พระธรรมเล่มที่ 40—มัดธาย
ผู้เขียน: มัดธาย
สถานที่เขียน: ปาเลสไตน์
เขียนเสร็จ: ประมาณปี ส.ศ. 41
ครอบคลุมระยะเวลา: ปี 2 ก.ส.ศ.-ส.ศ. 33
1. (ก) พระยะโฮวาทรงให้สัญญาอะไรแก่มนุษยชาตินับตั้งแต่สมัยสวนเอเดนเป็นต้นมา? (ข) ความหวังในพระมาซีฮาได้ตั้งมั่นคงท่ามกลางชาวยิวอย่างไร?
ตั้งแต่ตอนที่เกิดการกบฏในสวนเอเดน พระยะโฮวาทรงให้สัญญาที่ชูใจแก่มนุษยชาติว่า พระองค์จะจัดให้มีการช่วยให้รอดพ้นแก่ผู้รักความชอบธรรมทั้งปวงโดยทางพงศ์พันธุ์แห่ง “ผู้หญิง” ของพระองค์. พระองค์ทรงประสงค์จะให้พงศ์พันธุ์หรือพระมาซีฮานี้บังเกิดจากชาติยิศราเอล. เมื่อหลายศตวรรษล่วงเลยไป พระองค์ได้ทรงทำให้มีการบันทึกคำพยากรณ์หลายประการโดยทางผู้เขียนชาวฮีบรูที่ได้รับการดลใจ ซึ่งแสดงว่าพงศ์พันธุ์นั้นจะเป็นผู้ปกครองในราชอาณาจักรของพระเจ้าและท่านจะทำให้พระนามของพระยะโฮวาเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์ โดยทำให้พระนามนี้พ้นจากคำตำหนิที่เคยทับถมพระนามนี้ตลอดไป. มีการให้รายละเอียดหลายประการโดยทางผู้พยากรณ์เหล่านั้นเกี่ยวกับท่านผู้นี้ซึ่งจะเป็นผู้พิสูจน์ว่าพระยะโฮวาเป็นฝ่ายถูกและเป็นผู้ซึ่งจะช่วยให้รอดพ้นจากความกลัว, การกดขี่, บาป, และความตาย. เมื่อพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเขียนเสร็จ ความหวังในพระมาซีฮาจึงถูกตั้งไว้อย่างมั่นคงท่ามกลางชาวยิว.
2. ในคราวการปรากฏของพระมาซีฮา สภาพการณ์เอื้ออำนวยแก่การเผยแพร่ข่าวดีอย่างไร?
2 ระหว่างนั้นฉากของโลกได้เปลี่ยนไป. พระเจ้าทรงจัดการให้นานาชาติเตรียมพร้อมสำหรับการปรากฏของพระมาซีฮา และสภาพการณ์ก็เอื้ออำนวยแก่การแพร่ข่าวเหตุการณ์นั้นไปอย่างกว้างไกล. กรีซซึ่งเป็นมหาอำนาจที่ห้าของโลกได้จัดให้มีภาษากลางอันเป็นเครื่องมือสากลในการติดต่อสื่อสารท่ามกลางชาติทั้งหลาย. โรม มหาอำนาจที่หกของโลก ได้รวมประเทศที่ตกเป็นเมืองขึ้นของตนเข้าอยู่ในจักรวรรดิเดียวและสร้างถนนเพื่อไปถึงทุกส่วนของจักรวรรดิได้. ชาวยิวจำนวนมากได้กระจัดกระจายไปทั่วจักรวรรดินี้ จนคนอื่น ๆ ได้ทราบถึงการคาดหมายที่ชาวยิวมีในเรื่องพระมาซีฮาที่จะมา. และบัดนี้ กว่า 4,000 ปีหลังจากสัญญาในสวนเอเดน พระมาซีฮาได้มาปรากฏ! พงศ์พันธุ์ตามสัญญาซึ่งรอคอยกันมานานมาถึงแล้ว! เหตุการณ์สำคัญที่สุดเท่าที่มีมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ถูกคลี่คลายในขณะที่พระมาซีฮาทรงปฏิบัติตามพระทัยประสงค์แห่งพระบิดาของพระองค์บนแผ่นดินโลกนี้อย่างซื่อสัตย์.
3. (ก) พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมอะไรไว้เพื่อการบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตพระเยซู? (ข) กิตติคุณแต่ละเล่มแตกต่างกันอย่างไร และเหตุใดจึงจำเป็นต้องมีกิตติคุณทั้งสี่?
3 ถึงเวลาจะต้องมีการเขียนโดยการดลใจอีกครั้งเพื่อบันทึกเหตุการณ์น่าตื่นเต้นเหล่านี้. พระวิญญาณของพระยะโฮวาได้ดลใจชายที่ซื่อสัตย์สี่คนให้เขียนบันทึกตามแบบของตนเองโดยเฉพาะ ดังนั้น จึงให้คำพยานสี่ต่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮา เป็นพงศ์พันธุ์และพระมหากษัตริย์ที่สัญญาไว้ และให้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิต, งานรับใช้, การสิ้นพระชนม์, และการคืนพระชนม์ของพระองค์. บันทึกเหล่านี้ถูกเรียกว่ากิตติคุณ คำ “กิตติคุณ” หมายความว่า “ข่าวดี.” แม้กิตติคุณทั้งสี่เล่มคล้ายคลึงกันและบ่อยครั้งกล่าวถึงเหตุการณ์เดียวกัน แต่กิตติคุณเหล่านี้ไม่ใช่ฉบับคัดลอกกัน. กิตติคุณสามเล่มแรกมักเรียกกันว่า ไซนอปติก ซึ่งหมายความว่า “ความเห็นที่พ้องกัน” เนื่องจากเล่าถึงชีวิตของพระเยซูนแผ่นดินโลกในลักษณะคล้ายกัน. แต่ผู้เขียนทั้งสี่คือ มัดธาย, มาระโก, ลูกา, และโยฮัน ต่างเล่าเรื่องที่ตัวเองทราบเกี่ยวกับพระคริสต์. แต่ละคนมีอรรถบทและจุดประสงค์ของตนโดยเฉพาะ, สะท้อนให้เห็นบุคลิกภาพของตนเอง, และคิดถึงผู้อ่านของตน. ยิ่งเราศึกษาค้นคว้างานเขียนของพวกท่าน เราก็ยิ่งเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละเล่ม และเข้าใจว่าพระธรรมซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจทั้งสี่เล่มนี้ประกอบกันเป็นบันทึกเรื่องราวชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่เป็นแบบเฉพาะตัว, เสริมกัน, และสอดคล้องต้องกัน.
4. เราทราบอะไรเกี่ยวกับผู้เขียนกิตติคุณเล่มแรก?
4 คนแรกที่เขียนข่าวดีเกี่ยวกับพระคริสต์ไว้คือมัดธาย. ชื่อของท่านคงเป็นคำย่อของคำภาษาฮีบรูที่ว่า “มัดทีทียาห์” ซึ่งหมายความว่า “ของประทานจากยะโฮวา.” ท่านเป็นคนหนึ่งในอัครสาวก 12 คนที่พระเยซูทรงเลือก. ในช่วงเวลาที่พระเยซูผู้เป็นนายทรงเดินทางทั่วแผ่นดินปาเลสไตน์เพื่อประกาศและสอนเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า มัดธายมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระองค์. ก่อนมาเป็นสาวกของพระเยซู มัดธายเป็นคนเก็บภาษี อาชีพที่ชาวยิวทุกคนรังเกียจอย่างยิ่งเพราะเป็นการย้ำเตือนอยู่เสมอว่าพวกเขาไม่เป็นไท แต่อยู่ใต้อำนาจปกครองของจักรวรรดิโรม. มัดธายเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่าเลวีและเป็นบุตรชายของอาละฟาย. ท่านตอบรับทันทีต่อคำเชิญของพระเยซูที่ให้ติดตามพระองค์.—มัด. 9:9; มโก. 2:14; ลูกา 5:27-32.
5. มัดธายได้รับการยืนยันอย่างไรว่าเป็นผู้เขียนกิตติคุณเล่มแรก?
5 แม้กิตติคุณที่ถือกันว่าเป็นของมัดธายไม่เอ่ยชื่อท่านว่าเป็นผู้เขียน แต่หลักฐานมากมายจากนักประวัติศาสตร์ด้านคริสตจักรสมัยแรก ๆ ก็ยืนยันว่าท่านเป็นผู้เขียน. อาจเป็นได้ว่า ไม่มีหนังสือโบราณเล่มใดที่มีการยืนยันชัดเจนและอย่างเป็นเอกฉันท์ในเรื่องตัวผู้เขียนยิ่งกว่าพระธรรมมัดธาย. นับย้อนหลังไปตั้งแต่พาพีอัสแห่งฮีราโพลิส (ต้นศตวรรษที่สอง ส.ศ.) เป็นต้นมา เรามีพยานในศตวรรษต้น ๆ หลายคนยืนยันข้อเท็จจริงที่ว่า มัดธายเขียนกิตติคุณเล่มนี้และเป็นส่วนที่เชื่อถือได้แห่งพระคำของพระเจ้า. สารานุกรม ของแมกคลินทอกและสตรอง (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “มีการยกข้อความจากพระธรรมมัดธายไปกล่าวโดยจัสติน มาร์เทอร์, โดยผู้เขียนจดหมายถึงไดออกเนทุส (ดูหนังสือจัสติน มาร์เทอร์ ของออทโท เล่ม 2) โดยเฮเกซิพพุส, อิเรแนอุส, ทาเทียน, อะเทนาโกรัส, เธโอฟีลุส, เคลเมนต์, เทอร์ทูลเลียน, และออริเกน. ไม่เพียงจากเนื้อความ แต่จากลักษณะการยกข้อความไปกล่าว, จากการหันเข้าหาแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ด้วยความสบายใจ, จากการที่ไม่มีข้อสงสัยปลีกย่อยใด ๆ เลย ที่เราถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าพระธรรมที่เรามีอยู่ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างกะทันหัน.”a ข้อเท็จจริงที่ว่ามัดธายเป็นอัครสาวกและด้วยเหตุนี้จึงมีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับท่านนั้นรับรองว่าสิ่งที่ท่านเขียนเป็นบันทึกที่ตรงตามข้อเท็จจริง.
6, 7. (ก) ในตอนแรกกิตติคุณของมัดธายเขียนเมื่อไรและเขียนเป็นภาษาอะไร? (ข) มีอะไรบ่งว่าพระธรรมนี้เขียนเพื่อชาวยิวเป็นอันดับแรก? (ค) ฉบับแปลโลกใหม่ ใช้พระนาม “ยะโฮวา” กี่ครั้งในกิตติคุณเล่มนี้ และเพราะเหตุใด?
6 มัดธายเขียนบันทึกของท่านในปาเลสไตน์. เราไม่ทราบปีที่แน่นอน แต่การลงนามในตอนท้ายของสำเนาบางฉบับ (ซึ่งทุกฉบับเขียนหลังจากศตวรรษที่สิบ ส.ศ.) บอกว่าเป็นปี ส.ศ. 41 มีหลักฐานบ่งว่าในตอนแรกมัดธายเขียนกิตติคุณของท่านในภาษาฮีบรูที่นิยมใช้กันเวลานั้นและต่อมาได้แปลเป็นภาษากรีก. ในหนังสือของเขาชื่อ เด วีริส อินลุสตริบุส (ว่าด้วยบุรุษผู้เรืองนาม) บทที่ 3 เจโรมกล่าวว่า “มัดธาย ผู้ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าเลวี และผู้ซึ่งแต่เดิมเป็นคนเก็บภาษีแล้วได้มาเป็นอัครสาวก ประการแรก ได้เรียบเรียงกิตติคุณของพระคริสต์ในยูเดียด้วยภาษาและอักษรฮีบรูเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่รับสุหนัตซึ่งได้มาเชื่อถือ.”b เจโรมบอกอีกว่าข้อความภาษาฮีบรูของกิตติคุณนี้ได้รับการรักษาไว้ในสมัยของตน (ศตวรรษที่สี่และห้า ส.ศ.) ในห้องสมุดที่พัมฟิลุสได้รวบรวมไว้ในซีซาเรีย (กายซาไรอา).
7 ในช่วงต้นศตวรรษที่สาม ในการอธิบายกิตติคุณทั้งสี่ ยูเซบิอุสยกข้อความของออริเกนมากล่าวที่ว่า “เล่มแรกเขียน . . . ตามคำกล่าวของมัดธาย . . . ซึ่งเขียนกิตติคุณเล่มนี้เพื่อคนจากลัทธิยูดายที่เข้ามาเชื่อถือ ได้เรียบเรียงเป็นภาษาฮีบรูดังที่เป็นอยู่.”c ที่ว่ากิตติคุณนี้เขียนขึ้นโดยคำนึงถึงชาวยิวเป็นอันดับแรกมีบ่งไว้โดยลำดับวงศ์วานในกิตติคุณนี้ ซึ่งแสดงว่าการสืบเชื้อสายของพระเยซูตามกฎหมายนั้นเริ่มจากอับราฮาม และโดยที่กิตติคุณนี้อ้างถึงพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูหลายข้อ แสดงว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นชี้ถึงพระมาซีฮาที่จะมา. เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะเชื่อว่ามัดธายใช้พระนามยะโฮวาของพระเจ้าในรูปเททรากรัมมาทอนเมื่อท่านยกข้อความจากส่วนต่าง ๆ ของพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูซึ่งมีพระนามนี้อยู่. นั่นคือเหตุที่พระธรรมมัดธายในฉบับแปลโลกใหม่ มีพระนามยะโฮวา 18 ครั้ง เช่นเดียวกับพระธรรมมัดธายฉบับภาษาฮีบรูที่ทำขึ้นโดย เอฟ. เดลิตซ์ในศตวรรษที่สิบเก้า. มัดธายคงมีเจตคติเหมือนที่พระเยซูทรงมีต่อพระนามของพระเจ้าและไม่ถูกยับยั้งโดยการเชื่อถือโชคลางของชาวยิวที่แพร่หลายในเรื่องการไม่ใช้พระนามนั้น.—มัด. 6:9; โย. 17:6, 26.
8. ข้อเท็จจริงที่ว่ามัดธายเคยเป็นคนเก็บภาษีมีแสดงให้เห็นอย่างไรในเนื้อหาของกิตติคุณของท่าน?
8 เนื่องจากมัดธายเคยเป็นคนเก็บภาษี จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านกล่าวอย่างชัดแจ้งในเรื่องเงิน, ตัวเลข, และมูลค่า. (มัด. 17:27; 26:15; 27:3) ท่านรู้สึกหยั่งรู้ค่าอย่างยิ่งต่อความเมตตาของพระเจ้าที่ทรงโปรดให้ท่านซึ่งเป็นคนเก็บภาษีที่ถูกรังเกียจได้มาเป็นผู้รับใช้แห่งข่าวดีและเป็นผู้ร่วมงานใกล้ชิดคนหนึ่งของพระเยซู. ฉะนั้น เราจึงพบว่ามัดธายเป็นคนเดียวในหมู่ผู้เขียนกิตติคุณซึ่งบอกเราถึงการที่พระเยซูทรงย้ำแล้วย้ำอีกว่า นอกจากเครื่องบูชาแล้วยังต้องมีความเมตตาด้วย. (9:9-13; 12:7; 18:21-35) มัดธายได้รับกำลังใจอย่างมากเนื่องจากพระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระยะโฮวาและจึงบันทึกคำตรัสของพระเยซูบางตอนที่ให้การปลอบประโลมใจอย่างยิ่งลงไว้อย่างเหมาะสมดังนี้: “บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น. จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลายและเรียนจากเรา เพราะเรามีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม และเจ้าจะได้ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของเจ้า. เพราะแอกของเราก็พอเหมาะและภาระของเราก็เบา.” (11:28-30, ล.ม.) ถ้อยคำที่อ่อนโยนนี้ยังความสดชื่นจริง ๆ แก่อดีตคนเก็บภาษีผู้นี้ ผู้ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าคนร่วมชาติของท่านไม่ได้ให้อะไรนอกจากการดูถูกเหยียดหยาม!
9. อรรถบทและลีลาการเสนอเรื่องเช่นไรที่เป็นแบบเฉพาะของมัดธาย?
9 มัดธายเน้นโดยเฉพาะว่าอรรถบทแห่งคำสอนของพระเยซูคือ “ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์.” (4:17, ล.ม.) สำหรับท่านแล้ว พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์ผู้ประกาศ. ท่านใช้คำ “ราชอาณาจักร” บ่อย ๆ (มากกว่า 50 ครั้ง) จนกิตติคุณของท่านอาจเรียกได้ว่าเป็นกิตติคุณราชอาณาจักร. มัดธายใส่ใจกับการเสนอคำบรรยายสาธารณะและคำเทศนาของพระเยซูตามเหตุผลมากกว่าตามการลำดับเวลาอย่างเคร่งครัด. ใน 18 บทแรก การที่มัดธายเน้นอรรถบทเรื่องราชอาณาจักรทำให้ท่านไม่จัดเรื่องตามลำดับเวลา. อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว 10 บทสุดท้าย (19 ถึง 28) เขียนตามลำดับเวลาและยังคงเน้นเรื่องราชอาณาจักร.
10. มีเนื้อเรื่องมากแค่ไหนที่พบได้เฉพาะในพระธรรมมัดธายเท่านั้น และกิตติคุณนี้ครอบคลุมระยะเวลาใด?
10 บันทึกกิตติคุณของมัดธายมีสี่สิบสองเปอร์เซ็นต์ที่ไม่พบในส่วนใดของกิตติคุณอีกสามเล่ม.d ทั้งนี้รวมถึงอุปมาหรืออุทาหรณ์อย่างน้อยสิบเรื่อง ได้แก่เรื่อง: ข้าวละมานในทุ่งนา (13:24-30), ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ (13:44), มุกดาที่มีราคามาก (13:45, 46), อวนลาก (13:47-50), บ่าวที่ขาดความเมตตา (18:23-25), คนงานกับเงินเดนาริอน (20:1-16), บิดาและบุตรสองคน (21:28-32), การอภิเษกสมรสของราชโอรส (22:1-14), หญิงพรหมจารีสิบคน (25:1-13), และเงินตะลันต์ (25:14-30). ตลอดทั้งเล่ม พระธรรมมัดธายเสนอเรื่องราวตั้งแต่การประสูติของพระเยซูในปี 2 ก.ส.ศ. จนถึงการพบกับเหล่าสาวกของพระองค์ ไม่นานก่อนการเสด็จสู่สวรรค์ในปี ส.ศ. 33.
เนื้อเรื่องในมัดธาย
11. (ก) กิตติคุณนี้เริ่มเรื่องอย่างสมเหตุสมผลอย่างไร และมีการเล่าเหตุการณ์อะไรบ้างในช่วงต้น ๆ? (ข) มัดธายชี้ให้เราสนใจความสำเร็จเป็นจริงเชิงพยากรณ์บางประการอะไรบ้าง?
11 การแนะนำพระเยซูและข่าวเรื่อง “ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์” (1:1–4:25). นับว่าสมเหตุสมผลที่มัดธายเริ่มต้นด้วยลำดับวงศ์วานของพระเยซู ซึ่งพิสูจน์สิทธิตามกฎหมายของพระเยซูในฐานะทายาทของอับราฮามและดาวิด. ด้วยเหตุนี้ จึงจับความสนใจของผู้อ่านชาวยิว. ต่อจากนั้น เราอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการปฏิสนธิอย่างมหัศจรรย์ของพระเยซู, การประสูติของพระองค์ในเบธเลเฮม, การมาเยือนของพวกโหร, การที่เฮโรดให้สังหารเด็กผู้ชายในเบธเลเฮมที่อายุต่ำกว่าสองขวบทั้งหมดด้วยความกริ้ว, การที่โยเซฟและมาเรียหนีเข้าไปในอียิปต์พร้อมกับลูกน้อย, และการที่พวกเขากลับมาอยู่ในนาซาเร็ธในเวลาต่อมา. มัดธายรอบคอบในการชี้ให้สนใจความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์เพื่อยืนยันว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาที่มีบอกไว้ล่วงหน้า.—มัด. 1:23—ยซา. 7:14; มัด. 2:1-6—มีคา 5:2; มัด. 2:13-18—โฮ. 11:1 และยิระ. 31:15; มัด. 2:23—ยซา. 11:1, ล.ม. เชิงอรรถ.
12. เกิดอะไรขึ้นในคราวที่พระเยซูทรงรับบัพติสมาและทันทีหลังจากนั้น?
12 ถึงตอนนี้เรื่องราวในมัดธายข้ามไปเกือบ 30 ปี. โยฮันผู้ให้บัพติสมากำลังประกาศในถิ่นทุรกันดารแห่งยูดายว่า “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์มาใกล้แล้ว.” (มัด. 3:2, ล.ม.) ท่านกำลังให้บัพติสมาแก่ชาวยิวที่กลับใจในแม่น้ำจอร์แดน (ยาระเดน) และเตือนพวกฟาริซายและพวกซาดูกายถึงพระพิโรธที่จะมีมา. พระเยซูเสด็จมาจากแกลิลี (ฆาลิลาย)และรับบัพติสมา. ทันทีนั้นเองก็มีพระวิญญาณของพระเจ้าลงมาบนพระองค์ และมีพระสุรเสียงจากสวรรค์ตรัสว่า “นี่คือบุตรของเรา ผู้เป็นที่รัก ผู้ซึ่งเราโปรดปราน.” (3:17, ล.ม.) ต่อมา พระเยซูถูกพาเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ที่ซึ่งหลังจากพระองค์ทรงอดพระกระยาหาร 40 วันแล้วพระองค์จึงถูกซาตานพญามารล่อใจ. สามครั้งที่พระองค์ทรงย้อนซาตานโดยยกข้อความจากพระคำของพระเจ้า ในครั้งหลังสุดพระองค์ตรัสว่า “อ้ายซาตาน! จงไปเสียให้พ้น! เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้านั่นแหละที่เจ้าต้องนมัสการ และแด่พระองค์ผู้เดียวที่เจ้าต้องถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์.’”—4:10, ล.ม.
13. ครั้นแล้ว การรณรงค์อันน่าตื่นเต้นอะไรที่เริ่มดำเนินการในแคว้นแกลิลี?
13 “ท่านทั้งหลาย จงกลับใจเสียใหม่ เพราะราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์มาใกล้แล้ว.” ตอนนี้พระเยซูผู้ถูกเจิมทรงประกาศถ้อยคำที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้ในแกลิลี. พระองค์ทรงเรียกชาวประมงสี่คนให้ละอวนของเขาเพื่อติดตามพระองค์และมาเป็น “ผู้หาคน” แล้วพระองค์จึงเดินทางพร้อมกับพวกเขา “ไปทั่วฆาลิลาย ทรงสอนในธรรมศาลาของพวกเขาและทรงประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรและทรงรักษาโรคทุกชนิดและความทุพพลภาพทุกชนิดท่ามกลางผู้คน.”—4:17, 19, 23, ล.ม.
14. ในคำเทศน์บนภูเขาของพระเยซู พระองค์ตรัสถึงความสุขอะไรบ้าง และพระองค์ตรัสอะไรเกี่ยวกับความชอบธรรม?
14 คำเทศน์บนภูเขา (5:1–7:29). เมื่อฝูงชนเริ่มติดตามพระเยซู พระองค์จึงเสด็จขึ้นไปบนภูเขา, ประทับนั่ง, แล้วเริ่มสั่งสอนเหล่าสาวกของพระองค์. พระองค์ทรงเริ่มคำบรรยายอันเร้าใจของพระองค์ด้วย ‘ความสุข’ เก้าประการคือ: ความสุขมีแก่ผู้ที่รู้สำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณของตน, ผู้ที่โศกเศร้า, ผู้ที่อ่อนโยน, ผู้หิวกระหายความชอบธรรม, ผู้มีใจเมตตา, ผู้มีหัวใจบริสุทธิ์, ผู้สร้างสันติ, ผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะเห็นแก่ความชอบธรรม, และผู้ที่ถูกติเตียนและถูกใส่ร้าย. “จงชื่นชมยินดีและโลดเต้นด้วยความปลาบปลื้ม เพราะบำเหน็จของพวกเจ้าล้ำเลิศในสวรรค์.” พระองค์ทรงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “เกลือแห่งแผ่นดินโลก” และ “ความสว่างของโลก” และทรงอธิบายเรื่องความชอบธรรมซึ่งเป็นข้อเรียกร้องสำหรับการเข้าสู่ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ ซึ่งแตกต่างจากแบบพิธีนิยมของพวกอาลักษณ์และฟาริซายมาก. “ท่านทั้งหลายจึงจำต้องเป็นคนสมบูรณ์พร้อม เหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์เป็นองค์สมบูรณ์พร้อม.”—5:12-14, 48, ล.ม.
15. พระเยซูตรัสอะไรเกี่ยวกับคำอธิษฐานและราชอาณาจักร?
15 พระเยซูทรงเตือนไม่ให้ทำทานและอธิษฐานแบบหน้าซื่อใจคด. พระองค์ทรงสอนเหล่าสาวกของพระองค์ให้อธิษฐานขอให้พระนามของพระบิดาเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์, ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มา, และขอสิ่งเลี้ยงชีวิตในแต่ละวัน. พระเยซูทรงให้ราชอาณาจักรเป็นเรื่องเด่นตลอดคำเทศน์. พระองค์ทรงเตือนเหล่าผู้ติดตามพระองค์ไม่ให้กังวลในเรื่องความมั่งคั่งด้านวัตถุหรือทำงานเพียงเพื่อสิ่งนี้ เพราะพระบิดาทรงทราบถึงความจำเป็นที่แท้จริงของพวกเขา. พระองค์ตรัสว่า “ดังนั้น จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป แล้วสิ่งอื่นเหล่านี้ทั้งหมดจะเพิ่มเติมให้แก่ท่าน.”—6:33, ล.ม.
16. (ก) คำแนะนำของพระเยซูเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับผู้อื่นมีว่าอย่างไร และพระองค์ตรัสอะไรเกี่ยวกับคนที่เชื่อฟังทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าและคนที่ไม่ทำ? (ข) คำเทศน์ของพระองค์ก่อผลเช่นไร?
16 พระองค์ผู้เป็นนายทรงแนะนำในเรื่องความสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยตรัสว่า “เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัตรซึ่งท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่ท่าน, จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน.” คนจำนวนน้อยซึ่งพบหนทางสู่ชีวิตจะเป็นคนเหล่านั้นที่ทำตามพระทัยประสงค์ของพระบิดาของพระองค์. จะรู้จักพวกคนละเลยกฎหมายได้ด้วยผลของเขาและพวกเขาจะถูกปฏิเสธ. พระเยซูทรงเปรียบผู้ที่เชื่อฟังคำตรัสของพระองค์เหมือน “คนมีปัญญาคนหนึ่งที่สร้างเรือนของตนไว้บนศิลา.” คำบรรยายนี้ส่งผลกระทบเช่นไรต่อฝูงชนที่ฟังอยู่? พวกเขา “อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์” ด้วยว่าพระองค์ทรงสอน “ดุจผู้มีอาชญา, หาเหมือนพวกอาลักษณ์ของเขาไม่.”—7:12, 24-29.
17. พระเยซูทรงสำแดงอำนาจของพระองค์ในฐานะพระมาซีฮาอย่างไร และพระองค์ทรงสำแดงความห่วงใยด้วยความรักอย่างไร?
17 การประกาศเรื่องราชอาณาจักรแผ่ขยาย (8:1–11:30). พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์หลายอย่าง เช่น รักษาคนโรคเรื้อน, คนง่อย, และคนถูกผีสิง. พระองค์ถึงกับสำแดงอำนาจเหนือลมและคลื่นด้วยการทำให้พายุสงบ และพระองค์ทรงปลุกเด็กหญิงคนหนึ่งให้เป็นขึ้นจากตาย. พระเยซูทรงสงสารฝูงชนจริง ๆ เมื่อเห็นว่าพวกเขาถูกหลอกลวงและถูกปล่อยปละละเลยแค่ไหน พวกเขาเป็น “ดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง”! ดังที่พระองค์ตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า “การเกี่ยวนั้นเป็นการใหญ่นักหนา, แต่คนทำการยังน้อยอยู่. เหตุฉะนั้นจงอธิษฐานขอต่อเจ้าของของการเกี่ยวนั้น, ให้ใช้คนทำการหลายคนไปในการเกี่ยวของพระองค์.”—9:36-38.
18. (ก) พระเยซูทรงประทานคำสั่งสอนและคำเตือนสติอะไรแก่เหล่าอัครสาวกของพระองค์? (ข) เหตุใดจึงเป็นความวิบัติแก่ “คนชั่วอายุนี้”?
18 พระเยซูทรงเลือกและแต่งตั้งอัครสาวก 12 คน. พระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาอย่างชัดเจนเกี่ยวกับวิธีทำงานของพวกเขา และทรงเน้นหลักคำสอนอันเป็นแก่นแห่งการสอนของพวกเขาว่า “ขณะที่พวกเจ้าไป จงประกาศ โดยบอกว่า ‘ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์มาใกล้แล้ว.’” พระองค์ทรงประทานคำเตือนสติที่สุขุมและด้วยความรักว่า “เจ้าได้รับเปล่า ๆ จงให้เปล่า ๆ.” “จงแสดงตนว่าเป็นคนระแวดระวังเหมือนงูและกระนั้น ไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือนนกพิราบ.” พวกเขาจะถูกเกลียดชังและถูกข่มเหงแม้แต่โดยญาติใกล้ชิด แต่พระเยซูทรงเตือนพวกเขาว่า “ผู้ที่พยายามให้จิตวิญญาณของตนรอดจะสูญเสียจิตวิญญาณ และผู้ที่สูญเสียจิตวิญญาณของตนเพื่อเห็นแก่เราจะได้จิตวิญญาณรอด.” (10:7, 8, 16, 39, ล.ม.) พวกเขาจึงออกเดินทางไปสอนและประกาศในเมืองต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย! พระเยซูทรงระบุตัวโยฮันผู้ให้บัพติสมาว่าเป็นทูตที่ถูกส่งออกไปก่อนหน้าพระองค์ เป็น “เอลียาห์” ที่ทรงสัญญาไว้ แต่ “คนชั่วอายุนี้” ไม่ยอมรับทั้งโยฮันและพระองค์ผู้เป็นบุตรมนุษย์. (11:14, 16, ล.ม.) ดังนั้น วิบัติแก่คนชั่วอายุนี้และเมืองต่าง ๆ ที่ไม่กลับใจเมื่อเห็นพระราชกิจอันทรงฤทธิ์ของพระองค์! แต่คนเหล่านั้นซึ่งมาเป็นสาวกของพระองค์จะพบความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของตน.
19. เมื่อพวกฟาริซายตั้งข้อสงสัยการกระทำของพระองค์ในวันซะบาโต พระเยซูทรงตำหนิพวกเขาอย่างแรงเช่นไร?
19 พวกฟาริซายถูกหักล้างและถูกประจาน (12:1-50). พวกฟาริซายพยายามจะจับผิดพระเยซูในเรื่องวันซะบาโต แต่พระองค์ทรงหักล้างข้อกล่าวหาของพวกเขาและเริ่มตำหนิความหน้าซื่อใจคดของพวกเขาอย่างรุนแรง. พระองค์ทรงบอกกับพวกเขาว่า “โอ ชาติงูร้าย, เจ้าที่เป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีอย่างไรได้? ด้วยว่าใจเต็มบริบูรณ์ด้วยอะไรปากก็พูดอย่างนั้น.” (12:34) จะไม่มีการให้นิมิตอะไรแก่พวกเขาเว้นแต่นิมิตของโยนาผู้พยากรณ์ที่ว่า บุตรมนุษย์จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืน.
20. (ก) เหตุใดพระเยซูจึงตรัสเป็นอุทาหรณ์? (ข) ถึงตอนนี้พระองค์ทรงยกอุทาหรณ์เรื่องอะไรบ้างอันเกี่ยวกับราชอาณาจักร?
20 อุทาหรณ์เรื่องราชอาณาจักรเจ็ดเรื่อง (13:1-58). เหตุใดพระเยซูจึงตรัสเป็นอุทาหรณ์? พระองค์ทรงอธิบายแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ความลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ทรงโปรดให้พวกเจ้าเข้าใจ แต่คนเหล่านั้นไม่ทรงโปรดให้เข้าใจ.” พระองค์ทรงประกาศว่าเหล่าสาวกของพระองค์เป็นสุขเพราะพวกเขาได้เห็นและได้ยิน. เป็นคำสั่งสอนที่ยังความสดชื่นจริง ๆ ที่พระองค์ทรงให้แก่พวกเขาในตอนนี้! หลังจากพระเยซูอธิบายอุทาหรณ์เรื่องผู้หว่านพืช พระองค์ทรงยกอุทาหรณ์เรื่องวัชพืชในทุ่งนา, เมล็ดพันธุ์ผักกาด (มัสตาร์ด), เชื้อหมัก, ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่, มุกดาที่มีราคามาก, และอวนลาก ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงภาพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ “ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์.” อย่างไรก็ตาม ประชาชนสะดุดเนื่องด้วยพระองค์ และพระเยซูทรงบอกพวกเขาว่า “ผู้พยากรณ์ไม่ขาดความนับถือเว้นแต่ในเขตบ้านเกิดของตนและในบ้านของตนเอง.”—13:11, 57, ล.ม.
21. (ก) พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์อะไรบ้าง และการอัศจรรย์เหล่านั้นระบุว่าพระองค์เป็นผู้ใด? (ข) มีการให้นิมิตอะไรเกี่ยวกับการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ในราชอาณาจักรของพระองค์?
21 งานรับใช้และการอัศจรรย์อื่น ๆ ของ “พระคริสต์” (14:1–17:27). พระเยซูสะเทือนใจมากเนื่องด้วยรายงานเรื่องโยฮันผู้ให้บัพติสมาถูกตัดศีรษะตามบัญชาของเฮโรดอันติปาผู้อ่อนแอ. พระองค์ทรงเลี้ยงฝูงชนมากกว่า 5,000 คนอย่างอัศจรรย์; ทรงเดินบนทะเล; ทรงตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์จากพวกฟาริซายซึ่งพระองค์ตรัสว่า ‘ละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยประเพณีของพวกเขา’; ทรงรักษาคนถูกผีเข้า, “คนง่อย, คนตาบอด, คนใบ้, คนเขยก, และคนเจ็บอื่น ๆ”; และอีกครั้งหนึ่ง ทรงเลี้ยงอาหารคนมากกว่า 4,000 คนด้วยขนมปังเจ็ดก้อนและปลาเล็ก ๆ ไม่กี่ตัว. (15:3, 30, ล.ม.) เมื่อตอบคำถามของพระเยซู เปโตรระบุตัวพระองค์โดยกล่าวว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่.” พระเยซูทรงชมเชยเปโตรและทรงแถลงว่า “บนหินก้อนใหญ่นี้ เราจะสร้างประชาคมของเรา.” (16:16, 18, ล.ม.) จากนั้นพระเยซูเริ่มตรัสถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ซึ่งกำลังใกล้เข้ามาและการคืนพระชนม์ของพระองค์ในวันที่สาม. แต่พระองค์ก็ทรงสัญญาด้วยว่าสาวกบางคนของพระองค์ “จะไม่ลิ้มรสความตายเลยจนกว่าพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในราชอาณาจักรของพระองค์ก่อน.” (16:28, ล.ม.) หกวันต่อมา พระเยซูทรงพาเปโตร, ยาโกโบ, และโยฮันขึ้นไปบนภูเขาสูงเพื่อจะเห็นพระองค์จำแลงพระกายในสง่าราศี. ในนิมิต พวกเขาเห็นโมเซและเอลียาห์กำลังสนทนากับพระองค์ และพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์ตรัสว่า “นี่คือบุตรของเรา ผู้เป็นที่รัก ผู้ซึ่งเราโปรดปราน; จงฟังท่านเถิด.” หลังจากลงมาจากภูเขา พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่า “เอลียาห์” ที่ทรงสัญญาไว้นั้นได้มาแล้ว และพวกเขาจึงเข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสถึงโยฮันผู้ให้บัพติสมา.—17:5, 12, ล.ม.
22. พระเยซูทรงให้คำแนะนำอะไรเกี่ยวกับการให้อภัย?
22 พระเยซูทรงแนะนำเหล่าสาวกของพระองค์ (18:1-35). ขณะอยู่ในเมืองกัปเรนาอูม พระเยซูทรงสนทนากับเหล่าสาวกเรื่องความถ่อมใจ, ความยินดียิ่งจากการหาแกะตัวหนึ่งซึ่งหลงหายไปคืนมาได้, และการจัดการกับเรื่องบาดหมางระหว่างพี่น้อง. เปโตรถามว่า ‘ข้าพเจ้าจะต้องอภัยพี่น้องของข้าพเจ้ากี่ครั้ง?’ และพระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกเจ้าว่า ไม่ใช่ถึงเจ็ดครั้ง แต่ถึงเจ็ดสิบเจ็ดครั้ง.” เพื่อเพิ่มน้ำหนักในเรื่องนี้ พระเยซูทรงยกอุทาหรณ์เรื่องทาสที่นายของเขายกหนี้ให้ 60 ล้านเดนาริอน. ต่อมาทาสคนนี้จับเพื่อนทาสคนหนึ่งเข้าคุกเพราะหนี้เพียง 100 เดนาริอน และผลก็คือ ทาสที่ไร้ความเมตตาถูกส่งตัวให้นายคุกเช่นกัน.e พระเยซูทรงสรุปว่า “พระบิดาของเราในสวรรค์ก็จะทรงปฏิบัติกับเจ้าอย่างนั้นแหละหากเจ้าไม่อภัยพี่น้องแต่ละคนจากหัวใจของเจ้า.”—18:21, 22, 35, ล.ม.
23. พระเยซูทรงอธิบายเช่นไรเกี่ยวกับการหย่าร้างและเกี่ยวกับหนทางสู่ชีวิต?
23 ช่วงท้ายแห่งงานรับใช้ของพระเยซู (19:1–22:46). จังหวะเหตุการณ์เร่งขึ้นและความตึงเครียดทวีขึ้นเมื่อพวกอาลักษณ์และฟาริซายโกรธแค้นมากขึ้นต่องานเผยแพร่ของพระเยซู. พวกเขามาจับผิดพระองค์ในเรื่องการหย่าร้างแต่ล้มเหลว; พระเยซูทรงเผยให้เห็นว่าสาเหตุประการเดียวตามหลักพระคัมภีร์สำหรับการหย่าร้างคือการผิดประเวณี. เศรษฐีหนุ่มมาหาพระเยซู ถามเรื่องหนทางสู่ชีวิตนิรันดร์ แต่จากไปด้วยความเศร้าใจเมื่อพบว่าตนจะต้องขายสิ่งสารพัดที่ตนมีแล้วเป็นผู้ติดตามพระเยซู. หลังจากทรงยกอุทาหรณ์เกี่ยวกับคนงานและเงินเดนาริอนแล้ว พระเยซูจึงตรัสอีกครั้งถึงการสิ้นพระชนม์และการคืนพระชนม์ของพระองค์ และตรัสว่า “บุตรมนุษย์เสด็จมา มิใช่เพื่อให้เขารับใช้ แต่เพื่อจะรับใช้ และเพื่อประทานจิตวิญญาณของท่านเป็นค่าไถ่เพื่อแลกกับคนเป็นอันมาก.”—20:28, ล.ม.
24. ขณะที่พระเยซูทรงเข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายแห่งการมีชีวิตเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเผชิญกับผู้ต่อต้านที่เคร่งศาสนาอย่างไร และพระองค์ทรงจัดการกับคำถามของพวกเขาอย่างไร?
24 บัดนี้พระเยซูก็เข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายแห่งชีวิตมนุษย์ของพระองค์. พระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงยะรูซาเลมอย่างผู้มีชัย ในฐานะ ‘กษัตริย์ทรงลูกลา.’ (21:4, 5) พระองค์ทรงชำระพระวิหารให้ปราศจากคนแลกเงินและนักค้ากำไรเกินควรประเภทอื่น ๆ และความเกลียดชังของพวกศัตรูพระองค์ยิ่งทวีขึ้นเมื่อพระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “คนเก็บภาษีและหญิงแพศยาเข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อนเจ้า.” (21:31, ล.ม.) อุทาหรณ์ที่ตรงจุดของพระองค์ในเรื่องสวนองุ่นและงานเลี้ยงอภิเษกสมรสนั้นแทงใจดำ. พระองค์ทรงตอบคำถามของพวกฟาริซายในเรื่องภาษีอย่างช่ำชองโดยบอกพวกเขาให้จ่าย “ของของซีซาร์คืนแก่ซีซาร์ แต่ของของพระเจ้าแด่พระเจ้า.” (22:21, ล.ม.) ทำนองเดียวกัน พระองค์ทรงตอบโต้คำถามที่มุ่งจับผิดจากพวกซาดูกายและยืนยันถึงความหวังเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย. พวกฟาริซายมาหาพระองค์อีกครั้งพร้อมกับคำถามเกี่ยวกับพระบัญญัติ และพระเยซูทรงบอกพวกเขาว่าพระบัญญัติข้อสำคัญที่สุดคือให้รักพระยะโฮวาอย่างเต็มเปี่ยม และพระบัญญัติที่รองลงมาคือให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง. แล้วพระเยซูจึงตรัสถามพวกเขาว่า ‘พระคริสต์ทรงเป็นทั้งบุตรของดาวิดและเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของดาวิดได้อย่างไร?’ ไม่มีใครตอบได้และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าซักถามพระองค์อีก.—22:45, 46.
25. พระเยซูทรงตำหนิพวกอาลักษณ์และฟาริซายอย่างแรงเช่นไร?
25 ‘วิบัติแก่เจ้า คนหน้าซื่อใจคด’ (23:1–24:2). เมื่อตรัสแก่ฝูงชน ณ พระวิหาร พระเยซูทรงตำหนิพวกอาลักษณ์และฟาริซายอย่างแรงอีกครั้งหนึ่ง. พวกเขาไม่เพียงขาดคุณสมบัติจะเข้าสู่ราชอาณาจักรเท่านั้น แต่พวกเขายังพยายามใช้แผนร้ายทุกอย่างขัดขวางผู้อื่นไม่ให้เข้าไป. เหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ฉาบด้วยปูนขาว พวกเขาดูงดงามภายนอก แต่ภายในนั้นพวกเขาเต็มไปด้วยความเสื่อมทราม และความเน่าเฟะ. พระเยซูทรงปิดท้ายด้วยคำพิพากษาต่อกรุงยะรูซาเลมดังนี้: “นี่แหละเรือนของเจ้าก็ถูกปล่อยไว้ให้ร้างตามลำพังเจ้า.” (23:38) เมื่อพระเยซูเสด็จออกจากพระวิหาร พระองค์ทรงพยากรณ์ถึงความพินาศของกรุงนี้.
26. พระเยซูทรงให้หมายสำคัญเชิงพยากรณ์อะไรซึ่งเกี่ยวกับการประทับของพระองค์ด้วยสง่าราศีของกษัตริย์?
26 พระเยซูทรงให้ “หมายสำคัญแห่งการประทับของพระองค์” (24:3–25:46). บนภูเขามะกอกเทศ เหล่าสาวกของพระเยซูทูลถามพระองค์เกี่ยวกับ “หมายสำคัญแห่งการประทับของพระองค์และช่วงอวสานของระบบนี้.” ในคำตอบ พระเยซูทรงชี้ไปยังเวลาที่มีสงครามต่าง ๆ ‘ชาติต่อสู้ชาติและอาณาจักรต่อสู้อาณาจักร,’ การขาดแคลนอาหาร, แผ่นดินไหว, การละเลยกฎหมายทวีขึ้น, การประกาศ “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้” ไปทั่วโลก, การแต่งตั้ง “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม . . . ให้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนาย,” และลักษณะอื่น ๆ อีกหลายประการแห่งชุดหมายสำคัญ. (24:3, ล.ม., 7, 14, ล.ม., 45-47, ล.ม.) พระเยซูทรงปิดท้ายคำพยากรณ์ที่สำคัญนี้ด้วยอุทาหรณ์เรื่องหญิงพรหมจารีสิบคนและเรื่องเงินตะลันต์ ซึ่งเสนอรางวัลที่ยังความยินดีแก่ผู้ที่ตื่นตัวและซื่อสัตย์ และอุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนเยี่ยงแพะจะถูก “ตัดขาดเป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์.”—25:46, ล.ม.
27. เหตุการณ์อะไรบ้างที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของพระเยซูบนแผ่นดินโลก?
27 เหตุการณ์ต่าง ๆ ในวันสุดท้ายของพระเยซู (26:1–27:66). หลังจากฉลองปัศคา พระเยซูทรงตั้งสิ่งใหม่ขึ้นกับเหล่าอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ โดยเชิญพวกเขาให้รับประทานขนมปังไม่มีเชื้อและเหล้าองุ่นซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงพระกายและพระโลหิตของพระองค์. จากนั้นพระเยซูกับพวกเขาก็ไปยังสวนเฆ็ธเซมาเน ที่ซึ่งพระเยซูทรงอธิษฐาน. ยูดามาที่นั่นพร้อมกับฝูงชนที่ถืออาวุธ และเขาทรยศพระเยซูด้วยการจูบที่หน้าซื่อใจคด. พระเยซูถูกพาตัวไปหามหาปุโรหิต และพวกปุโรหิตใหญ่และศาลซันเฮดรินทั้งหมดพากันหาพยานเท็จปรักปรำพระเยซู. เป็นจริงดังคำพยากรณ์ของพระเยซู เปโตรปฏิเสธพระองค์เมื่อถูกทดลอง. ยูดาซึ่งรู้สึกทุกข์ใจเนื่องด้วยความรู้สึกผิดได้โยนเงินที่ได้จากการทรยศเข้าไปในพระวิหารและออกไปผูกคอตาย. ในตอนเช้าพระเยซูถูกนำไปอยู่ต่อหน้าปีลาตผู้สำเร็จราชการชาวโรมัน ซึ่งมอบพระองค์ให้ถูกตรึงเมื่อถูกกดดันจากฝูงชนที่ปุโรหิตปลุกปั่นซึ่งร้องว่า “ให้เลือดของเขาตกอยู่บนเรา, ทั้งบุตรของเราด้วย.” ทหารของผู้สำเร็จราชการล้อเลียนฐานะกษัตริย์ของพระองค์แล้วจึงนำพระองค์ออกไปยังโกลโกทา (โฆละโฆธา) ที่ซึ่งพระองค์ถูกตรึงระหว่างโจรสองคน พร้อมกับมีป้ายอยู่เหนือพระเศียรของพระองค์ว่า “ผู้นี้คือเยซูกษัตริย์ของชาติยูดาย.” (27:25, 37) หลังจากทนทรมานอยู่หลายชั่วโมง ในที่สุดพระเยซูสิ้นพระชนม์เมื่อประมาณสามนาฬิกาในตอนบ่าย แล้วถูกนำไปวางไว้ในอุโมงค์รำลึกแห่งใหม่ซึ่งเป็นของโยเซฟแห่งบ้านอะริมาธาย. นั่นเป็นวันสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ทั้งมวล!
28. มัดธายทำให้บันทึกของท่านบรรลุจุดสุดยอดด้วยข่าวอันวิเศษสุดอะไร และท่านปิดท้ายด้วยเรื่องงานมอบหมายอะไร?
28 การคืนพระชนม์และคำสั่งสุดท้ายของพระเยซู (28:1-20). ถึงตอนนี้มัดธายทำให้บันทึกของท่านถึงจุดสุดยอดด้วยข่าววิเศษสุด. พระเยซูซึ่งสิ้นพระชนม์ถูกปลุกให้คืนพระชนม์—พระองค์ทรงมีชีวิตอีก! ในตอนเช้าวันแรกของสัปดาห์ มาเรียมัฆดาลากับ “มาเรียอีกคนหนึ่ง” มาที่อุโมงค์และได้ยินการประกาศของทูตสวรรค์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่น่ายินดีนี้. (28:1) เพื่อยืนยันเรื่องนี้ พระเยซูเองทรงปรากฏแก่พวกเขา. พวกศัตรูถึงกับพยายามปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องการคืนพระชนม์ของพระองค์ โดยติดสินบนพวกทหารที่เฝ้าอุโมงค์ฝังศพให้บอกว่า “พวกสาวกของเขามาลักเอาศพไปในเวลากลางคืนเมื่อเรานอนหลับอยู่.” ต่อมาในแกลิลี พระเยซูทรงพบปะกับเหล่าสาวกของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง. พระองค์ทรงสั่งพวกเขาก่อนจากไปว่าอย่างไร? คืออย่างนี้: “จงไป . . . ทำให้ชนจากทุกชาติเป็นสาวก ให้เขารับบัพติสมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์.” พวกเขาจะได้รับการชี้นำในงานประกาศนี้หรือไม่? คำตรัสสุดท้ายของพระเยซูที่มัดธายบันทึกไว้ให้การรับรองนี้: “นี่แน่ะ! เราอยู่กับเจ้าทั้งหลายตลอดไปจนกระทั่งช่วงอวสานแห่งระบบนี้.”—28:13, 19, 20, ล.ม.
เหตุที่เป็นประโยชน์
29. (ก) พระธรรมมัดธายเชื่อมโยงจากพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเข้าสู่พระคัมภีร์ภาคภาษากรีกอย่างไร? (ข) สิทธิพิเศษอะไรที่พระเยซูทรงมีซึ่งยังคงเปิดไว้สำหรับคริสเตียนสมัยนี้?
29 พระธรรมมัดธาย เล่มแรกของกิตติคุณทั้งสี่ เชื่อมโยงจากพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเข้าสู่พระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกอย่างดีเยี่ยมจริง ๆ. พระธรรมนี้ระบุตัวพระมาซีฮาและกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าที่สัญญาไว้นั้นอย่างไม่ผิดพลาด, แจ้งข้อเรียกร้องสำหรับการมาเป็นสาวกของพระองค์, และวางโครงงานที่อยู่เบื้องหน้าสำหรับสาวกเหล่านี้บนแผ่นดินโลก. โยฮันผู้ให้บัพติสมาเป็นคนแรก, ต่อมาก็พระเยซู, และสุดท้ายก็คือเหล่าสาวกของพระองค์ ต่างออกไปประกาศ “ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์มาใกล้แล้ว.” ยิ่งกว่านั้น พระบัญชาของพระเยซูมีผลเรื่อยมาจนถึงช่วงอวสานของระบบนี้ ที่ว่า “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ; และครั้นแล้วอวสานจะมาถึง.” นั่นเป็นสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมจริง ๆ และยังคงเป็นสิทธิพิเศษเช่นนั้นอยู่ที่จะมีส่วนร่วมในงานราชอาณาจักรนี้ ซึ่งรวมถึง ‘การทำให้ชนจากทุกชาติเป็นสาวก’ โดยทำงานตามแบบอย่างของนาย.—3:2, ล.ม.; 4:17; 10:7; 24:14, ล.ม.; 28:19, ล.ม.
30. ส่วนใดโดยเฉพาะของกิตติคุณซึ่งเรียบเรียงโดยมัดธายที่ได้รับการยกย่องเนื่องด้วยคุณค่าที่ใช้ได้จริง?
30 กิตติคุณของมัดธายเป็น “ข่าวดี” จริง ๆ. ข่าวสารที่มีมาโดยการดลใจเป็น “ข่าวดี” แก่ผู้ที่ใส่ใจฟังในศตวรรษแรกแห่งสากลศักราช และพระยะโฮวาเจ้าทรงดูแลให้กิตติคุณนี้ได้รับการรักษาไว้เป็น “ข่าวดี” จนถึงทุกวันนี้. แม้แต่คนที่ไม่ใช่คริสเตียนก็จำต้องยอมรับพลังของกิตติคุณนี้ ตัวอย่างเช่น มีรายงานว่า มหาตมา (โมฮันดัส) คานธี ผู้นำชาวฮินดูได้พูดกับลอร์ดเออร์วิน อดีตอุปราชอังกฤษประจำอินเดียว่า “เมื่อใดที่ประเทศของท่านและของข้าพเจ้าร่วมมือกันตามคำสอนที่พระคริสต์ทรงวางไว้ในคำเทศน์บนภูเขา พวกเราคงแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ไม่เพียงแต่ปัญหาในประเทศของเราเท่านั้น แต่ปัญหาของทั้งโลกด้วย.”f อีกโอกาสหนึ่ง คานธีกล่าวว่า “จงดื่มให้ได้มาก ๆ จากน้ำพุที่มีให้แก่ท่านในคำเทศน์บนภูเขา . . . เพราะคำสอนในคำเทศน์นี้มีไว้เพื่อเราแต่ละคนและทุก ๆ คน.”g
31. ใครที่ได้แสดงความหยั่งรู้ค่าอย่างแท้จริงต่อคำแนะนำในมัดธาย และเหตุใดจึงเป็นประโยชน์ที่จะศึกษากิตติคุณนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก?
31 อย่างไรก็ตาม โลกทั้งสิ้นรวมทั้งส่วนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนยังคงดำเนินต่อไปพร้อมกับปัญหาต่าง ๆ. มีแต่คริสเตียนแท้จำนวนไม่มากที่ทะนุถนอม, ศึกษา, และทำตามคำเทศน์บนภูเขารวมทั้งคำแนะนำที่ดีอื่น ๆ ทั้งหมดในข่าวดีตามที่มัดธายบันทึกไว้ และด้วยเหตุนั้นจึงได้รับประโยชน์อันประมาณค่ามิได้. เป็นประโยชน์ที่จะศึกษาซ้ำแล้วซ้ำอีกในคำเตือนสติที่ดีของพระเยซูเกี่ยวกับการแสวงหาความสุขที่แท้จริง, รวมทั้งเรื่องศีลธรรมและการสมรส, พลังของความรัก, คำอธิษฐานที่ยอมรับได้, ค่านิยมฝ่ายวิญญาณเปรียบกับค่านิยมฝ่ายวัตถุ, การแสวงหาราชอาณาจักรเป็นอันดับแรก, ความนับถือต่อสิ่งที่บริสุทธิ์, และเรื่องการเป็นคนตื่นตัวและเชื่อฟัง. มัดธายบท 10 มีคำสั่งสอนเรื่องงานรับใช้ที่พระเยซูทรงให้แก่ผู้ที่ทำงานประกาศข่าวดีเรื่อง “ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์.” อุปมาหลายเรื่องของพระเยซูให้บทเรียนสำคัญยิ่งสำหรับทุกคนผู้ ‘มีหูรับฟัง.’ ยิ่งกว่านั้น คำพยากรณ์ต่าง ๆ ของพระเยซู เช่น ที่พระองค์บอกล่วงหน้าถึงรายละเอียดของ ‘หมายสำคัญแห่งการประทับของพระองค์’ ต่างก็ก่อความหวังที่แรงกล้าและความมั่นใจในอนาคต.—5:1–7:29; 10:5-42; 13:1-58; 18:1–20:16; 21:28–22:40; 24:3–25:46.
32. (ก) จงให้ตัวอย่างวิธีที่คำพยากรณ์ซึ่งสำเร็จเป็นจริงพิสูจน์ฐานะพระมาซีฮาของพระเยซู. (ข) ความสำเร็จเป็นจริงเหล่านี้ให้คำรับรองที่หนักแน่นอะไรแก่เราในทุกวันนี้?
32 กิตติคุณของมัดธายเต็มไปด้วยคำพยากรณ์ที่สำเร็จเป็นจริงไปแล้ว. การที่ท่านยกข้อความจากพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูมากล่าวหลายตอนก็เพื่อแสดงให้เห็นความสำเร็จเป็นจริงเหล่านั้น. ความสำเร็จเป็นจริงเหล่านั้นเป็นหลักฐานที่ไม่อาจโต้แย้งได้ว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮา เพราะคงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะเตรียมรายละเอียดทั้งหมดนั้นไว้ล่วงหน้า. เพื่อเป็นตัวอย่าง ให้เทียบมัดธาย 13:14, 15 กับยะซายา 6:9, 10; มัดธาย 21:42 กับบทเพลงสรรเสริญ 118:22, 23; และมัดธาย 26:31, 56 กับซะคาระยา 13:7. ความสำเร็จเป็นจริงเหล่านั้นให้คำรับรองที่หนักแน่นแก่เราเช่นเดียวกันว่า คำพยากรณ์ทั้งสิ้นที่พระเยซูเองตรัส ซึ่งมัดธายบันทึกไว้นั้น จะเกิดขึ้นสมจริงตามเวลาที่กำหนดในขณะที่พระประสงค์อันรุ่งโรจน์ของพระยะโฮวาอันเกี่ยวกับ “ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์” นั้นบรรลุผลสำเร็จ.
33. ขณะนี้ผู้รักความชอบธรรมปลาบปลื้มยินดีได้ในความรู้และความหวังอะไร?
33 พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าไว้อย่างแม่นยำจริง ๆ ถึงชีวิตของกษัตริย์แห่งราชอาณาจักร แม้ในรายละเอียดปลีกย่อย! มัดธายผู้ได้รับการดลใจก็แม่นยำจริง ๆ ในการบันทึกด้วยความซื่อสัตย์ถึงความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์เหล่านี้! ขณะที่เหล่าผู้รักความชอบธรรมใคร่ครวญความสำเร็จเป็นจริงทั้งสิ้นของคำพยากรณ์และคำสัญญาต่าง ๆ ที่บันทึกไว้ในพระธรรมมัดธาย พวกเขาย่อมยินดีได้ในความรู้และความหวังแห่ง “ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์” อันเป็นเครื่องมือที่พระยะโฮวาทรงใช้เพื่อทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์. ราชอาณาจักรโดยทางพระเยซูคริสต์นี้แหละที่ก่อพระพรอันสุดจะพรรณนาในชีวิตและความสุขแก่ผู้มีใจอ่อนโยนและหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ “ในการสร้างใหม่ เมื่อบุตรมนุษย์ประทับลงที่ราชบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์.” (มัด. 19:28, ล.ม.) ทั้งหมดนี้มีอยู่ในข่าวดีที่กระตุ้นใจซึ่ง “เรียบเรียงโดยท่านมัดธาย.”
[เชิงอรรถ]
a ฉบับจัดพิมพ์ใหม่ปี 1981 เล่ม 5 หน้า 895.
b แปลจากข้อความภาษาลาตินซึ่งเรียบเรียงโดย อี. ซี. ริชาร์ดสันและจัดพิมพ์เป็นชุดมีชื่อว่า “บทความและการวิเคราะห์ประวัติวรรณคดีคริสเตียนสมัยแรก” (ภาษาเยอรมัน) ไลพ์ซิก 1896 เล่ม 14 หน้า 8, 9.
c ประวัติคริสตจักร (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 6 หน้า 25 วรรค 3-6.
d การศึกษากิตติคุณเบื้องต้น (ภาษาอังกฤษ) 1896 บี. เอฟ. เวสต์คอตต์ หน้า 201.
e ในสมัยของพระเยซู หนึ่งเดนาริอนเท่ากับค่าจ้างหนึ่งวัน; ดังนั้น 100 เดนาริอนจึงเท่ากับค่าจ้างสี่เดือน. หกสิบล้านเดนาริอนเท่ากับค่าจ้างซึ่งจะต้องใช้เวลาชั่วชีวิตถึงหลายพันรอบเพื่อรวบรวม.—การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 614.
f ขุมทรัพย์แห่งความเชื่อของคริสเตียน (ภาษาอังกฤษ) 1949 เรียบเรียงโดย เอส. ไอ. สตูเบอร์ และ ที. ซี. คลาร์ก หน้า 43.
g แนวคิดของมหาตมา คานธี (ภาษาอังกฤษ) 1930 โดย ซี. เอฟ. แอนดรูวส์ หน้า 96.