บท 3
พระธรรมเยเนซิศบอกอย่างไร?
1. (ก) อะไรคือจุดมุ่งหมายของการพิจารณาพระธรรมเยเนซิศในบทนี้และควรจดจำอะไร? (ข) มีการพรรณนาเหตุการณ์อย่างไรในเยเนซิศบทที่หนึ่ง?
สิ่งอื่น ๆ ที่เคยมีการบิดเบือนหรือมีการเข้าใจผิดฉันใด บทแรกในคัมภีร์ไบเบิลก็สมควรได้รับการพิจารณาด้วยความเที่ยงธรรมฉันนั้น. สิ่งสำคัญคือการตรวจสอบและพิเคราะห์ให้ดีว่าพระคัมภีร์สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่หรือไม่ ไม่ใช่จะแปลงเรื่องให้เข้ากับเค้าโครงของทฤษฎีบางอย่าง. สิ่งน่าจำอีกข้อหนึ่งคือเรื่องราวในพระธรรมเยเนซิศไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อชี้แจง “วิธี” สร้าง. แต่พระธรรมเยเนซิศพูดถึงลำดับเหตุการณ์เด่น ๆ ที่เกิดขึ้น เป็นการพรรณนาว่ามีอะไรบ้างถูกสร้างขึ้น สร้างอะไรก่อน และระยะเวลาหรือ “วัน” ซึ่งแต่ละอย่างปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งแรก.
2. (ก) การพรรณนาเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเยเนซิศ ถือเอาทัศนะของผู้ใดเป็นหลัก? (ข) การพรรณนาถึงดวงสว่างต่าง ๆ นั้นบ่งชี้ถึงเรื่องนี้อย่างไร?
2 เมื่อพิจารณาเรื่องราวในพระธรรมเยเนซิศ เป็นการดีที่จะคำนึงไว้เสมอว่าเป็นการพิจารณาเรื่องโดยถือเอาทัศนวิสัยของมนุษย์บนแผ่นดินโลกเป็นหลัก. ฉะนั้น จึงเป็นการพรรณนาเหตุการณ์ประหนึ่งว่ามนุษย์เฝ้าสังเกตดูในตอนนั้นถ้าหากมีมนุษย์อยู่แล้ว. ทั้งนี้พอจะสังเกตได้จากการดำเนินเรื่องใน “วัน” ที่สี่ของการสร้าง. ในตอนนั้นมีการพรรณนาดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ว่าเป็นดวงสว่างใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับดวงดาวอื่น ๆ. กระนั้น มีดวงดาวหลายดวงซึ่งใหญ่มหึมายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ และยิ่งดวงจันทร์แล้วเทียบไม่ได้เลยกับดาวเหล่านั้น. แต่สำหรับมนุษย์ที่มองไปจากแผ่นดินโลกจะไม่เป็นอย่างนั้น. ดังนั้น เมื่อมองจากแผ่นดินโลก ดวงอาทิตย์จึงปรากฏเป็น ‘ดวงใหญ่ที่ครองรักษาวัน’ และดวงจันทร์เป็น ‘ดวงเล็กที่ครองรักษาคืน.’—เยเนซิศ 1:14-18.
3. มีการพรรณนาถึงลักษณะของแผ่นดินโลกเช่นไรก่อน “วัน” ที่หนึ่ง?
3 ตอนต้น ๆ ของพระธรรมเยเนซิศแสดงว่าแผ่นดินโลกคงมีอยู่นานแล้วนับหลายพันล้านปีก่อน “วัน” แรกที่กล่าวในเยเนซิศ แม้จะไม่ได้บอกว่านานแค่ไหน. อย่างไรก็ดี ส่วนนั้นพรรณนาสภาพแผ่นดินโลกก่อน “วัน” แรกเริ่มขึ้น ดังนี้ “แผ่นดินโลกยังไม่ปรากฏรูปและว่างเปล่า และมีความมืดอยู่เหนือผิวน้ำลึก และพลังปฏิบัติงานของพระเจ้าเคลื่อนไหวไปมาอยู่เหนือผิวน้ำ.”—เยเนซิศ 1:2, ล.ม.
“วัน” ในพระธรรมเยเนซิศบทแรกนานเท่าใด?
4. ในบันทึกเกี่ยวกับการสร้างนี้ มีอะไรที่บ่งชี้ว่าคำ “วัน” มิได้หมายเพียงถึงช่วงเวลา 24 ชั่วโมง?
4 หลายคนคิดว่าคำ “วัน” ที่ใช้ในเยเนซิศบท 1 หมายถึง 24 ชั่วโมง. อย่างไรก็ดีในเยเนซิศ 1:5 พระเจ้าทรงแบ่งวันเป็นช่วงสั้นกว่านั้น ทรงเรียกเฉพาะช่วงสว่างว่า “วัน.” ในเยเนซิศ 2:4 ทุก ช่วงแห่งการสร้างถูกเรียกว่า หนึ่ง “วัน”: “เรื่องฟ้าและแผ่นดินที่พระองค์ได้ทรงสร้างก็เป็นดังนี้ ในวัน [ตลอดระยะการสร้างหกช่วง] ที่พระยะโฮวาเจ้าได้ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน.”
5. ความหมายอย่างหนึ่งของคำ “วัน” ในภาษาฮีบรูคืออะไร ซึ่งแสดงว่าอาจหมายถึงระยะเวลานานกว่า?
5 คำภาษาฮีบรูยอห์ม แปลว่า “วัน” อาจหมายถึงช่วงเวลาที่ยาวนานต่างกัน. ความหมายหนึ่งซึ่งเป็นไปได้ตามที่หนังสือการศึกษาถ้อยคำในพระคัมภีร์เดิม ของวิลเลียม วิลสันได้รวมข้อนี้ไว้ด้วยดังนี้ “วัน มักจะหมายถึงเวลาโดยทั่วไป หรือเวลาในระยะยาว ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในข่ายการพิจารณา . . . อนึ่ง วันหมายถึงฤดูกาลเฉพาะหรือเวลาที่เกิดเหตุการณ์พิเศษ.” ประโยคสุดท้ายนี้ดูเหมือนจะเหมาะกับ “วัน” ที่เกี่ยวกับการสร้าง เพราะแน่นอน มันเป็นช่วงเวลาซึ่งพรรณนาถึงเหตุการณ์พิเศษ. นอกจากนั้น การนิยามดังกล่าวแสดงว่า คำ “วัน” อาจหมายถึงช่วงซึ่งนานกว่า 24 ชั่วโมงก็ได้.
6. เหตุใดการพูดถึง “เวลาเย็น” และ “เวลาเช้า” จึงไม่จำกัด “วัน” ว่าจะมีเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น?
6 เยเนซิศบท 1 ใช้คำ “เวลาเย็น” และ “เวลาเช้า” เกี่ยวเนื่องกับระยะเวลาแห่งการสร้าง. ข้อนี้บ่งชี้ว่า ระยะเวลานั้นนาน 24 ชั่วโมงมิใช่หรือ? ไม่จำเป็น. ในบางแห่งผู้คนมักจะพูดถึงชั่วชีวิตของคนหนึ่ง ๆ ว่า “วัน” ของเขา. เขาพูดถึง “ในวันของคุณพ่อของฉัน” หรือ “ในวันของเชคสเปียร์.” เขาอาจแบ่ง “วัน” อันหมายถึงชั่วชีวิตนั้นโดยกล่าวว่า “ยามรุ่งอรุณแห่งชีวิตของเขา” หรือ “ยามสนธยาแห่งชีวิตของเขา.” ดังนั้น “เวลาเย็นและเวลาเช้า” ในเยเนซิศบท 1 ไม่จำกัดความหมายไว้เพียง 24 ชั่วโมงตามตัวอักษร.
7. มีการใช้คำว่า “วัน” แบบใดอีกซึ่งแสดงว่าอาจเป็นระยะเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง?
7 “วัน” ดังที่ใช้ในพระคัมภีร์อาจรวมถึงฤดูร้อนและฤดูหนาว การล่วงเลยแห่งฤดูกาล. (ซะคาระยา 14:8) “ฤดูเกี่ยวข้าว” ย่อมกินเวลาหลายวัน. (เปรียบเทียบสุภาษิต 25:13 และเยเนซิศ 30:14, ล.ม.) มีการเปรียบเวลาหนึ่งพันปีเป็นเหมือนวันเดียว. (บทเพลงสรรเสริญ 90:4; 2 เปโตร 3:8, 10) “วันพิพากษา” คลุมเวลาหลายปี. (มัดธาย 10:15; 11:22-24) ดังนั้น จึงดูมีเหตุผลที่ “วัน” ในพระธรรมเยเนซิศอาจจะคลุมเวลาระยะยาว—นานพัน ๆ ปี. อย่างนั้นแล้วมีอะไรเกิดขึ้นในยุคต่าง ๆ แห่งการสร้าง? เรื่องในพระคัมภีร์เกี่ยวกับยุคต่าง ๆ นั้นถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ไหม? ต่อไปนี้เป็นการทบทวน “วัน” เหล่านี้ดังที่บอกไว้ในพระธรรมเยเนซิศ.
“วัน” ที่หนึ่ง
8, 9. มีอะไรเกิดขึ้นใน “วัน” ที่หนึ่ง และพระธรรมเยเนซิศบอกว่า ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถูกสร้างขึ้นในวันนั้นไหม?
8 “‘ให้เกิดมีความสว่าง.’ ความสว่างก็เกิดขึ้น. และพระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่าวัน และทรงเรียกความมืดนั้นว่าคืน. มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หนึ่ง.”—เยเนซิศ 1:3, 5.
9 แน่นอน มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่แล้วในอวกาศชั้นนอกนานก่อน “วัน” ที่หนึ่งเริ่มต้น แต่แสงสว่างไม่ได้ส่องมาถึงผิวโลกพอที่ผู้สังเกตบนโลกจะมองเห็นได้. บัดนี้แสงสว่างปรากฏให้เห็นได้บนโลกใน “วัน” ที่หนึ่งนี้ และโลกซึ่งหมุนรอบตัวเองก็เริ่มมีวันและคืน.
10. ความสว่างนั้นอาจเกิดขึ้นได้อย่างไร และคงจะเป็นแสงชนิดใด?
10 ดูเหมือนว่า ความสว่างส่องแสงกล้าขึ้นทีละน้อยและเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ไม่ใช่เกิดขึ้นทันทีเหมือนเมื่อเรากดสวิชเปิดไฟ. พระธรรมเยเนซิศในคัมภีร์ฉบับแปลโดย เจ. ดับบลิว. วัตส์ ให้ความหมายนี้เมื่อบอกว่า “และแสงสว่างก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น.” (ฉบับแปลพระธรรมเยเนซิศที่แจ่มชัด) แสงสว่างนี้มาจากดวงอาทิตย์ แต่กระนั้นก็ไม่อาจเห็นดวงอาทิตย์ เนื่องจากท้องฟ้าครึ้ม. ดังนั้น แสงที่ส่องมายังโลกจึงเป็น “แสงสลัว” ดังบทวิจารณ์เกี่ยวกับข้อ 3 ในหนังสือ เอ็มฟาไซส์ด ไบเบิล โดยรอเธอร์แฮมอธิบายไว้.—ดูหมายเหตุ บี สำหรับข้อ 14.
“วัน” ที่สอง
11, 12. (ก) มีการพรรณนาถึงอะไรใน “วัน” ที่สอง? (ข) คำภาษาฮีบรูเกี่ยวกับความคืบหน้าเช่นนี้บางครั้งก็แปลผิดไปอย่างไร และความหมายที่แท้จริงคืออะไร?
11 “‘ให้มีพื้นอากาศในระหว่างน้ำ ให้เป็นที่แยกน้ำออกจากน้ำ.’ พระเจ้าได้ทรงสร้างพื้นอากาศ แล้วได้แยกน้ำที่อยู่ใต้พื้นอากาศออกจากน้ำที่อยู่เหนือพื้นอากาศนั้น. ก็เป็นดังนั้น. พระเจ้าจึงตรัสเรียกพื้นอากาศนั้นว่าฟ้า.”—เยเนซิศ 1:6-8.
12 คัมภีร์ฉบับแปลบางฉบับใช้คำ “firmament” (หลังคาโค้ง) แทนคำ “พื้นอากาศ.” ด้วยเหตุนี้จึงมีการโต้แย้งกันว่าเรื่องราวที่มีอยู่ในพระธรรมเยเนซิศนั้นเอามาจากตำนานการสร้าง ซึ่งแสดงว่า “พื้นอากาศ” นี้เป็นเหมือนหลังคาโลหะมีลักษณะโค้ง. แม้แต่คัมภีร์ฉบับคิงเจมส์ซึ่งใช้คำว่า “firmament” ก็ได้ให้คำอธิบายในช่องหมายเหตุว่าเป็น “พื้นอากาศ.” ทั้งนี้เพราะคำภาษาฮีบรู ราคีอะ แปลว่า “พื้นอากาศ” หมายถึงยื่นออกไป หรือกางออก หรือแผ่กว้าง.
13. อาจจะมองดูพื้นอากาศประหนึ่งว่ามีอะไรเกิดขึ้น?
13 พระธรรมเยเนซิศกล่าวว่าพระเจ้าทรงเนรมิตขึ้นมา แต่มิได้บอกว่าโดยวิธีใด. ไม่ว่าการแยกตามที่พรรณนานั้นจะเป็นโดยวิธีใดก็ตาม มันคงเป็นเหมือนกับว่า ‘น้ำที่อยู่เหนือพื้นอากาศ’ ถูกดันให้ลอยขึ้นไปจากแผ่นดินโลก. และต่อมาจึงกล่าวได้ว่านกต่าง ๆ บินไปมาใน “ท้องฟ้าอากาศ” ดังคำแถลงในเยเนซิศ 1:20.
“วัน” ที่สาม
14. มีการพรรณนา “วัน” ที่สามอย่างไร?
14 “‘ให้น้ำที่อยู่ใต้ฟ้านั้นรวบรวมเข้าแห่งเดียวกัน ให้ที่แห้งปรากฏขึ้น.’ ก็เป็นดังนั้น. พระเจ้าจึงทรงเรียกที่แห้งนั้นว่าแผ่นดิน และที่รวบรวมน้ำนั้นว่าทะเล.” (เยเนซิศ 1:9, 10) เช่นเคย บทบันทึกมิได้พรรณนาว่าการณ์นี้เป็นมาอย่างไร. ไม่ต้องสงสัยการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของพื้นดินคงต้องเกี่ยวข้องกับการก่อตัวเป็นแผ่นดิน. นักธรณีวิทยาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงแบบภัยพิบัติ. แต่พระธรรมเยเนซิศชี้ให้เห็นว่ามีการดำเนินงานและควบคุมโดยพระผู้สร้าง.
15, 16. (ก) มีการถามโยบในจุดใดเกี่ยวกับแผ่นดินโลก? (ข) รากฐานของทวีปและเทือกเขาอยู่ลึกเท่าใด และอะไรเปรียบเหมือนกับ “หินหัวมุม” ของแผ่นดินโลก?
15 จากเรื่องที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งมีการพรรณนาว่าพระเจ้าซักถามโยบเรื่องแผ่นดินโลก มีการพรรณนาถึงความเป็นมาของสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับประวัติของแผ่นดินโลก เช่น ความกว้างยาว กลุ่มเมฆที่ปกคลุมโลก ทะเลใหญ่น้อยและคลื่นในทะเลถูกจำกัดเขตด้วยแผ่นดิน—หลายอย่างที่เกี่ยวกับการสร้างซึ่งคลุมระยะเวลายาวนาน. จากสรรพสิ่งเหล่านั้น โดยมีการเปรียบแผ่นดินเสมือนตึก พระคัมภีร์แจ้งถึงการที่พระเจ้าตรัสถามโยบดังนี้ “รากพิภพนั้นตั้งติดต่อไว้บนอะไร หรือใครเป็นผู้ฝังหินหัวมุม?”—โยบ 38:6.
16 น่าสนใจที่เปลือกโลก เหมือน “รากพิภพ” หนากว่าใต้บริเวณทวีป และใต้แถบเทือกเขายิ่งหนามากขึ้น ปักลึกลงไปในเปลือกโลกชั้นในเหมือนต้นไม้แทงรากลงดิน. หนังสือธรณีวิทยาของพัตนัม2 กล่าวว่า “ความคิดที่ว่าภูเขาและทวีปต่าง ๆ มีรากนั้นได้มีการพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า.” เปลือกโลกบริเวณท้องมหาสมุทรจะหนาประมาณ 8 กิโลเมตร ส่วนรากของทวีปหรือแผ่นดินจะลึกลงไปราว ๆ 32 กิโลเมตรและรากภูเขายิ่งหยั่งลึกกว่าถึงสองเท่า. และชั้นหินระดับต่าง ๆ ของโลกยังบีบตัวเข้าหาแกนโลกจากทุกทิศทาง ทำให้แกนโลกเป็นเหมือน “หินหัวมุม” มหึมาที่รองรับลูกโลกไว้.
17. อะไรเป็นจุดสำคัญในเรื่องการปรากฏของแผ่นดินแห้ง?
17 ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม ที่ทำให้แผ่นดินแห้งนูนขึ้นจากระดับเดิม จุดสำคัญคือ ทั้งพระคัมภีร์ไบเบิลและวิทยาศาสตร์ต่างก็ยอมรับว่านั้นคือขั้นตอนหนึ่งในขบวนการก่อตัวของแผ่นดินโลก.
พืชบนบกใน “วัน” ที่สาม
18, 19. (ก) นอกจากมีแผ่นดินแห้งปรากฏขึ้นแล้ว ยังมีอะไรอีกปรากฏขึ้นใน “วัน” ที่สาม? (ข) พระธรรมเยเนซิศไม่ได้พูดถึงเรื่องอะไร?
18 พระคัมภีร์ไบเบิลให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า “‘ให้ต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่มีผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันงอกขึ้นในแผ่นดิน.’ ก็เป็นดังนั้น.”—เยเนซิศ 1:11.
19 ฉะนั้น เมื่อสิ้นระยะเวลาการสร้างช่วงที่สามนี้ ก็ได้มีการสร้างพืชที่งอกขึ้นจากดินสามกลุ่มใหญ่ ๆ. ตอนนั้นแสงสลัวคงจะต้องแรงกล้าขึ้น มากพอสำหรับขบวนการสังเคราะห์แสงซึ่งจำเป็นต่อพืชสีเขียว. อนึ่ง ไม่มีการกล่าวถึงพืชทุก “ชนิด” ที่ปรากฏขึ้นในโลก. จุลชีพ พืชในน้ำและอื่น ๆ ไม่ได้ถูกกล่าวชื่อโดยเฉพาะ แต่ก็คงจะถูกสร้างขึ้นใน “วัน” นี้.
“วัน” ที่สี่
20. จากการปรากฏของดวงสว่างต่าง ๆ ในพื้นอากาศ ทำให้มีการแบ่งเวลาออกอย่างไร?
20 “‘ให้มีดวงสว่างบนพื้นฟ้าอากาศ เป็นที่แบ่งวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างนั้นเป็นที่กำหนดฤดู วัน ปี ให้อยู่บนพื้นฟ้าอากาศจะได้ส่องสว่างบนแผ่นดิน.’ ก็เป็นดังนั้น. และพระเจ้าทรงสร้างดวงสว่างใหญ่ไว้สองดวง ให้ดวงใหญ่นั้นครองรักษาวัน ดวงเล็กนั้นครองรักษาคืนและดวงดาวต่าง ๆ ด้วย.”—เยเนซิศ 1:14-16; บทเพลงสรรเสริญ 136:7-9.
21. ความสว่างใน “วัน” ที่สี่ต่างไปจากวันแรกอย่างไร?
21 ก่อนหน้านี้ใน “วัน” ที่หนึ่ง มีการใช้ถ้อยคำที่ว่า “ให้เกิดมีความสว่าง.” คำภาษาฮีบรูที่ใช้ในข้อนี้สำหรับ “ความสว่าง” คือออร์ หมายถึงแสงสว่างในความหมายทั่ว ๆ ไป. แต่ใน “วัน” ที่สี่ คำภาษาฮีบรูได้เปลี่ยนมาเป็นมาออร์ ซึ่งหมายถึงแหล่งกำเนิดของแสง. รอเธอร์แฮมให้หมายเหตุไว้ใน เอ็มฟาไซสด์ ไบเบิล เกี่ยวกับ “ดวงสว่าง” ว่า “ในข้อ 3 ออร์ เป็นแสงสลัว.” ต่อจากนั้น เขาชี้แจงว่า คำภาษาฮีบรูมาออร์ ในข้อ 14 หมายถึงสิ่งที่ “ให้แสงสว่าง.” ใน “วัน” ที่หนึ่งนั้น แสงสลัวคงต้องได้ส่องทะลุวงแหวนที่หุ้มโลกอยู่ แต่ผู้ที่มองจากโลกยังไม่สามารถมองเห็นแหล่งกำเนิดของแสงเพราะกลุ่มหมอกเป็นชั้น ๆ ยังห่อหุ้มโลกไว้. แต่มาบัดนี้ใน “วัน” ที่สี่สิ่งต่าง ๆ กำลังเปลี่ยนไป.
22. การเปลี่ยนแปลงอะไรใน “วัน” ที่สี่ ซึ่งเอื้อต่อชีวิตสรรพสัตว์ที่จะมีขึ้นต่อจากนั้น?
22 บรรยากาศซึ่งตอนแรกหนาแน่นไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์อาจทำให้เกิดอากาศร้อนทั่วทั้งโลก. แต่การเจริญเติบโตของพืชผักเขียวชอุ่มในระหว่างช่วงที่สามและสี่ของการสร้างนั้นคงได้ดูดซับบางส่วนของคาร์บอนไดออกไซด์ตัวเก็บกักความร้อนนี้. ในทางกลับกัน พืชผักจะคายออกซิเจนออกมาซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตสัตว์.—บทเพลงสรรเสริญ 136:7-9.
23. มีการพรรณนาถึงการเปลี่ยนแปลงใหญ่อะไรบ้างในช่วงนี้?
23 ถึงตอนนี้ ถ้ามีผู้สังเกตการณ์บนโลก เขาคงสามารถเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวต่าง ๆ ซึ่ง “เป็นที่กำหนดฤดู วัน ปี.” (เยเนซิศ 1:14) ดวงจันทร์จะเป็นตัวกำหนดเดือนตามจันทรคติ และดวงอาทิตย์จะเป็นตัวกำหนดปีตามสุริยคติ. ฤดูต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้เกิดขึ้นใน “วัน” ที่สี่คงจะแตกต่างกันไม่มาก ดังที่เป็นในเวลาต่อมา.—เยเนซิศ 1:15; 8:20-22.
“วัน” ที่ห้า
24. มีการพูดถึงสัตว์ชนิดใดที่ปรากฏขึ้นใน “วัน” ที่ห้า และสัตว์เหล่านั้นจะสืบพันธุ์ต่อไปได้ภายในขอบเขตจำกัดเช่นไร?
24 “‘ให้ฝูงสัตว์ [จิตวิญญาณ, ล.ม.] ที่มีชีวิตทวีขึ้นบริบูรณ์ในน้ำ และให้มีนกบินไปมาในอากาศเหนือแผ่นดิน.’ พระเจ้าได้สร้างปลาใหญ่และสารพัตรสัตว์ [จิตวิญญาณ, ล.ม.] ที่มีชีวิตไหวกายได้ให้บังเกิดในน้ำเป็นอันมากตามชนิดของมันทุกอย่าง และบรรดาสัตว์ที่มีปีกบินได้ตามชนิดของมันทุกอย่าง.”—เยเนซิศ 1:20, 21.
25. สัตว์ต่าง ๆ ที่ปรากฏใน “วัน” ที่ห้านี้ถูกเรียกว่าอะไร?
25 เป็นสิ่งน่าสนใจที่เราสังเกตว่าสัตว์ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งแพร่พันธุ์มากมายในน้ำ ในภาษาฮีบรูอันเป็นภาษาเดิมของพระคัมภีร์ถูกเรียกว่า “จิตวิญญาณที่มีชีวิต.” คำนี้ใช้ได้เหมือนกันกับบรรดา “นกซึ่งบินไปมาในอากาศเหนือแผ่นดิน.” และคำนี้รวมชีวิตสัตว์ในทะเลและในอากาศด้วย เช่น สัตว์ประหลาดรูปร่างใหญ่โตในทะเลซึ่งฟอสซิลของมันนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบในสมัยปัจจุบัน.
“วัน” ที่หก
26-28. เกิดอะไรขึ้นใน “วัน” ที่หก และมีอะไรที่นับว่าเด่นเกี่ยวข้องกับสิ่งสุดท้ายที่ถูกสร้างขึ้นมา?
26 “‘ให้ฝูงสัตว์ [จิตวิญญาณ, ล.ม.] มีชีวิตบังเกิดขึ้นที่แผ่นดินตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้ สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าทั้งปวงตามชนิดของมัน.’ และก็เป็นดังนั้น.”—เยเนซิศ 1:24.
27 ดังนั้นใน “วัน” ที่หก สัตว์บกซึ่งแยกประเภทเป็นสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงก็ปรากฏขึ้นมา. แต่ “วัน” สุดท้ายยังไม่จบแค่นี้.
28 “และพระเจ้าทรงดำริว่า ‘จงให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ใช้ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสรรพสัตว์ที่ไหวกายได้บนแผ่นดินทั้งสิ้น.’ พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบฉายาของพระองค์และตามแบบฉายาของพระองค์นั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นและได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง.”—เยเนซิศ 1:26, 27.
29, 30. เราจะเข้าใจได้อย่างไรในข้อแตกต่างระหว่างเยเนซิศบทที่สองและบทที่หนึ่ง?
29 ในบท 2 ของพระธรรมเยเนซิศปรากฏว่ามีรายละเอียดบางอย่างเพิ่มเข้ามา. กระนั้นก็ดี ไม่ได้เป็นอย่างที่บางคนสรุปว่าบันทึกจากแหล่งอื่นเกี่ยวด้วยการสร้างขัดกันกับบท 1. เพียงแต่ว่าบทนี้เริ่มเรื่องจากจุดหนึ่งใน “วัน” ที่สาม ภายหลังแผ่นดินแห้งได้ปรากฏขึ้นแล้ว แต่ก่อนจะมีการสร้างพืชบนดิน มีการเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวข้องกับความเป็นมาของมนุษย์—อาดาม ผู้เป็นจิตวิญญาณมีชีวิต สวนเอเดนซึ่งเป็นบ้านของเขา และฮาวา ผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยาของเขา.—เยเนซิศ 2:5-9, 15-18, 21, 22.
30 การเสนอเรื่องข้างต้นนี้ก็เพื่อช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่พระธรรมเยเนซิศพรรณนาไว้. และเรื่องนี้ที่ตรงกับสภาพเป็นจริงแสดงให้เห็นว่าขบวนการสร้างนั้นดำเนินต่อเนื่องกันระยะหนึ่ง ซึ่งระยะเวลานั้นไม่สั้นแค่ 144 ชั่วโมง (6×24) แต่เป็นเวลาต่อเนื่องหลาย ๆ พันปี.
ผู้เขียนพระธรรมเยเนซิศรู้เรื่องราวนี้ได้อย่างไร?
31. (ก) บางคนได้บิดเบือนเรื่องราวของพระธรรมเยเนซิศอย่างไร? (ข) อะไรแสดงว่าข้อโต้แย้งของคนเหล่านั้นไม่ถูกต้อง?
31 หลายคนรู้สึกว่ายากที่จะยอมรับเรื่องการสร้างนี้. เขาโต้แย้งว่าเรื่องการสร้างในเยเนซิศมาจากเทพนิยายเรื่องสร้างโลกของคนโบราณ โดยเฉพาะจากบาบูโลน. อย่างไรก็ดี พจนานุกรมคัมภีร์ไบเบิล ซี่งออกเมื่อเร็ว ๆ นี้ให้ข้อสังเกตว่า “ยังไม่เคยพบเทพนิยายเรื่องใด ๆ ที่กล่าวเจาะจงว่าด้วยการสร้างเอกภพ” และเทพนิยายเหล่านั้น “พูดถึงเหล่าเทพเจ้าหลาย ๆ องค์และการต่อสู้แย่งกันเป็นใหญ่ในหมู่เทพเจ้าซึ่งต่างกันลิบกับเรื่องพระเจ้าองค์เดียวของชาติฮีบรูในเยเนซิศบท 1 และ 2.”3 “ความคิดพื้นฐานของเรื่องที่มาจากชาวบาบูโลนและชาวฮีบรูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง.”4
32. อะไรแสดงว่า เรื่องการสร้างในพระธรรมเยเนซิศถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์?
32 จากข้อมูลที่เราพิจารณาไปแล้ว ปรากฏชัดว่าบันทึกเรื่องการสร้างในพระธรรมเยเนซิศเป็นเอกสารที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์. พระธรรมนี้บอกเรื่องพืชและสัตว์เป็นประเภทใหญ่ ๆ และหลายหลากชนิดต่างกัน ซึ่งสืบพันธุ์ได้เฉพาะ “ตามชนิดของมัน” เท่านั้น. หลักฐานจากฟอสซิลยืนยันเรื่องนี้. ที่จริง มันบ่งชี้ว่าแต่ละ “ชนิด” เหล่านั้นปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีตัวเชื่อม “ชนิด” หนึ่งเข้ากับอีก “ชนิด” หนึ่งซึ่งมีอยู่ก่อน ดังทฤษฎีวิวัฒนาการคาดคะเน.
33. ข่าวสารเกี่ยวกับการสร้างในพระธรรมเยเนซิศ จะได้มาจากแหล่งใดเท่านั้น?
33 สารพันความรู้ทั้งมวลที่นักปราชญ์อียิปต์มีคงไม่มากพอที่จะให้โมเซผู้เขียนพระธรรมเยเนซิศรู้ขั้นตอนของการสร้าง. เทพนิยายเรื่องการสร้างของคนโบราณก็ไม่มีอะไรคล้ายคลึงกับสิ่งที่โมเซเขียนไว้ในพระธรรมเยเนซิศ. ดังนั้นแล้ว โมเซเรียนเรื่องสิ่งต่าง ๆ นั้นจากที่ไหน? เห็นได้ว่าจากผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นั้น.
34. มีหลักฐานในแง่อื่นใดอีกที่แสดงว่าลำดับเรื่องในเยเนซิศนั้นถูกต้อง?
34 หลักการของความเป็นไปได้ทางคณิตศาสตร์ให้ข้อพิสูจน์ที่น่าทึ่งว่าเรื่องราวการสร้างในเยเนซิศจะต้องมาจากแหล่งซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้. บันทึกลงรายการใหญ่ ๆ 10 ขั้นตอนตามลำดับดังนี้ (1) ตอนเริ่มต้น (2) โลกดึกดำบรรพ์ที่ความมืดทึบปกคลุมด้วยก๊าซหนาทึบและน้ำ (3) ความสว่าง (4) ท้องฟ้าอากาศหรือบรรยากาศ (5) แผ่นดินแห้งมีพื้นที่กว้างใหญ่ (6) พืชที่งอกบนแผ่นดิน (7) ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวต่าง ๆ ปรากฏให้เห็นในท้องฟ้า และเป็นการเริ่มของฤดูกาล (8) สัตว์ใหญ่ในทะเลและสัตว์มีปีกบินได้ (9) สัตว์ป่า สัตว์ที่เชื่อง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (10) มนุษย์. วิทยาศาสตร์เห็นพ้องด้วยว่าขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นตามลำดับดังกล่าว. โอกาสที่ผู้เขียนเยเนซิศจะเดาขั้นตอนเหล่านี้ตามลำดับถูกต้องจะมีสักแค่ไหนกัน? ก็เหมือนกับการหยิบตัวเลข 1 ถึง 10 จากกล่องโดยไม่ต้องมอง แล้วหยิบเลขได้ตามลำดับ. โอกาสที่ท่านจะทำได้อย่างนั้นเมื่อพยายามครั้งแรก คือ 1 ใน 3,628,800 ครั้ง! ดังนั้นที่จะบอกว่าผู้เขียนเยเนซิศบังเอิญเรียงลำดับเรื่องราวได้ถูกต้องโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงจากแหล่งไหนเลยนั้นย่อมไม่มีเหตุผล.
35. มีการตั้งคำถามอะไรบ้าง และจะหาคำตอบเหล่านั้นได้จากไหน?
35 อย่างไรก็ดี ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ยอมรับเรื่องพระผู้สร้างซึ่งอยู่ที่นั่น ผู้ทรงทราบข้อเท็จจริง และสามารถเปิดเผยข้อเท็จจริงเหล่านั้นแก่มนุษย์. ทฤษฎีวิวัฒนาการกลับถือว่าการปรากฏของชีวิตบนโลกก็เนื่องมาจากการเกิดโดยบังเอิญของสิ่งมีชีวิต จากสารเคมีต่าง ๆ ที่ไม่มีชีวิต. แต่ปฏิกิริยาต่าง ๆ ทางเคมีที่ไม่มีการควบคุมและเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ จะก่อให้เกิดชีวิตได้ไหม? นักวิทยาศาสตร์เองมั่นใจไหมว่ามันเกิดขึ้นได้? โปรดดูในบทต่อไป.
[คำโปรยหน้า 25]
เรื่องราวในพระธรรมเยเนซิศเขียนขึ้นตามแง่คิดของผู้สังเกตการณ์บนแผ่นดินโลก
[คำโปรยหน้า 36]
หลักฐานจากฟอสซิลยืนยันว่า การสืบพันธุ์เป็นไป “ตามชนิดของมัน” เท่านั้น
[กรอบหน้า 35]
เทพนิยายของชาวบาบูโลนเรื่องการสร้างซึ่งบางคนอ้างว่าเป็นพื้นฐานของเรื่องการสร้างในเยเนซิศ
เทพเจ้าอัปซูและเทพธิดาเทียมัตได้สร้างเทพเจ้าองค์อื่น ๆ.
ต่อมาอัปซูขัดใจกับพวกเทพเหล่านั้นและพยายามฆ่า แต่กลับถูกฆ่าโดยเทพเออา.
เทียมัตคิดแก้แค้นและพยายามฆ่าเออา แต่มาร์ดุคลูกชายของเออาได้สังหารนาง.
มาร์ดุคผ่าร่างนางเป็นสองส่วน และส่วนหนึ่งนำไปสร้างฟ้า และอีกส่วนหนึ่งนำมาสร้างแผ่นดินโลก.
ต่อมา โดยการช่วยเหลือของเออา มาร์ดุคได้สร้างมนุษย์ขึ้นจากโลหิตของเทพเจ้าอีกองค์หนึ่งชื่อ คินกู.a
คุณคิดว่า เรื่องเหล่านี้มีอะไรคล้ายคลึงกันไหมกับเรื่องราวที่พูดถึงการสร้างในเยเนซิศ?
[กรอบหน้า 36]
นักธรณีวิทยามีชื่อคนหนึ่งกล่าวเกี่ยวกับเรื่องการสร้างในเยเนซิศว่า
“ตัวผมเองในฐานะที่เป็นนักธรณีวิทยา ถ้าเขาเรียกให้ผมอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวด้วยความคิดสมัยใหม่ที่มีต่อการกำเนิดของโลกและการเติบโตของชีวิตในโลกให้คนเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีชีวิตง่าย ๆ เช่น เผ่าต่าง ๆ ซึ่งพระธรรมเยเนซิศพูดถึง ผมคงไม่สามารถจะพูดอะไรได้ดีไปกว่าพูดตามที่มีบันทึกอยู่ในบทแรกของเยเนซิศ.”b วอลเลซ แพรตต์นักธรณีวิทยาคนนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ลำดับเหตุการณ์—จากการเกิดของมหาสมุทรถึงการปรากฏของแผ่นดินแห้งกระทั่งการปรากฏตัวของสัตว์น้ำและต่อมามีนก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกับลำดับการแบ่งยุคตามหลักธรณีวิทยา.
[ภาพหน้า 27]
วันที่ 1: “ให้เกิดมีความสว่าง”
[ภาพหน้า 28]
วันที่ 2: “ให้มีพื้นอากาศ”
[ภาพหน้า 29]
วันที่ 3: “ให้ที่แห้งปรากฏขึ้น”
[ภาพหน้า 30]
วันที่ 3: “ให้ต้นหญ้า . . . งอกขึ้นในแผ่นดิน”
[ภาพหน้า 31]
วันที่ 4: ‘ให้มีดวงสว่างในพื้นอากาศ ให้ดวงใหญ่นั้นครองรักษาวัน และดวงเล็กครองรักษาคืน’
[ภาพหน้า 32]
วันที่ 5: ‘ให้จิตวิญญาณที่มีชีวิตเกิดขึ้นบริบูรณ์ในน้ำ และให้มีนกบินไปมาในอากาศเหนือแผ่นดิน’
[ภาพหน้า 33]
วันที่ 6: ‘สัตว์ใช้และสัตว์ป่าตามชนิดของมัน’
[ภาพหน้า 34]
วันที่ 6: “ได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง”
[ภาพหน้า 37]
โอกาสที่จะทำได้อย่างนี้ เมื่อพยายามครั้งแรก คือ 1 ใน 3,628,800 ครั้ง