ตอนที่ 2
ใครจะบอกเราได้?
1, 2. วิธีดีที่สุดเพื่อค้นหาจุดมุ่งหมายของอะไรบางอย่างซึ่งถูกออกแบบขึ้นนั้นคืออย่างไร?
ใครจะบอกเราได้ว่าแท้จริงแล้วจุดมุ่งหมายของชีวิตคืออะไร? หากคุณไปเยี่ยมนักออกแบบเครื่องจักรกลสักคนหนึ่งแล้วดูเขาทำงานกับชิ้นส่วนที่ซับซ้อนของเครื่องจักรกลชิ้นหนึ่งซึ่งคุณไม่รู้จัก คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าชิ้นส่วนนั้นสำหรับอะไร? วิธีดีที่สุดสำหรับคุณก็คงเป็นการถามผู้ออกแบบนั่นเอง.
2 แล้วจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับการออกแบบอันยอดเยี่ยมที่เราเห็นอยู่รอบตัวเราบนแผ่นดินโลก เช่น ในบรรดาสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ไปจนถึงเซลล์ชีวิตที่เล็กที่สุด? แม้กระทั่งโมเลกุลและอะตอมที่เล็กกว่านั้นมากภายในเซลล์ก็ถูกออกแบบอย่างดีเยี่ยมและเป็นระเบียบ. เช่นกัน จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับจิตใจมนุษย์ซึ่งได้รับการออกแบบอย่างน่าอัศจรรย์? และระบบสุริยจักรวาลของเรา, กาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา และเอกภพล่ะเป็นอย่างไร? การออกแบบอันน่าทึ่งทั้งปวงนี้ย่อมต้องมีผู้ออกแบบมิใช่หรือ? เป็นที่แน่นอนว่าพระองค์ทรงสามารถบอกเราว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงออกแบบสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา.
ชีวิตเกิดขึ้นโดยบังเอิญไหม?
3, 4. มีทางเป็นไปได้แค่ไหนที่ชีวิตจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ?
3 สารานุกรมอเมริกานา ให้ข้อสังเกตถึง “ระดับความสลับซับซ้อนและความเป็นระเบียบในสิ่งมีชีวิต” และกล่าวว่า “การตรวจดูอย่างละเอียดในดอกไม้, แมลง, หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เผยให้เห็นถึงการจัดองค์ประกอบต่าง ๆ อย่างแม่นยำแทบไม่น่าเชื่อ.” เซอร์เบอร์นาร์ด โลเวลล์ นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ เมื่อกล่าวถึงองค์ประกอบทางเคมีของสิ่งมีชีวิต ได้เขียนว่า “ความเป็นไปได้ที่ . . . เหตุบังเอิญ นำไปสู่การประกอบกันขึ้นของโมเลกุลโปรตีนขนาดเล็กที่สุดนั้นมีน้อยจนไม่อาจนึกภาพออกได้. . . . จริง ๆ แล้วความเป็นไปได้นั้นคือศูนย์.”
4 ในทำนองคล้ายกัน เฟรด ฮอยล์ นักดาราศาสตร์กล่าวว่า “โครงสร้างทั้งสิ้นของชีววิทยาดั้งเดิมยังคงถือว่าชีวิตเกิดขึ้นโดยบังเอิญ. กระนั้น ขณะที่นักชีวเคมีค้นพบความซับซ้อนอันน่าเกรงขามของชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ปรากฏชัดว่าโอกาสต่าง ๆ ที่ชีวิตจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญนั้นมีน้อยเหลือเกินจนตัดออกไปได้เลย. ชีวิตเกิดขึ้นโดยบังเอิญไม่ได้.”
5-7. วิชาชีววิทยาทางโมเลกุลพิสูจน์ยืนยันอย่างไรว่าชีวิตไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ?
5 ชีววิทยาทางโมเลกุล หนึ่งในสาขาวิชาใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในระดับของจีน, โมเลกุล, และอะตอม. ไมเคิล เดนตัน นักชีววิทยาทางโมเลกุล ชี้แจงเกี่ยวกับสิ่งที่มีการค้นพบว่า “ความสลับซับซ้อนของเซลล์ที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่รู้จักกันนั้นมีมากเสียจนยอมรับไม่ได้ว่าสิ่งนี้ได้รวมตัวกันเองอย่างกะทันหันโดยเหตุการณ์พิลึกพิลั่นซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย.” “แต่ไม่ใช่เพียงความสลับซับซ้อนของระบบของสิ่งมีชีวิตเท่านั้นซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง ยังมีความประณีตละเอียดอ่อนจนเหลือเชื่ออีกด้วยซึ่งปรากฏให้เห็นบ่อยมากในการออกแบบสิ่งเหล่านั้น.” “ในระดับของโมเลกุลนั่นแหละซึ่ง . . . อัจฉริยภาพแห่งการออกแบบด้านชีววิทยาและความสมบูรณ์พร้อมแห่งเป้าหมายที่บรรลุผลสำเร็จได้ปรากฏอย่างเด่นชัด.”
6 เดนตันกล่าวต่อไปว่า “ทุกหนทุกแห่งที่เราดู, ไม่ว่าลึกแค่ไหนที่เราดู, เราพบความงดงามและความประณีตละเอียดอ่อนแห่งคุณลักษณะอันเลิศล้ำสมบูรณ์ ซึ่งทำให้แนวความคิดในเรื่องความบังเอิญอ่อนไป. เป็นสิ่งที่เชื่อถือได้อย่างแท้จริงไหมที่ว่าขั้นตอนโดยบังเอิญต่าง ๆ ได้สามารถสร้างสิ่งที่เป็นจริงขึ้นมา ซึ่งส่วนประกอบเล็กที่สุด—โปรตีนหรือจีนที่ใช้การได้—สลับซับซ้อนเกินความสามารถของเราในการสร้างสรรค์ ความเป็นจริงซึ่งตรงกันข้ามกับความบังเอิญอย่างมาก ซึ่งเหนือกว่าสิ่งใด ๆ ที่สร้างขึ้นโดยเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ในทุกด้าน?” เขายังกล่าวอีกว่า “ระหว่างเซลล์ที่มีชีวิตกับระบบที่มีระเบียบสูงสุดที่ไม่ใช่ทางชีววิทยา เช่น ผลึกหรือเกล็ดหิมะ มีช่องว่างที่กว้างใหญ่เหลือเกินเท่าที่จะคิดออกได้.” และ เช็ต เรย์โม ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์กล่าวว่า “ผมรู้สึกประทับใจมาก . . . ดูเหมือนว่าทุก ๆ โมเลกุลถูกออกแบบไว้สำหรับงานของมัน.”
7 เดนตัน นักชีววิทยาด้านโมเลกุลลงความเห็นว่า “คนที่ยังคงดันทุรังสนับสนุนว่าสิ่งเป็นจริงใหม่ ๆ ทั้งหมดนี้เป็นผลจากความบังเอิญแท้ ๆ” นั้นกำลังเชื่อเรื่องเทพนิยาย. ที่จริง เขาเรียกความเชื่อในทฤษฎีของดาร์วินอันเกี่ยวกับเรื่องสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญว่าเป็น “เทพนิยายที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ยี่สิบเรื่องการกำเนิดของจักรวาล.”
แบบต้องมีผู้ออกแบบ
8, 9. จงยกตัวอย่างที่แสดงว่าทุกสิ่งซึ่งมีแบบแผนย่อมต้องมีผู้ออกแบบ.
8 แนวความคิดที่ว่าวัตถุที่ไม่มีชีวิตอาจมีชีวิตขึ้นได้โดยบังเอิญ โดยอุบัติเหตุบางอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย. ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ บนแผ่นดินโลกซึ่งถูกออกแบบอย่างยอดเยี่ยมสามารถเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ เนื่องจากทุกสิ่งที่ถูกออกแบบย่อมต้องมีผู้ออกแบบ. คุณรู้จักบางสิ่งที่เป็นกรณียกเว้นไหม? ไม่มีเลย. และแบบที่ยิ่งซับซ้อน ผู้ออกแบบก็ยิ่งต้องมีความสามารถมาก.
9 เราอาจยกตัวอย่างประกอบเพื่ออธิบายเรื่องนั้นได้อย่างนี้เช่นกัน: เมื่อเราเห็นภาพวาด เรายอมรับว่ามันเป็นหลักฐานว่ามีผู้วาด. เมื่อเราอ่านหนังสือ เราก็ยอมรับว่ามีผู้ประพันธ์. เมื่อเราเห็นบ้าน เรายอมรับว่ามีผู้สร้างบ้าน. เมื่อเราเห็นไฟจราจร เราทราบว่ามีสภานิติบัญญัติ. สิ่งทั้งปวงนั้นถูกสร้างขึ้นพร้อมด้วยวัตถุประสงค์โดยผู้ที่สร้างมันขึ้นมา. และถึงแม้เราอาจไม่เข้าใจทุกสิ่งเกี่ยวกับผู้คนที่ออกแบบสิ่งเหล่านั้น เราก็ไม่สงสัยว่ามีผู้คนเหล่านั้นอยู่.
10. จะสามารถเห็นพยานหลักฐานอะไรได้บ้างเกี่ยวกับผู้ออกแบบองค์สูงสุด?
10 ในทำนองคล้ายกัน พยานหลักฐานของการดำรงอยู่ของผู้ออกแบบองค์สูงสุดก็สามารถเห็นได้ในแบบ, ระเบียบ, และความสลับซับซ้อนของสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินโลก. สิ่งเหล่านั้นล้วนบ่งชี้ว่ามีผู้ทรงเชาวน์ปัญญาอันเลิศล้ำ. เรื่องนี้ก็เป็นความจริงด้วยเกี่ยวกับแบบ, ระเบียบ, และความสลับซับซ้อนของเอกภพซึ่งมีหลายพันล้านกาแล็กซี แต่ละกาแล็กซีมีดวงดาวหลายพันล้านดวง. และเทห์ฟากฟ้าทั้งสิ้นถูกควบคุมโดยกฎอันแม่นยำ เช่น กฎเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว, ความร้อน, แสง, เสียง, แม่เหล็กไฟฟ้า, และความถ่วง. จะมีกฎโดยไม่มีผู้ตั้งกฎได้ไหม? นักวิทยาศาสตร์ด้านจรวด ดร. เวอร์เนอร์ ฟอน เบราน์ กล่าวว่า “กฎธรรมชาติของเอกภพมีความแน่นอนมากจนเราไม่มีความยุ่งยากในการสร้างยานอวกาศให้บินสู่ดวงจันทร์และสามารถกำหนดเวลาการบินด้วยความแม่นยำถึงเสี้ยววินาที. กฎเหล่านี้ต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งตั้งขึ้น.”
11. ทำไมเราไม่ควรปฏิเสธการดำรงอยู่ของผู้ออกแบบองค์สูงสุดเพียงเพราะเราไม่สามารถเห็นพระองค์?
11 จริงอยู่ เราไม่อาจเห็นผู้ออกแบบและผู้ประทานกฎองค์สูงสุดด้วยตาของเราได้. แต่เราปฏิเสธการมีอยู่ของสิ่งต่าง ๆ ไหมเพียงเพราะว่าเราไม่อาจเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ เช่น ความถ่วง, อำนาจแม่เหล็ก, กระแสไฟฟ้า, หรือคลื่นวิทยุ? เปล่า เราไม่ปฏิเสธ เพราะเราสังเกตเห็นผลของสิ่งเหล่านั้นได้. ถ้าเช่นนั้น ทำไมเราจะปฏิเสธการดำรงอยู่ของผู้ออกแบบและผู้ประทานกฎองค์สูงสุดเพียงเพราะเรามองเห็นพระองค์ไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเราสามารถสังเกตเห็นผลต่าง ๆ แห่งฝีพระหัตถ์อันน่าอัศจรรย์ของพระองค์?
12, 13. พยานหลักฐานบอกอย่างไรถึงการดำรงอยู่ของพระผู้สร้าง?
12 พอล เดวีส์ ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ ลงความเห็นว่าการดำรงอยู่ของมนุษย์ไม่ใช่เป็นเพียงปรากฏการณ์ประหลาด. เขากล่าวว่า “เราถูกเตรียมไว้ให้อยู่ที่นี่อย่างแท้จริง.” และเขาพูดถึงเอกภพว่า “โดยงานทางวิทยาศาสตร์ของผม ผมได้มาเชื่ออย่างเหนียวแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเอกภพที่ประกอบด้วยเทหวัตถุนั้นถูกนำเข้ามาประกอบรวมกันด้วยความละเอียดอ่อนน่าทึ่งมากจนผมไม่อาจยอมรับได้ว่านั่นเป็นเพียงข้อเท็จจริงที่ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุด้วยผล. ผมรู้สึกว่า จะต้องมีคำอธิบายที่ลึกซึ้งกว่านั้น.”
13 เพราะฉะนั้น พยานหลักฐานบอกเราว่าเอกภพ, แผ่นดินโลก, และสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินโลก ไม่อาจเกิดขึ้นเพียงโดยบังเอิญ. สิ่งเหล่านั้นให้หลักฐานโดยไม่ออกเสียงถึงพระผู้สร้างที่ทรงฤทธิ์และเชาวน์ปัญญาอันสูงส่ง.
สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้
14. คัมภีร์ไบเบิลลงความเห็นอย่างไรในเรื่องพระผู้สร้าง?
14 คัมภีร์ไบเบิล หนังสือเก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ ให้ข้อสรุปอย่างเดียวกัน. ยกตัวอย่าง ในพระธรรมเฮ็บรายซึ่งอัครสาวกเปาโลเป็นผู้จารึก บอกเราว่า “แน่นอน บ้านทุกหลังย่อมมีคนสร้าง แต่ผู้ที่ได้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงคือพระเจ้า.” (เฮ็บราย 3:4, ล.ม.) พระธรรมเล่มสุดท้ายในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งจารึกโดยอัครสาวกโยฮันก็กล่าวเช่นกันว่า “พระยะโฮวาเจ้าข้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์คู่ควรจะได้รับสง่าราศีและเกียรติยศและฤทธิ์เดช เพราะพระองค์ได้ทรงสร้างสิ่งทั้งปวง และเนื่องด้วยพระทัยประสงค์ของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นจึงได้ดำรงอยู่และถูกสร้างขึ้น.”—วิวรณ์ 4:11, ล.ม.
15. เราจะสังเกตคุณลักษณะบางอย่างของพระเจ้าได้อย่างไร?
15 คัมภีร์ไบเบิลแสดงว่าถึงแม้ไม่อาจเห็นพระเจ้าได้ การที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าชนิดใดก็สามารถสังเกตเห็นได้โดยสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้. มีกล่าวว่า “คุณลักษณะต่าง ๆ อันไม่ปรากฏแก่ตา [ของพระผู้สร้าง] นั่นคือฤทธานุภาพอันถาวรและความเป็นพระเจ้าของพระองค์นั้น ก็ปรากฏชัดแก่ตาแห่งเหตุผล ในสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นนั้น.”—โรม 1:20, เดอะ นิวอิงลิช ไบเบิล.
16. เพราะเหตุใดเราน่าจะยินดีที่มนุษย์ไม่อาจเห็นพระเจ้าได้?
16 ดังนั้น คัมภีร์ไบเบิลจึงนำเราจากผลไปหาเหตุ. ผล—คือสิ่งน่าเกรงขามที่ถูกสร้างขึ้น—เป็นพยานหลักฐานแห่งต้นเหตุที่ทรงฤทธิ์และเชาวน์ปัญญา: พระเจ้า. อนึ่ง เราน่าจะขอบพระคุณที่พระองค์ทรงไม่ปรากฏแก่ตา เนื่องด้วยทรงเป็นพระผู้สร้างเอกภพทั้งสิ้น จึงเป็นที่แน่นอนว่าพระองค์ทรงฤทธิ์ใหญ่ยิ่งจนมนุษย์ที่ประกอบด้วยเนื้อและเลือดไม่อาจคาดคิดว่าจะเห็นพระองค์แล้วรอดชีวิตอยู่ได้. และนั่นคือสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่ได้เห็น [พระเจ้า] แล้วและยังจะมีชีวิตอยู่ได้.”—เอ็กโซโด 33:20.
17, 18. ทำไมแนวคิดในเรื่องพระผู้สร้างจึงน่าจะสำคัญต่อเรา?
17 แนวคิดในเรื่องผู้ออกแบบองค์ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นองค์สูงสุดนั้น—คือพระเจ้า—ควรเป็นเรื่องสำคัญยิ่งแก่เรา. หากเราถูกสร้างขึ้นโดยพระผู้สร้าง เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ย่อมต้องมีเหตุผล มีวัตถุประสงค์ในการสร้างเราขึ้นมาอย่างแน่นอน. หากเราถูกสร้างให้มีจุดมุ่งหมายในชีวิต นั่นก็ยอมมีเหตุผลที่จะหวังว่าสิ่งต่าง ๆ คงจะดีขึ้นสำหรับเราในอนาคต. มิฉะนั้น เราก็คงได้แต่มีชีวิตแล้วก็ตายโดยไม่มีความหวังอะไร. ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่เราพึงค้นหาพระประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีสำหรับเรา. ครั้นแล้ว เราก็สามารถเลือกได้ว่าเราปรารถนาจะดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระประสงค์นั้นหรือไม่.
18 อีกประการหนึ่ง คัมภีร์ไบเบิลแถลงว่าพระผู้สร้างทรงเป็นพระเจ้าที่เปี่ยมด้วยความรักซึ่งทรงห่วงใยพวกเรามาก. อัครสาวกเปโตรกล่าวว่า “พระเจ้าทรงใฝ่พระทัยในท่านทั้งหลาย.” (1 เปโตร 5:7, ล.ม.; ดูโยฮัน 3:16 กับ 1 โยฮัน 4:8, 16 ด้วย.) ทางหนึ่งที่เราสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงใฝ่พระทัยมากเพียงไรก็โดยการพิจารณาวิธีการอันน่าพิศวงที่พระองค์ได้ทรงสร้างเรา ทั้งด้านจิตใจและร่างกาย.
“ถูกสร้างอย่างน่าพิศวง”
19. ความจริงเรื่องอะไรที่ดาวิดผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญเรียกร้องให้เราเอาใจใส่?
19 ในคัมภีร์ไบเบิล ดาวิดผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญยอมรับว่า “ข้าพเจ้าถูกสร้างอย่างน่าพิศวงในวิธีที่น่าเกรงขาม.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:14, ล.ม.) นั่นคือความจริงแท้แน่นอน เพราะสมองและร่างกายมนุษย์ถูกออกแบบขึ้นอย่างมหัศจรรย์โดยผู้ออกแบบองค์สูงสุด.
20. สารานุกรมเล่มหนึ่งพรรณนาถึงสมองคนเราอย่างไร?
20 ตัวอย่างเช่น สมองของคุณมีความสลับซับซ้อนยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์ใด ๆ อย่างไกลลิบ. สารานุกรม นิว บริแทนนิกา อธิบายว่า “การส่งผ่านข้อมูลภายในระบบเส้นใยประสาทมีความสลับซับซ้อนยิ่งกว่าเครือข่ายโทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดเสียอีก การแก้ปัญหาโดยสมองมนุษย์นั้นเหนือกว่าสมรรถนะของคอมพิวเตอร์ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดมากนัก.”
21. เมื่อเราเห็นสิ่งที่สมองทำ เราน่าจะลงความเห็นอย่างไร?
21 ข้อเท็จจริงและจินตภาพหลายร้อยล้านเรื่องถูกสะสมไว้ในสมองของคุณ แต่สมองไม่ใช่เพียงคลังเก็บข้อมูลความจริงต่าง ๆ เท่านั้น. ด้วยสมองของคุณ คุณสามารถเรียนวิธีผิวปาก, ทำขนมปัง, พูดภาษาต่างประเทศ, ใช้คอมพิวเตอร์, หรือขับเครื่องบิน. คุณสามารถจินตนาการว่าการพักร้อนจะเป็นอย่างไรหรือผลไม้จะมีรสอร่อยแค่ไหน. คุณสามารถวิเคราะห์และประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ได้. นอกจากนี้ คุณยังสามารถวางแผน, หยั่งรู้ค่า, รัก, และคิดถึงเรื่องในอดีต, ปัจจุบัน, และอนาคต. เนื่องจากเราซึ่งเป็นมนุษย์ไม่สามารถออกแบบสิ่งของที่เป็นเหมือนสมองอันน่าพิศวงนั้นได้ ฉะนั้น จึงปรากฏชัดว่าพระองค์ผู้ทรงออกแบบสมองนั้นทรงมีพระสติปัญญาและพระปรีชาสามารถอันยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์คนใด ๆ มากนัก.
22. พวกนักวิทยาศาสตร์ยอมรับอย่างไรเกี่ยวกับสมองคนเรา?
22 เกี่ยวด้วยสมอง พวกนักวิทยาศาสตร์ต่างยอมรับว่า “การที่เครื่องจักรชิ้นนี้ซึ่งสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง เป็นระเบียบ และได้รับการออกแบบอย่างดีเยี่ยมปฏิบัติงานเหล่านี้อย่างไรนั้น ยังไม่เป็นที่เข้าใจเท่าไร. . . . มนุษย์เราอาจไม่มีวันแก้ปริศนาอันซับซ้อนแต่ละอย่างเกี่ยวกับสมองได้ทั้งหมด.” (ไซเยนติฟิก อเมริกัน) และเรย์โม ศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์ กล่าวว่า “ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว เรายังคงไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับวิธีที่สมองมนุษย์เก็บสะสมความรู้, หรือวิธีที่สมองสามารถนึกออกได้ถึงสิ่งที่จำไว้เมื่อต้องการ. . . . มีเซลล์ประสาทมากถึงแสนล้านเซลล์ในสมองมนุษย์. แต่ละเซลล์อยู่ในเครือข่ายการสื่อสารกับเซลล์อื่น ๆ หลายพันเซลล์ โดยทางกิ่งก้านสาขาของจุดเชื่อมต่อลักษณะเหมือนต้นไม้. ความเป็นไปได้ของการเชื่อมต่อกันภายในนั้นก็สลับซับซ้อนจนน่าตกตะลึง.”
23, 24. จงบอกชื่ออวัยวะบางส่วนของร่างกายซึ่งมีการออกแบบอย่างยอดเยี่ยม และวิศวกรคนหนึ่งให้ความเห็นอย่างไร?
23 ตาของคุณทำงานอย่างละเอียดแม่นยำและปรับได้ดียิ่งกว่ากล้องถ่ายภาพใด ๆ ที่จริง ตาเป็นเหมือนกล้องถ่ายภาพยนตร์สีที่ปรับความชัดเองแบบอัตโนมัติทั้งหมด. หูของคุณสามารถตรวจจับเสียงได้หลายหลากและทำให้คุณรู้ทิศทางและดุลยภาพ. หัวใจของคุณเป็นปั๊มซึ่งมีสมรรถนะที่วิศวกรซึ่งเชี่ยวชาญที่สุดไม่เคยเลียนแบบได้. นอกจากนั้น ยังมีส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น จมูก, ลิ้น, และมือ และยังมีระบบหมุนเวียนโลหิตและระบบย่อยอาหารด้วย, ก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน นี้เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น.
24 ดังนั้น วิศวกรคนหนึ่งซึ่งถูกจ้างให้ออกแบบและสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ชี้แจงดังนี้: “ถ้าคอมพิวเตอร์ของผมต้องมีผู้ออกแบบ จะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่เครื่องจักรซึ่งประกอบด้วยกลไกทางชีวะ-เคมี-ฟิสิกส์ คือร่างกายของผม—ซึ่งเป็นเพียงแต่ส่วนเล็กน้อยเหลือเกินแห่งเอกภพอันเกือบไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมต้องมีผู้ออกแบบเช่นกัน.”
25, 26. ผู้ออกแบบองค์ยิ่งใหญ่น่าจะบอกอะไรแก่เราได้?
25 ผู้คนมีจุดมุ่งหมายอยู่ในใจเมื่อเขาสร้างเครื่องบิน, คอมพิวเตอร์, จักรยาน, และสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ ฉันใด พระองค์ผู้ทรงออกแบบสมองและร่างกายมนุษย์ก็ย่อมมีจุดมุ่งหมายในการออกแบบตัวเราเช่นกันฉันนั้น. และผู้ออกแบบองค์นี้ย่อมต้องมีสติปัญญาสูงส่งกว่ามนุษย์ เนื่องจากไม่มีสักคนในพวกเราสามารถทำเลียนแบบของพระองค์ได้. ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องมีเหตุผลที่ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เดียวซึ่งจะบอกเราได้ว่าทำไมพระองค์จึงทรงออกแบบพวกเรา, ทำไมพระองค์ให้เราอยู่บนแผ่นดินโลก, และเราจะมุ่งไปสู่ที่ใด.
26 เมื่อเราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เราก็จะใช้สมองและร่างกายอันยอดเยี่ยมที่พระเจ้าทรงประทานแก่เรานั้นได้ในการทำให้จุดมุ่งหมายในชีวิตของเราสำเร็จครบถ้วน. แต่เราจะเรียนรู้ถึงจุดมุ่งหมายของพระองค์ได้ที่ไหน? พระองค์ทรงประทานความรู้เช่นนั้นแก่เราในที่ใด?
[รูปภาพหน้า 7]
วิธีดีที่สุดเพื่อจะรู้ว่าเพราะอะไรสิ่งใดสิ่งหนึ่งจึงถูกออกแบบขึ้นมาคือถามผู้ออกแบบ
[รูปภาพหน้า 8]
ความสลับซับซ้อนและแบบของสิ่งมีชีวิตเห็นได้ในโมเลกุลดีเอ็นเอ
[รูปภาพหน้า 9]
“การแก้ปัญหาโดยสมองมนุษย์เหนือกว่าสมรรถนะของคอมพิวเตอร์ที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดนั้นมากนัก”