บท 19
การประทับตราอิสราเอลของพระเจ้า
นิมิต 4—วิวรณ์ 7:1-17
เรื่อง: ชน 144,000 คนถูกประทับตรา และชนฝูงใหญ่ยืนอยู่ต่อหน้าราชบัลลังก์และต่อหน้าพระเมษโปดก
เวลาที่สำเร็จเป็นจริง: ตั้งแต่การขึ้นครองราชย์ของพระเยซูคริสต์ในปี 1914 เป็นต้นมาจนเข้าสู่รัชสมัยพันปีของพระองค์
1. “ใครจะยืนมั่นอยู่ได้” ในวันใหญ่แห่งพระพิโรธของพระเจ้า?
“ใครจะยืนมั่นอยู่ได้เล่า?” (วิวรณ์ 6:17, ล.ม.) ใช่แล้ว ใครเล่า? เมื่อวันใหญ่แห่งพระพิโรธของพระเจ้าทำลายล้างระบบของซาตาน พวกผู้ครอบครองและประชาชาติต่าง ๆ ของโลกอาจจะถามคำถามนั้น. สำหรับพวกเขาแล้ว จะดูเหมือนว่า มหันตภัยที่กำลังใกล้เข้ามาจะทำลายชีวิตมนุษย์ให้สิ้นซาก. แต่จะเป็นเช่นนั้นไหม? น่ายินดีที่ผู้พยากรณ์ของพระเจ้ารับรองกับเราว่า “ทุกคนที่ออกพระนามพระยะโฮวาจะรอด.” (โยเอล 2:32) อัครสาวกเปโตรและเปาโลก็ยืนยันความจริงในเรื่องนั้น. (กิจการ 2:19-21; โรม 10:13) ใช่แล้ว ผู้ที่ร้องออกพระนามของพระยะโฮวาจะรอดชีวิต. คนเหล่านี้เป็นใครกัน? ในขณะที่นิมิตถัดไปค่อย ๆ คลี่ออก เราจะได้เห็น.
2. เพราะเหตุใดจึงน่าทึ่งที่มีผู้ที่รอดชีวิตอยู่ในวันพิพากษาของพระยะโฮวา?
2 การที่ใคร ๆ จะผ่านวันแห่งการพิพากษาของพระยะโฮวาแล้วยังมีชีวิตอยู่นั้นน่าประหลาด เพราะผู้พยากรณ์อีกคนหนึ่งของพระเจ้าได้พรรณนาถึงวันนั้นด้วยถ้อยคำเหล่านี้: “นี่แน่ะ! ลมหัวด้วนของพระยะโฮวากำลังออกไป, ด้วยแรงกล้า, เป็นลมหัวด้วนที่ยังมิได้หยุด, ลมหัวด้วนนั้นจะตกทับบนศีรษะคนชั่ว. ความพิโรธอันแรงกล้าของพระยะโฮวาจะไม่กลับคืน, กว่าพระองค์จะได้สำเร็จซึ่งกิจธุระนั้น กว่าพระองค์จะได้กระทำความดำริของพระองค์ให้แล้ว.” (ยิระมะยา 30:23, 24) จึงเป็นการรีบด่วนที่เราจะดำเนินการเพื่อให้ผ่านพ้นพายุนั้น!—สุภาษิต 2:22; ยะซายา 55:6, 7; ซะฟันยา 2:2, 3.
ลมจากสี่ทิศ
3. (ก) โยฮันเห็นหมู่ทูตสวรรค์ปฏิบัติหน้าที่พิเศษอะไร? (ข) “ลมจากสี่ทิศ” เป็นสัญลักษณ์ถึงสิ่งใด?
3 ก่อนที่พระยะโฮวาจะทรงปล่อยพายุรุนแรงเช่นนั้น หมู่ทูตสวรรค์ได้ปฏิบัติหน้าที่พิเศษอย่างหนึ่ง. ตอนนี้โยฮันได้เห็นในนิมิตดังนี้: “หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์สี่องค์ยืนอยู่ที่สี่มุมโลกกำลังห้ามลมจากสี่ทิศไม่ให้พัดโดนแผ่นดินหรือทะเลหรือต้นไม้ต้นใด.” (วิวรณ์ 7:1, ล.ม.) สิ่งนี้มีความหมายอะไรสำหรับพวกเราในทุกวันนี้? “ลมจากสี่ทิศ” เป็นสัญลักษณ์อันเด่นชัดของการทำลายตามการพิพากษาซึ่งกำลังจะถูกปล่อยบนสังคมที่ชั่วช้าของโลก คือ “ทะเล” ที่ซัดไปมาแห่งมนุษยชาติที่ละเลยกฎหมาย และบนผู้ครอบครองที่หยิ่งผยองดุจต้นไม้ที่ดึงเอาการสนับสนุนและการค้ำจุนจากประชาชนของโลก.—ยะซายา 57:20; บทเพลงสรรเสริญ 37:35, 36.
4. (ก) ทูตสวรรค์ทั้งสี่เป็นตัวแทนของอะไร? (ข) อะไรจะเป็นผลที่เกิดขึ้นกับองค์การทางโลกนี้ของซาตานเมื่อลมทั้งสี่ถูกปล่อยออกมา?
4 ไม่ต้องสงสัย ทูตสวรรค์สี่องค์หมายถึงหมู่ทูตสวรรค์สี่หมู่ซึ่งพระยะโฮวาทรงใช้ให้ยับยั้งการลงโทษตามคำพิพากษาเอาไว้จนกว่าจะถึงเวลากำหนด. เมื่อทูตสวรรค์ปล่อยลมแห่งพระพิโรธของพระเจ้าให้หมุนวนพร้อมกันจากทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก การทำลายล้างนั้นคงจะใหญ่โตมาก. การทำลายล้างนั้นคงจะคล้ายคลึง (แต่จะมีขนาดใหญ่กว่ามาก) กับคราวที่พระยะโฮวาทรงใช้ลมจากสี่ทิศเพื่อทำให้ชาวเอลามโบราณกระจัดกระจายไป บดขยี้และกำจัดพวกเขาจนสิ้นซาก. (ยิระมะยา 49:36-38) การทำลายล้างนั้นจะเป็นลมพายุขนาดมหึมาซึ่งมีกำลังในการทำลายเหนือกว่า “พายุ” ที่พระยะโฮวาทรงใช้ในการทำลายล้างชาติอำโมนเสียอีก. (อาโมศ 1:13-15) ไม่มีส่วนไหนในองค์การของซาตานบนแผ่นดินโลกนี้จะทนทานอยู่ได้ในวันแห่งพระพิโรธของพระยะโฮวา เมื่อพระองค์จะทรงพิสูจน์ว่าพระบรมเดชานุภาพของพระองค์นั้นถูกต้องไปจนตลอดกาล.—บทเพลงสรรเสริญ 83:15, 18; ยะซายา 29:5, 6.
5. คำพยากรณ์ของยิระมะยาช่วยเราอย่างไรให้เข้าใจว่า การพิพากษาของพระเจ้าจะครอบคลุมทั่วแผ่นดินโลก?
5 เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการพิพากษาของพระเจ้าจะครอบคลุมทั่วทั้งแผ่นดินโลก? จงฟังยิระมะยาผู้พยากรณ์ของพระองค์อีกครั้ง: “นี่แน่ะ! ความหายนะจะออกไปตามชาติต่าง ๆ และพายุร้ายยิ่งจะก่อขึ้นจากส่วนสุดไกลแห่งแผ่นดินโลก. และคนที่ถูกพระยะโฮวาประหารในวันนั้นจะมีตั้งแต่ปลายแผ่นดินโลกข้างหนึ่งจนถึงปลายแผ่นดินโลกอีกข้างหนึ่ง.” (ยิระมะยา 25:32, 33, ล.ม.) ในช่วงที่มีพายุใหญ่นี่เองที่ความมืดจะแผ่คลุมไปทั่วโลกนี้. ตัวแทนทางการปกครองของโลกนี้จะถูกเขย่าจนเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน. (วิวรณ์ 6:12-14) แต่อนาคตจะไม่มืดมนสำหรับทุกคน. ถ้าเช่นนั้น ลมทั้งสี่ถูกยับยั้งเพื่อใครกัน?
การประทับตราทาสทั้งหลายของพระเจ้า
6. ผู้ที่บอกให้ทูตสวรรค์ยึดลมจากสี่ทิศไว้นั้นคือใคร และการนี้จึงทำให้มีเวลาสำหรับอะไร?
6 โยฮันพรรณนาต่อไปถึงวิธีที่บางคนจะได้รับการหมายไว้เพื่อการรอดชีวิต โดยกล่าวว่า “แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งขึ้นมาจากทิศตะวันออก มีดวงตราของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทูตสวรรค์องค์นั้นร้องบอกทูตสวรรค์ทั้งสี่ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำความเสียหายแก่แผ่นดินโลกและทะเลด้วยเสียงอันดังว่า ‘อย่าทำความเสียหายแก่แผ่นดินโลกหรือทะเลหรือต้นไม้ จนกว่าเราจะได้ประทับตราบนหน้าผากทาสทั้งหลายของพระเจ้าของเราเสียก่อน.’”—วิวรณ์ 7:2, 3, ล.ม.
7. จริง ๆ แล้วใครคือทูตสวรรค์องค์ที่ห้า และมีพยานหลักฐานอะไรที่ช่วยเราให้รู้ว่าพระองค์คือใคร?
7 แม้ว่าไม่ได้กล่าวถึงชื่อของทูตสวรรค์องค์ที่ห้านี้ แต่หลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ว่าทูตสวรรค์องค์นั้นจะต้องเป็นพระเยซูเจ้าผู้ทรงสง่าราศี. สอดคล้องกับการที่พระเยซูทรงเป็นอัครทูตสวรรค์ มีการแสดงให้เห็นในที่นี้ว่า พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือทูตสวรรค์องค์อื่น ๆ. (1 เธซะโลนิเก 4:16; ยูดา 9) พระองค์เสด็จขึ้นมาจากทิศตะวันออก เช่นเดียวกับ “กษัตริย์องค์เหล่านั้นที่มาจากทิศตะวันออก”—คือพระยะโฮวาและพระคริสต์ของพระองค์—ซึ่งเสด็จมาลงโทษตามคำพิพากษาดังที่กษัตริย์ดาระยาศและไซรัสทรงทำในคราวที่โค่นบาบิโลนลง. (วิวรณ์ 16:12; ยะซายา 45:1; ยิระมะยา 51:11; ดานิเอล 5:31) ทูตสวรรค์องค์นี้ยังเหมือนกับพระเยซูในแง่ที่ท่านได้รับมอบหมายให้ประทับตราคริสเตียนผู้ถูกเจิม. (เอเฟโซ 1:13, 14) ยิ่งกว่านี้ เมื่อลมถูกปล่อยให้พัดออกไป พระเยซูเองเป็นผู้นำกองทัพภาคสวรรค์ในการสำเร็จโทษต่อนานาชาติ. (วิวรณ์ 19:11-16) ฉะนั้น ตามเหตุผลแล้ว พระเยซูทรงเป็นผู้ที่บัญชาให้ยับยั้งการทำลายองค์การทางโลกนี้ของซาตานไว้จนกว่าทาสทั้งหลายของพระเจ้าจะได้รับการประทับตรา.
8. การประทับตราคืออะไร และเริ่มขึ้นเมื่อไร?
8 การประทับตรานี้คืออะไร และใครคือทาสทั้งหลายของพระเจ้า? การประทับตราได้เริ่มขึ้นในวันเพนเทคอสต์ปีสากลศักราช 33 เมื่อคริสเตียนชาวยิวพวกแรกถูกเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์. ต่อมา พระเจ้าทรงเรียกและเจิม “พวกต่างประเทศ.” (โรม 3:29; กิจการ 2:1-4, 14, 32, 33; 15:14) อัครสาวกเปาโลเขียนเกี่ยวกับการที่คริสเตียนผู้ถูกเจิมมีหลักประกันว่า พวกเขา ‘เป็นของพระคริสต์’ และยังเขียนเพิ่มเติมว่า พระเจ้า “ทรงประทับตราเราไว้, และประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้ในใจของเราด้วย.” (2 โกรินโธ 1:21, 22; เทียบกับวิวรณ์ 14:1.) ดังนั้น เมื่อทาสเหล่านี้ถูกรับเข้ามาเป็นบุตรฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า พวกเขาก็ได้รับเครื่องหมายแห่งมรดกฝ่ายสวรรค์ไว้ล่วงหน้า นั่นคือตราประทับ หรือคำมั่นสัญญานั่นเอง. (2 โกรินโธ 5:1, 5; เอเฟโซ 1:10, 11) ครั้นแล้ว พวกเขากล่าวได้ว่า “พระวิญญาณเองเป็นพยานร่วมกับวิญญาณของเราว่า เราเป็นบุตรของพระเจ้า. ดังนั้น ถ้าเราเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาทด้วย คือเป็นทายาทของพระเจ้า แต่เป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราทนทุกข์ร่วมกันเพื่อเราจะได้รับสง่าราศีร่วมกันด้วย”—โรม 8:15-17, ล.ม.
9. (ก) เหล่าบุตรที่ได้รับกำเนิดด้วยพระวิญญาณที่เหลืออยู่ของพระเจ้าต้องมีความอดทนอย่างไร? (ข) การทดสอบพวกผู้ถูกเจิมจะดำเนินไปนานเท่าใด?
9 “ถ้าเราทนทุกข์ร่วมกัน”—นั้นหมายความว่ากระไร? เพื่อจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต คริสเตียนผู้ถูกเจิมจะต้องเพียรอดทน ซื่อสัตย์ตราบเท่าวันตาย. (วิวรณ์ 2:10) ไม่ใช่เรื่องของการ ‘รอดครั้งเดียว ก็รอดตลอดไป.’ (มัดธาย 10:22; ลูกา 13:24) ตรงกันข้าม พวกเขาได้รับการเตือนว่า “จงยิ่งอุตส่าห์กระทำให้การที่พระเจ้าทรงเรียกและเลือกท่านไว้แล้วนั้นให้ถึงที่สำเร็จแน่นอน.” เช่นเดียวกับอัครสาวกเปาโล ในที่สุด พวกเขาจะต้องกล่าวให้ได้ว่า “ข้าพเจ้าเข้าในการปล้ำสู้อย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งแข่งถึงที่สุดปลายทางแล้ว ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อนั้นไว้แล้ว.” (2 เปโตร 1:10, 11; 2 ติโมเธียว 4:7, 8) ฉะนั้น การทดสอบและการฝัดร่อนบุตรที่ได้รับกำเนิดด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าที่ยังเหลืออยู่จะต้องดำเนินต่อไปบนแผ่นดินโลกนี้จนกว่าพระเยซูและทูตสวรรค์ที่ร่วมสมทบกับพระองค์จะได้ประทับตรา “บนหน้าผาก” ของคนเหล่านั้นทุกคนไว้อย่างมั่นคง โดยระบุตัวพวกเขาอย่างแน่นอนและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ในฐานะ “ทาสทั้งหลายของพระเจ้าของเรา” ผู้ซื่อสัตย์ซึ่งผ่านการทดสอบมาแล้ว. ตราประทับนั้นก็จะกลายเป็นเครื่องหมายถาวร. เห็นได้ชัดว่า เมื่อลมทั้งสี่แห่งความทุกข์ลำบากถูกปล่อย อิสราเอลฝ่ายวิญญาณทั้งหมดจะได้รับการประทับตราไว้แล้วเป็นขั้นสุดท้าย. แม้จะมีบางคนยังมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่ก็ตาม. (มัดธาย 24:13; วิวรณ์ 19:7) จำนวนสมาชิกทั้งหมดจะครบถ้วน!—โรม 11:25: 26.
กี่คนได้รับการประทับตรา?
10. (ก) พระคัมภีร์ข้อใดบ้างที่บ่งชี้ว่า จำนวนผู้ที่ถูกประทับตรานั้นมีจำกัด? (ข) จำนวนผู้ถูกประทับตราทั้งสิ้นมีเท่าใด และมีการจัดลำดับพวกเขาอย่างไร?
10 พระเยซูตรัสกับคนเหล่านั้นซึ่งหวังจะได้รับการประทับตรานี้ว่า “ฝูงแกะเล็กน้อยเอ๋ย. อย่ากลัวเลย, เพราะว่าพระบิดาของท่านชอบพระทัยจะประทานแผ่นดินนั้นให้แก่ท่าน.” (ลูกา 12:32) ข้อคัมภีร์อื่น ๆ เช่น วิวรณ์ 6:11 และโรม 11:25 แสดงว่า จำนวนฝูงแกะเล็กน้อยนี้มีจำนวนจำกัดจริง ๆ และที่จริง ได้กำหนดจำนวนไว้ก่อนแล้ว. คำกล่าวต่อไปของโยฮันได้ยืนยันในเรื่องนี้: “ข้าพเจ้าได้ยินว่าผู้ที่ถูกประทับตรามีจำนวนหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคน มาจากทุกตระกูลแห่งเหล่าบุตรของอิสราเอล คือ จากตระกูลยูดาห์ มีหนึ่งหมื่นสองพันคนถูกประทับตรา จากตระกูลรูเบน มีหนึ่งหมื่นสองพันคน จากตระกูลกาด มีหนึ่งหมื่นสองพันคน จากตระกูลอาเชอร์ มีหนึ่งหมื่นสองพันคน จากตระกูลนัฟทาลี มีหนึ่งหมื่นสองพันคน จากตระกูลมานาเซห์ มีหนึ่งหมื่นสองพันคน จากตระกูลซิมโอน มีหนึ่งหมื่นสองพันคน จากตระกูลเลวี มีหนึ่งหมื่นสองพันคน จากตระกูลยิสซาคาร์ มีหนึ่งหมื่นสองพันคน จากตระกูลซะบูโลน มีหนึ่งหมื่นสองพันคน จากตระกูลโยเซฟ มีหนึ่งหมื่นสองพันคน จากตระกูลเบนยามิน มีหนึ่งหมื่นสองพันคนถูกประทับตรา.”—วิวรณ์ 7:4-8, ล.ม.
11. (ก) เพราะเหตุใดการอ้างถึง 12 ตระกูลจึงไม่อาจใช้ได้กับชนอิสราเอลโดยสายเลือด? (ข) ทำไมพระธรรมวิวรณ์จึงให้รายชื่อของ 12 ตระกูล? (ค) ในอิสราเอลของพระเจ้าเหตุใดจึงไม่มีตระกูลใดเป็นกษัตริย์หรือปุโรหิตโดยเฉพาะ?
11 ข้อนี้จะหมายถึงอิสราเอลตามตัวอักษร โดยสายเลือดได้ไหม? ไม่ เนื่องจากวิวรณ์ 7:4-8 บอกรายชื่อของตระกูลซึ่งแตกต่างไปจากที่เคยมี. (อาฤธโม 1:17, 47) เห็นได้ชัดว่า รายชื่อในที่นี้มิใช่เพื่อระบุชาวยิวโดยสายเลือดโดยทางตระกูลต่าง ๆ ของเขา แต่เพื่อแสดงถึงโครงสร้างขององค์การที่คล้ายคลึงกันสำหรับอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ. นี่เป็นองค์การที่มีดุลยภาพ. จะมีสมาชิก 144,000 คนพอดีสำหรับชนชาติใหม่นี้—12,000 คนจากแต่ละตระกูลของ 12 ตระกูล. ไม่มีตระกูลใดในอิสราเอลของพระเจ้านี้จะเป็นกษัตริย์หรือปุโรหิตโดยเฉพาะ. ชนทั้งชาติจะปกครองเป็นกษัตริย์ และชนทั้งชาติจะรับใช้ในฐานะปุโรหิต.—ฆะลาเตีย 6:16; วิวรณ์ 20:4, 6.
12. เหตุใดจึงเหมาะสมที่ผู้ปกครอง 24 คนนั้นร้องเพลงด้วยถ้อยคำในวิวรณ์ 5:9, 10 ต่อพระพักตร์พระเมษโปดก?
12 แม้ว่าชาวยิวโดยกำเนิดและผู้ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนายิวได้รับโอกาสให้เป็นพวกแรกที่ถูกเลือกเป็นอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ ก็มีเพียงชนส่วนน้อยในชาตินั้นที่ตอบรับ. ฉะนั้น พระยะโฮวาจึงแผ่คำเชิญไปยังชนต่างชาติ. (โยฮัน 1:10-13; กิจการ 2:4, 7-11; โรม 11:7) ดังในกรณีของชาวเอเฟโซส์ ซึ่งแต่ก่อนเคย ‘ขาดจากการเป็นพลเมืองของชาติอิสราเอล’ เดี๋ยวนี้ชนที่ไม่ใช่ยิวก็สามารถได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าและกลายเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมแห่งคริสเตียนผู้ถูกเจิมได้. (เอเฟโซ 2:11-13; 3:5, 6; กิจการ 15:14) ดังนั้น จึงเป็นการสมควรที่ผู้ปกครอง 24 คนจะร้องเพลงต่อพระพักตร์พระเมษโปดกว่า “พระองค์ทรงซื้อผู้คนจากทุกตระกูล ทุกภาษา ทุกชนชาติ และทุกประเทศด้วยพระโลหิตของพระองค์เพื่อถวายแด่พระเจ้า แล้วพระองค์ทรงโปรดให้พวกเขาเป็นราชอาณาจักรและปุโรหิตของพระเจ้าของเรา และพวกเขาจะเป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดินโลก.”—วิวรณ์ 5:9-10, ล.ม.
13. ทำไมจึงเหมาะสมที่ยาโกโบน้องชายต่างบิดาของพระเยซูขึ้นต้นจดหมายของตนว่า “มายังชาติยูดายสิบสองตระกูลที่กระจัดกระจายอยู่นั้น”?
13 ประชาคมคริสเตียนเป็น “เชื้อสายที่ทรงเลือกไว้, เป็นคณะปุโรหิตหลวง, เป็นชาติบริสุทธิ์.” (1 เปโตร 2:9, ล.ม.) โดยเข้ามาเป็นชาติของพระเจ้าแทนอิสราเอลโดยกำเนิด ประชาคมคริสเตียนจึงกลายเป็นอิสราเอลใหม่ นั่นคือ ‘อิสราเอลแท้.’ (โรม 9:6-8; มัดธาย 21:43)a ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งที่ยาโกโบน้องชายร่วมมารดาของพระเยซูเขียนจดหมาย “มายังชาติยูดายสิบสองตระกูลที่กระจัดกระจายอยู่นั้น” นั่นคือ ไปยังประชาคมแห่งคริสเตียนผู้ถูกเจิมที่อยู่ทั่วโลก ซึ่งในที่สุดจะมีจำนวน 144,000 คน.—ยาโกโบ 1:1.
อิสราเอลของพระเจ้าในปัจจุบัน
14. อะไรแสดงให้เห็นว่า พยานพระยะโฮวาเข้าใจมาโดยตลอดว่า จำนวน 144,000 คือจำนวนจริงตามตัวอักษรของคนเหล่านั้นซึ่งประกอบขึ้นเป็นอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ?
14 น่าสนใจ ชาลส์ ที. รัสเซลล์ เข้าใจว่า 144,000 คนเป็นจำนวนตามตัวอักษรแห่งปัจเจกบุคคลที่ประกอบกันเป็นอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ. ในหนังสือชุดคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 6 การทรงสร้างใหม่ ซึ่งพิมพ์ในปี 1904 นั้น ท่านเขียนว่า “เรามีเหตุผลทุกประการที่จะเชื่อว่า จำนวนที่กำหนดแน่นอนของผู้ถูกเลือกสรร [ผู้ถูกเจิมที่ถูกเลือกสรร] ก็คือจำนวนที่กล่าวไว้สองครั้งในพระธรรมวิวรณ์ (7:4; 14:1) กล่าวคือ 144,000 คน ‘ซึ่งถูกไถ่ออกจากท่ามกลาง มนุษยชาติ.’” ในหนังสือแสงสว่าง เล่มหนึ่ง (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งพิมพ์ในปี 1930 โดยนักศึกษาพระคัมภีร์นั้น ก็มีการกล่าวเช่นเดียวกันว่า “โดยวิธีนั้นเองจึงมีการแสดงให้เห็นว่า สมาชิกซึ่งถูกรวบรวม 144,000 คนแห่งพระกายของพระคริสต์เป็นผู้ถูกเลือกสรรและถูกเจิม หรือได้รับการประทับตราไว้.” พยานพระยะโฮวาได้ยึดมั่นตลอดมากับทัศนะที่ว่า คริสเตียนผู้ถูกเจิมจำนวน 144,000 ตามตัวอักษรประกอบกันเป็นอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ.
15. ก่อนจะถึงวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงเล็กน้อย เหล่านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่จริงใจคิดว่า พวกยิวโดยกำเนิดคงจะประสบกับอะไรหลังจากการสิ้นสุดของเวลาของคนต่างชาติ?
15 แต่กระนั้น อิสราเอลโดยกำเนิดในทุกวันนี้สมควรจะได้รับความโปรดปรานอะไรบางอย่าง เป็นพิเศษมิใช่หรือ? ในช่วงก่อนจะถึงวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อนักศึกษาพระคัมภีร์ผู้มีหัวใจสุจริตได้ค้นพบความจริงพื้นฐานหลายประการเกี่ยวกับพระคำของพระเจ้าอีก ได้คิดกันว่า เมื่อสิ้นสุดเวลากำหนดของคนต่างชาติแล้ว ชาวยิวจะได้มีฐานะที่มีสิทธิพิเศษเฉพาะพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง. ดังนั้น หนังสือของ ซี. ที. รัสเซลล์ ที่ชื่อว่าเวลานั้นมาใกล้แล้ว (เล่ม 2 ของชุดคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์, ภาษาอังกฤษ) ซึ่งพิมพ์ในปี 1889 ได้นำยิระมะยา 31:29-34 มาใช้กับชนชาติยิวโดยกำเนิด และแสดงความคิดเห็นว่า “โลกเป็นพยานต่อข้อเท็จจริงที่ว่า การที่อิสราเอลถูกลงโทษโดยอยู่ภายใต้การครอบครองของชนต่างชาติเรื่อยมานับตั้งแต่ปี [607] ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งจะยังคงดำเนินต่อไป และไม่มีเหตุผลที่จะคาดหมายว่าจะมีการรวมกันเป็นชาติขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก่อนปีคริสต์ศักราช 1914 ซึ่งเป็นเวลาสิ้นสุดแห่ง ‘เจ็ดวาระ’ คือ 2520 ปี.” ดูเหมือนว่า ครั้นแล้วชนชาติยิวจะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ และความหวังนี้แจ่มชัดขึ้นในปี 1917 เมื่อคำแถลงของแบลโฟร์ให้คำมั่นในเรื่องการสนับสนุนของบริเตนต่อการทำปาเลสไตน์เป็นประเทศของชาวยิว.
16. พยานพระยะโฮวาได้พยายามเข้าถึงพวกยิวโดยกำเนิดด้วยข่าวสารของคริสเตียนอย่างไร และผลเป็นอย่างไร?
16 หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปาเลสไตน์ได้กลายเป็นอาณาเขตใต้อาณัติของบริเตนใหญ่ จึงเปิดโอกาสให้ชาวยิวจำนวนมากได้กลับไปยังดินแดนนั้น. ในปี 1948 รัฐอิสราเอลทางการเมืองก็ได้ถือกำเนิดขึ้น. นี่มิได้แสดงว่าชาวยิวกำลังจะได้รับพระพรจากพระเจ้าหรอกหรือ? เป็นเวลาหลายปีที่พยานพระยะโฮวาเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น. ด้วยเหตุนี้ ในปี 1925 พวกเขาได้พิมพ์หนังสือหนา 128 หน้า ชื่อว่า คำปลอบประโลมสำหรับชาวยิว (ภาษาอังกฤษ). ในปี 1929 พวกเขาได้จัดพิมพ์หนังสือชีวิต (ภาษาอังกฤษ) ในรูปเล่มที่สะดุดตา หนา 360 หน้า ซึ่งออกแบบเพื่อดึงดูดความสนใจของชาวยิว ทั้งยังพิจารณาพระธรรมโยบ. ได้มีการพยายามมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในนครนิวยอร์ก เพื่อให้เข้าถึงชาวยิวพร้อมด้วยข่าวสารนั้นเกี่ยวกับพระมาซีฮา. น่าดีใจที่ปัจเจกบุคคลบางคนตอบรับ แต่ชาวยิวส่วนใหญ่ เหมือนกับบรรพบุรุษของพวกเขาในศตวรรษแรก เขาปฏิเสธหลักฐานแห่งการเสด็จประทับของพระมาซีฮา.
17, 18. เหล่าทาสบนแผ่นดินโลกของพระเจ้าได้มาเข้าใจเรื่องอะไรเกี่ยวกับสัญญาไมตรีใหม่และคำพยากรณ์เรื่องการฟื้นฟูในคัมภีร์ไบเบิล?
17 เห็นได้ชัดว่า ชาวยิว ในฐานะเป็นชนชาติหนึ่งและประเทศหนึ่งนั้น มิใช่อิสราเอลที่มีพรรณนาไว้ในวิวรณ์ 7:4-8 หรือในคำพยากรณ์อื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเกี่ยวข้องกับวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า. โดยติดตามประเพณีที่สืบต่อกันมา พวกยิวยังคงหลีกเลี่ยงการใช้พระนามของพระเจ้า. (มัดธาย 15:1-3, 7-9) ในการอธิบายยิระมะยา 31:31-34 หนังสือพระยะโฮวา (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งพิมพ์ในปี 1934 โดยพยานพระยะโฮวา ได้แถลงอย่างชัดแจ้งว่า “สัญญาไมตรีใหม่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับลูกหลานของอิสราเอลโดยกำเนิดหรือมนุษยชาติโดยทั่วไป แต่ . . . ถูกจำกัดเฉพาะพวกอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ.” คำพยากรณ์เกี่ยวกับการฟื้นฟูในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวยิวโดยกำเนิดหรือประเทศอิสราเอลทางการเมือง ซึ่งเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและเป็นส่วนของโลกตามที่พระเยซูได้ตรัสถึงในโยฮัน 14:19, 30 และ 18:36.
18 ในปี 1931 เหล่าทาสของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้รับชื่อว่าพยานพระยะโฮวาด้วยความปีติยินดียิ่ง. พวกเขาเห็นด้วยอย่างเต็มหัวใจกับถ้อยคำในบทเพลงสรรเสริญ 97:11 ที่ว่า “แสงสว่างส่องมาสำหรับคนชอบธรรม, และความยินดีสำหรับคนที่มีใจซื่อตรง.” พวกเขาสังเกตเข้าใจชัดเจนว่า อิสราเอลฝ่ายวิญญาณ พวกเดียวเท่านั้นถูกนำเข้ามาอยู่ในสัญญาไมตรีใหม่. (เฮ็บราย 9:15; 12:22, 24) ชนอิสราเอลโดยกำเนิดที่ไม่ตอบรับหรือมนุษยชาติโดยทั่วไปไม่มีส่วนในสัญญานี้. ความเข้าใจนี้แผ้วทางไว้สำหรับประกายเจิดจ้าแห่งความสว่างจากพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งเด่นในประวัติแห่งระบอบของพระเจ้า. ความเข้าใจนี้เผยให้เห็นว่า พระยะโฮวาทรงแผ่พระเมตตาและความรักกรุณา และความจริงออกไปอย่างมากมายเพียงไรแก่มนุษย์ทั้งปวงที่เข้ามาใกล้พระองค์. (เอ็กโซโด 34:6; ยาโกโบ 4:8) ใช่แล้ว คนอื่น ๆ นอกเหนือจากอิสราเอลของพระเจ้าจะได้รับผลประโยชน์จากการที่บรรดาทูตสวรรค์ยับยั้งลมทั้งสี่แห่งการทำลายล้างไว้. คนเหล่านี้อาจเป็นใครกัน? คุณจะเป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นได้ไหม? ให้เรามาดูกัน.
[เชิงอรรถ]
a อย่างเหมาะสม ชื่ออิสราเอลหมายความว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้; ผู้ต่อสู้ (ผู้ยืนหยัดต่อสู้) กับพระเจ้า.”—เยเนซิศ 32:28, พระคัมภีร์ฉบับแปลโลกใหม่ที่มีข้ออ้างอิง, เชิงอรรถ.
[ภาพหน้า 114]
[ภาพหน้า 116, 117]
การคัดเลือกพวกอิสราเอลแท้ของพระเจ้าได้ดำเนินการตั้งแต่วันเพนเทคอสต์ปีสากลศักราช 33 มาจนถึงปี 1935 ครั้นแล้ว ณ การประชุมใหญ่อันเป็นประวัติการณ์ของพยานพระยะโฮวาในกรุงวอชิงตัน ดี. ซี. มีการให้ความสำคัญแก่การรวบรวมชนฝูงใหญ่พร้อมด้วยความหวังจะมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก (วิวรณ์ 7:9)