บท 15
“อวสานของโลก” มาใกล้แล้วหรือ?
หนังสือพิมพ์สตาร์ ของโตรอนโตตั้งคำถาม “ท่านพร้อมสำหรับอวสานของโลกไหม?” คำถามดังกล่าวคงจะทำให้บางคนคิดถึงรายงานข่าวต่าง ๆ เช่น:
“ซิดนีย์ ออสเตรเลีย—ไกลออกไปในป่าของทวีปออสเตรเลีย กลุ่มคนประมาณ 100 คนซึ่งเคยอยู่ในเมืองใหญ่ได้ละทิ้งบ้านช่องและความหรูหราฟุ่มเฟือยในชีวิตปัจจุบันและกำลังเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็น ‘อวสานของโลก’ ที่คืบใกล้เข้ามามากแล้ว.”
2 กระนั้น เวลานี้หลายคนพากันวิตกว่า “อวสาน” คงเป็นผลของสงครามนิวเคลียร์ มลภาวะหรือสิ่งอื่นที่เป็นอันตรายจริง ๆ เช่น:
“ไอแซ็ค อาซิมอฟ นักเขียนบทความวิทยาศาสตร์ ได้บันทึกเหตุต่าง ๆ ที่อาจทำให้ชีวิตสูญสิ้นจากโลกได้ไว้มากกว่า 20 ประการนับตั้งแต่ดวงอาทิตย์ดับถึงการกันดารอาหาร.”—โตรอนโตสตาร์.
3 อย่างไรก็ดี เรามีเหตุผลสำคัญที่หนักแน่นกว่าในเรื่องการเป็นห่วง โดยถือเอาพระวจนะของพระเจ้าที่เชื่อถือได้เป็นหลัก. หลายคนเคยอ่านเรื่อง “เวลาที่จะสิ้นโลกนี้” ในคัมภีร์ไบเบิล. (มัดธาย 13:39, 40; 24:3) เมื่อเรารู้ว่า อะไรก็ตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้จะเกิดขึ้น เราก็คงอยากจะเข้าใจว่าพระคัมภีร์พูดไว้อย่างไรในเรื่องนี้และเรื่องนี้จะกระทบกระเทือนชีวิตของเราอย่างไรทั้งในเวลานี้และในอนาคต.
อวสาน—ของสิ่งใดและเมื่อไร?
4 พระคัมภีร์ให้คำรับรองกับเราว่า พระเจ้าจะกำจัดบุคคลที่ส่งเสริมให้เกิดการชั่วร้ายและความทุกข์ทรมาน. (บทเพลงสรรเสริญ 37:28; 145:20) พระเยซูคริสต์และอัครสาวกเปโตรได้เปรียบเทียบการสำเร็จโทษซึ่งจวนจะเกิดขึ้นนั้นกับการทำลายมนุษย์ซึ่งพระเจ้าทรงคัดเลือก ในสมัยโนฮา. แผ่นดินโลกจริง ๆ ไม่ได้ถูกทำลาย. แต่คนชั่วถูกทำโทษถึงตายด้วยน้ำท่วมโลก. พระเจ้าทรงคุ้มครองโนฮาและครอบครัวของท่าน. คนเหล่านั้นประกอบกันเป็นสังคมมนุษย์ที่ชอบธรรมบนลูกโลกที่ถูกชำระจนสะอาด. หลังจากกล่าวถึงเรื่องนี้ เปโตรได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้บอกล่วงหน้าถึง “วันแห่งการพิพากษาและวันพินาศแห่งบรรดาคนที่ดูหมิ่นพระเจ้า.” หลังจากนั้นจะมี “ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” ซึ่ง “ความชอบธรรมจะดำรงอยู่ที่นั่น.”—2 เปโตร 3:5-7, 13, ล.ม.; ท่านผู้ประกาศ 1:4; ยะซายา 45:18.
5 เป็นธรรมดาที่เราต้องการทราบว่า อวสานที่หมายถึงการทำลายล้างระบบแห่งสิ่งต่าง ๆ สมัยปัจจุบันจะมาถึงเมื่อไร. พระเยซูตรัสว่า พระบิดาแต่ผู้เดียวทรงทราบ “วันนั้นและโมงนั้น.” (มัดธาย 24:36) แต่คำตรัสของพระองค์ทำให้เรามืดมนไม่รู้อะไรเลยเช่นนั้นไหม? เปล่าเลย เพราะว่าด้วยพระกรุณาพระเจ้าได้จัดเตรียมความรู้ไว้ในพระวจนะของพระองค์ เพื่อผู้นมัสการพระองค์จะรู้ได้ เมื่อเวลากำหนดนั้นใกล้จะถึง.—เปรียบเทียบอาโมศ 3:7.
6 พระคัมภีร์ให้เหตุผลแก่เราเพื่อจะมั่นใจในพระปรีชาสามารถของพระเจ้าในการบอกล่วงหน้าถึงลำดับเหตุการณ์ในอนาคต. ตัวอย่างเช่น ในดานิเอล 9:24-27 พระองค์ได้บันทึกคำพยากรณ์ซึ่งระบุเวลาการเสด็จมาของมาซีฮาหรือพระคริสต์. นายแพทย์ลูกาแห่งศตวรรษแรกได้บรรยายว่าปีสากลศักราช 29 คนยิวที่รู้เรื่องคำพยากรณ์ของดานิเอล ต่างก็ตั้งหน้าคอยพระมาซีฮา. (ลูกา 3:1, 2, 15) อับบา ฮิลเล็ล ซิลเวอร์ คนยิวผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นตรงกัน โดยเขียนว่า: “มีการคาดหมายมาซีฮาจะปรากฏตัวในช่วงทศวรรษที่สามถึงที่ห้าของศตวรรษแรก.” พระเยซูได้รับบัพติสมาและได้เป็นพระคริสต์ปีสากลศักราช 29 ปีนั้นทีเดียวที่มีระบุไว้ในคำพยากรณ์ของดานิเอล.
7 คำพยากรณ์เรื่องเดียวกันในพระธรรมดานิเอลได้บอกไว้ล่วงหน้าว่า หลังจากการตายของมาซีฮา ‘กรุงนั้นและสถานบริสุทธิ์จะถูกทำลาย.’ ถูกแล้ว พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าว่ากรุงยะรูซาเลมและวิหารบริสุทธิ์จะถูกทำลาย เป็นการสิ้นสุดแห่งระบบของพวกยิวสมัยนั้น.—ดานิเอล 9:26.
8 ไม่นานก่อนพระเยซูสิ้นพระชนม์ในปีสากลศักราช 33 พระองค์ทรงชี้แจงเรื่องนี้อย่างละเอียดว่า พระเจ้าปล่อยให้กรุงยะรูซาเลมและพระวิหารในกรุงนั้นต้องเริศร้างไป. นอกจากนี้ พระองค์ตรัสว่า พระองค์จะเสด็จจากไปแล้วจะกลับมาอีก. (มัดธาย 23:37–24:2) แต่เหล่าสาวกทูลถามพระองค์ว่า:
“ขอโปรดบอกข้าพเจ้าทั้งหลายเถอะว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และจะมีอะไรเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับของพระองค์และช่วงอวสานของระบบนี้ [หรือ ‘อวสานของโลก’]?”—มัดธาย 24:3, ล.ม.
9 คำตอบของพระองค์คงมีความสำคัญต่อความเป็นความตายของคริสเตียนในศตวรรษแรก. เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราเช่นกัน เพราะว่าคำตอบของพระเยซูให้ความหมายไปไกลกว่าที่พวกอัครสาวกได้ทูลถามหรือสามารถเข้าใจได้ ดังที่เราจะพิจารณาต่อไป.—โยฮัน 16:4, 12, 13.
10 พระเยซูทรงอ้างถึงคำพยากรณ์ของดานิเอล. (มัดธาย 24:15) คำพยากรณ์ตอนนั้นไม่ได้เจาะจงปีที่กรุงยะรูซาเลมจะเริศร้างว่างเปล่า และพระเยซูเองก็เช่นกัน. แต่พระองค์ทรงพรรณนาสภาพการณ์ที่จะประกอบเป็น “สัญลักษณ์” แสดงว่าระบบของชาติยิวตกอยู่ในสมัยสุดท้าย. คุณจะอ่านคำตรัสของพระองค์ได้ในมัดธาย 24:4-21 และลูกา 21:10-24. พระองค์ตรัสพยากรณ์ว่าจะมีมาซีฮา (พระคริสต์) ปลอม สงคราม การขาดแคลนอาหาร แผ่นดินไหว โรคระบาด การข่มเหงชนคริสเตียน และการประกาศจะเป็นไปอย่างกว้างขวาง. ประวัติศาสตร์ให้หลักฐานว่า เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวในชั่วอายุของคนที่รอดเหลืออยู่ จนกระทั่งกองทัพโรมันยกมาทำลายกรุงยะรูซาเลมเมื่อปีสากลศักราช 70.
พระคริสต์ปลอม: โยซีฟุส นักประวัติศาสตร์ศตวรรษแรกเอ่ยชื่อสามบุคคลที่อ้างตัวเป็นมาซีฮา
สงคราม: การทำสงครามของพวกพาร์เชียนทางเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ การกบฏในกอลและสเปน การจลาจลของพวกยิวในบางส่วนของจักรภพ การลุกฮือของชาวซีเรียและซะมาเรียต่อต้านพวกยิว
การกันดารอาหาร: มีการอดอยากในโรม กรีซและแคว้นยูดาย กรณีหนึ่งก็มีรายงานแจ้งในพระธรรมกิจการ 11:28
แผ่นดินไหว: มีแผ่นดินไหวที่เกาะเกรเต, เมืองซะมุรนา, เฮียราโปลิส, โกโลซาย, คีโอส, มิเลโต, ซามอส, โรม, และยูดาย
คริสเตียนได้รับการกดขี่ข่มเหง: แต่พวกเขาได้ทำการประกาศอย่างกว้างขวาง: ดูบันทึกในกิจการ 8:1, 14; 9:1, 2; 24:5; 28:22
11 เนื่องจากคริสเตียนวางใจในคำพยากรณ์ของพระเยซู พวกเขาจึงสามารถลงมือปฏิบัติการที่รักษาชีวิตไว้ได้. พระคริสต์ทรงเตือนว่า ‘เมื่อท่านเห็นกองทัพมาตั้งค่ายล้อมกรุงยะรูซาเลม จงหนีไป.’ (ลูกา 21:20-24) ดังที่บอกไว้ล่วงหน้า ทหารโรมันภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลแกลลุส ได้ล้อมกรุงยะรูซาเลมในเดือนตุลาคมปีสากลศักราช 66. ทีนี้คริสเตียนหนีออกไปได้อย่างไร? โดยไม่นึกฝัน เหล่าทหารได้ถอยทัพ. พวกคริสเตียนจึงได้ปฏิบัติตามคำเตือนของพระเยซูและหนีออกไปจากกรุง. ในปีสากลศักราช 70 ทหารโรมันภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพไททุสได้กลับมาอีก. พวกเขาได้ทำให้กรุงนั้นเริศร้างว่างเปล่า และได้สังหารชาวยิวมากกว่าหนึ่งล้านคน. หากคุณไปเยือนกรุงโรม คุณจะเห็นอนุสาวรีย์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เป็นภาพสลักบนซุ้มประตูชัยไททุส.
12 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายแห่งระบบของพวกยิวเป็นข้อพิสูจน์ถึงความน่าเชื่อถือของ “สัญลักษณ์” ซึ่งพระเยซูได้ให้ไว้. เรื่องนี้สำคัญสำหรับพวกเรา เพราะคำพยากรณ์ของพระเยซูว่าด้วย “อวสานแห่งระบบของสิ่งต่าง ๆ” นั้นมีความสำคัญมากขึ้นในทุกวันนี้.
คำพยากรณ์ของพระเยซูสำเร็จเป็นจริงอีกครั้ง
13 สิ่งที่พระเยซูตรัสพยากรณ์เกี่ยวกับพระคริสต์ปลอม สงคราม การกันดารอาหาร และแผ่นดินไหวและการข่มเหงพวกคริสเตียนได้สำเร็จสมจริงก่อนปีสากลศักราช 70. อย่างไรก็ดี พระองค์ได้ทรงทำนายเพิ่มอีกหลายเรื่องซึ่งเห็นได้ชัดแล้วว่าจะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา. พระองค์ได้ตรัสว่า “ทุกตระกูลแห่งแผ่นดินโลก” จำใจต้องยอมรับการเสด็จประทับของพระองค์ในสวรรค์ที่รุ่งโรจน์ด้วยสง่าราศี. (มัดธาย 24:30) นอกจากนี้ พระองค์ทรงบอกล่วงหน้าว่าจะมีการแยกประชาชนเหมือนแยก “แกะออกจากแพะ” และผู้ที่เปรียบเสมือนแกะจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร. (มัดธาย 25:32, 46) สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นในปีสากลศักราช 70 หรือก่อนปีนั้น.
14 หลังจากยะรูซาเลมได้ล่มจมแล้วกว่า 25 ปี พระเจ้าทรงดลใจอัครสาวกโยฮันให้บันทึกเหตุการณ์ในอนาคต ลงไว้ในพระธรรมวิวรณ์. ในบทหกของพระธรรมนี้โยฮันเห็นล่วงหน้าถึง “คนขี่ม้า” ซึ่งจะนำภัยพิบัติต่าง ๆ มาสู่แผ่นดินโลก. เมื่อคุณอ่านวิวรณ์ 6:3-8 คุณจะเห็นได้ว่าโยฮันบอกไว้ล่วงหน้าว่าจะมี (1) การสู้รบ (2) การขาดแคลนอาหาร และ (3) โรคระบาดที่คร่าชีวิต. สิ่งเหล่านี้เป็นบางสิ่งที่พระเยซูได้ทรงทำนายไว้ใน “สัญลักษณ์”. ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีข้อพิสูจน์เพิ่มมากขึ้นว่า สิ่งที่พระเยซูตรัสล่วงหน้าต้องสำเร็จสมจริงเป็นครั้งที่สองในขอบเขตยิ่งใหญ่กว่า. ศาสตราจารย์ เอ. ที. โรเบิร์ตสันกล่าวในเรื่องนี้ว่า:
“นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับจุดมุ่งหมายของเราที่จะคิดว่าพระเยซูทรงใช้การทำลายวิหารและกรุงยะรูซาเลมที่คนชั่วอายุนั้นได้ประสบในปีสากลศักราช 70 นั้น เป็นสัญลักษณ์ชี้ถึงการเสด็จครั้งที่สองของพระองค์ และการสิ้นโลกหรือตอนสิ้นสุดแห่งยุคนี้ด้วย.”—ภาพพจน์ในพระคริสตธรรมใหม่, เล่ม 1, หน้า 188.
15 บางคนบอกว่า ‘แต่เคยมีสงคราม การกันดารอาหารและโรคระบาดเสมอมา. ฉะนั้น คนเราจะรู้จักความสมจริงแห่ง “สัญลักษณ์” เป็นหนที่สองได้อย่างไร?’
16 ปรากฏชัดว่า คงต้องเป็นสิ่งที่เด่นต่างไปจากสงครามที่เกิดขึ้นประปรายเฉพาะแห่ง โรคระบาดหรือแผ่นดินไหวที่เกิดในภูมิภาคเดียว. โปรดสังเกตที่วิวรณ์ 6:4 กล่าวว่า สงครามจะ “พรากความสุขสำราญไปจากแผ่นดินโลก [ไม่ใช่จากชาติเดียวหรือภูมิภาคเดียว].” อนึ่ง พระเยซูได้ระบุไว้ว่า สัญลักษณ์นั้นประกอบด้วยเหตุการณ์หลายอย่าง. ดังนั้น พร้อมกับสงครามที่ลุกลามกว้างขวาง ยังจะมีการขาดแคลนอาหารอย่างน่าสังเกต อีกทั้งแผ่นดินไหวและโรคระบาดในที่ต่าง ๆ ด้วย. สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายในชั่วอายุเดียว. (มัดธาย 24:32-34) เมื่อหยั่งรู้เข้าใจเรื่องนี้และตรวจสอบประวัติศาสตร์ของมนุษย์แล้ว หลายคนจึงได้มาเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ‘สัญลักษณ์แสดงถึงอวสานของระบบนี้’ ได้ปรากฏให้เห็นแล้ว.
“สัญลักษณ์” ในสมัยปัจจุบัน
17 วิวรณ์ 6:4 บ่งชี้ว่าจะเกิดสงครามทั่วแผ่นดินโลก. เป็นจริงอย่างนั้นไหม? จริง เริ่มต้นด้วยสงครามโลกระหว่างปี 1914-1918. ซิดนีย์ เจ. แฮร์ริส นักเขียนประจำหนังสือพิมพ์เขียนว่า ‘สงครามโลกครั้งที่ 1 เกี่ยวพันกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยพลเมืองมากถึงร้อยละ 90 ของโลก.’ เอ็นไซโคลพีเดีย อเมริกานา รายงานว่าทหารที่ตายในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมีจำนวนมากกว่า 8,000,000 คน และพลเรือนกว่า 12,000,000 คนตายเนื่องจากการสังหารหมู่ ความอดอยาก หรือไร้ที่อยู่อาศัย.
18 บางคนพยายามปฏิเสธเรื่องนี้โดยกล่าวว่ามนุษย์สมัยก่อนขาดการขนส่งและเทคโนโลยีที่จะทำสงครามโลก. แต่การกล่าวอย่างนั้นยิ่งเน้นความโดดเด่นแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1.
“ขณะที่วันเวลาผ่านไปตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 1914 ยิ่งเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าการระเบิดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้นหมายถึงอวสานของยุคหนึ่ง.”—เดอะ นอร์ทอน ฮิสทอรี่ ออฟ มอเดิร์น ยุโรป.
“สงครามโลกครั้งที่ 1—เป็นมหาสงครามสำหรับผู้รอดชีวิต—ยังคงเป็นเส้นแบ่งแห่งประวัติศาสตร์ปัจจุบันอยู่ในจิตใจของมนุษย์. . . . ความเชื่อในจิตใต้สำนึกของผู้คนส่วนใหญ่ที่ว่า ยุคนี้เริ่มต้นมาเมื่อมีสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นเป็นความจริง. ครั้งนั้นแหละที่เราได้สูญเสียความไม่รู้เดียงสาของเราไป.”—มอนทรีออล กาเซ็ทท์.
“ปีหนึ่งพันเก้าร้อยสิบแปดหาได้นำยุคหนึ่งพันปีอันรุ่งเรืองเข้ามาไม่ แต่ได้นำมาซึ่งห้าสิบปีแห่งความขัดแย้ง ความโกลาหลอลหม่าน สงคราม การปฏิวัติ ความรกร้างและความเสียหายมากมายอย่างที่ไม่เคยพบเห็นหรือนึกภาพมาก่อนด้วยซ้ำ.”—ศาสตราจารย์ เอ็ช. เอส. คอมเมเจอร์.
19 ใช่แล้ว ‘สงครามได้ปะทุขึ้นในขอบเขตใหญ่โตกว้างขวางอย่างไม่เคยนึกภาพมาก่อน’ ตรงกันกับที่ได้ระบุในพระคัมภีร์. ต่อมาไม่นานก็มีสงครามโลก ครั้งที่สอง ซึ่งได้ผลาญชีวิตผู้คนจำนวนมากมายระหว่าง “35,000,000 ถึง 60,000,000” คน.
“สงครามโลกครั้งที่สองทำให้ผู้คนล้มตายและยังความพินาศเสียหายเกือบทั่วโลกทีเดียวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน. . . . ความพยายามที่จะแสดงค่าของทรัพย์สินและปัจจัยสำหรับการดำรงชีวิตซึ่งถูกทำลายไปนั้นโดยการบอกเป็นจำนวนเงินนั้นก็ไร้ประโยชน์: เพราะเมื่อรวมยอดแล้วได้จำนวนมหึมา.”—เอ็นไซโคลพีเดีย อเมริกานา.
และคุณก็ทราบว่านอกจากการทำสงครามหลายครั้งตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา ขณะนี้เราถูกคุกคามด้วยสงครามนิวเคลียร์.
20 โรคภัยไข้เจ็บบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ให้หลักฐานว่า ความสำเร็จเป็นจริงครั้งใหญ่ของ “สัญลักษณ์” นั้นได้เริ่มต้นด้วยสงครามโลกครั้งที่ 1. (ลูกา 21:11) หลังจากการยอมรับว่าภัยพิบัติก่อนหน้าที่ได้เกิดขึ้นนั้นคร่าชีวิตคนจำนวนมหาศาลในช่วงเวลาหลายทศวรรษ วารสารไซเย็นส์ ไดเจสท์ ยังได้ระบุอีกว่าไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 1918 ยิ่งซ้ำร้ายกว่าเพียงไร:
“สงครามได้ผลาญชีวิตผู้คนมากกว่า 21 ล้านคนในช่วงสี่ปีแห่งการต่อสู้อย่างทรหด การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ทำให้คนเสียชีวิตมากพอ ๆ กันภายในเวลาสี่เดือนโดยประมาณ. ไม่เคยมีการตายที่ระบาดอย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่านี้เลยในประวัติศาสตร์. . . . แพทย์คนหนึ่งให้ฉายาโรคนี้ว่ามหันตภัยอันใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่วงการแพทย์เคยประสบมา.”
“การคำนวณโดยปกติได้จำนวนคนตายทั่วโลก 21 ล้านคน ‘แต่นั่นอาจจะเป็นการประเมินต่ำกว่าจำนวนจริงก็ได้.’ อาจมีคนจำนวนนั้นตายในอินเดียประเทศเดียว จำนวนคนตายที่นั่นเมื่อเดือนตุลาคมปี 1918 ‘ไม่มีครั้งใดจะเทียบได้ในประวัติศาสตร์แห่งโรคระบาด.’”—ไซเยนติฟิค อเมริกัน.
ทั้งนี้ทั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถจะระงับการตายอันเนื่องมาแต่โรคภัยไข้เจ็บได้. เมื่อโรคหนึ่งดูเหมือนว่า “ถูกปราบ” ไปแล้วก็เกิดอีกโรคหนึ่งขึ้นมา. มนุษย์ส่งจรวดไปถึงดวงจันทร์ได้ แต่พวกเขาเอาชนะโรคมาลาเรีย โรคมะเร็งและโรคหัวใจไม่ได้.
21 พระเยซูตรัสว่า “แผ่นดินไหวในที่ต่าง ๆ” จะเป็นส่วนประกอบของ “สัญลักษณ์” ด้วย. (มัดธาย 24:7; ลูกา 21:11) เคยมีแผ่นดินไหวตลอดประวัติศาสตร์. แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วเป็นอย่างไร? เกโอ มาลาโกลิตั้งข้อสังเกตในวารสารอิล พิกโคโล ดังนี้:
“ชั่วอายุของเรานี้ตกอยู่ในช่วงอันตรายที่จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อย ๆ ตามที่สถิติแสดงให้เห็นนั้น. ที่จริง ระหว่างช่วงเวลา 1,059 ปี (ตั้งแต่ปีสากลศักราช 856 ถึง 1914) มีรายงานจากแหล่งที่เชื่อถือได้ว่า เฉพาะแผ่นดินไหวใหญ่ 24 ครั้งเป็นเหตุให้ 1,973,000 คนตาย. แต่ [ใน] ความหายนะที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ เราพบว่าชั่วเวลาเพียง 63 ปี 1,600,000 คนเสียชีวิตจากแผ่นดินไหว 43 ครั้งระหว่างปี 1915-1978. การเพิ่มขึ้นมากครั้งอย่างน่าทึ่งเช่นนี้ย่อมเน้นอีกครั้งถึงข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า—คนในชั่วอายุนี้ประสบสิ่งร้าย ๆ ในหลายทาง.”
22 บางคนอาจพูดว่า จำนวนประชากรของโลกที่มากขึ้นและขนาดของเมืองที่ใหญ่ขึ้น ย่อมเป็นเหตุให้จำนวนผู้เสียชีวิตเนื่องจากแผ่นดินไหวสูงขึ้นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1. ถึงแม้ว่านี้เป็นเหตุผล แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ได้เกิดขึ้น. การกันดารอาหารก็เป็นเช่นนี้ด้วย. ทั้ง ๆ ที่มีความก้าวหน้าในด้านการผลิตอาหาร เช่นการปฏิวัติสีเขียว เราได้พบเห็นการรายงานข่าวทำนองนี้:
“จากจำนวนประชากรในโลกอย่างน้อยมีหนึ่งในแปดคนยังคงทนทุกข์และเจ็บป่วยเนื่องจากการไม่ได้กินอาหารครบหมู่.”
“คณะกรรมาธิการอาหารแห่งสหประชาชาติได้ประชุมที่กรุงออตตาวาในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้และยืนยันว่าทุกปีมีถึง 50 ล้านคนตายเพราะขาดอาหาร.”
“ตัวแทนด้านอาหารของโลกกะประมาณกันว่า ผู้คนมากกว่าหนึ่งพันล้านจะไม่มีอาหารพอกินในปีนี้.”
23 การทวีขึ้นของ “การละเลยกฎหมาย” และการเสื่อมลงในเรื่องความรักเป็นหลักฐานบ่งชี้ถึง “อวสานของระบบนี้” ด้วย. (มัดธาย 24:3, 12) อาจจะไม่จำเป็นว่าคุณต้องมีสถิติเกี่ยวด้วยอาชญากรรมหรือลัทธิก่อการร้ายเพื่อคุณจะมั่นใจได้ว่าคำพยากรณ์นี้กำลังสำเร็จเป็นจริงอยู่แล้ว. แต่ในเรื่องนี้ โปรดอ่านคำพรรณนาเชิงพยากรณ์เกี่ยวกับเรื่อง “สมัยสุดท้าย” ใน 2 ติโมเธียว 3:1-5. จงคิดดูซิว่า คำพยากรณ์ตอนนี้ถูกต้องแม่นยำเพียงไรกับสิ่งที่เราเผชิญอยู่ในขณะนี้.
เรื่องนี้มีความหมายอย่างไรสำหรับคุณ?
24 พระเยซูทรงพยากรณ์ว่าหลายคนจะเป็นทุกข์เมื่อเห็น “สัญลักษณ์” นั้นสำเร็จเป็นจริง. “มนุษย์จะสลบไปเพราะความกลัว และเพราะคอยท่าดูเหตุการณ์ซึ่งจะบังเกิดในโลก.” อย่างไรก็ดี จะไม่เป็นเช่นนั้นกับสาวกของพระองค์. พระคริสต์บอกแก่เขาว่า “เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มจะบังเกิดขึ้นนั้น ท่านทั้งหลายจงเงยหน้าและผงกศีรษะขึ้น ด้วยความรอด ของท่านใกล้จะถึงแล้ว.” (ลูกา 21:26, 28) เราต้องไม่มองข้ามสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหรือปัดเรื่องให้ห่างตัวไปอย่างไม่มีเหตุผลประหนึ่งว่าเป็นเรื่องประจวบเหมาะ. ผู้คนในกรุงยะรูซาเลมซึ่งไม่เอาใจใส่ต่อความสำเร็จสมจริงแห่งคำพยากรณ์ของพระเยซูในสมัยนั้นต้องสูญเสียชีวิตของตน. พระเยซูทรงกำชับพวกเราดังนี้ “จงตื่นตัวเสมอ . . . เพื่อท่านจะหนีรอดได้.”—ลูกา 21:34-36, ล.ม.
25 ใช่แล้ว การรอดพ้นอวสานแห่งระบบชั่วนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้. ไม่มีมนุษย์คนใดรู้ ‘วันนั้นโมงนั้น’ ได้แน่นอนว่าอวสานจะมาถึง แต่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลกในช่วงชีวิตของเราพิสูจน์ว่าอวสานอยู่ใกล้มาก. อย่างไรก็ดี มีข้อเรียกร้องให้เรากระทำมากยิ่งกว่าเพียงแต่ ‘การเฝ้าระวังตัวเสมอ.’ (มัดธาย 24:36-42) สิ่งที่ได้เกิดขึ้นนั้นน่าจะมีผลกระทบความคิดและการประพฤติของเรา. เปโตรเขียนว่า “ท่านควรจะดำเนินชีวิตให้ดีและอุทิศชีวิตแด่พระเจ้าในขณะที่ท่านรอคอยวันของพระผู้เป็นเจ้า. . . . จงกระทำตนเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติ.”—2 เปโตร 3:11-14, พระวจนะสำหรับยุคใหม่.
26 ในฐานะเป็นส่วนประกอบของสัญลักษณ์ พระเยซูได้ตรัสว่า “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศไปตลอดทั่วแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อเป็นพยานแก่ทุกชาติ ครั้นแล้วจุดอวสานก็จะมาถึง.” (มัดธาย 24:14, ล.ม.) เพื่อเราจะมีส่วนอย่างเหมาะสมในกิจกรรมนั้น เราจำต้องรู้ว่า “ราชอาณาจักร” นั้นคืออะไร และทำไมราชอาณาจักรนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญมากในขณะนี้เนื่องจากอวสานใกล้เข้ามา. บัดนี้ขอให้เราตรวจสอบดูเรื่องนี้.
[คำถามศึกษา]
ทำไมควรสนใจเรื่อง “อวสานของโลก”? (1-3)
ตามที่กล่าวในพระคัมภีร์ อะไรจะอวสาน? (4)
เหตุใดเรามั่นใจได้ว่า “อวสาน” จะมีมาแน่? (5, 6)
พระเยซูทรงทำนายว่าระบบต่าง ๆ ของพวกยิวจะเป็นเช่นไร? (7-10)
การเข้าใจ “สัญลักษณ์” เป็นสิ่งสำคัญเพียงไร? (11, 12)
เหตุใดเราควรคอยท่าความสำเร็จเป็นจริงอีกครั้งหนึ่งของ “สัญลักษณ์” และความสำเร็จครั้งนี้จะต่างกันอย่างไรกับความสำเร็จครั้งแรก? (13-16)
การสู้รบตามที่บอกไว้ล่วงหน้าได้เป็นจริงแล้วอย่างไรในสมัยของเรา? (17-19)
ความสมจริงเรื่องโรคระบาดนั้นเป็นอย่างไร? (20)
ท่านอาจชี้หลักฐานอื่นอะไรอีก ซึ่งแสดงว่า “สัญลักษณ์” นั้นกำลังสำเร็จสมจริง? (21-23)
ความสำเร็จสมจริงของสัญลักษณ์สมัยปัจจุบันน่าจะมีผลกระทบชีวิตของคุณอย่างไร? (24-26)
[กรอบหน้า 153]
“การทำนายถึงอวสานของโลกมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ. . . . อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้มีหลายอย่างบอกเหตุว่าจะมีมาแน่ ‘ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้คน’ ซึ่งดูเหมือนว่าแก้ไม่ตก แม้จะแก้โดยนักการเมืองที่ฉลาดที่สุดก็ตาม ความบ้าคลั่งในโลกยุคนิวเคลียร์ และการที่มนุษยชาติเป็นประดุจปลวก ทำลายสิ่งแวดล้อมของเขาซึ่งหามาแทนใหม่ไม่ได้นั้น.”—“เดอะ สเป็คเทเทอร์” ออนตาริโอ, แคนาดา.
[กรอบหน้า 161]
“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะอธิบายเรื่องสงครามและสงครามโลกครั้งที่ 1 อาจเป็นสงครามที่อธิบายยากที่สุด. เมื่อเจาะลึกลงไปในเรื่องของการแข่งขันชิงดีและพันธมิตรประเทศต่าง ๆ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ยกขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายเรื่องสงคราม ก็พบว่ามีอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก ความไม่สงบซึ่งก่อความยุ่งยากให้กับโลก. . . . สงครามสิ้นสุดลงไม่นาน โลกก็เริ่มเตรียมสงครามคราวต่อไป.”—แบร์รี่ เรนฟริว แห่งแอสโซซิเอท เพรส.
“เหตุการณ์ที่เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 1914 . . . ได้ทำลายระบบจริยธรรมทางการเมือง ทำให้เสียดุลอำนาจของนานาชาติ ยุติบทบาทของประเทศในยุโรปในฐานะผู้สร้างสถานการณ์และขณะที่เหตุการณ์ดำเนินไปนั้นได้เข่นฆ่าประชาชนหลายล้านคน. . . . ในปี 1914 โลกสูญเสียสัมพันธภาพซึ่งโลกไม่สามารถจะได้คืนมาอีกตั้งแต่นั้น.”—ลอนดอน, “ดิ อิคอโนมิสท์.”
[กรอบหน้า 164]
คนตายเพราะแผ่นดินไหว
(ภายในช่วงเวลา 1,122 ปีโดยประมาณ)
นับจนถึงปี 1914—1,800 คนต่อปี
ตั้งแต่ปี 1914—25,300 คนต่อปี
[รูปภาพหน้า 158]
โดยการปฏิบัติตามคำเตือนของพระเยซู ชนคริสเตียนได้หนีออกจากกรุงยะรูซาเลมก่อนทหารโรมันยกมาทำลายกรุงนั้น