหนึ่ง การจดจำคำแนะนำตามหลักคัมภีร์ไบเบิลย่อมนำมาซึ่งความผาสุกเบิกบานเมื่อเขามีคู่ครองและมีบุตรของเขาเอง.
บิดามารดามีบทบาทสำคัญ
21 เมื่อให้ความเอาใจใส่ต่อแนวทางซึ่งหนุ่มสาวจะได้ความสุขนั้น เราไม่อาจมองข้ามบทบาทสำคัญของบิดามารดา. บิดามารดาส่วนมากตระหนักถึงหน้าที่รับผิดชอบของตนในการพยายามจัดหาอาหารที่ให้คุณค่า เสื้อผ้าและบ้านที่น่าอยู่สำหรับบุตร. แต่เพื่อหนุ่มสาวจะได้เป็นคนดี เขาจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำสั่งสอน การแก้ไขและการชี้นำทางศีลธรรมจากบิดามารดา. คัมภีร์ไบเบิลได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้. (มัดธาย 11:19) พระบัญญัติ 6:6, 7 อธิบายว่า คำแนะนำสั่งสอนเช่นนั้นควรจัดให้เป็นส่วนประจำชีวิตครอบครัวทีเดียว มิใช่ว่านาน ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาทีหนึ่ง. นอกจากนั้น คำแนะนำสั่งสอนเช่นนี้สามารถและควร เริ่มต้นกับเด็กตั้งแต่อายุน้อย ๆ.—2 ติโมเธียว 3:15; มาระโก 10:13-16.
22 คงมีบิดามารดาไม่กี่คนที่มีลูกเล็ก ๆ จะรู้สึกแปลกใจเมื่ออ่านว่า “ความโฉดเขลาผูกพันอยู่ในจิตใจของเด็ก แต่ไม้เรียวอาจขับไล่ความโฉดเขลานั้นไปเสียได้.” (สุภาษิต 22:15) แต่ข้อนี้หมายความว่าอย่างไร? บิดามารดาบางคนทำรุนแรงถึงขนาดที่เขาทำร้ายร่างกายลูก ๆ ของเขาด้วยการตี. คนอื่น ๆ อ้างว่าควรปล่อยเด็กพัฒนาตัวเอง. ทั้งสองอย่างนี้ไม่ถูกต้อง.
23 เราอ่านในตอนต้น ๆ แล้วว่า บิดามารดาต้อง ‘อบรมบุตรของตนด้วยการตีสอนและการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า.’ (เอเฟโซ 6:4) การทำทารุณโหดร้ายมิใช่การตีสอนแบบคริสเตียน. (สุภาษิต 16:32; 25:28) อาจให้การตีสอนซึ่งแสดงถึงความรักด้วยคำพูดที่หนักแน่น. เป็นเช่นนั้นโดยเฉพาะถ้าบิดามารดาอธิบายให้เหตุผลว่าด้วยการวางกฎ และถ้าตนมั่นคงอยู่กับสิ่งที่ตนกล่าวอย่างเสมอต้นเสมอปลาย. เมื่อความโฉดเขลาที่อยู่ในหัวใจของหนุ่มสาวยังคงกระตุ้นเขาให้ขัดขืน—และมักจะเป็นเช่นนั้น—การลงโทษโดยวิธีใดวิธีหนึ่งจะตอกย้ำกฎนั้น. การตัดสิทธิพิเศษอาจได้ผล. อย่างไรก็ดีพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า บางรายการทำโทษทางกาย—การเฆี่ยนตี แต่ไม่ทำด้วยโทสะ—อาจจำเป็นเช่นกัน.—สุภาษิต 23:13, 14; 13:24.
24 ขณะที่เด็กมีอายุมากขึ้น การปฏิบัติต่อเขาย่อมจะเปลี่ยนไป. ขณะที่การเฆี่ยนตีอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดเมื่อนำมาใช้กับเด็ก แต่เมื่อเขาโตขึ้นวิธีอื่นอาจดีกว่าและเหมาะสมกว่า. ในทำนองเดียวกัน บิดามารดาก็ควรปล่อยให้บุตรของตนมีอิสระมากขึ้นทีละน้อย ในการทำกิจกรรมและความรับผิดชอบ.—1 โกรินโธ 13:11.
25 ความรักของคุณที่มีต่อบุตรนับว่าเป็นสิ่งสำคัญเพื่อจะช่วยแก้ปัญหาของเขา. เจตนาของการตีสอนก็ควรกระทำไปเพราะความรัก และเด็กจะรับเอาการแก้ไขง่ายขึ้นเมื่อทำด้วยความรัก. การไม่ให้คำชี้แนะและการตีสอนสำหรับลูกของเราก็เป็นเหมือนว่าตนได้ปฏิเสธว่าเป็นบิดามารดาของเขา. เรื่องนี้มีอธิบายไว้ในเฮ็บราย 12:5-11 ซึ่งชี้แจงว่าพระยะโฮวาเองทรงตีสอนเนื่องด้วยความรัก.
26 ความรักต่อพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญด้วย. ความรักดังกล่าวจะกระตุ้นบิดามารดาให้เกลียดสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงตำหนิ เช่น การโกหก ความละโมบ การลักขโมย การรักร่วมเพศและการผิดประเวณี. (1 โกรินโธ 6:9, 10; บทเพลงสรรเสริญ 97:10) บิดามารดาผู้ซึ่งแสดงความรักต่อพระเจ้าเช่นนั้นจะเป็นตัวอย่างอันเหมาะสมที่เด็กจะประพฤติตามซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ. ควบคู่กับการวางตัวอย่าง บิดามารดาควรปลูกฝังความเกลียดชังอย่างเดียวกันต่อสิ่งที่ชั่ว เช่นเดียวกับปลูกฝังความรักต่อพระเจ้าและต่อสิ่งที่ดีนั้นเข้าไว้ในตัวเด็ก.
27 เนื่องจากเด็กมีความรู้สึกว่าครอบครัวคือโลกของตน บิดามารดาจึงควรพยายามสร้างครอบครัวให้มั่นคง. เคยกล่าวกันว่า สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งซึ่งบิดาสามารถจะทำเพื่อบุตรได้คือ แสดงความรักต่อมารดาของเด็กนั่นเอง. เมื่อชีวิตครอบครัวตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักและสติปัญญาแบบคริสเตียน หนุ่มสาวก็จะยืนอยู่ได้บนรากฐานที่มั่นคง. พวกเขาจะมีมาตรฐานอันถูกต้อง ทั้งจะได้รับการส่งเสริมให้รำลึกถึงพระเจ้าผู้สร้างตัวเขาตั้งแต่วัยเด็กเลยทีเดียว.—ท่านผู้ประกาศ 12:1, 13, 14.
[เชิงอรรถ]
a ทัศนะของพระคัมภีร์เรื่องดนตรี, การนัดพบ, เสื้อผ้า, กีฬา, โรงเรียน และเรื่องอื่น ๆ ที่หนุ่มสาวสนใจ ได้มีพิจารณาในหนังสือ การได้ประโยชน์มากที่สุดจากวัยหนุ่มสาว จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็คท์.
[คำถามศึกษา]
เหตุใดความสุขเป็นสิ่งท้าทายสำหรับเยาวชน? (1-4)
เหตุใดคุณควรคำนึงถึงพระเจ้า? (5-8)
เหตุใดจึงเป็นสิ่งปกติสำหรับคุณที่จะคำนึงถึงพระประสงค์ของพระเจ้า? (บทเพลงสรรเสริญ 128:1, 2) (9, 10)
หากการดำเนินชีวิตโดยคำนึงถึงพระเจ้าทำให้คุณต่างไปจากคนอื่น ๆ นั่นเป็นสิ่งไม่ดีไหม? (11-14)
คุณมีเหตุผลอะไรที่จะปฏิบัติตามหลักการในพระคัมภีร์ภายในครอบครัว? (15-20)
บิดามารดาสามารถช่วยบุตรให้ติดตามแนวทางที่ฉลาดสุขุมได้อย่างไร? (21)
บิดามารดาควรอบรมตีสอนแบบไหน? (22-24)
ความรักในครอบครัวจะมีผลอย่างไรต่อปัญหาต่าง ๆ ของหนุ่มสาว? (25-27)
[กรอบหน้า 95]
การเสาะหาจุดมุ่งหมายในชีวิต
แผนกหนึ่งของสำนักนายกรัฐมนตรีแห่งญี่ปุ่นได้ทำการสำรวจในหลายประเทศถึงทัศนะของเยาวชนเกี่ยวด้วยจุดมุ่งหมายของชีวิตและอนาคต. ผลการสำรวจ ศาสตราจารย์ ซันชิโร ชิรากาชิได้สรุปว่า “หนุ่มสาวของโลกมีทัศนะในแง่ร้าย” เกี่ยวกับอนาคตซึ่งส่งผลกระทบความประพฤติและแง่คิดทั่วไปของเขาในเรื่องชีวิต. แต่นั่นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้.
นักศึกษาที่ชื่อลินดาเล่าว่า “จากการศึกษาในวิทยาลัย ดิฉันมองเห็นว่า รูปแบบชีวิตอย่างที่ดิฉันได้เติบโตขึ้นมานั้นสูญสิ้นไป. สภาพการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกเลวลง และดิฉันไม่มีคำตอบและไม่รู้ว่าจะได้คำตอบจากที่ไหน.”
ระหว่างที่เธอกลับไปพักผ่อนที่บ้านในแคลิฟอร์เนีย พยานพระยะโฮวาสองคนได้มาที่บ้านของเธอ. เธอเล่าว่า “พยานฯบอกดิฉันว่าจะพบคำตอบได้ในคัมภีร์ไบเบิล. เราถกกันถึงเรื่องแผ่นดินโลกที่จะกลายเป็นอุทยานซึ่งพระเจ้าจะตั้งขึ้นภายใต้ระบบใหม่ของพระองค์และคำทรงสัญญาของพระองค์ที่จะกำจัดคนชั่ว. ดิฉันไม่เคยเรียนรู้มาก่อนว่าจะมีความจริงอันน่าพิศวงเช่นนั้นอยู่ในพระคัมภีร์.”
หลังจากลินดากลับไปยังแอริโซนาแล้ว เธอก็ได้ติดต่อกับประชาคมแห่งคณะพยานพระยะโฮวาที่นั่นและตอบรับการเสนอเพื่อจะได้ศึกษาพระคัมภีร์ทุกสัปดาห์โดยไม่ต้องจ่ายค่าเรียน. ด้วยการทำเช่นนั้น เธอจึงได้เรียนรู้มาตรฐานต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้เธอมั่นคงในชีวิต. นอกจากนี้ เธอมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ทุกวันนี้ชีวิตของเธอมีความสุขมากขึ้นและเป็นชีวิตที่มีความหมายจริง ๆ.
[รูปภาพหน้า 98]
ใครเฝ้าเอาใจใส่เธอเมื่อเธอป่วย?
[รูปภาพหน้า 100]
การศึกษาพระวจนะของพระเจ้าช่วยเด็ก ๆ ได้รับความสุข