พระธรรมเล่มที่ 13—1 โครนิกา
ผู้เขียน: เอษรา
สถานที่เขียน: ยะรูซาเลม (?)
เขียนเสร็จ: ประมาณ 460 ก.ส.ศ.
ครอบคลุมระยะเวลา: หลังจาก 1 โครนิกา 9:44: 1077-1037 ก.ส.ศ.
1. ในทางใดบ้างที่พระธรรมโครนิกาฉบับต้นเป็นส่วนแห่งบทบันทึกจากพระเจ้าที่สำคัญและเป็นประโยชน์?
โครนิกาฉบับต้นเป็นเพียงลำดับวงศ์วานที่จืดชืดอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเป็นแค่การกล่าวซ้ำพระธรรมซามูเอลและพงศาวดารกษัตริย์? ไม่เลย! นี่เป็นส่วนที่ให้ความกระจ่างและมีความสำคัญในบันทึกของพระเจ้า—คือมีความสำคัญในยุคที่มีการเขียนพระธรรมนี้ในเรื่องการจัดระเบียบชาติและการนมัสการของชาติเสียใหม่ อีกทั้งมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ในการแสดงถึงรูปแบบของการนมัสการพระเจ้าสำหรับยุคต่อ ๆ มา รวมทั้งสมัยปัจจุบัน. โครนิกาฉบับต้นบรรจุบางส่วนของคำสรรเสริญพระยะโฮวาที่ไพเราะที่สุดซึ่งจะพบได้ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม. พระธรรมนี้ให้ภาพล่วงหน้าอันยอดเยี่ยมแวบหนึ่งเกี่ยวกับราชอาณาจักรอันชอบธรรมของพระยะโฮวา และทุกคนที่หวังในราชอาณาจักรนั้นพึงศึกษาพระธรรมนี้ให้ได้ประโยชน์. ทั้งชาวยิวและคริสเตียนต่างถือพระธรรมโครนิกาทั้งสองเล่มเป็นสิ่งที่ล้ำค่าตลอดมาทุกสมัย. เจโรมผู้แปลคัมภีร์ไบเบิลให้ข้อคิดเห็นที่ยกย่องพระธรรมโครนิกาฉบับต้นและฉบับสองว่า เขาถือพระธรรมทั้งสองเล่มเป็น “บทสรุปของพันธสัญญาเดิม” และยืนยันว่า “ทั้งสองเล่มเด่นและสำคัญมาก จนผู้ที่คิดว่าตนเองคุ้นเคยกับข้อเขียนอันศักดิ์สิทธิ์และไม่รู้จักพระธรรมทั้งสองนี้ เท่ากับว่าลวงตนเอง.”a
2. ทำไมจึงมีการเขียนพระธรรมโครนิกา?
2 แต่แรกนั้นพระธรรมโครนิกาทั้งสองเล่มดูเหมือนเป็นพระธรรมเดียวหรือม้วนเดียวกัน ซึ่งต่อมาถูกแบ่งเพื่อความสะดวก. ทำไมจึงเขียนโครนิกา? ขอให้คิดถึงเหตุการณ์. การเป็นเชลยที่บาบูโลนได้สิ้นสุดเมื่อราว 77 ปีก่อน. ชาวยิวได้กลับไปตั้งถิ่นฐานยังแผ่นดินของตนอีก. อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่เป็นภัยของการถอยห่างจากการนมัสการพระยะโฮวาที่พระวิหารซึ่งสร้างขึ้นใหม่ในกรุงยะรูซาเลม. เอษราได้รับมอบอำนาจจากกษัตริย์เปอร์เซียให้แต่งตั้งผู้พิพากษาและครูสอนกฎหมายของพระเจ้า (รวมทั้งกฎหมายของกษัตริย์) อีกทั้งตกแต่งพระวิหารของพระยะโฮวาให้งดงาม. รายการลำดับวงศ์วานที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเฉพาะผู้มีสิทธิ์จึงจะได้รับใช้ในฐานะปุโรหิตและเพื่อยืนยันการสืบมรดกของตระกูลด้วย ซึ่งพวกปุโรหิตได้รับสิ่งจำเป็น. เมื่อคำนึงถึงคำพยากรณ์ของพระยะโฮวาเรื่องราชอาณาจักร จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งเช่นกันที่ต้องมีบันทึกที่ชัดเจนและไว้ใจได้ในเรื่องเชื้อสายของตระกูลยูดาและของดาวิด.
3. (ก) เอษราปรารถนาจะเร้าใจชาวยิวให้ตระหนักถึงเรื่องอะไร? (ข) เหตุใดท่านจึงเน้นประวัติของอาณาจักรยูดา และท่านเน้นความสำคัญของการนมัสการบริสุทธิ์อย่างไร?
3 เอษราปรารถนาอย่างจริงจังที่จะปลุกชาวยิวที่คืนถิ่นให้ตื่นจากความเงื่องหงอยและเร้าใจพวกเขาให้ตระหนักถึงความเป็นจริงที่ว่า แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นผู้รับมรดกแห่งความรักกรุณาตามสัญญาไมตรีของพระยะโฮวา. ดังนั้น เอษราจึงแสดงไว้ในโครนิกาให้พวกเขาเห็นประวัติครบถ้วนของชาติและต้นกำเนิดของมนุษยชาติโดยย้อนไปไกลถึงอาดามมนุษย์คนแรก. เนื่องจากอาณาจักรของดาวิดเป็นจุดรวมความสนใจ ท่านจึงเน้นประวัติของอาณาจักรยูดา โดยตัดเรื่องราวของอาณาจักรสิบตระกูลที่ไม่มีทางไถ่คืนออกไปเกือบทั้งหมด. ท่านพรรณนาถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่องค์ต่าง ๆ ของยูดาว่าได้ร่วมงานก่อสร้างหรือบูรณะพระวิหารอีกทั้งนำหน้าในการนมัสการพระเจ้าด้วยใจแรงกล้า. ท่านชี้ถึงบาปทางศาสนาซึ่งทำให้อาณาจักรล่มจม ขณะเดียวกันก็เน้นคำสัญญาของพระเจ้าเรื่องการบูรณะฟื้นฟู. ท่านเน้นความสำคัญของการนมัสการบริสุทธิ์โดยมุ่งสนใจที่รายละเอียดมากมายเกี่ยวกับพระวิหาร, พวกปุโรหิต, พวกเลวี, นักร้อง, และอื่น ๆ. คงต้องเป็นการให้กำลังใจแก่ชนชาติยิศราเอลอย่างมากทีเดียวที่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ซึ่งมุ่งสนใจเหตุผลที่พวกเขาได้กลับจากการเป็นเชลย นั่นคือ การฟื้นฟูการนมัสการพระยะโฮวา ณ กรุงยะรูซาเลม.
4. หลักฐานอะไรสนับสนุนว่าเอษราเป็นผู้เขียนโครนิกา?
4 อะไรเป็นหลักฐานแสดงว่าเอษราเขียนโครนิกา? สองข้อสุดท้ายของโครนิกาฉบับสองเหมือนกันกับสองข้อแรกในพระธรรมเอษรา และโครนิกาฉบับสองจบที่กลางประโยคที่จบลงในเอษรา 1:3. ผู้เขียนโครนิกาจึงต้องเป็นคนเดียวกับที่เขียนพระธรรมเอษรา. เรื่องนี้ยังมีข้อสนับสนุนอีกคือลีลาการเขียน, ภาษา, การใช้ถ้อยคำ, และการสะกดในโครนิกากับเอษรานั้นเหมือนกัน. คำพูดบางอย่างในพระธรรมสองเล่มนี้ไม่พบในพระธรรมเล่มอื่น ๆ. เอษราผู้เขียนพระธรรมเอษราคงต้องเป็นผู้เขียนพระธรรมโครนิกาด้วย. คำเล่าสืบปากของพวกยิวก็สนับสนุนการลงความเห็นเช่นนี้.
5. เอษรามีคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณและด้านการงานอย่างไร?
5 ไม่มีใครมีคุณสมบัติดีกว่าเอษราในการรวบรวมประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้และถูกต้องแม่นยำนี้. “เพราะว่าท่านเอษราได้สำรวมตั้งใจแสวงหาในบทพระบัญญัติของพระยะโฮวาเพื่อจะได้ประพฤติตาม, และเพื่อจะได้เอาบทพระบัญญัติและข้อตัดสินทั้งปวงนั้นสอนให้พวกยิศราเอลแจ่มแจ้งขึ้น.” (เอษรา 7:10) พระยะโฮวาทรงช่วยท่านโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์. กษัตริย์เปอร์เซียที่ครองโลกยอมรับสติปัญญาของพระเจ้าในตัวเอษรา และแต่งตั้งท่านให้มีอำนาจมากฝ่ายพลเรือนในแคว้นยูดา. (เอษรา 7:12-26) ดังนั้น เมื่อได้อำนาจจากพระเจ้าและจากกษัตริย์ เอษราจึงสามารถรวบรวมเรื่องราวจากเอกสารดีที่สุดเท่าที่หาได้.
6. เหตุใดเราจึงมีความมั่นใจในความถูกต้องของโครนิกา?
6 เอษราเป็นนักค้นคว้าที่เด่นเป็นพิเศษ. ท่านค้นบันทึกเก่าแก่ของประวัติศาสตร์ยิวที่รวบรวมโดยผู้พยากรณ์ที่ไว้ใจได้ซึ่งอยู่ในสมัยเดียวกับเหตุการณ์ อีกทั้งที่รวบรวมโดยพวกอาลักษณ์และผู้เก็บบันทึกของราชการ. ข้อเขียนบางชิ้นที่ท่านใช้อาจเคยเป็นเอกสารราชการทั้งจากยิศราเอลและยูดา, บันทึกลำดับวงศ์วาน, ประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยพวกผู้พยากรณ์, และเอกสารที่เป็นของหัวหน้าตระกูล. เอษราอ้างถึงแหล่งข้อมูลเหล่านั้นอย่างน้อย 20 แหล่ง.b โดยแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจนเหล่านี้ เอษราจึงเปิดโอกาสด้วยความจริงใจให้คนร่วมสมัยตรวจสอบแหล่งข้อมูลของท่านหากพวกเขาต้องการทำ และทั้งนี้จึงทำให้เหตุผลสำหรับความน่าเชื่อถือและความถูกต้องแห่งถ้อยคำที่ท่านเขียนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากทีเดียว. พวกเราในทุกวันนี้จึงมั่นใจได้ในความถูกต้องของพระธรรมโครนิกาเนื่องด้วยเหตุผลเดียวกับที่ชาวยิวในสมัยเอษราเคยมั่นใจ.
7. โครนิกาเขียนขึ้นเมื่อไร ใครยอมรับว่าพระธรรมนี้เชื่อถือได้ และพระธรรมนี้ครอบคลุมช่วงเวลาใด?
7 เนื่องจากเอษรา “ขึ้นมาจากเมืองบาบูโลน” ในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลกษัตริย์อะระธาสัศธา ลอนกีมานุสแห่งเปอร์เซีย ซึ่งเป็นปี 468 ก.ส.ศ. และเอษราไม่ได้จดบันทึกการมาถึงครั้งสำคัญของนะเฮมยาในปี 455 ก.ส.ศ. โครนิกาจึงคงต้องเขียนเสร็จระหว่างช่วงนี้ อาจเป็นในราวปี 460 ก.ส.ศ. ที่กรุงยะรูซาเลม. (เอษรา 7:1-7; นเฮม. 2:1-18) ชาวยิวในสมัยเอษรายอมรับว่าโครนิกาเป็นส่วนที่แท้จริงส่วนหนึ่งของ ‘พระคัมภีร์ทุกตอนที่มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์.’ พวกเขาเรียกพระธรรมเล่มนี้ว่า ดิฟเรห์ʹ ไฮยามิมʹ หมายถึง “กิจการแห่งสมัย” ซึ่งก็คือประวัติศาสตร์ของช่วงเวลาหรือสมัย. ประมาณ 200 ปีต่อมา ผู้แปลฉบับกรีก เซปตัวจินต์ ได้รวมเอาโครนิกาไว้เป็นส่วนแห่งสารบบพระคัมภีร์ด้วย. พวกเขาแบ่งพระธรรมนี้ออกเป็นสองตอนและโดยถือเป็นส่วนเสริมเข้ากับพระธรรมซามูเอลและพงศาวดารกษัตริย์หรือกับพระคัมภีร์ทั้งเล่มที่มีอยู่ในตอนนั้น จึงเรียกพระธรรมนี้ว่า พาราเลโพเมʹนอน หมายถึง “สิ่งที่ข้ามไป (ตกหล่น; ไม่ได้พูดถึง).” แม้ว่าชื่อนี้ไม่ค่อยเหมาะนัก แต่การกระทำของพวกเขาแสดงว่า พวกเขาถือว่าโครนิกาเป็นส่วนแห่งพระคัมภีร์ที่เชื่อถือได้และมีขึ้นโดยการดลใจ. ในการเตรียมฉบับลาตินวัลเกต เจโรมแนะว่า “เราอาจเรียก [พระธรรมทั้งสองนี้] อย่างมีความหมายมากขึ้นว่า โครนิคอนʹ แห่งประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด.” ชื่อ “โครนิกา” จึงได้มาเพราะเหตุนี้. โครนิกาเป็นบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามลำดับที่เกิดขึ้น. หลังจากให้ลำดับวงศ์วาน ส่วนใหญ่แล้วโครนิกาฉบับต้นเกี่ยวข้องกับสมัยของกษัตริย์ดาวิด ตั้งแต่ปี 1077 ก.ส.ศ. จนกระทั่งท่านสิ้นชีพ.
เนื้อเรื่องในโครนิกาฉบับต้น
8. โครนิกาฉบับต้นแบ่งออกเป็นสองตอนอะไรบ้าง?
8 พระธรรมโครนิกาฉบับต้นนี้แบ่งออกเป็นสองตอน คือ 9 บทแรกซึ่งเกี่ยวกับลำดับวงศ์วานเป็นประการสำคัญ และ 20 บทสุดท้ายซึ่งครอบคลุมเหตุการณ์ในช่วง 40 ปีนับแต่ซาอูลสิ้นชีพจนถึงตอนสิ้นรัชกาลดาวิด.
9. ทำไมจึงไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าเวลาที่เขียนโครนิกาน่าจะเป็นหลังจากนั้น?
9 ลำดับวงศ์วาน (1:1–9:44). บทเหล่านี้ให้ลำดับวงศ์วานตั้งแต่อาดามลงมาจนถึงเชื้อสายซะรูบาเบล. (1:1; 3:19-24) การแปลของฉบับแปลหลายฉบับบอกเชื้อสายของซะรูบาเบลจนถึงชั่วอายุที่สิบ. เนื่องจากท่านได้กลับสู่ยะรูซาเลมในปี 537 ก.ส.ศ. คงมีเวลาไม่พอให้มากถึงสิบชั่วอายุกำเนิดมาเมื่อถึงปี 460 ก.ส.ศ. ซึ่งเป็นเวลาที่ดูเหมือนว่าเอษราเขียนเสร็จแล้ว. อย่างไรก็ตาม ข้อความภาษาฮีบรูตอนนี้ยังเขียนไม่เสร็จ และไม่อาจรู้แน่ได้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่ที่มีรายชื่อให้ไว้นั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับซะรูบาเบล. ฉะนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าเวลาที่เขียนโครนิกาน่าจะเป็นหลังจากนั้นอย่างที่บางคนคิด.
10. (ก) ชั่วอายุของใครบ้างที่มีบอกไว้ในตอนแรก? (ข) ลำดับวงศ์วานอะไรที่มีการจัดเรียงอย่างสมเหตุสมผลในช่วงต้นของบทที่สอง? (ค) มีรายชื่ออะไรอื่นอีก และจบด้วยอะไร?
10 แรกทีเดียว มีกล่าวถึงสิบชั่วอายุจากอาดามถึงโนฮา แล้วก็อีกสิบชั่วอายุจนถึงอับราฮาม. บุตรและหลานของอับราฮาม; และลูกหลานของเอซาวและชาวเซอีรซึ่งอยู่ในแถบภูเขาเซอีร; อีกทั้งกษัตริย์อะโดมรุ่นแรก ๆ ก็ถูกบันทึกไว้ด้วย. อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่บทที่สอง บันทึกนั้นเกี่ยวข้องกับลูกหลานของยิศราเอลหรือยาโคบ ซึ่งนับจากท่านลำดับวงศ์วานได้ไล่จากยูดาเป็นคนแรกแล้วก็อีกสิบชั่วอายุจนถึงดาวิด. (2:1-14) นอกจากนี้ ยังมีบันทึกรายชื่อสำหรับตระกูลอื่น ๆ ด้วย พร้อมกับพาดพิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงตระกูลเลวีและมหาปุโรหิต และปิดท้ายด้วยลำดับวงศ์วานของตระกูลเบนยามิน เพื่อเป็นการแนะนำกษัตริย์ซาอูลชาวเบนยามิน ซึ่งเรื่องราวประวัติศาสตร์จริง ๆ เริ่มต้นกับท่าน. บางครั้งอาจดูเหมือนว่ามีข้อขัดแย้งระหว่างลำดับวงศ์วานของเอษรากับตอนอื่น ๆ ของคัมภีร์ไบเบิล. อย่างไรก็ตาม ต้องจำไว้ว่าบางคนเป็นที่รู้จักโดยชื่ออื่น และภาษาที่เปลี่ยนไปอีกทั้งเวลาที่ผ่านไปอาจทำให้การสะกดในบางชื่อเปลี่ยนได้. การศึกษาอย่างถี่ถ้วนขจัดปัญหาส่วนใหญ่ในเรื่องนี้.
11. จงให้ตัวอย่างข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ซึ่งมีกระจายแทรกอยู่ในบันทึกลำดับวงศ์วาน.
11 เอษราแทรกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ไว้ที่นั่นบ้างที่นี่บ้างในลำดับวงศ์วาน ซึ่งช่วยให้ความกระจ่างและเพื่อให้ข้อเตือนใจอันสำคัญ. ยกตัวอย่าง เมื่อให้รายชื่อลูกหลานของรูเบน เอษราได้เสริมรายละเอียดสำคัญที่ว่า “ฝ่ายบุตรหลานของรูเบ็น, บุตรหัวปีของยิศราเอล, ท่านเป็นบุตรหัวปีแท้; แต่เพราะท่านได้ทำที่นอนของบิดาให้มลทินไป, จึงต้องยกมรดกบุตรหัวปีให้ไว้แก่หลาน [“บุตร,” ล.ม.] โยเซฟบุตรของยิศราเอล: หาได้แบ่งตามธรรมเนียมบุตรหัวปีไม่. ด้วยว่ายูดาเลื่อนขึ้นได้อำนาจยิ่งกว่าพี่น้องทั้งหลาย, และเจ้านายผู้ครอบครองก็เกิดมาจากท่าน; แต่ส่วนผลประโยชน์ของบุตรหัวปีนั้นได้แก่โยเซฟ.” (5:1, 2) เรื่องมากมายมีชี้แจงไว้ด้วยถ้อยคำไม่กี่คำเหล่านี้. นอกจากนั้น เฉพาะแต่ในโครนิกาเท่านั้นที่เราทราบว่า โยอาบ, อะมาซา, และอะบีซัยล้วนเป็นหลานดาวิด ซึ่งช่วยเราให้เข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้.—2:16, 7.
12. สภาพการณ์เป็นเช่นไรบ้างในคราวที่ซาอูลสิ้นชีพ?
12 ความไม่ซื่อสัตย์ของซาอูลยังผลด้วยความตาย (10:1-14). คำบรรยายเรื่องเริ่มด้วยการที่ชาวฟะลีศตีมเป็นฝ่ายรุกรบในสงครามที่ภูเขาฆีละโบอะ. ราชบุตรสามคนของซาอูลรวมทั้งโยนาธานถูกฆ่า. แล้วซาอูลได้รับบาดเจ็บ. เนื่องด้วยไม่อยากถูกศัตรูจับได้ ท่านเร่งเร้าผู้ถืออาวุธว่า “จงชักกระบี่ของเจ้าออกแทงเราให้ทะลุเถิด, มิฉะนั้นผู้ที่ไม่ถือศีลสุหนัตเหล่านี้จะมาทำให้เรามีความอัปยศ.” เมื่อผู้ถืออาวุธไม่ยอมทำ ซาอูลจึงปลิดชีพตนเอง. ดังนั้น ซาอูลสิ้นพระชนม์เนื่องจากการกระทำ “ด้วยขาดความเชื่อต่อพระยะโฮวาในเรื่องที่ท่านไม่ได้ถือรักษาคำตรัสของพระยะโฮวาและยังเนื่องจากขอคนทรงสอบถามอีกด้วย. และท่านไม่ได้ทูลถามพระยะโฮวา.” (10:4, 13, 14, ล.ม.) พระยะโฮวาจึงทรงประทานอาณาจักรแก่ดาวิด.
13. ดาวิดเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรอย่างไร?
13 ดาวิดตั้งมั่นคงในอาณาจักร (11:1–12:40). ต่อมา 12 ตระกูลประชุมกันต่อหน้าดาวิดที่เมืองเฮ็บโรนและเจิมท่านเป็นกษัตริย์เหนือยิศราเอลทั้งสิ้น. ท่านยึดเมืองซีโอนและ “ทรงพระเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปเสมอ; เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าของพลโยธาทรงสถิตอยู่กับท่าน.” (11:9) ชายที่เก่งกล้าได้รับการแต่งตั้งให้คุมกองทัพ และโดยทางพวกเขา พระยะโฮวาได้ทรงช่วย “ให้มีชัยชนะใหญ่.” (11:14) ดาวิดได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ขณะที่พวกนักรบมาชุมนุมกันด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อตั้งท่านเป็นกษัตริย์. มีงานเลี้ยงและการรื่นเริงในชาติยิศราเอล.
14. การรบของดาวิดกับชาวฟะลิศตีมเป็นอย่างไร และวาระอะไรที่เร้าใจให้เกิดความเชื่อซึ่งทำให้เกิดเพลงแห่งความยินดี?
14 ดาวิดและหีบสัญญาไมตรีของพระยะโฮวา (13:1–16:36). ดาวิดปรึกษาพวกผู้นำในชาติและพวกเขาตกลงใจจะย้ายหีบสัญญาไมตรีจากที่เคยตั้งไว้ที่คีระยัธยะอารีมราว 70 ปีมาไว้ที่กรุงยะรูซาเลม. ระหว่างทางอุซาเสียชีวิตเพราะการละเลยพระบัญชาของพระเจ้าอย่างไม่เคารพยำเกรง และหีบสัญญาไมตรีจึงถูกตั้งไว้ที่บ้านโอเบ็ดอะโดมระยะหนึ่ง. (อาฤ. 4:15) พวกฟะลิศตีมกลับมาโจมตีอีก แต่ดาวิดทำให้พวกเขาพ่ายแพ้อย่างย่อยยับถึงสองครั้งที่บาละพะราซิมและที่ฆิบโอน. โดยคำสั่งของดาวิด คราวนี้พวกเลวีทำตามขั้นตอนดำเนินการตามระบอบของพระเจ้าในการเคลื่อนย้ายหีบสัญญาไมตรีไปยังกรุงยะรูซาเลมอย่างปลอดภัยและตั้งไว้ในพลับพลาที่ดาวิดจัดไว้ พร้อมด้วยการเต้นรำและความปีติยินดี. มีการถวายเครื่องบูชาและการร้องเพลง ดาวิดเองทรงถวายบทเพลงขอบพระเดชพระคุณพระยะโฮวาเนื่องในโอกาสนี้. เพลงนั้นมาถึงจุดสุดยอดอันยิ่งใหญ่ด้วยสาระสำคัญว่า “ให้ฟ้าสวรรค์มีความชื่นชม, และแผ่นดินโลกโสมนัสยินดี; ให้ประกาศในท่ามกลางชนประเทศว่า, พระยะโฮวาทรงครอบครองอยู่.” (1 โคร. 16:31) นับเป็นเหตุการณ์น่าตื่นเต้นที่เร้าใจให้เกิดความเชื่อจริง ๆ! ต่อมา เพลงของดาวิดเพลงนี้ได้ถูกดัดแปลงเป็นพื้นฐานสำหรับบทเพลงใหม่ ๆ ซึ่งเพลงหนึ่งได้แก่บทเพลงสรรเสริญ 96. อีกเพลงถูกบันทึกใน 15 ข้อแรกของบทเพลงสรรเสริญ 105.
15. ด้วยคำสัญญาอันวิเศษอะไรที่พระยะโฮวาทรงตอบเมื่อดาวิดแสดงความปรารถนาจะสร้างพระวิหารเพื่อการนมัสการที่เป็นเอกภาพ?
15 ดาวิดและพระวิหารของพระยะโฮวา (16:37–17:27). ตอนนี้มีการจัดเตรียมพิเศษในยิศราเอล. หีบสัญญาไมตรีตั้งอยู่ในพลับพลาในกรุงยะรูซาเลมซึ่งอาซาฟและพี่น้องของเขาเฝ้าดูแล ในขณะที่อีกไม่กี่กิโลเมตรไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงยะรูซาเลมที่เมืองฆิบโอน ซาโดคมหาปุโรหิตกับพี่น้องของเขาถวายเครื่องบูชาที่พลับพลาตามพระบัญญัติ. ดาวิดรำลึกเสมอถึงการยกย่องและการทำให้การนมัสการพระยะโฮวาเป็นเอกภาพ ท่านจึงแสดงความปรารถนาจะสร้างพระวิหารสำหรับหีบสัญญาไมตรีของพระยะโฮวา. แต่พระยะโฮวาตรัสว่า ไม่ใช่ดาวิด แต่บุตรของท่านจะสร้างพระวิหารสำหรับพระองค์และพระองค์จะ “สถาปนาบัลลังก์ของเขาไว้เป็นนิตย์” ซึ่งแสดงถึงความรักกรุณาดังที่บิดาแสดงต่อบุตร. (17:11-13, ฉบับแปลใหม่) คำสัญญาอันวิเศษนี้จากพระยะโฮวา—ซึ่งสัญญาไมตรีนี้สำหรับราชอาณาจักรชั่วนิรันดร์—ทำให้ดาวิดซาบซึ้งถึงหัวใจ. ความรู้สึกขอบพระคุณอันเปี่ยมล้นของท่านแสดงออกด้วยการทูลขอให้พระนามของพระยะโฮวา “ดำรงมั่นคงอยู่, ให้ได้รับความยกยอสรรเสริญเป็นนิตย์” และขอให้พระพรจากพระองค์มีมาเหนือเชื้อวงศ์ของท่าน.—17:24.
16. พระยะโฮวาทรงทำตามคำสัญญาอะไรโดยทางดาวิด แต่ดาวิดทำบาปอย่างไร?
16 ชัยชนะของดาวิด (18:1–21:17). โดยทางดาวิด บัดนี้พระยะโฮวาทรงทำตามคำสัญญาของพระองค์ที่จะให้แผ่นดินแห่งคำสัญญาทั้งหมดแก่พงศ์พันธุ์ของอับราฮาม (18:3) ในการรบต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว พระยะโฮวา “ทรงโปรดป้องกันรักษา [“ดาวิด,” ล.ม.] ไว้” ในทุกแห่งที่ท่านไป. (18:6) ด้วยชัยชนะเด็ดขาด ดาวิดปราบชาวฟะลิศตีม, ตีชาวโมอาบแตกพ่าย, เอาชนะชาวโซบา, บังคับให้ชาวซีเรียนำส่วยมาถวาย, และพิชิตชาวอะโดมและอัมโมน รวมทั้งชาวอะมาเล็กด้วย. อย่างไรก็ตาม ซาตานกระตุ้นให้ดาวิดนับจำนวนชนยิศราเอล จึงเป็นการทำบาป. พระยะโฮวาทรงทำให้เกิดโรคระบาดเพื่อลงโทษ แต่ด้วยพระเมตตา พระองค์ทรงให้ความหายนะนั้นยุติลงที่ลานนวดข้าวของอะราวนา หลังจาก 70,000 คนถูกประหาร.
17. ดาวิดเตรียมการอย่างไรสำหรับการสร้างพระวิหารของพระยะโฮวา และท่านให้กำลังใจซะโลโมอย่างไร?
17 ดาวิดเตรียมการสำหรับพระวิหาร (21:18–22:19). ดาวิดได้รับแจ้งจากทูตสวรรค์ผ่านทางฆาด “ให้ขึ้นไปสร้างแท่นสำหรับบูชาพระยะโฮวาที่ลานของอะราวนาชาติยะบูศ.” (21:18) หลังจากซื้อที่แห่งนั้นจากอะราวนา ดาวิดถวายเครื่องบูชาที่นั่นด้วยความเชื่อฟังและทูลขอพระยะโฮวา พระองค์ทรงตอบท่านโดยให้ “มีไฟตกลงมาจากสวรรค์บนแท่นบูชาเผานั้น.” (21:26) ดาวิดลงความเห็นว่า พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้สร้างพระวิหารของพระองค์ที่นั่น และท่านเริ่มงานด้วยการเตรียมวัสดุต่าง ๆ และรวบรวมวัสดุเหล่านั้นไว้ กล่าวว่า “ซะโลโมราชบุตรของเรายังเยาว์อยู่, และพระวิหารที่จะสร้างสำหรับพระยะโฮวาต้องทำให้งามอย่างยิ่ง, จะได้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วนานาประเทศทั้งปวง: เราจะเตรียมการไว้สำหรับพระวิหารนั้น.” (22:5) ท่านอธิบายให้ซะโลโมทราบว่า พระยะโฮวาไม่ทรงอนุญาตให้ท่านสร้างพระวิหาร ด้วยท่านเป็นผู้ทำสงครามและทำให้โลหิตตก. ท่านกระตุ้นเตือนราชบุตรของท่านให้กล้าหาญและเข้มแข็งในกิจนี้ โดยกล่าวว่า “จงลุกขึ้นจัดทำเถิด, และขอพระยะโฮวาทรงโปรดสถิตอยู่กับเจ้า.”—22:16.
18. มีการทำสำมะโนประชากรเพื่อวัตถุประสงค์อะไร?
18 ดาวิดจัดระเบียบสำหรับการนมัสการพระยะโฮวา (23:1–29:30). มีการทำสำมะโนประชากร คราวนี้เป็นไปตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา เพื่อจัดระเบียบใหม่สำหรับการรับใช้ของพวกปุโรหิตและพวกเลวี. มีอธิบายงานรับใช้ของพวกเลวีอย่างละเอียดในพระธรรมนี้ยิ่งกว่าที่อื่นในพระคัมภีร์. แล้วจึงมีการวางเค้าโครงงานราชการแผนกต่าง ๆ ด้วย.
19. ดาวิดตรัสอย่างไรเพื่อมอบหมายงานแก่ซะโลโม ท่านเตรียมแผนงานอะไรไว้บ้าง และท่านวางแบบอย่างอันยอดเยี่ยมเช่นไรไว้?
19 เมื่อใกล้สิ้นรัชกาลที่มีเหตุการณ์มากมาย ดาวิดจัดชุมนุมเหล่าผู้แทนของชนทั้งชาติ “พวกสโมสร [“ประชาคม,” ล.ม.] ของพระยะโฮวา.” (28:8) กษัตริย์ทรงยืนขึ้น. “พี่น้องและพลไพร่ของเราเอ๋ย, จงฟังเถิด.” จากนั้น ท่านกล่าวแก่พวกเขาเกี่ยวกับความปรารถนาในหัวใจท่านคือ “วิหารของพระเจ้า [“เที่ยงแท้,” ล.ม.].” ต่อหน้าพวกเขา ท่านมอบหมายงานแก่ซะโลโมโดยตรัสว่า “ซะโลโมบุตรชายของเราเอ๋ย, จงรู้จักพระเจ้าแห่งบิดาของเจ้า, จงปฏิบัติพระเจ้านั้นด้วยสิ้นสุดจิตต์, และด้วยเต็มใจของเจ้า: ด้วยว่าพระยะโฮวาทรงตรวจพิจารณาจิตต์ใจทุกดวง, และทรงทราบบรรดาความคิดมุ่งหมาย: ถ้าเจ้าแสวงหาพระองค์ พระองค์จะทรงโปรดให้เจ้าประสบพระองค์; แต่ถ้าเจ้าละทิ้งพระองค์ พระองค์จะทรงละทิ้งเจ้าเป็นนิตย์. จงเอาใจใส่ให้ดี; ด้วยพระยะโฮวาได้ทรงเลือกเจ้าไว้ให้สร้างพระวิหารเป็นที่บริสุทธิ์. จงตั้งใจมั่นคงและกระทำให้สำเร็จเถิด.” (28:2, 9, 10, 12) ท่านให้รายละเอียดแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับโดยการดลใจจากพระยะโฮวาแก่หนุ่มน้อยซะโลโม และบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์มากมายสำหรับโครงการก่อสร้างนี้—เป็นทองคำ 3,000 ตะลันต์และเงิน 7,000 ตะลันต์ ซึ่งท่านได้สะสมไว้เพื่อจุดประสงค์นี้. ด้วยตัวอย่างอันยอดเยี่ยมนี้ เจ้านายทั้งหลายและประชาชนต่างตอบรับโดยการบริจาคทองคำมูลค่า 5,000 ตะลันต์กับ 10,000 ดาริด และเงิน 10,000 ตะลันต์ อีกทั้งเหล็กและทองแดงมากมาย.c (29:3-7) เหล่าประชาชนต่างแสดงความปีติยินดีสำหรับสิทธิพิเศษนี้.
20. มีการบรรลุจุดสุดยอดอะไรในคำอธิษฐานตอนท้ายของดาวิด?
20 แล้วดาวิดจึงสรรเสริญพระยะโฮวาในคำอธิษฐาน ยอมรับว่าของถวายมากมายทั้งปวงนั้นแท้จริงแล้วเป็นมาจากพระหัตถ์ของพระองค์และวิงวอนพระองค์ให้ทรงอวยพรประชาชนและซะโลโมต่อ ๆ ไป. คำอธิษฐานในตอนท้ายครั้งนี้ของดาวิดบรรลุถึงจุดสุดยอดด้วยการยกย่องราชอาณาจักรของพระยะโฮวาและพระนามอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ดังนี้: “ความสุขจงมีแก่พระยะโฮวาพระเจ้าของยิศราเอลบิดาทวดของเราสืบ ๆ ไปเป็นนิตย์. ข้าแต่พระยะโฮวา, ยศศักดิ์, อำนาจ, รัศมี, ความชัยชนะ, และเดชานุภาพ: คงมีแก่พระองค์, เพราะสรรพสิ่งในสวรรค์ก็ดี, ที่พิภพโลกก็ดี, เป็นของพระองค์; ข้าแต่พระยะโฮวา, ราชสมบัติสิทธิ์ขาดแก่พระองค์, พระองค์ทรงสถิตอยู่เหนือสิ่งสารพัด. ทรัพย์สมบัติและยศศักดิ์มาแต่พระองค์, พระองค์ทรงครอบครองอยู่ทั่ว; พระหัตถ์ของพระองค์ประกอบด้วยอำนาจและฤทธิ์เดช; คนทั้งปวงต้องอาศัยพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงตั้งให้เป็นใหญ่, และทรงอุดหนุนกำลัง, เหตุฉะนั้น, ข้าแต่พระยะโฮวา, บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายขอขอบพระเดชพระคุณพระองค์, และสรรเสริญพระนามอันล้ำเลิศของพระองค์.”—29:10-13.
21. โครนิกาฉบับต้นจบลงด้วยข้อความอะไรที่ยกย่องอย่างสูงส่ง?
21 ซะโลโมถูกเจิมเป็นครั้งที่สองและเริ่มประทับบน “พระที่นั่งของพระยะโฮวา” แทนดาวิดผู้ชรา. หลังจากปกครอง 40 ปี ดาวิดสิ้นพระชนม์เมื่อ “ทรงพรรษาบริบูรณ์ทั้งทรัพย์สมบัติและเกียรติยศ.” (29:23, 28). เอษราจึงลงท้ายโครนิกาฉบับต้นด้วยข้อความที่ยกย่องอย่างสูงส่ง ซึ่งเน้นถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรของดาวิดเหนืออาณาจักรของนานาชาติทั้งสิ้น.
เหตุที่เป็นประโยชน์
22. ชาวยิศราเอลเพื่อนร่วมชาติของเอษราได้รับการชูใจอย่างไรจากโครนิกาฉบับต้น?
22 ชาวยิศราเอลเพื่อนร่วมชาติของเอษราได้รับประโยชน์มากจากพระธรรมที่ท่านเขียน. เมื่อมีประวัติโดยสังเขปที่ให้ทัศนะอันแจ่มชัดและในแง่ดี พวกเขาจึงหยั่งรู้ค่าความเมตตารักใคร่ที่พระยะโฮวาทรงมีต่อพวกเขาเนื่องด้วยความภักดีของพระองค์ต่อสัญญาไมตรีเรื่องราชอาณาจักรกับกษัตริย์ดาวิดและเพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์เอง. เมื่อได้รับกำลังใจ พวกเขาจึงดำเนินการนมัสการบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาได้ด้วยใจแรงกล้าขึ้นมาอีก. ลำดับวงศ์วานช่วยเสริมความมั่นใจของพวกเขาให้หนักแน่นขึ้นในคณะปุโรหิตที่ปฏิบัติงาน ณ พระวิหารที่บูรณะใหม่.
23. มัดธาย, ลูกา, และซะเตฟาโนใช้โครนิกาฉบับต้นให้เป็นประโยชน์อย่างไร?
23 โครนิกาฉบับต้นยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ประชาคมคริสเตียนรุ่นแรกด้วย. มัดธายและลูกาอาศัยลำดับวงศ์วานในโครนิกาเพื่อพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าพระเยซูคริสต์เป็น “เชื้อสาย [“บุตร,” ล.ม.] ของดาวิด” และเป็นมาซีฮาผู้มีสิทธิตามกฎหมาย. (มัด. 1:1-16; ลูกา 3:23-38) ในตอนจบการให้คำพยานครั้งสุดท้ายของซะเตฟาโน ท่านพูดถึงการที่ดาวิดขอสร้างพระวิหารสำหรับพระยะโฮวาและการที่ซะโลโมดำเนินการสร้าง. จากนั้นท่านชี้ว่า “พระเจ้าผู้สูงสุดหาได้ประทับอยู่ในโบสถ์ซึ่งมือมนุษย์ได้ทำไว้ไม่” ซึ่งแสดงว่าพระวิหารในสมัยของซะโลโมเป็นภาพเล็งถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ที่มีสง่าราศียิ่งกว่ามากนัก.—กิจ. 7:45-50.
24. อะไรบ้างในตัวอย่างอันยอดเยี่ยมของดาวิดที่พวกเราในทุกวันนี้น่าจะเลียนแบบ?
24 คริสเตียนแท้สมัยปัจจุบันล่ะจะว่าอย่างไร? โครนิกาฉบับต้นควรเสริมและกระตุ้นความเชื่อของเรา. มีหลายอย่างที่เราจะเลียนแบบตัวอย่างที่โดดเด่นของดาวิดได้. ท่านช่างไม่เหมือนเอาเสียเลยกับซาอูลผู้ขาดความเชื่อ ในประการที่ท่านทูลถามพระยะโฮวาเสมอ! (1 โคร. 10:13, 14; 14:13, 14; 17:16; 22:17-19) ในคราวที่นำหีบสัญญาไมตรีของพระยะโฮวามายังกรุงยะรูซาเลม, ในเพลงสรรเสริญของท่าน, ในการจัดระเบียบชาวเลวีสำหรับการรับใช้, และในการทูลขอเพื่อจะสร้างพระวิหารอันสง่างามสำหรับพระยะโฮวา ดาวิดแสดงว่าพระยะโฮวาและการนมัสการพระองค์เป็นสิ่งแรกในความคิดของท่าน. (16:23-29) ท่านไม่ใช่คนช่างบ่น. ท่านไม่ได้แสวงหาสิทธิพิเศษเพื่อตัวเองแต่พยายามทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาเท่านั้น. ดังนั้น เมื่อพระยะโฮวามอบหมายงานสร้างพระวิหารแก่โอรสของท่าน ท่านเต็มใจให้คำแนะนำและสละเวลา, กำลัง, อีกทั้งทรัพย์สมบัติของท่านเพื่อเตรียมการสำหรับงานที่จะเริ่มหลังจากท่านสิ้นชีวิต. (29:3, 9) นับเป็นแบบอย่างความเลื่อมใสอันยอดเยี่ยมจริง ๆ!—เฮ็บ. 11:32.
25. โครนิกาฉบับต้นควรกระตุ้นเราให้หยั่งรู้ค่าเช่นไรต่อพระนามของพระยะโฮวาและราชอาณาจักรของพระองค์?
25 ต่อจากนั้นก็มีบทลงท้ายที่บรรลุจุดสุดยอด. ภาษาอันงดงามที่ดาวิดใช้สรรเสริญพระยะโฮวาและถวายพระเกียรติ “พระนามอันล้ำเลิศ” ของพระองค์ควรกระตุ้นเราให้หยั่งรู้ค่าด้วยความยินดีต่อสิทธิพิเศษของพวกเราสมัยนี้ในการประกาศสง่าราศีของพระยะโฮวาและราชอาณาจักรของพระองค์โดยพระคริสต์. (1 โคร. 29:10-13) ขอให้เรามีความเชื่อและความยินดีเหมือนดาวิดขณะที่เราสำแดงการขอบพระคุณพระยะโฮวาเรื่องราชอาณาจักรถาวรของพระองค์ด้วยการทุ่มเทตัวเราในงานรับใช้พระองค์. (17:16-27) จริงทีเดียว โครนิกาฉบับต้นทำให้เรื่องราชอาณาจักรของพระยะโฮวาทางพงศ์พันธุ์ของพระองค์ซึ่งเป็นสาระสำคัญของพระคัมภีร์เปล่งประกายงดงามยิ่งกว่าเดิม อันเป็นเหตุให้เราคอยท่าการเปิดเผยอันน่าตื่นเต้นในขั้นต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระยะโฮวา.
[เชิงอรรถ]
a บทวิจารณ์ ของคลาร์ก เล่ม 2 หน้า 574 (ภาษาอังกฤษ).
b การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 444-445.
c การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 2 หน้า 1076.