พระธรรมเล่มที่ 6—ยะโฮซูอะ
ผู้เขียน: ยะโฮซูอะ
สถานที่เขียน: คะนาอัน
เขียนเสร็จ: ประมาณ 1450 ก.ส.ศ.
ครอบคลุมระยะเวลา: 1473–ประมาณ 1450 ก.ส.ศ.
1. ชาติยิศราเอลเผชิญสถานการณ์อะไรในปี 1473 ก.ส.ศ.?
ปีนั้นคือ 1473 ก.ส.ศ. ฉากเหตุการณ์นั้นน่าทึ่งและน่าตื่นเต้นยิ่ง. ชาวยิศราเอลซึ่งตั้งค่าย ณ ที่ราบโมอาบพร้อมจะเข้าสู่คะนาอันแผ่นดินแห่งคำสัญญา. บริเวณอีกฝั่งหนึ่งของยาระเดนเป็นที่อาศัยของอาณาจักรเล็ก ๆ จำนวนมาก แต่ละอาณาจักรมีกองทัพของตนเอง. พวกเขาแตกแยกกันและอ่อนแอลงตลอดหลายปีแห่งการปกครองอันเสื่อมทรามของอียิปต์. กระนั้น ฝ่ายปรปักษ์นับว่าน่ากลัวสำหรับชาวยิศราเอล. หลายเมืองที่มีกำแพงแข็งแรงล้อมรอบ เช่น ยะริโฮ, ฮาย, ฮาโซร, และลาคิช จะต้องเอาชนะให้ได้ถ้าจะครอบครองแผ่นดินนี้. ยามวิกฤติรออยู่เบื้องหน้า. จะต้องทำสงครามถึงขั้นแตกหักและเอาชนะให้ได้ พร้อมกับมีพระยะโฮวาทรงเข้าร่วมโดยทำการอัศจรรย์อันทรงฤทธิ์เพื่อไพร่พลของพระองค์ เพื่อทำให้คำสัญญาของพระองค์สำเร็จที่จะให้พวกเขาตั้งรกรากในแผ่นดินนี้. โดยไม่มีข้อสงสัย เหตุการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจเหล่านี้ ซึ่งโดดเด่นในการทั้งหลายที่พระยะโฮวาทรงปฏิบัติต่อไพร่พลของพระองค์ จะต้องถูกบันทึกไว้โดยประจักษ์พยาน. จะมีใครที่เหมาะยิ่งกว่าตัวของยะโฮซูอะเอง บุคคลซึ่งพระยะโฮวาทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบตำแหน่งต่อจากโมเซ!—อาฤ. 27:15-23.
2. เหตุใดการเลือกยะโฮซูอะให้เป็นทั้งผู้นำและผู้บันทึกจึงนับว่าเหมาะสม?
2 การเลือกยะโฮซูอะให้เป็นทั้งผู้นำและผู้บันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นนับว่าเหมาะสมที่สุด. ท่านเคยเป็นผู้ร่วมงานที่ใกล้ชิดโมเซมากตลอดช่วง 40 ปีก่อนหน้านั้นในถิ่นทุรกันดาร. ท่านได้เป็น “ผู้รับใช้ของโมเสสตั้งแต่หนุ่ม ๆ มา” ซึ่งแสดงว่าท่านมีคุณสมบัติจะเป็นผู้นำทางด้านวิญญาณและการทหาร. (อาฤ. 11:28, ฉบับแปลใหม่; เอ็ก. 24:13; 33:11; ยโฮ. 1:1) ในปีที่พวกยิศราเอลออกจากอียิปต์ 1513 ก.ส.ศ. ท่านเป็นผู้นำกองทัพยิศราเอลที่เอาชนะชาวอะมาเลค. (เอ็ก. 17:9-14) ในฐานะเป็นสหายผู้ภักดีของโมเซและผู้บัญชาการที่ไม่ขลาดกลัวของกองทัพ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนตระกูลเอฟรายิมเมื่อมีการเลือกชายหนึ่งคนจากแต่ละตระกูลสำหรับงานอันตรายในการสอดแนมแผ่นดินคะนาอัน. ความกล้าหาญและความสัตย์ซื่อของท่านในโอกาสนั้นจึงทำให้ท่านได้รับคำรับรองว่าจะได้เข้าสู่แผ่นดินแห่งคำสัญญา. (อาฤ. 13:8; 14:6-9, 30, 38) ใช่แล้ว ชายผู้นี้แหละ ยะโฮซูอะบุตรนูน เป็น “ผู้มีพระวิญญาณอยู่ภายใน” ชายที่ “ได้เชื่อฟังติดตามพระยะโฮวา [“ทุกประการ,” ล.ม.]” ชายที่ “ประกอบไปด้วยสติปัญญา.” ไม่แปลกที่ “พวกยิศราเอลได้ปฏิบัติพระยะโฮวาจนสิ้นเวลาอายุแห่งยะโฮซูอะ.”—อาฤ. 27:18; 32:12; บัญ. 34:9; ยโฮ. 24:31.
3. อะไรพิสูจน์ว่ายะโฮซูอะเป็นผู้รับใช้ที่มีตัวตนอยู่จริงของพระยะโฮวา เช่นเดียวกับที่เป็นผู้เขียนพระธรรมซึ่งเรียกตามชื่อท่าน?
3 เมื่อมองในด้านประสบการณ์, การฝึกอบรม, และคุณสมบัติที่ผ่านการทดสอบแล้วของท่านในฐานะเป็นผู้นมัสการแท้ของพระยะโฮวา ยะโฮซูอะจึงอยู่ในฐานะที่จะถูกใช้ให้เป็นผู้เขียนคนหนึ่งของ ‘พระคัมภีร์ที่มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า’ อย่างแน่นอน. ยะโฮซูอะไม่ใช่เป็นแค่บุคคลในตำนาน แต่เป็นผู้รับใช้ที่มีตัวตนอยู่จริงของพระยะโฮวา. พระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกกล่าวถึงท่านโดยระบุชื่อ. (กิจ. 7:45; เฮ็บ. 4:8) เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ว่า โมเซถูกใช้ให้เขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงชีวิตของท่านฉันใด ยะโฮซูอะผู้สืบตำแหน่งของท่านก็ย่อมถูกใช้ให้เขียนเหตุการณ์ซึ่งท่านเองรู้เห็นเช่นกันฉันนั้น. ที่ว่าพระธรรมนี้ถูกเขียนโดยคนที่รู้เห็นเหตุการณ์มีแสดงไว้ในยะโฮซูอะ 6:25. คำเล่าสืบปากของชาวยิวยกย่องยะโฮซูอะในฐานะผู้เขียน และในพระธรรมนี้เองก็ได้ระบุว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ยะโฮซูอะได้จารึกไว้ในหนังสือโอวาทแห่งพระเจ้า.”—ยโฮ. 24:26.
4. ความเชื่อถือได้ของพระธรรมยะโฮซูอะได้รับการพิสูจน์อย่างไรทั้งโดยความสำเร็จของคำพยากรณ์และโดยคำพยานของผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลในสมัยหลัง ๆ?
4 ตอนที่เมืองยะริโฮถูกทำลาย ยะโฮซูอะได้กล่าวคำแช่งสาปเชิงพยากรณ์เกี่ยวกับการสร้างเมืองนี้ขึ้นใหม่ ซึ่งมีความสำเร็จเป็นจริงอย่างน่าสังเกตในสมัยอาฮาบกษัตริย์ยิศราเอล ประมาณ 500 ปีให้หลัง. (ยโฮ. 6:26; 1 กษัต. 16:33, 34) ความเชื่อถือได้ของพระธรรมยะโฮซูอะมีการยืนยันมากขึ้นโดยที่ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลสมัยหลัง ๆ ได้อ้างอิงหลายครั้งถึงเหตุการณ์ที่บันทึกในพระธรรมนี้. หลายครั้งที่ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญอ้างอิงถึงเหตุการณ์เหล่านั้น (เพลง. 44:1-3; 78:54, 55; 105:42-45; 135:10-12; 136:17-22) เช่นเดียวกับนะเฮมยา (นเฮม. 9:22-25), ยะซายา (ยซา. 28:21), อัครสาวกเปาโล (กิจ. 13:19; เฮ็บ. 11:30, 31), และสาวกยาโกโบ (ยโก. 2:25).
5. (ก) พระธรรมยะโฮซูอะครอบคลุมระยะเวลาไหน? (ข) เหตุใดชื่อยะโฮซูอะจึงเหมาะสม?
5 พระธรรมยะโฮซูอะคลุมระยะเวลานานกว่า 20 ปี ตั้งแต่การเข้าสู่คะนาอันในปี 1473 ถึงประมาณ 1450 ก.ส.ศ. ซึ่งยะโฮซูอะคงสิ้นชีวิตในปีนั้น. ชื่อ “ยะโฮซูอะ” (ภาษาฮีบรู เยโฮชูʹอา) ซึ่งหมายความว่า “พระยะโฮวาเป็นความรอด” เป็นชื่อที่เหมาะสมอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงบทบาทของยะโฮซูอะในฐานะผู้นำที่ประจักษ์แก่ตาในยิศราเอลระหว่างการพิชิตแผ่นดินนั้น. ท่านถวายพระเกียรติทั้งสิ้นแด่พระยะโฮวาในฐานะผู้ช่วยให้รอด. ในฉบับแปลเซปตัวจินต์ พระธรรมเล่มนี้มีชื่อเรียกว่า อิเอซุสʹ (คำภาษากรีกที่ตรงกับคำเยโฮชูʹอา) และชื่อเยซูก็ได้จากชื่อนี้. ด้วยคุณลักษณะอันดีเยี่ยมของท่านในด้านความกล้าหาญ, การเชื่อฟัง, และความซื่อสัตย์มั่นคง ยะโฮซูอะจึงเป็นแบบเชิงพยากรณ์อันยอดเยี่ยมซึ่งเล็งถึง “พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา.”—โรม 5:1, ล.ม.
เนื้อเรื่องในยะโฮซูอะ
6. พระธรรมยะโฮซูอะแบ่งออกเป็นตอน ๆ อะไรบ้าง?
6 พระธรรมนี้แบ่งออกเป็นสี่ตอนคือ (1) การข้ามเข้าสู่แผ่นดินแห่งคำสัญญา (2) การพิชิตคะนาอัน (3) การแบ่งสันปันส่วนแผ่นดิน และ (4) คำกระตุ้นเตือนในคราวอำลาของยะโฮซูอะ. บันทึกทั้งหมดได้รับการถ่ายทอดอย่างมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น.
7. พระยะโฮวาให้การชูใจและคำแนะนำอะไรแก่ยะโฮซูอะ?
7 การข้ามเข้าสู่แผ่นดินแห่งคำสัญญา (1:1–5:12). ด้วยทรงทราบถึงการทดลองต่าง ๆ ที่มีเบื้องหน้า พระยะโฮวาทรงให้คำรับรองและคำแนะนำอันสุขุมแก่ยะโฮซูอะในตอนแรกเริ่มว่า “จงมีกำลังเข้มแข็งและใจกล้าหาญโดยแท้ . . . หนังสือกฎหมายนี้อย่าให้ขาดจากปากของเจ้า; แต่เจ้าจงตรึกตรองในข้อกฎหมายนั้นทั้งวันและคืน, เพื่อเจ้าจะได้รักษาประพฤติตามสรรพสิ่งจารึกไว้ในกฎหมายนั้น; แล้วทางที่เจ้าดำเนินไปนั้นจะมีความเจริญ, ถึงกับสำเร็จประโยชน์. เราได้สั่งไว้แล้วมิใช่หรือ, จงมีกำลังเข้มแข็งและมีใจมั่นคง . . . เพราะว่าเจ้าจะไปทางใด ๆ: ยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าจะสถิตอยู่ด้วย.” (1:7-9) ยะโฮซูอะยกย่องพระยะโฮวาในฐานะผู้นำและผู้บัญชาการที่แท้จริง และลงมือเตรียมการทันทีเพื่อจะข้ามแม่น้ำยาระเดนตามที่ได้รับพระบัญชา. ชาวยิศราเอลยอมรับท่านในฐานะผู้สืบตำแหน่งของโมเซ และสัญญาว่าจะภักดี. แล้วจึงรุดหน้าไปพิชิตคะนาอัน!
8. (ก) ราฮาบได้แสดงความเชื่ออย่างไร? (ข) พระยะโฮวาทรงแสดงอย่างไรว่าพระองค์ทรงเป็น “พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์” สถิตท่ามกลางชาวยิศราเอล?
8 ชายสองคนถูกส่งไปสอดแนมเมืองยะริโฮ. ราฮาบหญิงโสเภณีฉวยโอกาสสำแดงความเชื่อที่เธอมีต่อพระยะโฮวาโดยซ่อนคนสอดแนมทั้ง ๆ ที่เสี่ยงชีวิตของตน. เพื่อตอบแทน คนสอดแนมสาบานว่าเธอจะได้รับการไว้ชีวิตเมื่อเมืองยะริโฮถูกทำลาย. คนสอดแนมกลับมารายงานว่า คนทั้งหลายในแผ่นดินนั้นเสียขวัญเพราะชาวยิศราเอล. รายงานนั้นเป็นที่พอใจ ยะโฮซูอะจึงยกพลไปยังแม่น้ำยาระเดนทันทีซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงน้ำหลาก. บัดนี้พระยะโฮวาทรงให้หลักฐานประจักษ์แจ้งว่า พระองค์ทรงหนุนหลังยะโฮซูอะ และที่ว่ามี “พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์” สถิตอยู่ท่ามกลางยิศราเอลเช่นเดียวกับสมัยโมเซ. (3:10) ขณะปุโรหิตที่หามหีบสัญญาไมตรีเหยียบลงในแม่น้ำยาระเดน น้ำที่ไหลมาจากต้นน้ำก็กองสูงขึ้น เปิดโอกาสให้ชาวยิศราเอลข้ามไปบนดินแห้ง. ยะโฮซูอะได้เก็บหิน 12 ก้อนจากกลางแม่น้ำไว้เป็นอนุสรณ์และวางหินอีก 12 ก้อนไว้ในแม่น้ำตรงที่พวกปุโรหิตยืนรออยู่ ซึ่งหลังจากนั้นปุโรหิตจึงข้ามไป และน้ำก็ไหลกลับมาท่วมเหมือนเดิม.
9. ต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นที่ฆีละฆาล?
9 เมื่อข้ามแม่น้ำแล้ว ไพร่พลได้ตั้งค่ายที่ฆีละฆาลซึ่งอยู่ระหว่างยาระเดนกับยะริโฮ และที่นี่ยะโฮซูอะได้ตั้งหินอนุสรณ์ไว้เป็นพยานแก่คนรุ่นต่อ ๆ ไปและ “เพื่อชาวชนทุกชาติทั่วพิภพจะได้รู้ว่าพระหัตถ์แห่งพระยะโฮวาทรงฤทธิ์: และเพื่อท่านทั้งหลายจะได้ยำเกรงยะโฮวาพระเจ้าของท่านเป็นนิตย์.” (4:24) (ยะโฮซูอะ 10:15 บ่งว่าหลังจากนั้นอาจมีการใช้ฆีละฆาลเป็นฐานที่ตั้งค่ายอีกระยะหนึ่ง.) ที่นี่เองลูกหลานยิศราเอลได้รับสุหนัต เนื่องจากไม่มีการทำสุหนัตเลยระหว่างการเดินทางในถิ่นทุรกันดาร. มีการฉลองปัศคา, มานาหยุดตก, และในที่สุดชาวยิศราเอลก็เริ่มรับประทานผลิตผลจากแผ่นดินนั้น.
10. พระยะโฮวาทรงบัญชายะโฮซูอะอย่างไรเกี่ยวกับการยึดยะริโฮ? และปฏิบัติการน่าทึ่งอะไรที่ตามมา?
10 การพิชิตคะนาอัน (5:13–12:24). บัดนี้ เป้าหมายแรกอยู่ในระยะโจมตี. แต่จะยึดเมืองยะริโฮที่มีกำแพง “ปิดประตูมั่นคง” ได้อย่างไร? (6:1) พระยะโฮวาเองทรงให้รายละเอียดขั้นตอนปฏิบัติการ โดยส่ง “นายพลโยธาแห่งพระยะโฮวา” มาแนะนำยะโฮซูอะ. (5:14) กองทัพยิศราเอลจะต้องเดินรอบเมืองหกวัน วันละครั้ง โดยให้นักรบนำหน้า ตามด้วยขบวนปุโรหิตเป่าแตรเขาแกะและปุโรหิตคนอื่น ๆ หามหีบสัญญาไมตรี. ในวันที่เจ็ด พวกเขาจะต้องเดินรอบเมืองเจ็ดครั้ง. ยะโฮซูอะถ่ายทอดคำสั่งแก่ไพร่พลด้วยความซื่อสัตย์. ตรงตามที่ได้รับพระบัญชา กองทัพยิศราเอลเดินรอบยะริโฮ. ไม่มีเสียงพูดใด ๆ. ไม่มีเสียงอื่น ๆ นอกจากเสียงย่ำเท้าและเสียงปุโรหิตเป่าแตร. แล้วในวันสุดท้าย หลังจากเดินครบรอบที่เจ็ด ยะโฮซูอะส่งสัญญาณให้พวกเขาร้องตะโกน. พวกเขาจึงตะโกนขึ้น “ด้วยเสียงอันดัง” และกำแพงเมืองยะริโฮก็พังลงราบ! (6:20) พวกเขากรูเข้าเมืองดุจคนคนเดียว ยึดเมืองและเผาทำลายเสีย. เฉพาะแต่ราฮาบผู้ซื่อสัตย์และครัวเรือนของเธอเท่านั้นที่ได้รับการช่วยให้รอด.
11. เหตุการณ์กลับตาลปัตรในตอนแรกที่เมืองฮายได้รับการแก้ไขอย่างไร?
11 จากนั้นพวกเขามุ่งไปทางทิศตะวันตกสู่เมืองฮาย! ความมั่นใจว่าจะชนะอย่างง่ายดายอีกครั้งกลับกลายเป็นความท้อใจ เมื่อชาวเมืองฮายตีทหารยิศราเอล 3,000 คนที่ถูกส่งไปยึดเมืองจนแตกพ่าย. เกิดอะไรขึ้น? พระยะโฮวาทรงทอดทิ้งพวกเขาแล้วหรือ? ยะโฮซูอะทูลถามพระยะโฮวาด้วยความกังวล. พระยะโฮวาทรงเผยให้ทราบในคำตรัสตอบว่า แทนที่จะทำตามพระบัญชาของพระองค์ที่ให้เผาทำลายทุกสิ่งในยะริโฮ กลับมีคนในค่ายไม่เชื่อฟังโดยขโมยสิ่งของและซ่อนไว้. ความไม่สะอาดนี้จะต้องถูกขจัดออกจากค่ายเสียก่อน ชาวยิศราเอลจึงจะอุดมด้วยพระพรจากพระยะโฮวาต่อไปได้. ภายใต้การชี้นำจากพระเจ้า จึงค้นพบตัวอาคานผู้ทำชั่ว เขากับครัวเรือนของเขาถูกเอาหินขว้างตาย. ด้วยความโปรดปรานที่ได้รับจากพระยะโฮวาอีกครั้ง ตอนนี้ชาวยิศราเอลจึงยกไปต่อสู้เมืองฮาย. อีกครั้งหนึ่ง พระยะโฮวาทรงเปิดเผยกลยุทธ์ที่จะใช้. ทหารเมืองฮายถูกล่อออกจากเมืองที่มีกำแพงรอบและพบตัวเองติดกับถูกดักซุ่มโจมตี. เมืองถูกยึดและถูกทำลายพร้อมกับราษฎรทั้งสิ้น. (8:26-28) ไม่มีการประนีประนอมใด ๆ กับศัตรู!
12. ต่อจากนั้น ยะโฮซูอะปฏิบัติตามพระบัญชาอะไรของพระเจ้า?
12 ด้วยความเชื่อฟังพระบัญชาของพระยะโฮวาที่ผ่านมาทางโมเซ ต่อจากนั้นยะโฮซูอะจึงสร้างแท่นบูชาที่ภูเขาเอบาลและเขียน “กฎหมาย” ไว้ที่แท่นนั้น. (8:32) ครั้นแล้วท่านจึงอ่านข้อความในพระบัญญัติ พร้อมกับคำอวยพรและคำแช่งแก่ฝูงชนทั้งชาติขณะที่พวกเขายืนอยู่ข้างหน้าภูเขาฆะรีซีมครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งยืนข้างหน้าภูเขาเอบาล.—บัญ. 11:29; 27:1-13.
13. การที่ชาวฆิบโอนดำเนินการด้วย “คิดกลอุบาย” เกิดผลอย่างไร?
13 ด้วยความพรั่นใจเมื่อรู้ถึงการยึดดินแดนแบบรวดเร็วนั้น อาณาจักรเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งในคะนาอันจึงรวมกำลังกันเพื่อยับยั้งการรุกคืบหน้าของยะโฮซูอะ. อย่างไรก็ตาม “เมื่อชาวเมืองฆิบโอนได้ยินข่าวซึ่งยะโฮซูอะได้กระทำแก่เมืองยะริโฮและเมืองฮาย, เขาจึงคิดกลอุบาย.” (ยโฮ. 9:3, 4) โดยแสร้งทำทีเหมือนมาจากดินแดนหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากคะนาอัน พวกเขาจึงทำสัญญาไมตรีกับยะโฮซูอะ ‘ให้ไว้ชีวิต.’ พออุบายนี้ถูกเปิดเผย พวกยิศราเอลปฏิบัติตามสัญญาไมตรี แต่ใช้ชาวฆิบโอนให้ “เป็นผู้ตัดฟืนและตักน้ำ” เหมือน ‘ทาสชั้นต่ำสุด’ โดยวิธีนี้จึงเป็นการทำให้คำแช่งที่โนฮากล่าวโดยการดลใจต่อคะนาอันบุตรของฮามสำเร็จเป็นจริงส่วนหนึ่ง.—ยโฮ. 9:15, 27; เย. 9:25.
14. ที่ฆิบโอน พระยะโฮวาทรงแสดงให้เห็นอย่างไรว่า พระองค์ทรงรบเพื่อชาวยิศราเอล?
14 การที่ชาวฆิบโอนแปรพักตร์ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะ “ฆิบโอนนั้นเป็นเมืองใหญ่, . . . ใหญ่กว่าเมืองฮาย, ทั้งบุรุษชาวเมืองนั้นก็ล้วนแต่คนฉกรรจ์.” (ยโฮ. 10:2) อะโดนีเซเด็คกษัตริย์ยะรูซาเลมเห็นว่าเรื่องนี้คุกคามตนเองกับอาณาจักรอื่น ๆ ในคะนาอัน. จะต้องมีการทำอะไรบ้างเป็นตัวอย่างเพื่อหยุดยั้งการตีตัวออกห่างไปเข้ากับศัตรู. ดังนั้น อะโดนีเซเด็คและกษัตริย์อีกสี่องค์ (คือกษัตริย์แห่งอาณาจักรเมืองเฮ็บโรน, ยาระมูธ, ลาคิช, และเอ็ฆโลน) จึงรวมกำลังทำสงครามกับฆิบโอน. ด้วยความเคารพต่อสัญญาไมตรีที่ตนทำไว้กับชาวฆิบโอน ยะโฮซูอะได้เดินทัพทั้งคืนเพื่อไปช่วยพวกเขาและโจมตีกองทัพกษัตริย์ทั้งห้า. อีกครั้งหนึ่ง พระยะโฮวาทรงเข้าร่วมในการสู้รบโดยใช้อำนาจเหนือมนุษย์และหมายสำคัญซึ่งยังผลด้วยความพินาศ. ลูกเห็บใหญ่โตได้ตกลงมาจากฟ้า สังหารศัตรูมากกว่าที่คมดาบแห่งกองทัพยิศราเอลสังหารเสียอีก. และแล้วเหตุการณ์อัศจรรย์ก็เกิดขึ้น “ดวงอาทิตย์ก็หยุดคงอยู่กลางท้องฟ้า, หาได้รีบตกตามเวลากำหนดวันปกติไม่.” (10:13) ดังนั้น ปฏิบัติการกวาดล้างจึงเสร็จสิ้น. คนฉลาดฝ่ายโลกอาจพยายามลดความสำคัญของเหตุการณ์อัศจรรย์ครั้งนี้ แต่คนที่มีความเชื่อยอมรับบันทึกที่มาจากพระเจ้า โดยรู้ซึ้งถึงฤทธิ์ของพระยะโฮวาที่ทรงควบคุมพลังแห่งเอกภพและใช้พลังนั้นตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. เพราะจริง ๆ แล้ว “พระยะโฮวาได้ทรงรบแทนฝ่ายพวกยิศราเอล.”—10:14.
15. จงอธิบายแนวทางการรุกและจุดสุดยอดของการนั้นที่ฮาโซร.
15 หลังจากสังหารกษัตริย์ทั้งห้า ยะโฮซูอะจึงทำลายมาเคดา. โดยเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปทางใต้ ท่านทำลายลิบนา, ลาคิช, เอ็ฆโลน, เฮ็บโรน, และดะเบียร์—ซึ่งเป็นเมืองแถบภูเขาระหว่างทะเลเกลือและทะเลใหญ่อย่างสิ้นเชิง. ถึงตอนนี้ข่าวการรุกได้กระจายไปทั่วคะนาอัน. ทางตอนเหนือ ยาบินกษัตริย์เมืองฮาโซรได้ส่งคำเตือนภัย. ตลอดทั่วดินแดนทั้งสองฝั่งแม่น้ำยาระเดน เขาส่งข่าวเรียกร้องให้รวมกำลังกันต่อสู้ชาวยิศราเอล. ขณะที่พวกเขาตั้งค่ายใกล้แหล่งน้ำเมโรม กำลังของศัตรูที่รวมพลกันนั้น “ประหนึ่งเม็ดทรายริมฝั่งทะเล.” (11:4) พระยะโฮวาทรงรับรองกับยะโฮซูอะอีกครั้งในเรื่องชัยชนะและทรงชี้แจงให้ทราบยุทธวิธี. ผลเป็นอย่างไร? ศัตรูของไพร่พลพระยะโฮวาพ่ายแพ้ยับเยินอีกครั้ง! ฮาโซรถูกเผาด้วยไฟ และเมืองพันธมิตรกับกษัตริย์ของพวกเขาถูกทำลายสิ้น. ด้วยวิธีนี้ ยะโฮซูอะจึงขยายเขตครอบครองของยิศราเอลไปทั่วดินแดนคะนาอัน. กษัตริย์สามสิบเอ็ดองค์ถูกพิชิต.
16. มีการมอบหมายดินแดนอย่างไรบ้าง?
16 การแบ่งสันปันส่วนแผ่นดิน (13:1–22:34). แม้จะประสบชัยชนะหลายครั้ง พร้อมกับเมืองเข้มแข็งสำคัญ ๆ หลายเมืองถูกทำลาย และการต่อต้านที่รวมตัวกันขึ้นในช่วงเวลานั้นก็ล้มเหลว “แต่แผ่นดินซึ่งควรจะตีอีกนั้นยังเหลืออยู่มาก.” (13:1) อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยะโฮซูอะอายุประมาณ 90 ปีแล้ว และยังมีงานใหญ่ที่ต้องทำอีกอย่างหนึ่ง—นั่นคือการแบ่งสันปันส่วนแผ่นดินให้เป็นกรรมสิทธิ์สำหรับเก้าตระกูลและครึ่งตระกูลมะนาเซ. รูเบน, ฆาด, และครึ่งตระกูลมะนาเซได้รับดินแดนเป็นกรรมสิทธิ์แล้วทางตะวันออกของแม่น้ำยาระเดน ส่วนตระกูลเลวีไม่ได้รับดินแดนใด ๆ “พระยะโฮวาพระเจ้าแห่งยิศราเอลนั้น” เป็นส่วนกรรมสิทธิ์ของเขา. (13:33) ด้วยความช่วยเหลือของปุโรหิตเอละอาซาร ตอนนี้ยะโฮซูอะจึงทำการมอบหมายสำหรับฝั่งตะวันตกของยาระเดน. คาเลบซึ่งอายุ 85 ปี พร้อมจะต่อสู้กับศัตรูของพระยะโฮวาจนถึงที่สุด ขอและได้รับมอบดินแดนเฮ็บโรนที่เต็มไปด้วยพวกอะนาค. (14:12-15) หลังจากที่ตระกูลต่าง ๆ ได้รับกรรมสิทธิ์แล้วด้วยการจับฉลาก ยะโฮซูอะได้ขอเมืองธิมนัธเซราในแถบภูเขาเอฟรายิม และท่านจึงได้รับมอบเมืองนี้ “ตามพระดำรัสสั่งแห่งพระยะโฮวา.” (19:50) มีการตั้งพลับพลาประชุมขึ้นที่เมืองซีโลซึ่งอยู่ในแถบภูเขาแห่งเอฟรายิมเช่นเดียวกัน.
17. มีการจัดเตรียมอะไรเกี่ยวกับเมืองคุ้มภัยและเมืองสำหรับให้พวกเลวีอาศัย?
17 มีการจัดเมืองคุ้มภัยหกเมืองสำหรับผู้ที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนา ซึ่งอยู่บนฝั่งแม่น้ำยาระเดนฟากละสามเมือง. เมืองคุ้มภัยที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของยาระเดนได้แก่ ฆาเดชในฆาลิลาย, เซเค็มในเอฟรายิม, และเฮ็บโรนในเขตภูเขาแห่งยูดา. ส่วนเมืองที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกได้แก่ เบเซรในเขตตระกูลรูเบน, ราโมธในฆีละอาด, และโฆลานในบาซาน. เมืองเหล่านี้ถูกตั้งให้มีฐานะ “ศักดิ์สิทธิ์.” (20:7, ล.ม.) สี่สิบแปดเมืองพร้อมทั้งทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ถูกจัดโดยจับฉลากจากที่ของตระกูลต่าง ๆ เพื่อให้เป็นเมืองอาศัยสำหรับตระกูลเลวี. เมืองเหล่านี้ได้รวมเมืองคุ้มภัยหกเมืองไว้ด้วย. ดังนั้น ชาวยิศราเอลจึง “ตีเอา [แผ่นดิน] แล้วพักอยู่ในที่นั่น.” ดังที่พระยะโฮวาทรงสัญญา ทุกสิ่งย่อม “สำเร็จไปทั้งสิ้น.”—21:43, 45.
18. วิกฤตการณ์อะไรได้เกิดขึ้นระหว่างตระกูลฝั่งตะวันออกและตระกูลฝั่งตะวันตก แต่เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขอย่างไร?
18 บัดนี้นักรบจากตระกูลรูเบน, ฆาด, และจากครึ่งตระกูลมะนาเซ ซึ่งร่วมรบกับยะโฮซูอะจนถึงตอนนี้ ได้กลับสู่ดินแดนกรรมสิทธิ์ของตนบนฟากข้างโน้นของแม่น้ำยาระเดน พร้อมกับคำกระตุ้นเตือนของยะโฮซูอะที่ให้ซื่อสัตย์รวมทั้งคำอวยพรของท่านด้วย. ระหว่างทาง ขณะที่พวกเขามาใกล้แม่น้ำยาระเดน พวกเขาได้จัดสร้างแท่นใหญ่หนึ่งแท่น. การนี้ก่อวิกฤตการณ์ขึ้นทันที. เนื่องจากสถานที่ที่กำหนดไว้สำหรับการนมัสการพระยะโฮวาอยู่ ณ พลับพลาประชุมที่เมืองซีโล ตระกูลต่าง ๆ ทางฝั่งตะวันตกจึงหวั่นเรื่องการทรยศและการไม่ภักดี และพวกเขาเตรียมจะทำสงครามกับพวกที่เขาคิดว่ากบฏ. อย่างไรก็ตาม ไม่เกิดการนองเลือดเมื่อมีการอธิบายว่าแท่นนั้นไม่ใช่สำหรับการเผาบูชา แต่เพียงเพื่อ “เป็นพยานระหว่างเรา [ชาวยิศราเอลฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตกของยาระเดน] ว่า พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้.”—22:34, ล.ม.
19, 20. (ก) ยะโฮซูอะให้คำกระตุ้นเตือนอะไรในคราวอำลา? (ข) ท่านกล่าวถึงประเด็นอะไรต่อหน้าชาวยิศราเอลและท่านเน้นอย่างไรถึงการเลือกที่ถูกต้องที่ชาติยิศราเอลน่าจะทำ?
19 คำกระตุ้นเตือนในคราวอำลาของยะโฮซูอะ (23:1–24:33). “เมื่อพระยะโฮวาให้พวกยิศราเอลสงบเงียบจากข้าศึกอันล้อมรอบนานมาแล้ว, ยะโฮซูอะก็มีอายุชรามากลง” ท่านจึงเรียกชาวยิศราเอลทั้งปวงมาชุมนุมกันฟังคำกระตุ้นเตือนที่ให้กำลังใจในคราวอำลา. (23:1) ด้วยความถ่อมตัวแต่ต้นจนจบ ท่านถวายพระเกียรติทั้งสิ้นแด่พระยะโฮวาสำหรับชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหนือนานาชาติ. บัดนี้ขอให้ทุกคนซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป! “เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงมีใจกล้าหาญเพื่อจะได้รักษากระทำตามสรรพสิ่งซึ่งจารึกไว้ในหนังสือโอวาทของโมเซ, อย่าให้หลีกเลี่ยงไปข้างขวาหรือข้างซ้าย.” (23:6) พวกเขาต้องหลีกหนีพระเทียมเท็จและ “ระวังตัวให้ดี, เพื่อจะได้รักยะโฮวาพระเจ้าของตน.” (23:11) จะต้องไม่มีการประนีประนอมกับชาวคะนาอันที่ยังเหลืออยู่ ต้องไม่มีการสมรสหรือการรวมความเชื่อกับพวกเขา เพราะการทำเช่นนี้จะนำมาซึ่งพระพิโรธกล้าจากพระยะโฮวา.
20 โดยเรียกชุมนุมทุกตระกูลที่เมืองเซเค็มและเรียกตัวแทนจากพวกเขามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา จากนั้นยะโฮซูอะได้เล่าเรื่องราวที่พระยะโฮวาเองทรงปฏิบัติต่อไพร่พลของพระองค์ตั้งแต่ครั้งที่พระองค์ทรงเรียกอับราฮามและพาท่านเข้าสู่คะนาอันจนกระทั่งการพิชิตและครอบครองแผ่นดินแห่งคำสัญญา. อีกครั้งหนึ่ง ยะโฮซูอะเตือนให้ระวังศาสนาเท็จโดยเรียกร้องชาวยิศราเอลให้ “ยำเกรงพระยะโฮวา, และปฏิบัติพระองค์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” ถูกแล้ว “จงปฏิบัติพระยะโฮวา”! ต่อจากนั้นท่านแถลงประเด็นนี้อย่างชัดเจนที่สุด: “ในวันนี้ก็ให้เลือกหาว่าจะปฏิบัติผู้ใด; จะปฏิบัติพระซึ่งบิดาของท่านได้ปฏิบัติ . . . หรือพระของชาติอะโมรี, ในแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่เดี๋ยวนี้: แต่ฝ่ายเราทั้งครอบครัวจะปฏิบัติพระยะโฮวา.” ด้วยความมั่นใจดังที่โมเซเคยสำแดง ท่านเตือนชาวยิศราเอลให้ระลึกว่า พระยะโฮวา “เป็นพระเจ้าอันบริสุทธิ์: พระองค์เป็นพระเจ้าหึงหวง [“เรียกร้องความเลื่อมใสศรัทธาโดยเฉพาะ,” ล.ม.]” ดังนั้น พระต่างชาติต้องหมดสิ้นไป! ด้วยวิธีนี้ ประชาชนจึงได้รับการเร้าใจให้ประกาศเหมือนคน ๆ เดียวว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติ, และเสียงตรัสของพระองค์พวกข้าพเจ้าจะฟัง.” (24:14, 15, 19, 24) ก่อนแยกย้ายกันไป ยะโฮซูอะทำสัญญาไมตรีกับพวกเขา เขียนถ้อยคำเหล่านี้ลงในหนังสือกฎหมายของพระเจ้า และตั้งหินใหญ่ไว้เป็นพยาน. หลังจากนั้นยะโฮซูอะก็สิ้นชีวิตเมื่อชราเต็มขนาดอายุได้ 110 ปี และถูกฝังที่ธิมนัธเซรา.
เหตุที่เป็นประโยชน์
21. คำเตือนสติอันสุขุมอะไรในพระธรรมยะโฮซูอะที่เป็นประโยชน์อย่างเด่นชัดในทุกวันนี้?
21 ขณะที่คุณอ่านคำกระตุ้นเตือนในคราวอำลาของยะโฮซูอะเกี่ยวกับการรับใช้ที่ซื่อสัตย์ นั่นเร้าใจคุณมิใช่หรือ? คุณไม่ได้พูดซ้ำถ้อยคำของยะโฮซูอะที่ท่านพูดนานกว่า 3,400 ปีมาแล้วหรอกหรือที่ว่า “แต่ฝ่ายเราทั้งครอบครัวจะปฏิบัติพระยะโฮวา”? หรือถ้าคุณรับใช้พระยะโฮวาในสถานการณ์ที่ถูกทดลองหรือแยกโดดเดี่ยวจากผู้สัตย์ซื่อคนอื่น ๆ คุณไม่ได้แรงดลใจจากถ้อยคำที่พระยะโฮวาตรัสกับยะโฮซูอะหรอกหรือซึ่งตรัสในตอนเริ่มเข้าสู่แผ่นดินแห่งคำสัญญาที่ว่า “ขอแต่เพียงกล้าหาญและเข้มแข็งมาก”? ยิ่งกว่านั้น คุณได้รับประโยชน์อันประมาณค่ามิได้มิใช่หรือในการทำตามคำเตือนสติของพระองค์ที่ให้ ‘อ่าน [คัมภีร์ไบเบิล] ด้วยออกเสียงแผ่วเบาทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อคุณจะบรรลุผลสำเร็จ’? แน่นอน ทุกคนที่ทำตามคำแนะนำอันสุขุมนี้ย่อมพบว่าคำแนะนำนี้เป็นประโยชน์อย่างเด่นชัด.—24:15; 1:7-9, ล.ม.
22. มีการเน้นคุณสมบัติสำคัญยิ่งประการใดบ้างของการนมัสการแท้?
22 เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีบันทึกไว้อย่างแจ่มแจ้งในพระธรรมยะโฮซูอะเป็นยิ่งกว่าประวัติศาสตร์โบราณ. เหตุการณ์เหล่านั้นเน้นหลักการของพระเจ้า—ซึ่งเน้นอย่างเด่นชัดว่าการมีความเชื่อในพระยะโฮวาและการยอมเชื่อฟังพระองค์โดยไม่มีข้อสงสัยเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเพื่อได้รับพระพรจากพระองค์. อัครสาวกเปาโลบันทึกว่า โดยความเชื่อ “เมื่อพวกยิศราเอลล้อมกำแพงเมืองยะริโฮไว้ถึงเจ็ดวันแล้ว, กำแพงนั้นก็พังลง.” และเพราะความเชื่อ “ราฮาบหญิงแพศยา . . . ก็ไม่ได้พินาศด้วยกันกับคนเหล่านั้นที่มิได้เชื่อฟัง.” (เฮ็บ. 11:30, 31) ยาโกโบอ้างถึงราฮาบเช่นกันในฐานะเป็นตัวอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อคริสเตียนในการสร้างผลงานแห่งความเชื่อ.—ยโก. 2:24-26.
23. ข้อเตือนใจอันทรงพลังอะไรบ้างมีอยู่ในยะโฮซูอะ?
23 เหตุการณ์ผิดปกติเหนือธรรมชาติที่บันทึกไว้ที่ยะโฮซูอะ 10:10-14 เมื่อดวงอาทิตย์ไม่เคลื่อนที่และดวงจันทร์หยุดนิ่ง เช่นเดียวกับการอัศจรรย์อื่น ๆ อีกมากที่พระยะโฮวาทรงสำแดงเพื่อไพร่พลของพระองค์เป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังให้ระลึกถึงพระปรีชาสามารถและพระประสงค์ของพระยะโฮวาที่จะล้างผลาญคนชั่วทั้งปวงซึ่งต่อต้านพระเจ้าในที่สุด. ยะซายาได้เชื่อมโยงหุบเขาฆิบโอนซึ่งเป็นสนามรบทั้งในสมัยของยะโฮซูอะและสมัยของดาวิดเข้ากับการที่พระยะโฮวาทรงลุกขึ้นด้วยความกริ้วในการล้างผลาญคราวนี้ “เพื่อกระทำพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์นั้นประหลาด และเพื่อกระทำงานของพระองค์ งานของพระองค์ก็แปลก.”—ยซา. 28:21, 22, ฉบับแปลใหม่.
24. พระธรรมยะโฮซูอะเชื่อมโยงเข้ากับคำสัญญาเรื่องราชอาณาจักรอย่างไร และพระธรรมนี้ให้คำรับรองอะไรที่ว่า คำสัญญาเหล่านี้จะ “สำเร็จทั้งสิ้น”?
24 เหตุการณ์ต่าง ๆ ในยะโฮซูอะชี้ไปข้างหน้ายังราชอาณาจักรของพระเจ้าไหม? แน่นอน! ที่ว่าการพิชิตและการตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินแห่งคำสัญญาจะต้องเชื่อมโยงกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ามากนั้นมีการบ่งถึงโดยอัครสาวกเปาโลว่า “เพราะว่าถ้ายะโฮซูอะได้พาเขาเข้ามาในที่สงบสุขแล้ว, ภายหลังนั้นพระองค์ก็คงมิได้ตรัสถึงวันอื่นอีก. เพราะฉะนั้นก็ยังมีซะบาโตที่สงบสุขไว้สำหรับพลไพร่ของพระเจ้า.” (เฮ็บ. 4:1, 8, 9) พวกเขามุ่งหน้าไปเพื่อทำให้แน่ใจในการที่พวกเขา “จะเข้าสู่ราชอาณาจักรชั่วนิรันดรของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา.” (2 เป. 1:10, 11, ล.ม.) ดังที่แสดงไว้ในมัดธาย 1:5 ราฮาบได้มาเป็นบรรพสตรีของพระเยซูคริสต์. ด้วยวิธีนี้ พระธรรมยะโฮซูอะจึงให้การเชื่อมโยงที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งในบันทึกที่นำมาสู่การบังเกิดพงศ์พันธุ์แห่งราชอาณาจักร. พระธรรมนี้ให้คำรับรองที่มั่นคงว่า คำสัญญาของพระยะโฮวาเรื่องราชอาณาจักรจะสำเร็จเป็นจริงแน่นอน. เมื่อกล่าวถึงคำสัญญาที่พระเจ้าทรงให้กับอับราฮาม, ยิศฮาค, และยาโคบ และตรัสซ้ำอีกต่อชาติยิศราเอลที่เป็นเชื้อสายของพวกท่าน บันทึกนี้กล่าวเกี่ยวกับสมัยยะโฮซูอะว่า “สรรพสิ่งอันดีทุกอย่างซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาต่อประชาชนอิสราเอลนั้นก็ไม่ขาดสักสิ่งเดียว สำเร็จทั้งสิ้น.” (ยโฮ. 21:45, ฉบับแปลใหม่; เย. 13:14-17) เช่นเดียวกัน “สรรพสิ่งอันดีทุกอย่าง” ที่พระยะโฮวาทรงสัญญาเกี่ยวกับราชอาณาจักรอันชอบธรรมฝ่ายสวรรค์นั้น—ย่อมจะสำเร็จทั้งสิ้น!