บท 13
การติดต่อกับแดนวิญญาณ
“แรงกระตุ้นที่จะติดต่อฝังรากลึก.” หนังสือเครื่องจักร เริ่มบทหนึ่งเรื่องวิทยุด้วยคำกล่าวเช่นนั้น. โดยทางวิทยุ เราสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้คนรอบลูกโลก หรือแม้กระทั่งได้ยินเสียงนักบินอวกาศจากนอกโลก.
2 เดี๋ยวนี้ การติดต่อสื่อสารทางวิทยุเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้ว. แต่การติดต่อสื่อสารที่สำคัญกว่าคือกับแดนวิญญาณหลายคนกลับมองข้ามหรือไม่ก็เข้าใจผิด.
การพูดกับพระผู้สร้าง
3 หลายศตวรรษก่อนการประดิษฐ์วิทยุขึ้นมา กษัตริย์ดาวิดเขียนว่า:
“ข้าแต่พระยะโฮวา ขอทรงเอียงพระโสตสดับฟังคำทูลของข้าพเจ้า . . . ข้าแต่พระบรมมหากษัตริย์และพระเจ้าของข้าพเจ้า ขอทรงสดับฟังเสียงร้องของข้าพเจ้า ด้วยข้าพเจ้าอธิษฐานทูลพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 5:1, 2.
ดูเหมือนว่ามีเหตุผลมิใช่หรือที่ว่าบุคคลที่มีเชาวน์ปัญญาล้ำเลิศแห่งเอกภพสามารถ “สดับฟัง” คำทูลอธิษฐานของเรา หากพระองค์ทรงปรารถนาจะทำเช่นนั้น? และไม่สมควรหรอกหรือที่เราพึงแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า ผู้ซึ่งสามารถจัดเครื่องนำทางที่ดีที่สุดให้แก่เรา?—บทเพลงสรรเสริญ 65:2.
4 เครื่องส่งและเครื่องรับเป็นสิ่งจำเป็นในการติดต่อสื่อสารทางวิทยุ. แต่เราต้องมีอะไรเพื่อจะติดต่อกับพระยะโฮวาด้วยคำอธิษฐาน? ข้อเรียกร้องประการแรกคือความเชื่อ. “ผู้ที่เข้าเฝ้าพระเจ้าต้องเชื่อว่า พระองค์ทรงมีชีวิตและเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่ผู้ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง.” (เฮ็บราย 11:6, ล.ม.) นอกจากนี้ คนเราต้องปรับตัวเข้ากับมาตรฐานและแนวทางแห่งศีลธรรมซึ่งพระเจ้ากำหนดไว้. หาไม่แล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงฟังเขาเหมือนบุคคลผู้มีศีลธรรมคงจะไม่รับฟังรายการวิทยุที่เขาเห็นว่าน่ารังเกียจทางด้านศีลธรรม.—1 โยฮัน 3:22; ยะซายา 1:15.
5 พระยะโฮวามิได้วางรูปแบบตายตัวสำหรับการอธิษฐานอย่างที่พระองค์จะทรงรับรองเอาได้. ไม่ว่าคุณจะอธิษฐานออกเสียงหรือรำพึงในใจ พระองค์สามารถ “ได้ยิน” เสมอ. คุณอาจจะอธิษฐานเมื่อยืนอยู่ นั่ง คุกเข่าหรือนอนบนเตียง. (1 ซามูเอล 1:12, 13; 1 กษัตริย์ 8:54) คำพูดที่สรรเป็นพิเศษหรือภาษาแบบพร่ำสวดนั้นไม่จำเป็น. สิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือความจริงใจและใจถ่อม. จงสังเกตวิธีที่พระเยซูได้ยกอุทาหรณ์ในเรื่องนี้ที่ลูกา 18:10-14.
6 พวกเราแต่ละคนสามารถเข้าเฝ้าพระยะโฮวาด้วยการอธิษฐานได้ทุกเวลา. อย่างไรก็ดี พระองค์ก็ทรงยินดีสดับการร่วมใจกันอธิษฐาน เช่น การอธิษฐานโดยประชาคมคริสเตียน. โดยการได้ฟังคำอธิษฐาน ณ การประชุมประจำประชาคม บางคนผู้ซึ่งไม่เคยอธิษฐานมาก่อน จึงได้เรียนรู้วิธีการติดต่อสื่อสารอันสำคัญยิ่งนี้. กลุ่มครอบครัวสามารถจะอธิษฐานร่วมกันได้และสมควรทำอย่างนั้นด้วย. โอกาสที่เหมาะก็คือตอนรับประทานอาหาร เป็นการปฏิบัติตามตัวอย่างของพระเยซูที่ได้ทรงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับอาหารที่พระเจ้าโปรดเจือจุน.—มาระโก 8:6.
7 คุณอาจรู้จักบางคนที่ได้อธิษฐาน แต่กลับโอดครวญว่าตนไม่ได้รับคำตอบ. ทำไม? พระคริสต์ได้ตรัสแก่สาวกของพระองค์ว่า: “ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะทรงประทานสิ่งนั้นแก่ท่านในนามของเรา.” พระเยซูคริสต์เป็นทางนั้น ทางที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีใครอื่น. ปัญหาอาจเนื่องมาจากการไม่หยั่งรู้ค่าข้อนี้ไหม? (โยฮัน 16:23; 14:6) อนึ่ง “สิ่งใด” ตามที่พระเยซูทรงกล่าวจะหมายถึงอะไร? อัครสาวกโยฮันชี้แจงว่า “สิ่งใด” นั้น ก็ได้แก่ ‘สิ่งที่ประสานกับพระประสงค์ของพระยะโฮวา.’ เราคงไม่คาดหมายว่าพระเจ้าองค์ชอบธรรมจะตอบรับคำอธิษฐานที่ส่อถึงเจตนาชั่ว ไม่ถูกต้องด้วยศีลธรรม หรือเห็นแก่ได้. (1 โยฮัน 5:14) แต่มีคนจำนวนไม่น้อย อธิษฐานขอให้ตนร่ำรวยทันตาเห็น หรือขอมีอำนาจเหนือคนอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่พระเจ้าไม่ทรงตอบคำอธิษฐานดังกล่าว. การทูลขอสิ่งจำเป็นสำหรับตัวเองอย่างมีเหตุผลจึงควรกล่าวในอันดับท้าย ๆ หลังจากได้ขอให้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จบนแผ่นดินโลก.—มัดธาย 6:9-11.
8 การอธิษฐานเปิดโอกาสให้เราได้สนทนากับพระเจ้าประหนึ่งพูดกับบิดาผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยความรัก เป็นโอกาสที่เราจะแสดงถึงความชื่นชมยินดี ความทุกข์ยากลำบากและความจำเป็นต่าง ๆ ของเรา. หากท่านยังไม่ได้อธิษฐานเป็นประจำ ก็อย่าได้ผัดวันประกันพรุ่ง. การมีสัมพันธภาพที่น่าวางใจได้กับพระเจ้าและสามารถติดต่อสื่อสารกับพระองค์ไม่ว่าเวลาใดย่อมทำให้คุณมีใจสงบและเป็นสุข. คุณสามารถปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งให้หมดไป โดยที่คุณมั่นใจได้ว่าพระองค์ใฝ่พระทัยในตัวคุณ.—บทเพลงสรรเสริญ 86:1-6; ฟิลิปปอย 4:6, 7.
การตอบสนองจากแดนวิญญาณ
9 เรื่องหนึ่งที่สำคัญในคำอธิษฐานของเรา น่าจะเป็นความจำเป็นของเราที่จะได้รับสติปัญญาและการทรงนำจากพระเจ้า. (บทเพลงสรรเสริญ 27:11; 119:34-36; ยาโกโบ 1:5) พระเจ้าจะทรงตอบโดยวิธีใด? ในสมัยโบราณ บางครั้งพระองค์ทรงให้ข่าวสารด้วยวาจา โดยตรัสผ่านทูตสวรรค์หรือผู้พยากรณ์ที่เป็นมนุษย์. แต่อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า บัดนี้พระเจ้า “ได้ตรัสแก่เราโดยทางพระบุตร” ซึ่งคำสอนและรูปแบบการดำเนินชีวิตของพระองค์มีแจ้งอยู่ในพระคัมภีร์. (เฮ็บราย 1:1, 2; 2:1-3; โยฮัน 20:31) ดังนั้น แทนที่จะคาดหมายให้พระเจ้าตรัสกับเราเป็นส่วนตัว เราควรแสวงหาความช่วยเหลือโดยทางที่พระองค์ทรงเลือกใช้ คือคัมภีร์ไบเบิล. เมื่อคำนึงถึงเรื่องนี้ เราควรเสริมการอธิษฐานเพื่อรับการทรงนำโดยที่เราหมั่นศึกษาพระวจนะของพระองค์อย่างขยันขันแข็ง. (สุภาษิต 2:1-5) ความช่วยเหลือเพิ่มเติมจะหาได้จากคริสเตียนผู้เลื่อมใสซึ่งย่อมประชุมศึกษาและพิจารณาพระคัมภีร์กันเป็นประจำ.—2 ติโมเธียว 2:1, 2.
10 อนึ่ง เพื่อตอบคำอธิษฐานของเรา พระเจ้าจะทรงช่วยเราเป็นส่วนตัวได้โดยทางพระวิญญาณของพระองค์. ด้วยพระวิญญาณนี้เอง พระองค์ทรงสนับสนุนคริสเตียนให้เข้าใจพระวจนะของพระองค์และนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์. (โยฮัน 16:7-13) ดาวิดได้ทูลอธิษฐานว่า “ขอทรงโปรดฝึกสอนข้าพเจ้าให้ประพฤติตามพระทัยของพระองค์ . . . พระวิญญาณของพระองค์ดีเลิศล้น ขอทรงนำข้าพเจ้าไปยังเมืองแห่งความสัตย์ธรรม.”—บทเพลงสรรเสริญ 143:10.
มีบุคคลชั่วร้ายในแดนวิญญาณไหม?
11 พระคัมภีร์ไม่เพียงแต่ทำให้เรามั่นใจว่า พระยะโฮวา พระบุตรของพระองค์และเหล่าทูตสวรรค์มีชีวิตในแดนวิญญาณ และเราอาจติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้โดยการอธิษฐาน. น่าเชื่อถือได้เช่นกัน พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่า มีกายวิญญาณที่ประกอบด้วยเชาวน์ไหวพริบซึ่งตอนนี้ชั่วช้ามาก คือซาตานและบรรดาภูตผีปีศาจของมัน.
12 บางคนคิดว่า “พญามาร” เป็นเพียงเรื่องที่ค้างอยู่จากความเชื่อโชคลางหรือเทพนิยายเก่าแก่. คนอื่นนอกนั้นคิดว่า เมื่อพระคัมภีร์กล่าวถึง “ซาตาน” ก็เป็นแค่คำพูดที่พาดพิงถึงรูปแบบความชั่ว.
13 อย่างไรก็ดี มัดธาย 4:1-11 บอกเราถึงคราวเมื่อซาตานทดลองพระเยซูสามครั้ง. แน่นอน ซาตานที่กล่าวถึง ณ ที่นี้มิได้หมายถึงรูปแบบแห่งความชั่วภายในตัวพระเยซู เพราะพระบุตรของพระเจ้าปราศจากซึ่งความชั่วและบาป. (เฮ็บราย 7:26; 1:8, 9) โดยแท้แล้ว ซาตานมีตัวตนจริง ๆ. เรื่องราวในโยบ 1:6-12 สนับสนุนข้อนี้ด้วยซึ่งกล่าวถึงเรื่องที่ซาตานได้ปรากฏตัวจำเพาะพระพักตร์พระยะโฮวา.
14 แต่ซาตานมีที่มาอย่างไร? เราทราบว่าพระยะโฮวาเป็นพระผู้สร้างสิ่งสารพัดและ “กิจการของพระองค์ดีรอบคอบ.” (พระบัญญัติ 32:4; วิวรณ์ 4:11) เนื่องจากเหตุนี้ จึงมีเหตุผลมิใช่หรือที่ว่าครั้งหนึ่งซาตานคงต้องเป็นกายวิญญาณที่เคยสัตย์ซื่อซึ่งพระยะโฮวาได้สร้างขึ้นพร้อมกับทูตสวรรค์องค์อื่น ๆ? เช่นนั้นแล้ว ซาตานเสื่อมทรามไปได้อย่างไร? ยาโกโบ 1:14, 15 (ล.ม.) ให้ร่องรอยแก่เราดังนี้:
“แต่ว่าทุกคนถูกทดลองโดยที่ความปรารถนาของตัวเองชักนำ และล่อใจเขา. ครั้นความปรารถนาเพาะตัวขึ้นแล้ว ความปรารถนานั้นก่อให้เกิดความบาป.”
15 จากสิ่งที่ได้อุบัติขึ้นท่ามกลางมนุษย์ เราทราบว่าแม้แต่คนในตำแหน่งที่เชื่อถือวางใจได้ อาจมองเห็นวิธีที่ตนสามารถบิดเบือนสถานการณ์เพื่อจะได้อำนาจมากขึ้น. ปรากฏว่าเรื่องเช่นนี้ได้เกิดขึ้นกับทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า. เนื่องจากสถานะอันเป็นอิสระทางศีลธรรม กายวิญญาณตนนี้ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาจึงได้เลือกเอาแนวทางชั่ว บางทีอาจจะเชื่อว่าตนก็ทำตัวเสมอพระเจ้าได้ พร้อมกับมีมนุษย์ติดตามเขาไป. สิ่งที่ได้เกิดขึ้นก็คงจะเทียบได้กับประสบการณ์ของกษัตริย์เมืองตุโร ดังกล่าวไว้ในยะเอศเคล 28:1-19. กษัตริย์องค์นี้อยู่ในตำแหน่งที่น่าพอใจเกี่ยวข้องกับชาติยิศราเอลสมัยโบราณ แต่เขากลับเย่อหยิ่งยโสซึ่งนำไปสู่ความหายนะ. ทำนองเดียวกัน ความยโสได้นำไปสู่ความหายนะของทูตสวรรค์ที่ได้ทำตัวเป็นซาตาน ผู้ต่อต้านพระเจ้า.
16 ความเข้าใจถึงความเป็นอยู่ของซาตานช่วยเข้าใจเหตุการณ์ในสวนเอเดน ซึ่งมีผลทำให้เราเป็นคนไม่สมบูรณ์ เป็นคนบาป ประสบกับความเจ็บป่วยและความตาย. เนื่องด้วยซาตานฉลาดมีไหวพริบยิ่งกว่ามนุษย์ มันได้ใช้งูเป็นสื่อกล่าวคำเท็จหลอกฮาวาอย่างร้ายกาจ. (เยเนซิศ 3:1-5) เพราะเหตุนั้น วิวรณ์ 12:9 ให้ฉายาซาตานว่า “งูเฒ่า.” และพระเยซูได้ตรัสว่าผู้นี้มิได้ “ตั้งมั่นอยู่ในความจริง” แต่ได้กลายมาเป็น “พ่อของการมุสา” และเป็น “ผู้ฆ่าคน.”—โยฮัน 8:44.
17 ซาตานไม่ได้เป็นกายวิญญาณเพียงลำพังที่ได้กบฏ. ประวัติในเยเนซิศ 6:1-3 เผยให้เห็นว่าในสมัยโนฮา ทูตสวรรค์บางองค์—อาจได้รับการกระตุ้นจากการกบฏของซาตาน—ได้แปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อที่จะมีความเพลิดเพลินทางเพศกับพวกผู้หญิง. การทำเช่นนี้ผิดธรรมชาติและเสื่อมเสีย. (ยูดา 6, 7) เมื่อพระเจ้าได้บันดาลให้เกิดน้ำท่วมโลกกวาดล้างความชั่วบนแผ่นดินโลก พวกทูตสวรรค์ที่ไม่เชื่อฟังได้กลับคืนสู่แดนวิญญาณ แต่บัดนี้อยู่ฝ่ายซาตานในฐานะเป็นผีปีศาจ. (2 เปโตร 2:4, 5) เทพนิยายกรีกหรือโรมันที่ขึ้นชื่อซึ่งพูดถึงบรรดาเทพเจ้าที่ไปมาระหว่างสวรรค์กับแผ่นดินโลกคงจะเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงเรื่องทูตสวรรค์ที่ไม่เชื่อฟังดังมีรายงานบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์.
อิทธิพลชั่วจากแดนวิญญาณ
18 พวกวิญญาณชั่วไม่สนใจสวัสดิภาพของเรา แต่มุ่งมั่นจะหลอกลวงและชักนำมนุษย์ให้หลงผิด ให้เขาหันเหไปจากพระเจ้า. อัครสาวกเปาโลได้เรียกซาตานว่า “พระเจ้าแห่งระบบนี้” ผู้ซึ่ง “ได้ทำให้จิตใจของคนที่ไม่เชื่อให้มืดไป” เพื่อว่าเขาจะไม่เรียนรู้ “ข่าวดี” เกี่ยวด้วยพระคริสต์. (2 โกรินโธ 4:4, ล.ม.) ซาตานประสบความสำเร็จมากในเรื่องนี้.
19 อุบายอย่างหนึ่งที่มันใช้คือ การสนับสนุนให้มีความคิดเห็นว่าไม่มีพญามารหรือซาตาน. มันเป็นเหมือนอาชญากรที่แพร่ข่าวที่ว่า แหล่งรวมการประกอบอาชญากรรมไม่มี ด้วยเหตุนี้ ทำให้หลายคนหลงเชื่อว่าจะปลอดภัยจากผู้ร้าย. อุบายอีกอย่างหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นด้วยการกระทำการอันร้ายกาจน่ากลัว ซึ่งคนบ้าคลั่งศาสนาเคยกระทำเช่น สงคราม ศาสนา ศาลศาสนา การอวยชัยให้พรในการทำสงคราม. สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้หลายคนที่มีสติพากันเลิกนับถือพระยะโฮวาพระเจ้า โดยที่พวกเขาเข้าใจผิดไปว่าคริสต์จักรก็คือตัวแทนของพระองค์.
20 โปรดจำไว้ด้วยว่า อัครสาวกเปาโลบอกว่า ซาตานเป็น “พระเจ้าแห่งระบบนี้.” บางคนเย้ยหยันความคิดที่ว่าซาตานชักใยอยู่เบื้องหลังประเทศชาติต่าง ๆ. แต่เมื่อซาตานได้เสนอให้อำนาจพระเยซูปกครองชาติเหล่านั้น พระเยซูมิได้ปฏิเสธเรื่องที่พญามารมีอำนาจครอบงำเหนือจักรภพทางการเมือง. (ลูกา 4:5-8) และก็ดูเหมือนว่า ทุกวันนี้ก็ยังมีพลังชั่วร้ายแฝงอยู่เบื้องหลังกิจการทางการเมืองของโลกมิใช่หรือ? โดยคำนึงถึงเรื่องนี้ จงอ่านจากวิวรณ์ 12:9, 12 ซึ่งกล่าวถึงความพยายามของซาตาน.
หลีกเลี่ยงการติดต่อกับวิญญาณชั่ว
21 พวกนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นคว้าสิ่งซึ่งเป็นที่รู้กันว่ากำลังสัมผัสเหนือชั้น. ทั้งนี้นับรวมไปถึงปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ เช่น การที่คนหนึ่งล่วงรู้ความคิดของผู้อื่น การพรรณนาถึงเหตุการณ์หรือวัตถุซึ่งไม่เคยเห็น หรือไม่ได้รู้มาก่อน และใช้ ‘อำนาจจิตควบคุมวัตถุ’ เพื่อบังคับสิ่งต่าง ๆ เช่นการทอดลูกเต๋า. ผู้ที่ค้นคว้าเรื่องจิตใจเคยพยายามปัดเรื่องความเป็นไปได้ของการเล่นเล่ห์เหลี่ยม กระนั้น พวกเขาก็ไม่อาจจะอธิบายได้เรื่องความสามารถเหนือมนุษย์ธรรมดา. สิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวจะเป็นคำอธิบายได้ไหม?
22 ซาตานกับพวกภูตผีปีศาจอาจกระทบกระเทือนมนุษย์และการงานของเขาได้โดยตรง. ตัวอย่างเช่น เด็กสาวคนหนึ่งที่อาศัยในเมืองฟิลิปปอยโบราณ ประเทศกรีซสามารถทำนายได้. โดยวิธีใด? บันทึกทางประวัติศาสตร์แจ้งว่า “ผีสิง” ได้ควบคุมคำกล่าวของหญิงสาวคนนั้น. อัครสาวกเปาโลได้ขับผีออกซึ่งช่วยเธอหลุดจากอำนาจปีศาจนั้น.—กิจการ 16:16-18.
23 เพราะพวกผีปีศาจมีจริงและมีอำนาจ พระวจนะของพระเจ้าจึงให้คำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมัน. พระคัมภีร์คัดค้านการใช้เวทมนตร์ (เช่น มนต์ดำ หรือวูดู) การปรึกษาคนทรงผี หรือพยายามติดต่อคนตาย. (พระบัญญัติ 18:10-12; เลวีติโก 20:6, 27; ฆะลาเตีย 5:19-21) คำเตือนเหล่านั้นยังคงใช้ได้ทันกาล. คุณอาจได้สังเกตเห็นความสนใจอย่างกว้างขวางต่อปรากฏการณ์ประหลาดเกี่ยวกับผีสางและคาถาอาคม. ภาพยนตร์และนวนิยายหลายเรื่องต่างก็เน้นเรื่อง ‘ผี’ หรือเรื่องคนพยายามขับผีหรือกำจัดผี. การใช้กระดานผีหรือการพึ่งโหราศาสตร์เป็นเครื่องนำทางเป็นเรื่องธรรมดา.
24 การติดต่อสื่อสารกับวิญญาณชั่วเป็นอันตราย. มีรายงานแสดงว่าถ้ายามใดผีปีศาจมีอำนาจครอบงำคนเราได้แล้ว มันสามารถทำอันตรายผู้นั้นได้—ไม่ว่าด้านร่างกาย ด้านจิตใจและด้านอารมณ์. (เปรียบเทียบมัดธาย 8:28-33.) ผีเหล่านั้นเคยรังควานผู้คน ส่งเสียงอึกทึกตอนกลางคืน ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ไปมา ลูบไล้อวัยวะเพศ และทำให้เจ็บไข้ไม่สบาย. “เสียงพูด” ของผีปีศาจถึงกับทำให้คนเสียสติ ฆ่าผู้อื่นหรือฆ่าตัวเอง.
25 จริงอยู่ เหตุการณ์ “แปลก ๆ” บางอย่างอาจเนื่องมาจากปัญหาด้านสรีระ เช่น สารเคมีในร่างกายไม่สมดุล ซึ่งอาจกระทบกระเทือนจิตใจและประสาทได้. แต่คงจะเป็นความโง่เขลาถ้าจะปฏิเสธการมีอยู่จริงของซาตานและพวกผีปีศาจ. อย่ามองข้ามความสำคัญแห่งคำเตือนในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพวกผีปีศาจ.
26 หากคนเราถูกรังควานจากพวกผีปีศาจ มีทางใดไหมที่จะพ้นจากมัน? สมัยนี้พระเจ้าไม่ใช้คนใดคนหนึ่งบำบัดรักษาคนป่วย ขับผีหรือปลุกคนตาย ดังที่พระองค์เคยทรงใช้พวกอัครสาวก. แต่พระองค์จะทรงช่วยเราหลุดจาก “อำนาจของซาตาน.” (กิจการ 26:18; เอเฟโซ 6:12) เป็นสิ่งจำเป็นที่จะหมายพึ่งพระยะโฮวาด้วยการอธิษฐาน ออกพระนามของพระองค์ และแสวงหาการช่วยเหลือจากพระองค์โดยใจจริง. (สุภาษิต 18:10) อนึ่ง คนเราต้องต่อต้านการชักนำของผีปีศาจอย่างที่พระเยซูได้กระทำ เลิกกิจปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับลัทธิภูตผีปีศาจและเลิกการคบหาสมาคมที่ไม่จำเป็นกับคนเหล่านั้นที่ฝักใฝ่ลัทธิปีศาจ.—มัดธาย 4:1-11; 2 โกรินโธ 6:14-17.
27 นอกจากนี้ รายงานยังได้แจ้งว่า พวกผีปีศาจมักจะติดต่อมนุษย์โดยอาศัยวัตถุเป็นสื่อ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะกำจัดวัตถุหรือของต่าง ๆ ซึ่งแต่ก่อนถูกนำไปใช้กับลัทธิภูตผีปีศาจ (เช่น เครื่องราง ลูกแก้ว และอื่น ๆ). พระคัมภีร์บอกเราว่า คนที่เคยปฏิบัติด้านศิลปเวทมนตร์ในเมืองเอเฟโซโบราณได้ทำเช่นนั้น.—กิจการ 19:18-20.
28 กระนั้น ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกวิญญาณชั่วอยู่ร่ำไป. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระคัมภีร์สนับสนุนพวกเราให้สวมยุทธภัณฑ์ฝ่ายวิญญาณ โดยกล่าวดังนี้:
“เหตุฉะนั้น จงตั้งมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า. และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย. จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า. จงอธิษฐาน . . . ขอด้วยพระวิญญาณทุกเวลา.”—เอเฟโซ 6:14-18, ฉบับแปลใหม่.
ดังได้ชี้แจงที่นี่ในพระวจนะของพระเจ้า การป้องกันอย่างดีเยี่ยมเพื่อจะไม่มีการติดต่อสื่อสารกับวิญญาณชั่วก็คือการติดต่อเป็นประจำกับพระยะโฮวาโดยการอธิษฐาน. มีคำกล่าวอย่างเหมาะสมในพระคัมภีร์ว่า “เหตุฉะนั้น จงยอมตัวอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า แต่จงต่อต้านพญามาร และมันจะหนีไปจากท่าน.”—ยาโกโบ 4:7.
[คำถามศึกษา]
เหตุใดเราควรสนใจการติดต่อกับพระผู้สร้าง? (1-3)
อะไรเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการอธิษฐานจะเป็นที่ยอมรับ? (1 เปโตร 3:12) (4, 5)
เราสามารถเรียนอะไรจากพระคัมภีร์ว่าด้วยลักษณะแห่งคำอธิษฐานของเรา? (6-8)
เราอาจได้รับการติดต่อจากพระเจ้าโดยวิธีใด? (9, 10)
เราทราบได้อย่างไรว่าซาตานมีจริง? และต้นกำเนิดของมันมาจากที่ไหน? (11-15)
การที่เรารู้เรื่องซาตานและภูตทั้งหลายช่วยเราอย่างไร? (16, 17)
พวกวิญญาณชั่วได้กระทบกระเทือนมนุษย์ในทางใด? (2 โกรินโธ 11:13-15) (18-20)
กิจปฏิบัติอะไรบ้างอาจทำให้คนเราเข้าไปพัวพันกับพวกวิญญาณชั่วได้? (21-23)
คุณสามารถป้องกันตัวเองไว้ได้อย่างไรจากการติดต่อกับแดนวิญญาณซึ่งเป็นอันตราย? (24-28)
[รูปภาพหน้า 133]
เราสามารถติดต่อ กับพระเจ้าได้ทุกวัน โดยการอธิษฐาน