บท 13
สัญชาตญาณ—ปัญญาที่ถูกกำหนดไว้ก่อนกำเนิด
1. ดาร์วินกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับสัญชาตญาณ?
ดาร์วินเขียนไว้ว่า “สัญชาตญาณหลาย ๆ อย่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก กระทั่งที่มาของมันอาจทำความยุ่งยากแก่ผู้อ่านถึงขั้นที่จะลบล้างทฤษฎีทั้งหมดของผมทีเดียว.” ดาร์วินคงรู้สึกว่าสัญชาตญาณเป็นความยุ่งยากที่หาคำตอบไม่ได้ เพราะในประโยคต่อไป เขาบอกว่า “ผมต้องขอแถลงว่า ผมไม่รู้อะไรเลยเรื่องต้นกำเนิดของความสามารถในการคิด พอ ๆ กับที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของชีวิต.”1
2. นักวิทยาศาสตร์บางคนในปัจจุบันมีความเห็นอย่างไร เรื่องสัญชาตญาณ?
2 นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถอธิบายสัญชาตญาณได้เช่นเดียวกับดาร์วิน. นักวิวัฒนาการคนหนึ่งบอกว่า “ความจริงก็คือกลไกทางพันธุกรรมไม่ได้แสดงแม้เพียงสักน้อยนิดว่ามันสามารถจะถ่ายทอดระบบพฤติกรรมเฉพาะบางอย่างได้. . . . เมื่อเราถามตัวเองว่า ระบบพฤติกรรมที่เป็นสัญชาตญาณเกิดขึ้นอย่างไรในตอนแรกแล้วกลายมาเป็นสิ่งกำหนดไว้ในทางพันธุกรรม เราไม่รู้คำตอบ.”2
3, 4. หนังสือเล่มหนึ่งกล่าวไว้อย่างไรเกี่ยวกับการเริ่มต้นของสัญชาตญาณการย้ายถิ่น และคำอธิบายนี้บกพร่องตรงไหน?
3 กระนั้น ต่างกับดาร์วินและนักวิวัฒนาการคนอื่น ๆ หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งแพร่หลายมากเป็นเรื่องเกี่ยวกับนก อธิบายสัญชาตญาณที่ลึกลับที่สุดอย่างหนึ่งโดยไม่เห็นว่าเป็นเรื่องยาก—นั้นคือการอพยพย้ายถิ่น. หนังสือนี้กล่าวว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขบวนการนี้ต้องเป็นแบบวิวัฒนาการ: นกที่เกิดในแถบถิ่นที่มีอากาศอบอุ่นอาจกระจายออกไปเพื่อหาอาหาร.”3
4 คำตอบที่ง่าย ๆ แบบนี้จะอธิบายได้ไหมถึงความสามารถอย่างน่าทึ่งของนกหลายชนิดที่อพยพย้ายถิ่น? นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าการบินเสาะหาที่ต่าง ๆ และพฤติกรรมที่นกเรียนรู้เองไม่ได้บรรจุไว้ในรหัสพันธุกรรม ดังนั้นจึงไม่ได้ถ่ายทอดไปถึงลูกของมัน. ต้องยอมรับว่า การอพยพย้ายถิ่นของนกเป็นสัญชาตญาณและ “ไม่ขึ้นกับประสบการณ์.”4 ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้.
ความสามารถอันน่าทึ่งของนกอพยพ
5. การย้ายถิ่นแบบไหนทำให้นกนางนวลแถบขั้วโลกเป็นผู้ชนะเลิศการอพยพระยะไกล และนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งตั้งคำถามอะไร?
5 ผู้ชนะเลิศในการอพยพระยะไกลได้แก่ นกนางนวลแถบขั้วโลก. มันอาศัยอยู่เหนือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล เมื่อหมดฤดูร้อนมันจะบินลงใต้ ใช้ชีวิตในฤดูร้อนแห่งแถบแอนตาร์กติกบนกลุ่มก้อนน้ำแข็งแถบขั้วโลกใต้. มันอาจจะบินรอบทวีปแอนตาร์กติกก่อนจะมุ่งทิศทางขึ้นเหนือเพื่อกลับสู่แถบอาร์กติก. ถึงตอนนั้นการย้ายถิ่นประจำปีของมันเป็นระยะทางประมาณ 35,000 กิโลเมตรก็สิ้นสุดลง. แหล่งอาหารที่สมบูรณ์มีพร้อมทั้งในบริเวณขั้วโลกเหนือและใต้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งตั้งคำถามว่า “นกพวกนี้รู้ได้อย่างไรว่ามีแหล่งอาหารเช่นนั้นอยู่ในที่ซึ่งห่างไกลขนาดนี้?”5 วิวัฒนาการไม่มีคำตอบ.
6, 7. มีอะไรที่ดูแปลกเกี่ยวกับการย้ายถิ่นของนกกระจ้อยแบล็คโพลล์ และคำถามอะไรบ้างทำให้เราตระหนักถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของมัน?
6 สิ่งที่วิวัฒนาการให้คำอธิบายไม่ได้เช่นกันคือ การอพยพย้ายถิ่นของนกกระจ้อยแบล็คโพลล์. นกชนิดนี้มีน้ำหนักตัวเพียง 20 กรัม. กระนั้นในฤดูใบไม้ร่วงมันจะบินจากอะแลสกาไปยังฝั่งตะวันออกของแคนาดาหรือนิว อิงแลนด์ หาอาหารกินอย่างจุใจ สะสมไขมัน ครั้นแล้วรออากาศหนาวที่พัดมา. เมื่ออากาศหนาวมามันจะเริ่มเดินทาง. จุดหมายปลายทางคืออเมริกาใต้ แต่มันมุ่งไปทางแอฟริกาก่อน. เมื่อบินไกลออกไปเหนือมหาสมุทรแอตแลนติกในระดับความสูงประมาณ 6,000 เมตร มันจะพบกับกระแสลมแน่ทิศซึ่งหอบมันไปถึงอเมริกาใต้.
7 นกกระจ้อยรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องรอให้อากาศหนาวมาเสียก่อนซึ่งจะเป็นเวลาที่สภาพอากาศดีและมีกระแสลมเป็นแรงช่วย? มันรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องบินสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอากาศเบาบางจนพบกับกระแสลมที่จะหอบมันไปถึงอเมริกาใต้? มันรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องมุ่งไปทางแอฟริกาเพื่อพบกับกระแสลมที่พัดไปทางตะวันตกเฉียงใต้? นกแบล็คโพลล์ทำอย่างนี้โดยไม่รู้ตัว. มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้นที่นำมันตลอดระยะ 4,000 กิโลเมตร ข้ามทะเลที่ไร้เครื่องหมายใด ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืนนานถึงสามหรือสี่วัน.
8. มีการกล่าวถึงความสามารถในการอพยพย้ายถิ่นอะไรอีก?
8 นกกระสาขาวอยู่ในยุโรปช่วงฤดูร้อน แต่บิน 13,000 กิโลเมตรไปใช้ชีวิตในฤดูหนาวที่แอฟริกาใต้. นกหัวโตหลังมีจุดสีทองเดินทางจากแถบอาร์กติกไปอาร์เยนตินา. นกเด้าดินบางชนิดอพยพใต้ไกลออกไปอีก 1,600 กิโลเมตรถึงสุดแผ่นดินอเมริกาใต้. นกอีก๋อยขายาวบินจากอะแลสกาไปยังเกาะตาฮิติและเกาะอื่น ๆ ข้ามทะเลอันเวิ้งว้างเป็นระยะถึง 10,000 กิโลเมตร. นกฮัมมิงเบิร์ดคอสีทับทิมตัวกระจิริด ซึ่งหนักเพียง 3 กรัมย้ายถิ่นไปไกลถึง 1,000 กิโลเมตรข้ามอ่าวเม็กซิโก กระพือปีกเล็ก ๆ ของมันเร็วถึง 75 ครั้งต่อวินาทีเป็นเวลา 25 ชั่วโมง. กระพือปีกมากกว่าหกล้านครั้งโดยไม่หยุดเลย!
9. (ก)อะไรแสดงว่าความสามารถในการอพยพย้ายถิ่นไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ แต่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ก่อนกำเนิด? (ข) การทดลองอะไรกับนกจมูกหลอดแมนซ์และนกพิราบสื่อสารแสดงว่านกเหล่านี้หาตำแหน่งได้ทุกทิศ?
9 หลายครั้งนกรุ่นใหม่อพยพย้ายถิ่นเป็นหนแรกโดยที่ไม่มีนกรุ่นเก่าร่วมไปด้วย. นกคัคคูหนุ่มหางยาวที่เพิ่งเติบใหญ่บินจากนิวซีแลนด์ระยะทาง 6,500 กิโลเมตรไปยังเกาะแปซิฟิกเพื่อสมทบนกรุ่นพ่อแม่ที่ไปอยู่ก่อนแล้ว. นกจมูกหลอดแมนซ์อพยพจากเวลส์ไปบราซิลทิ้งลูกอ่อนไว้เบื้องหลังซึ่งพอมันบินได้ก็จะตามไปสมทบทันที. นกจมูกหลอดแมนซ์ตัวหนึ่งถูกนำจากเวลส์ไปยังบอสตันไกลจากเส้นทางอพยพปกติของมัน. กระนั้นมันบินกลับรังของมันในแคว้นเวลส์ซึ่งเป็นโพรงลึกในดินไกลจากบอสตันถึง 5,100 กิโลเมตรภายใน 12 วันครึ่งเท่านั้น. เมื่อนำนกพิราบสื่อสารไปปล่อยไว้ที่ไหนก็ตามไกลจุดเดิม 1,000 กิโลเมตรมันเคยกลับถึงรังของมันภายในวันเดียว.
10. การทดลองอะไรแสดงถึงความสามารถในการรู้ทิศเดินทางของนกเพ็นกวินอะเดลี?
10 ตัวอย่างสุดท้าย: นกที่ไม่บินแต่เดินและว่ายน้ำได้. ลองพิจารณานกเพ็นกวินอะเดลี. เมื่อถูกนำไปปล่อย 2,000 กิโลเมตรไกลจากแหล่งที่อยู่ของมัน มันจะเริ่มดูทิศทางอย่างรวดเร็ว และเดินเป็นทางตรง ไม่ใช่เดินกลับไปบ้านที่มันถูกพามา แต่เดินออกไปสู่ทะเลเพื่อหาอาหาร. ในที่สุดมันก็เดินทางจากทะเลกลับบ้านมันได้. นกพวกนี้จะอยู่ในทะเลในช่วงหน้าหนาวซึ่งเกือบจะมืดมิด. นกเพ็นกวินรู้ทิศทางได้อย่างไรตลอดช่วงหน้าหนาวที่มืดมิดอย่างนั้น? ไม่มีใครรู้.
11. นกเพ็นกวินจะต้องมีอะไรเพื่อที่จะนำทางของมันได้อย่างน่าทึ่งเช่นนั้น?
11 นกต่าง ๆ เหล่านี้กำหนดทางเดินได้อย่างไร? การทดลองชี้ว่า มันอาจใช้ดวงอาทิตย์และดาวต่าง ๆ เป็นเครื่องนำทาง. ดูเหมือนว่ามันมีนาฬิกาอยู่ภายในซึ่งคอยแก้เผื่อสำหรับการเคลื่อนไหวของดวงดาว. แต่ถ้าฟ้ามืดครึ้มล่ะ? อย่างน้อยนกบางชนิดมีเข็มทิศแม่เหล็กในตัวที่จะใช้ได้ในตอนนั้น. แต่จะต้องมีอะไรมากกว่าเข็มทิศนำทาง. มันต้องมี “แผนที่” อยู่ในสมองด้วยซึ่งบอกทั้งจุดเริ่มต้นและจุดปลายทาง. และบนแผ่นที่จะต้องมีการขีดเส้นทางไว้ด้วยเนื่องจากเส้นทางที่ไปไม่ตรงเหยียด. แต่ทั้งหมดนี้จะไม่มีประโยชน์เลยนอกจากว่านกเหล่านั้นรู้ตำแหน่งของมันเองในแผนที่! นกจมูกหลอดแมนซ์จะต้องรู้ตำแหน่งของมันเมื่อถูกนำไปปล่อยที่บอสตันเพื่อจะกำหนดทิศทางที่จะกลับเวลส์ได้. นกพิราบสื่อสารจะต้องรู้ตำแหน่งที่มันถูกนำไปนั้นก่อนที่มันจะกำหนดทิศทางที่จะบินกลับรัง.
12. (ก) ยิระมะยากล่าวอย่างไรเกี่ยวกับการอพยพย้ายถิ่น ท่านพูดไว้เมื่อไร และเหตุใดจึงเป็นเรื่องน่าทึ่ง? (ข) เหตุใดเราจึงอาจไม่มีทางรู้เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับการอพยพย้ายถิ่น?
12 ล่วงมาจนถึงสมัยกลาง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนกย้ายถิ่นเป็นสิ่งที่หลายคนกังขาอยู่ แต่คัมภีร์ไบเบิลพูดในศตวรรษที่หกก่อนสากลศักราชว่า “นกกระสาในท้องฟ้ารู้ถึงเวลาที่จะอพยพ . . . รู้ฤดูที่จะกลับมา.” ปัจจุบันนี้เราเข้าใจมากขึ้น แต่ที่ยังไม่รู้มีอีกมาก. ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระองค์ได้ให้มนุษย์รู้สำนึกถึงอดีตและอนาคตแต่ไม่มีความเข้าใจในพระหัตถกิจของพระเจ้าตั้งแต่ต้นจนปลาย.”—ยิระมะยา 8:7; ท่านผู้ประกาศ 3:11, เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล.
นักเดินทางประเภทอื่น
13. นอกจากนกแล้ว มีสัตว์อย่างอื่นอะไรบ้างที่อพยพย้ายถิ่น?
13 ปลาวาฬหลายชนิดเดินทาง 10,000 กิโลเมตร จากมหาสมุทรอาร์กติกแล้วกลับมาถิ่นเดิมอีก. แมวน้ำขนอพยพระหว่างเกาะพริบิลอฟและแคลิฟอร์เนียใต้ซึ่งห่างกันถึง 4,800 กิโลเมตร. เต่าตนุเดินทางจากฝั่งทะเลของบราซิลไปยังเกาะอัสเซนซัน เกาะเล็ก ๆ ไกลออกไป 2,200 กิโลเมตรในมหาสมุทรแอตแลนติกแล้วกลับมา. ปูบางชนิดอพยพโดยการเดินบนก้นทะเลเป็นระยะทางถึง 240 กิโลเมตร. ปลาซัลมอนไปจากลำธารที่มันเกิดและโตที่นั่นแล้วว่ายอยู่ในทะเลใหญ่สองสามปี หลังจากนั้นได้ว่ายทวนน้ำไปถึงลำธารที่มันเกิดซึ่งห่างกันหลายร้อยกิโลเมตร. ลูกปลาไหลที่เกิดในทะเลซาร์แกสโซแถบแอตแลนติกใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในลำธารน้ำจืดของสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่จะกลับไปทะเลซาร์แกสโซเพื่อออกไข่.
14. อะไรคือสิ่งอัศจรรย์เกี่ยวกับการอพยพย้ายถิ่นของผีเสื้อดอกรัก และมีความลี้ลับอะไรที่เรายังไม่รู้?
14 ผีเสื้อดอกรักบินไปจากแคนาดาในฤดูใบไม้ร่วง ส่วนใหญ่มันจะผ่านฤดูหนาวในแคลิฟอร์เนียหรือเม็กซิโก. บางครั้ง มันเดินทางกว่า 3,000 กิโลเมตร ผีเสื้อตัวหนึ่งเคยบินไกล 130 กิโลเมตรในหนึ่งวัน. ฝูงผีเสื้อบินลงเกาะต้นไม้ที่ให้ร่มเงา—ในหมู่ไม้เดิม กระทั่งต้นไม้ต้นเดิมปีแล้วปีเล่าเสียด้วยซ้ำ. แต่ไม่ใช่ผีเสื้อตัวเดิม! เมื่อมันจะบินกลับช่วงฤดูใบไม้ผลิ มันจะวางไข่ไว้ตามต้นรัก. ลูกผีเสื้อรุ่นเกิดใหม่ก็จะอพยพขึ้นไปทางเหนือต่อไป และในฤดูใบไม้ร่วงปีถัดไป มันจะเดินทาง 3,000 กิโลเมตรลงไปทางใต้เหมือนที่ตัวพ่อตัวแม่เคยทำและลงเกาะกันอยู่หนาแน่นในหมู่ไม้เดิม. หนังสือ เรื่องราวการผสมเกสร กล่าวว่า “ผีเสื้อที่บินลงใต้ในฤดูใบไม้ร่วงเป็นรุ่นหนุ่มซึ่งยังไม่เคยเห็นสถานที่ ๆ มันจะมาจำศีลอยู่. อะไรทำให้ฝูงผีเสื้อพบแหล่งนี้ ข้อนี้ยังคงเป็นความลึกลับของธรรมชาติที่ยังหาคำตอบไม่ได้.”6
15. คำอะไรคำเดียวตอบคำถามหลายข้อเกี่ยวกับปัญญาของสัตว์ต่าง ๆ?
15 ปัญญาโดยสัญชาตญาณไม่ได้มีแค่ในเรื่องการอพยพย้ายถิ่นเท่านั้น. ตัวอย่างสั้น ๆ เหล่านี้คงช่วยให้เราเห็น.
ปลวกตาบอดนับล้าน ๆ ตัวทำงานประสานกันได้อย่างไร เพื่อสร้างรังพร้อมทั้งมีการปรับอากาศอย่างประณีต? สัญชาตญาณ.
แมงมุมซึ่งอาศัยอยู่ใน “ระฆังใต้น้ำ” รู้ได้อย่างไรว่าเมื่อออกซิเจนหมด มันต้องเจาะรูของระฆังใต้น้ำนี้เพื่อปล่อยอากาศเสียออกไปแล้วต้องปะรูนั้นและนำอากาศบริสุทธิ์ลงไปใหม่? สัญชาตญาณ.
ด้วงไมยราบรู้ได้อย่างไรว่ามันต้องวางไข่ใต้เปลือกกิ่งไมยราบ แล้วเข้ามาหาลำต้นประมาณศอกหนึ่งแล้วกัดเปลือกรอบกิ่งนั้นเพื่อกิ่งจะแห้งตาย เนื่องจากไข่ด้วงชนิดนี้จะไม่ฟักออกเป็นตัวถ้าไม้นั้นยังสดอยู่? สัญชาตญาณ.
ลูกจิงโจ้ขนาดเท่าเมล็ดถั่วซึ่งเกิดมาไม่ลืมตา และยังไม่โตเต็มที่รู้ได้อย่างไรว่าการที่จะอยู่รอดได้ โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือ มันต้องกระเสือกกระสนไต่ขนของแม่มันไปที่บริเวณหน้าท้องแล้วไต่ลงไปในถุง แล้วเกาะติดกับหัวนมอันหนึ่ง? สัญชาตญาณ.
ผึ้งหาน้ำหวานที่เต้นรำบอกผึ้งตัวอื่นได้อย่างไรว่า น้ำหวานเกสรมีอยู่ที่ไหน มีมากเท่าใดไกลแค่ไหน อยู่ในทิศทางใด และเป็นดอกไม้ชนิดไหน? สัญชาตญาณ.
16. ปัญญาของสัตว์ที่ส่อพฤติกรรมต่าง ๆ เช่นนี้จะต้องมาจากแหล่งไหน?
16 คำถามดังกล่าวอาจมีมากมายจนรวบรวมได้เป็นเล่ม แต่คำตอบก็จะเป็นเหมือนกันหมดคือ “มันมีปัญญาโดยสัญชาตญาณ.” (สุภาษิต 30:24,ล.ม.) นักค้นคว้าคนหนึ่งรู้สึกสงสัยว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่ความรู้โดยสัญชาตญาณที่ซับซ้อนเช่นนี้จะพัฒนาขึ้นและถ่ายทอดไปถึงรุ่นต่อไป?”7 มนุษย์อธิบายไม่ได้. ไม่อาจเกิดขึ้นมาได้โดยวิวัฒนาการ. แต่ความฉลาดเช่นนั้นต้องมีแหล่งที่มา. ปัญญาเช่นนั้นต้องมีแหล่งที่มีปัญญา. จำต้องมีผู้สร้างที่ฉลาดมีปัญญา.
17. นับว่าฉลาดที่จะเลี่ยงการหาเหตุผลแบบใดของนักวิวัฒนาการหลายคน?
17 กระนั้น หลายคนที่เชื่อในวิวัฒนาการมักจะปฏิเสธหลักฐานเรื่องการสร้างทั้งหมดโดยบอกว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่พิจารณากันตามหลักวิทยาศาสตร์. แต่อย่าปล่อยให้ทัศนะแคบ ๆ เช่นนี้กันคุณไว้จากการพิจารณาหลักฐาน. ยังมีอีกในบทต่อไป.
[คำโปรยหน้า 160]
ดาร์วินบอกว่า “ผมไม่รู้อะไรเลยเรื่องต้นกำเนิดของความสามารถในการคิด”
[คำโปรยหน้า 160]
สัญชาตญาณเกิดขึ้นอย่างไร แล้วเป็นสิ่งสืบทอดต่อมานั้น “เราไม่รู้คำตอบ”
[คำโปรยหน้า 167]
“มันมีปัญญาโดยสัญชาตญาณ”
[กรอบ/ภาพหน้า 164, 165]
สัญชาตญาณและการสร้างรัง
จี. อาร์. เทเลอร์ นักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์กล่าวเกี่ยวกับกลไกทางพันธุกรรมว่า “ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่แสดงว่ากลไกนั้นจะถ่ายทอดระบบพฤติกรรมบางอย่างเฉพาะได้ เช่น กิจกรรมต่อเนื่องเกี่ยวกับการสร้างรัง.”a กระนั้น ปัญญาอันเป็นสัญชาตญาณการสร้างรังนั้นสืบทอด ต่อกันมา ไม่ใช่สิ่งที่นกเรียนรู้. ลองพิจารณาบางตัวอย่าง.
นกเงือก แห่งแอฟริกาและเอเชีย. ตัวเมียนำดินเหนียวไปพอกที่ปากโพรงของต้นไม้จนเหลือช่องที่มันพอเบียดตัวเข้าไปได้. ตัวผู้จะคาบเอาโคลนมาให้แม่นกจนกระทั่งแม่นกปิดรูจนเหลือเพียงช่องเล็กเปิดอยู่. ตัวผู้จะป้อนอาหารให้แม่นกผ่านช่องนี้ และในที่สุดลูกนกออกเป็นตัว. เมื่อพ่อนกไม่สามารถหาอาหารได้พอเลี้ยง แม่นกจะทลายช่องออกมา. ตอนนี้ลูกนกจะเป็นผู้ซ่อมแซมรูเปิดนี้ และทั้งพ่อนกแม่นกจะหาอาหารมาเลี้ยงลูกนกเหล่านั้น. หลายอาทิตย์ต่อมาลูกนกก็จะทลายผนังแล้วบินออกจากรัง. ในขณะเดียวกันเรามองเห็นหลักฐานการออกแบบด้วยมีจุดมุ่งหมายมิใช่หรือที่ให้แม่นกขณะอยู่กกไข่ในรัง ไม่บินไปไหนนั้น มันผลัดขนทั้งตัวและมีขนใหม่งอกขึ้นมาอีก?
นกแอ่น มีชนิดหนึ่งสร้างรังด้วยน้ำลายของมัน. ก่อนจะถึงฤดูผสมพันธุ์ ต่อมน้ำลายจะโตขึ้นและให้น้ำลายเหนียวข้น. ตอนนี้มันรู้โดยสัญชาตญาณว่าจะต้องทำอย่างไรกับน้ำลาย. มันจะหยดน้ำลายลงละเลงบนพื้นหิน เมื่อน้ำลายแห้งแล้วก็หยดเติมลงไปอีกทีละชั้นจนได้รังรูปเหมือนถ้วย. นกแอ่นอีกชนิดหนึ่งสร้างรังขนาดไม่ใหญ่กว่าช้อนชาติดไว้กับใบปาล์ม แล้วออกไข่ไว้ให้ติดแน่นกับรัง.
นกเพ็นกวินจักรพรรดิ มีรังติดอยู่กับตัว. ในช่วงฤดูหนาวแถบแอนตาร์กติก ตัวเมียจะวางไข่และออกไปจับปลาราวสองหรือสามเดือน. ตัวผู้จะเอาไข่วางไว้บนเท้าของมันซึ่งอุดมด้วยเส้นเลือดและใช้ส่วนท้องของมันห้อยทับลงมาทำเป็นช่องกกไข่. แม่นกไม่ลืมพ่อนกและลูก. เมื่อไข่ฟักออกเป็นตัวแล้วแม่นกจะกลับมาพร้อมกับอาหารเต็มท้องและมันก็จะสำรอกอาหารออกมาเลี้ยงลูกของมัน. แล้วตัวผู้ก็จะออกไปหาอาหารในขณะที่ตัวเมียให้ลูกอยู่บนเท้าของมันแล้วทำช่องกกลูกแบบเดียวกัน.
นกกระจาบ ในแอฟริกาใช้หญ้าหรือสิ่งอื่น ๆ มีลักษณะเป็นเส้นมาทำรังชนิดที่ห้อยลงมา. มันใช้วิธีสานทอและขมวดปมหลายแบบโดยสัญชาตญาณ. นกกระจาบที่อยู่กันเป็นกลุ่มสร้างรังซึ่งดูคล้ายอาคารชุดโดยสร้างหลังคาสานที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 5 เมตรติดกับกิ่งไม้ที่แข็งแรงและใต้หลังคานี้นกหลายคู่ก็จะสร้างรังห้อยติดไว้. จะมีรังใหม่เพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ จนบางครั้งมีมากกว่าหนึ่งร้อยรังอยู่ภายใต้หลังคาเดียว.
นกกระจิบ ในทวีปเอเชียตอนใต้ทำเส้นด้ายจากดอกฝ้าย หรือใยเปลือกไม้และใยแมงมุมโดยที่มันเอามาต่อกันเป็นเส้นยาว. มันใช้จะงอยปากเจาะรูที่ขอบทั้งสองของใบไม้ใหญ่. จากนั้นมันใช้จะงอยปากสอดด้ายผ่านรูที่ขอบใบทั้งสองด้านและดึงขอบทั้งสองด้านเข้าหากันเหมือนเราร้อยเชือกผูกรองเท้า. เมื่อด้ายหมดมันจะผูกปมไว้หรือต่อด้ายเส้นใหม่เข้าไปและเย็บต่อ. โดยวิธีนี้มันทำให้ใบไม้ใหญ่นั้นดูเป็นกระเปาะซึ่งมันใช้ทำรัง.
นกทิทส์เพนดูไลน์ สร้างรังห้อยลงมามีลักษณะเหมือนสักหลาดอัดเพราะมันใช้เศษพืชและหญ้าที่นุ่มเป็นปุยมาทำรัง. โครงสร้างหลักสำหรับรังนั้นนกสานเส้นหญ้าที่ยาวกว่ากลับไปกลับมา. มันใช้จะงอยดันปลายเส้นหญ้าสอดร่างแห. แล้วมันจะใช้เส้นสั้น ๆ ของเศษวัตถุที่นุ่มเหล่านี้สานสอดกันเข้าไป. วิธีการนี้คล้ายกับวิธีทอพรมของชาวตะวันออก. รังเหล่านี้แข็งแรงและนุ่มมากจนเคยนำมาใช้เป็นกระเป๋าหรือรองเท้าแตะสำหรับเด็ก.
นกคูทหงอน ตามปกติมันจะสร้างรังของมันบนเกาะเรียบเล็กกลางน้ำ. แต่บริเวณที่นกเหล่านี้อาศัยอยู่ ไม่ค่อยมีเกาะแบบนี้. ดังนั้น นกคูทหงอนจึงสร้างเกาะของมันเอง! มันจะเลือกทำเลที่เหมาะ ๆ กลางน้ำ และเริ่มขนหินโดยใช้จะงอยปากของมัน. มันคาบก้อนหินมาถมในน้ำที่ลึกราวครึ่งเมตรถึงเมตรจนกระทั่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ขึ้นมา. ฐานของเกาะอาจกว้างถึง 4 เมตรและกองหินอาจมีน้ำหนักเกินหนึ่งตัน. บนเกาะที่เป็นกองหินนี้ แล้วนกคูทหงอนจะนำเศษพืชมาสร้างรังใหญ่ของมัน.
[ภาพหน้า 161]
นกนางนวลขั้วโลกอพยพย้ายถิ่น 35,000 กิโลเมตรทุกปี
นกกระจ้อยที่มีสมองขนาดเท่าเมล็ดถั่วตัวนี้มีความรู้มากมายเกี่ยวกับสภาพอากาศและทิศเดินทางได้อย่างไร?
[ภาพหน้า 162]
เมื่ออพยพย้ายถิ่น นกฮัมมิงเบิร์ดกระพือปีกมากถึง 75 ครั้งต่อวินาทีเป็นเวลา 25 ชั่วโมง
เกิดมาพร้อมกับ “แผนที่” ในหัวของมัน นกอพยพรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน และจะไปทิศทางใด
[ภาพหน้า 163]
นกเพ็นกวินอาศัยในทะเลที่เกือบมืดสนิทนานหลายเดือน แล้วจึงอพยพกลับถิ่นเกิดของมันอย่างไม่ผิดพลาดเลย
[ภาพหน้า 166]
หลังจากเดินทาง 3,200 กิโลเมตรลงมาทางใต้ ผีเสื้อดอกรักเกาะพักในที่อาศัยช่วงฤดูหนาว