บท 12
ความตายมิใช่ศัตรูที่ปราบไม่ได้
ความตายเป็นศัตรูของชีวิต. งานศพแต่ละครั้งแสดงว่าความตายเป็นประหนึ่งเจ้าผู้มีอำนาจซึ่งชนะทุกสิ่ง. (โรม 5:14) ต้นไม้บางชนิดยืนต้นอยู่นานกว่า 1,000 ปี มีปลาบางชนิดอยู่ได้ 150 ปี แต่ช่วงชีวิตของมนุษย์มีแค่ 70 หรือ 80 ปี แล้วความตายก็กลืนเขาเสีย.—บทเพลงสรรเสริญ 90:10.
2 ด้วยเหตุผลที่ดี พระคัมภีร์พูดถึงความตายในเชิงที่ว่ามันเป็นศัตรู. ถึงแม้เราดูเหมือนว่ามีความปรารถนาตั้งแต่กำเนิดที่จะมีชีวิตอยู่และค้นคว้าหาความรู้อย่างไม่จบสิ้นก็ตาม ไม่ว่าความรู้ใด ๆ ที่มนุษย์ได้ร่ำเรียน ไม่ว่าเขามีความชำนาญด้านไหน ไม่ว่าญาติมิตรจะคำนึงถึงเขาด้วยความนิยมชมชอบเพียงไรก็ตาม ความตายก็ยังมีอำนาจเหนือเขา. (ท่านผู้ประกาศ 3:11; 7:2) คนส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าความตายเป็นศัตรู จึงพยายามสุดกำลังเพื่อหน่วงเหนี่ยวมิให้ความตายมีชัยชนะ. คนอื่น ๆ แสวงหาความสนุกเพลิดเพลินทุกอย่างให้กับชีวิตเท่าที่หาได้ก่อนความตายจะมีชัยแก่เขา.
3 อย่างไรก็ดี ตลอดเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ ผู้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าชีวิตดำรงอยู่ภายหลังมรณกรรม. พลาโต นักปราชญ์ชาวกรีกสอนว่า คนเรามีจิตวิญญาณอมตะที่ยังอยู่ต่อไปเมื่อร่างกายตายแล้ว. จริงหรือ? ได้มีการกระตุ้นความสนใจในเรื่องนี้โดยเรื่องราวของบุคคลที่เล่าขานกันเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเชื่อว่าตายแล้ว แต่ได้ฟื้นขึ้นมาอีกแล้วได้เล่าถึงสิ่งที่เขา ‘ได้เห็นภายหลังการตายของเขา.’ คนตายมีชีวิตอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งไหม? จะปราบความตายได้ไหม?
ชัยชนะครั้งแรกของความตาย
4 ดังที่แจ้งในพระคัมภีร์ว่า มนุษย์ถูกสร้างเพื่อดำรงชีวิต มิได้ถูกสร้างให้ตาย. พระเจ้าได้จัดให้อาดามกับฮาวาอยู่ในสวนที่งามน่าดู เป็นที่ซึ่งเขาจะได้ชื่นชมกับชีวิต. พระองค์ทรงระบุต้นไม้ต้นหนึ่งให้เป็น “ต้นไม้แห่งชีวิต.” คงเป็นทำนองที่ว่า ถ้าอาดามกับฮาวาได้พิสูจน์ความหยั่งรู้ค่า และความจงรักภักดีต่อพระเจ้า พระองค์คงอนุญาตให้เขากินผลจากต้นนั้น ซึ่งแสดงนัยว่าพระองค์ได้โปรดเขาให้มีชีวิตนิรันดร์. (เยเนซิศ 1:30; 2:7-9) อย่างไรก็ดี อาดามกับฮาวาเลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า. เนื่องด้วยบาปที่เขากระทำลงไป เขาจึงได้รับโทษให้ตาย.—เยเนซิศ 3:17-19.
5 เพื่อเราจะเข้าใจว่าความตายเป็นศัตรูที่ปราบไม่ได้จริงหรือไม่นั้น เราจำต้องตรวจสอบดูผลแห่งชัยชนะของความตายเหนืออาดามกับฮาวา. คนทั้งสอง “ตาย” จริง ๆ ไหม? หรือว่า “การตาย” นั้นเป็นแต่เพียงการย้ายจากชีวิตแบบหนึ่งไปสู่ชีวิตอีกแบบหนึ่งไหม?
6 หลังจากอาดามได้ทำบาปด้วยความโง่เขลา พระยะโฮวาได้รักษาไว้ซึ่งคำตรัสอันถูกต้องเป็นธรรมของพระองค์. พระองค์ตรัสแก่อาดามว่า:
“เจ้าจะหากินด้วยเหงื่อไหลโซมหน้ากว่าเจ้าจะกลับเป็นดิน เพราะเจ้าบังเกิดมาแต่ดิน. เจ้าเป็นแต่ผงคลีดิน และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินอีก.”—เยเนซิศ 3:19.
ข้อนี้หมายความเช่นไรสำหรับอาดามและสำหรับพวกเราในทุกวันนี้?
7 เรื่องการสร้างอาดามซึ่งกล่าวก่อนหน้านั้นว่าดังนี้: “พระยะโฮวาเจ้าทรงสร้างมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมแห่งชีวิตเข้าทางจมูกให้มีชีวิตหายใจเข้าออก มนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่.” (เยเนซิศ 2:7) จงคิดดูซิว่าข้อความตอนนี้หมายถึงอะไร. ก่อนพระเจ้าได้สร้างเขาจากธุลีดิน ตอนนั้นไม่มีอาดาม. ดังนั้น หลังจากเขาตายไปและกลับเป็นผงคลีดิน จึงไม่มีอาดาม.—เยเนซิศ 5:3-5.
คนตายมีสติรู้สึกตัวไหม?
8 หลายคนอาจแปลกใจในความคิดที่ว่า ครั้นอาดามตายไปแล้วเขาไม่มีชีวิตอีกต่อไป. กระนั้น โทษสำหรับบาปดังที่แจ้งไว้คือ—อาดามจะตายและกลับเป็นดินนั้น—ไม่ได้บอกใบ้เลยว่าชีวิตจะคงอยู่ต่อไป. ความตายเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับชีวิต ไม่ว่าชีวิตมนุษย์หรือชีวิตสัตว์เดียรัจฉาน. มนุษย์และสัตว์ต่างก็มี “วิญญาณ” หรือพลังชีวิตอย่างเดียวกัน. ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์อธิบายว่า:
“เพราะเมื่อมีอะไรตกแก่บุตรมนุษย์ทั้งหลายก็ตกแก่สัตว์เดียรัจฉานด้วย; แม้มีเหตุอะไรสักอย่างหนึ่งตกแก่สัตว์เดียรัจฉาน เช่นความตายตกแก่มนุษย์ ความตายก็ตกแก่สัตว์; เออ ทั้งผองก็มีลมหายใจอย่างเดียวกันและมนุษย์ไม่มีอะไรดียิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน . . . ทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นมาจากผงคลีดิน และทั้งสองฝ่ายก็กลับเป็นผงคลีดินอีก.”—ท่านผู้ประกาศ 3:19, 20.
9 นั้นจะหมายความว่า คนตายไม่มีความคิดหรือความรู้สึกเช่นนั้นไหม? ท่านผู้ประกาศ 9:4, 5 ให้คำตอบดังนี้: “สุนัขที่เป็นอยู่มันก็ยังดีกว่าสิงโตที่ตายแล้ว. เพราะว่าคนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองคงจะตาย แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย.” เมื่อคนเราตาย “ความคิดของเขาก็ศูนย์หายไป” เขาไม่สามารถจะรู้สึกอะไรหรือจะทำงานก็ไม่ได้.—บทเพลงสรรเสริญ 146:3, 4; 31:17.
10 เนื่องจากพระคัมภีร์ให้คำรับรองว่าคนตายไม่มีสติและไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น จึงหมายความว่าความตายยุติความเจ็บปวดและความทุกข์. โยบผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าตระหนักในเรื่องนี้. ขณะที่ท่านทนทุกข์ด้วยโรคภัยอันเจ็บปวด ท่านได้กล่าวว่า:
“ไฉนหนอข้าฯจึงมิตายเสียเมื่ออยู่ในครรภ์? . . . ไฉนหนอข้าฯจึงได้มีตักคอยรับข้าฯไว้หรือไฉนหนอได้มีหัวนมไว้สำหรับข้าฯดูด? ถ้าหาไม่แล้ว ข้าฯก็คงได้นอนไปอย่างสบายเงียบ; ข้าฯคงจะได้นอนหลับไป; ข้าฯก็คงจะได้ถึงที่หยุดพักสบาย.”—โยบ 3:11-13.
11 แต่ข้อนี้คำนึงถึงเรื่องจิตวิญญาณไหม?
12 พูดตรง ๆ พระคัมภีร์สอนว่า จิตวิญญาณของคุณก็คือตัวคุณ. ตามที่เราได้อ่านในเยเนซิศ 2:7 แสดงว่าเป็นเช่นนั้น. จงระลึกข้อที่ว่า พระเจ้าได้สร้างร่างกายของมนุษย์จากผงธุลี. แล้วพระเจ้าทรงให้เขามีชีวิตและให้มีลมหายใจเพื่อธำรงชีวิต. ผลเป็นอย่างไร? ตามคำตรัสของพระเจ้าเอง มนุษย์ “เกิดเป็นจิตวิญญาณ [ฮีบรู, เนเฟ็ช] มีชีวิตอยู่.” (เยเนซิศ 2:7) อาดามมิได้รับ จิตวิญญาณหรือเขาได้มามี จิตวิญญาณก็หาไม่. เขาเป็นจิตวิญญาณ. เกี่ยวกับการสอนเรื่องนี้ พระคัมภีร์คงความเสมอต้นเสมอปลายโดยตลอด. หลายศตวรรษต่อมา อัครสาวกเปาโลได้อ้างถึงเยเนซิศ 2:7 โดยเขียนว่า “อาดามมนุษย์คนแรกเป็นจิตวิญญาณ [กรีก, พซีเค] มีชีวิตอยู่.”—1 โกรินโธ 15:45, ล.ม.
13 คำภาษาฮีบรูเนเฟ็ช และคำภาษากรีกพซีเค ที่ปรากฏในข้อคัมภีร์เหล่านี้ได้รับการแปลหลายทาง. ในยะเอศเคล 18:4 และมัดธาย 10:28 คุณจะพบว่า คัมภีร์ฉบับแปลหลายฉบับ ได้แปลคำนั้นเป็น “จิตวิญญาณ.” ในที่อื่น ๆ ได้แปลคำเดียวกันนี้ว่า “สัตว์ทั้งปวงที่มีชีวิต” “สัตว์” หรือ “คน.” การแปลคำเดิมอย่างนี้ถูกต้อง และการเปรียบเทียบคำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า จิตวิญญาณคือสัตว์โลกหรือตัวบุคคลนั่นเอง หาใช่บางส่วนของคนเราซึ่งไม่อาจเห็นกับตาได้. พระคัมภีร์ใช้คำภาษาเดิมคำเดียวกันนั้นกับสัตว์ก็แสดงว่าสัตว์เป็นจิตวิญญาณ หรือมีชีวิตในฐานะเป็นจิตวิญญาณ.—เยเนซิศ 2:19; เลวีติโก 11:46; วิวรณ์ 8:9.
14 ในฐานะเป็นจิตวิญญาณ อาดามหรือพวกเราคนใด ๆ ก็ตามย่อมกินอาหาร รู้สึกหิวและเหน็ดเหนื่อยได้. ในภาษาฮีบรูเดิมนั้น พระคัมภีร์กล่าวว่าจิตวิญญาณทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้. (พระบัญญัติ 23:24; สุภาษิต 19:15; 25:25) เมื่อให้บัญญัติข้อห้ามการทำงานสำหรับชาวยิศราเอลในบางวัน พระเจ้าทรงชี้ถึงจุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับจิตวิญญาณ โดยตรัสว่า “และในวันเดียวกันนี้ ถ้าผู้ใด [จิตวิญญาณ, ภาษาฮีบรู] ทำงานใด ๆ เราจะทำลายผู้นั้น [จิตวิญญาณ, ภาษาฮีบรู] เสียจากท่ามกลางชนชาติของเขา.” (เลวีติโก 23:30, ฉบับแปลใหม่) ดังนั้น คัมภีร์ข้อนี้และข้ออื่น ๆ จึงแสดงให้เห็นว่าจิตวิญญาณตายได้.—ยะเอศเคล 18:4, 20; บทเพลงสรรเสริญ 33:19.
15 การทราบสัจธรรมต่าง ๆ ในพระคัมภีร์เช่นนั้นสามารถจะช่วยเราประเมินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนที่สมมุติกันว่าเขาตายแล้ว (ตรวจแล้วไม่ปรากฏการเต้นของหัวใจ หรือการทำงานของสมอง) แต่ได้ฟื้นขึ้นมาและหลังจากนั้นก็เล่าถึงการล่องลอยอยู่รอบเรือนร่างของตัวเอง. สาเหตุอันเป็นไปได้อย่างหนึ่งคือ เขาอาจมีอาการเพ้อเนื่องจากฤทธิ์ยาหรือเนื่องจากสมองขาดออกซิเจน. ไม่ว่าคำอธิบายอย่างนี้จะครบถ้วนหรือไม่ก็ตาม แต่เรารู้แน่ว่าไม่มีจิตวิญญาณที่ไม่เห็นประจักษ์ได้ละเรือนร่างไป.
16 นอกจากนี้ ถ้าคนตายไม่มีสติรู้สึกตัว และไม่มี “จิตวิญญาณ” ลอยออกไปจากร่างกาย ดังนั้น ก็จะไม่มีไฟนรกคอยรับจิตวิญญาณของคนชั่ว ใช่ไหม? กระนั้น หลายศาสนาสอนว่า หลังจากคนชั่วตายแล้วเขาจะถูกทรมาน. เมื่อเขาได้มารู้ความจริงเกี่ยวกับคนตาย บางคนรู้สึกไม่สบายใจอย่างชอบด้วยเหตุผล จึงถามว่า ‘ทำไมศาสนาของเราไม่ได้บอกความจริงเรื่องคนตายแก่เรา?’ คุณเองมีปฏิกิริยาอย่างไร?—เทียบยิระมะยา 7:31.
อนาคตสำหรับคนตายได้แก่อะไร?
17 ถ้าคนซึ่งมีชีวิตเป็นอยู่มีอนาคตอย่างเดียวเท่านั้นคือตายและไม่มีสติรู้สึกตัวอะไรทั้งสิ้น ดังนั้น ความตายคงจะเป็นศัตรูที่ไม่อาจจะปราบได้. แต่พระคัมภีร์แสดงว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่.
18 อนาคตที่ใกล้ตัวคนเราหลังจากตายคือการอยู่ในหลุมฝังศพ. ภาษาซึ่งใช้เขียนพระคัมภีร์นั้นมีคำเฉพาะสำหรับสถานที่ที่คนตายไปอยู่ คือหลุมฝังศพทั่วไปสำหรับมนุษยชาติ. ในภาษาฮีบรูเรียกว่าเชโอล. ในภาษากรีกเรียกว่าฮาเดส. มีการแปลคำเหล่านี้ในพระคัมภีร์ฉบับแปลบางฉบับด้วยถ้อยคำต่าง ๆ เช่น “หลุมฝังศพ” “เมืองผี” หรือ “นรก.” ไม่ว่าคำนี้จะถูกแปลเป็นอะไรก็ตาม แต่คำเหล่านั้นในภาษาเดิมไม่ได้หมายถึงที่ทรมานด้วยไฟ แต่หมายถึงหลุมฝังศพคนตายที่ไม่มีสติรู้สึกตัว. เราอ่านว่า:
“เมื่อมือไม้ของเจ้าจับการอันใดทำ จงกระทำการอันนั้นด้วยกำลังวังชาของเจ้าเถิด เพราะว่าไม่มีการงาน หรือโครงการ หรือความรู้หรือสติปัญญาในเมืองผี [เชโอล, ภาษาฮีบรู; แดนคนตาย, ฉบับแปลใหม่; นรก, ดูเอย์ เวอร์ชั่น; หลุมฝังศพ, ออธอไรสต์ เวอร์ชั่น] ที่เจ้าจะไปนั้น.”—ท่านผู้ประกาศ 9:10.
อัครสาวกเปโตรให้คำรับรองแก่เราว่า แม้แต่พระเยซู เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วก็ไปหลุมฝังศพ เชโอล, ฮาเดส, หรือนรก.—กิจการ 2:31; เปรียบเทียบบทเพลงสรรเสริญ 16:10.
19 แน่นอน คนตายไม่มีอำนาจเปลี่ยนสถานะของตัวเอง. (โยบ 14:21) ดังนั้น อนาคตทั้งสิ้นคือการไม่รู้สึกตัวในความตายแค่นี้ละหรือ? สำหรับบางคนเป็นอย่างนั้นจริง. พระคัมภีร์สอนว่าคนที่พระเจ้าปฏิเสธไม่ยอมรับโดยสิ้นเชิงจะตายตลอดไป.—2 เธซะโลนิเก 1:6-9.
20 คนยิวสมัยโบราณเชื่อว่าคนชั่วช้าที่สุดเมื่อตายแล้วไม่มีอนาคต. ชาวยิวจะไม่ฝังศพคนชั่วประเภทนี้. แต่พวกเขาจะโยนศพทิ้งในหุบเขานอกกรุงยะรูซาเลม ซึ่งที่นั่นมีไฟไหม้อยู่เพื่อกำจัดขยะ. นี้เป็นหุบเขาฮินนอมหรือเกเฮนนา. โดยการชี้ถึงกิจปฏิบัติเช่นนี้ พระเยซูทรงใช้เกเฮนนาเล็งถึงความพินาศโดยสิ้นเชิง ไม่มีความหวังใด ๆ ในอนาคต. (มัดธาย 5:29, 30) ยกตัวอย่าง พระองค์ได้ตรัสว่า:
“อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ [หรือความหวังจะมีชีวิตฐานะเป็นจิตวิญญาณ] แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ [พระเจ้า] ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรก [เกเฮนนา, ภาษากรีก] ได้.”—มัดธาย 10:28, ฉบับแปลใหม่.
อย่างไรก็ดี คำตรัสของพระเยซูให้เหตุผลแก่เราที่จะมีความหวังว่าหลายคนซึ่งตายไปแล้วจะมีชีวิตอีกในอนาคต เขาจึงจะเอาชนะความตายได้.
ชัยชนะโดยการกลับเป็นขึ้นมาจากตาย
21 หนึ่งในบรรดากิจกรรมสำคัญที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ ได้แก่การที่พระเจ้าได้ทรงปลุกพระเยซูคริสต์ขึ้นมาอีกหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ไปหลายวัน. พระเยซูจึงได้กลายเป็นวิญญาณตนหนึ่งที่มีชีวิตอย่างที่พระองค์เคยดำรงสภาพเช่นนั้นก่อนเข้ามาในโลก. (1 โกรินโธ 15:42-45; 1 เปโตร 3:18) มีหลายร้อยคนได้เห็นพระเยซูปรากฏตัวภายหลังการฟื้นคืนพระชนม์. (กิจการ 2:22-24; 1 โกรินโธ 15:3-8) พยานเหล่านี้ที่รู้เห็นเต็มใจเสี่ยงชีวิตด้วยการสนับสนุนความเชื่อที่เขามีต่อการคืนพระชนม์ของพระเยซู. การคืนพระชนม์ของพระเยซูเป็นข้อพิสูจน์ว่า ความตายมิใช่ศัตรูที่จะปราบไม่ได้. การได้ชัยชนะความตายเป็นไปได้!—1 โกรินโธ 15:54-57.
22 ชัยชนะแก่ความตายต่อ ๆ ไปก็เป็นไปได้ด้วยเช่นกัน. ผู้คนสามารถกลับเป็นขึ้นมาใหม่มีชีวิตอย่างมนุษย์อยู่บนแผ่นดินโลก. พระยะโฮวาผู้ซึ่งตรัสมุสาไม่ได้ทรงให้คำรับรองแก่เราดังมีกล่าวในพระวจนะของพระองค์ว่า “คนทั้งปวงทั้งคนชอบธรรม [คนที่รู้จักและปฏิบัติตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า] และคนที่ไม่ชอบธรรม [คนประพฤติการอธรรม] จะเป็นขึ้นมาจากความตาย.”—กิจการ 24:15.
23 เรามั่นใจได้ในพระปรีชาสามารถของพระเจ้าที่จะปลุกคนตายให้ฟื้นขึ้นมา. มนุษย์สามารถบันทึกภาพ บันทึกเสียงตลอดท่าทางต่าง ๆ อันเป็นนิสัยของแต่ละคนลงบนฟิล์มหรือเทปบันทึกภาพ. พระเจ้าจะทรงกระทำมากกว่านั้นไม่ได้หรือ? ความทรงจำของพระองค์มีมากเหลือเฟือยิ่งกว่าที่บรรจุลงในฟิล์มหรือเทปใด ๆ ดังนั้นพระองค์ย่อมสามารถสร้างคนเหล่านั้นที่พระองค์ต้องการปลุกให้กลับเป็นขึ้นมาจากตายได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบทีเดียว. (บทเพลงสรรเสริญ 147:4) พระองค์ทรงกระทำให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้ว. ในคัมภีร์ไบเบิลมีเรื่องราวที่กล่าวถึงพระเจ้าได้ทรงใช้พระบุตรของพระองค์ทำการปลุกมนุษย์ให้คืนชีพได้หลายราย. คุณจะอ่านสองเรื่องที่น่าตื่นเต้นได้จากโยฮัน 11:5-44 และลูกา 7:11-17. ด้วยเหตุผลที่ดี ผู้นมัสการพระเจ้าในอดีตต่างก็คอยท่ารอเวลาที่พระองค์จะทรงรำลึกถึงเขาและปลุกเขาให้กลับเป็นขึ้นมาจากตาย. ตอนนั้นก็จะเหมือนกับการปลุกให้ตื่นจากการนอนหลับสนิท.—โยบ 14:13-15.
24 การกลับเป็นขึ้นมาจากตายในอดีต คงได้ยังความปลื้มปีติล้นเหลือแก่ญาติมิตร. แต่การปลุกขึ้นมาจากตายครั้งกระโน้นเป็นเพียงชัยชนะแก่ความตายชั่วคราว เพราะคนที่ถูกปลุกให้ฟื้นเหล่านั้นในที่สุดก็ตายอีก. กระนั้นก็ดี เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นภาพที่น่าตื่นเต้นบอกให้เรารู้ล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะมีมา เพราะพระคัมภีร์ชี้ถึงสมัยที่จะมี “การเป็นขึ้นจากตายที่ดีกว่า.” (เฮ็บราย 11:35) การเป็นขึ้นจากตายคราวนั้นจะดีกว่ามาก เพราะคนที่จะถูกปลุกให้มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกจะไม่ต้องตายอีก. นั่นจะหมายถึงการมีชัยชนะความตายครั้งยิ่งใหญ่.—โยฮัน 11:25, 26.
25 สิ่งที่พระคัมภีร์พูดถึงเรื่องที่พระเจ้าสามารถปราบความตายได้เช่นนั้นเป็นการแสดงชัดเจนถึงความใฝ่พระทัยอันเปี่ยมด้วยความรักที่พระองค์มีต่อมนุษย์. เรื่องนี้น่าจะช่วยเราให้เข้าใจบุคลิกของพระยะโฮวาและโน้มนำเราเข้ามาใกล้ชิดกับพระองค์มากยิ่งขึ้น. อนึ่ง ความจริงเหล่านี้ช่วยเราเป็นคนสมดุล เนื่องจากเราได้รับการป้องกันมิให้หวาดกลัวความตายจนเกินเหตุ ซึ่งได้ครอบงำคนเป็นอันมาก. เราสามารถมีความหวังที่ยังความสุขได้ด้วยการจะได้พบญาติพี่น้องและคนที่เรารักซึ่งล่วงลับไปอีก ในคราวที่ความตายได้ถูกปราบจนพ่ายแพ้โดยการกลับเป็นขึ้นมาจากตาย.—1 เธซะโลนิเก 4:13; ลูกา 23:43.
[คำถามศึกษา]
ทำไมเราจึงควรพิจารณาเรื่องความตายซึ่งเป็น “ศัตรู”? (โยบ 14:1, 2) (1-3)
ความตายเกิดแก่มนุษยชาติโดยวิธีใด? (4, 5)
สำหรับอาดามแล้ว “ความตาย” หมายถึงอะไร? (6, 7)
คุณจะยกคัมภีร์ข้อไหนเพื่อชี้ให้เห็นว่าคนตายยังมีสติรู้สึกตัวหรือไม่? (8-11)
“จิตวิญญาณ” ตามที่กล่าวในพระคัมภีร์หมายถึงอะไร? (12, 13)
จิตวิญญาณตายได้ไหม และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอะไร? (14-16)
เกิดอะไรขึ้นเมื่อคนเราตายแล้ว? (17-20)
การชนะความตายเป็นไปได้โดยวิธีใด? (21, 22)
เพราะเหตุใดอนาคตจะเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ? (23-25)
[กรอบหน้า 127]
‘เป็นเรื่องน่าสังเกตว่าในพระคริสตธรรมใหม่ ไฟนรกไม่เป็นส่วนหนึ่งของการเทศน์ในสมัยแรก. มีข้อบ่งชี้บางประการในพระคริสตธรรมใหม่ที่ระบุว่า บั้นปลายของผู้ที่ปฏิเสธการช่วยให้รอดโดยพระเจ้านั้นอาจเป็นการทำลายให้สูญไป แทนที่จะเป็นการลงโทษตลอดกาล.’—“พจนานุกรมเกี่ยวกับศาสนศาสตร์คริสเตียน” รวบรวมโดยแอลัน ริชาร์ดสัน.
[รูปภาพหน้า 124]
ธุลี
อาดาม
ธุลี
[รูปภาพหน้า 129]
การปลุกลาซะโรเป็นขึ้นจากตายแสดงว่าความตายจะถูกปราบได้