บทเจ็ด
มีคนขืนอำนาจในบ้านไหม?
1, 2. (ก) พระเยซูยกอุทาหรณ์อะไรเพื่อเน้นความไม่ซื่อสัตย์ของผู้นำศาสนาชาวยิว? (ข) เราสามารถเรียนจุดสำคัญอะไรเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นจากอุทาหรณ์ของพระเยซู?
ไม่กี่วันก่อนการวายพระชนม์ พระเยซูได้ตรัสถามกลุ่มผู้นำศาสนาชาวยิวด้วยคำถามที่กระตุ้นความคิด. พระองค์ตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร? ชายคนหนึ่งมีลูกสองคน. เมื่อไปหาลูกคนแรก เขาพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้ไปทำงานในสวนองุ่นเถิด.’ ฝ่ายลูกนั้นตอบว่า ‘ผมจะไปครับ’ แต่มิได้ออกไป. เมื่อไปหาลูกคนที่สอง เขาก็พูดเช่นเดียวกัน. ฝ่ายลูกนั้นตอบว่า ‘ผมจะไม่ไป.’ ภายหลังเขารู้สึกเสียใจแล้วก็ออกไป. ลูกสองคนนี้ คนไหนทำตามความประสงค์ของบิดา?” พวกผู้นำชาวยิวตอบว่า “คนหลัง.”—มัดธาย 21:28-31, ล.ม.
2 ในที่นี้พระเยซูทรงเน้นความไม่ซื่อสัตย์ของผู้นำชาวยิว. พวกเขาเป็นเหมือนลูกคนแรก สัญญาว่าจะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า ครั้นแล้วก็ไม่ได้รักษาคำสัญญาของเขา. แต่บิดามารดาหลายคนคงตระหนักว่า อุทาหรณ์ของพระเยซูอาศัยความเข้าใจอย่างดีในเรื่องชีวิตครอบครัว. ดังที่พระองค์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน บ่อยครั้งนับว่ายากที่จะทราบว่าคนหนุ่มสาวคิดอะไร หรือคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเขาจะทำอะไร. คนหนุ่มสาวอาจก่อปัญหาหลายอย่างระหว่างช่วงวัยรุ่น และครั้นแล้วก็เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักรับผิดชอบ เป็นที่นับหน้าถือตา. นี่เป็นสิ่งที่พึงคำนึงถึงเมื่อเราพิจารณาปัญหาการขืนอำนาจในเด็กวัยรุ่น.
คนขืนอำนาจเป็นอย่างไร?
3. ทำไมบิดามารดาไม่ควรด่วนจัดประเภทลูกของตนว่าเป็นคนขืนอำนาจ?
3 เป็นครั้งคราว คุณอาจได้ยินเรื่องเด็กวัยรุ่นซึ่งขืนอำนาจบิดามารดาโดยสิ้นเชิง. คุณอาจถึงกับรู้จักเป็นส่วนตัวกับครอบครัวที่มีลูกวัยรุ่นซึ่งดูเหมือนไม่มีทางควบคุมได้ด้วยซ้ำ. อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ง่ายเสมอไปที่จะรู้ว่าเด็กเป็นคนขืนอำนาจจริง ๆ หรือไม่. ยิ่งกว่านั้น อาจเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่า ทำไมเด็กบางคนขืนอำนาจ และเด็กอื่น แม้จะมาจากครัวเรือนเดียวกัน มิได้เป็นเช่นนั้น. หากบิดามารดาสงสัยว่า บุตรคนหนึ่งอาจกลายเป็นคนขืนอำนาจอย่างสิ้นเชิง เขาควรทำประการใด? เพื่อตอบคำถามนี้ เราต้องพิจารณากันก่อนว่า คนขืนอำนาจเป็นอย่างไร.
4-6. (ก) คนขืนอำนาจเป็นอย่างไร? (ข) บิดามารดาควรจดจำอะไรไว้หากลูกวัยรุ่นไม่เชื่อฟังเป็นครั้งคราว?
4 พูดง่าย ๆ แล้ว คนขืนอำนาจเป็นบุคคลที่จงใจไม่เชื่อฟังหรือต่อต้านและท้าทายอำนาจที่สูงกว่าเสมอ. แน่นอน ‘ความโฉดเขลาอยู่ในหัวใจของเด็ก.’ (สุภาษิต 22:15, ล.ม.) ดังนั้น เด็กทุกคนจึงต่อต้านอำนาจของบิดามารดาและของคนอื่นไม่คราวใดก็คราวหนึ่ง. เรื่องนี้เป็นความจริงโดยเฉพาะระหว่างช่วงที่มีการพัฒนาด้านร่างกายและด้านอารมณ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นวัยรุ่น. การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของบุคคลใดก็ตามย่อมจะก่อความตึงเครียด และวัยรุ่นก็เป็นช่วงที่มีแต่การเปลี่ยนแปลง. ลูกชายหรือลูกสาววัยรุ่นของคุณกำลังออกจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่. เพราะเหตุนี้ ระหว่างช่วงวัยรุ่น บิดามารดาบางคนกับบุตรจึงอยู่ในช่วงที่เข้ากันได้ยาก. บ่อยครั้ง บิดามารดาพยายามโดยสัญชาตญาณที่จะชะลอการเปลี่ยนแปลงนั้น ขณะที่วัยรุ่นต้องการเร่งการเปลี่ยนแปลงให้เร็วขึ้น.
5 เด็กวัยรุ่นซึ่งเป็นคนขืนอำนาจนั้นปฏิเสธค่านิยมของบิดามารดา. แต่โปรดจำไว้ว่า พฤติกรรมที่ไม่เชื่อฟังไม่กี่ครั้งไม่ได้ทำให้เด็กกลายเป็นคนขืนอำนาจ. และเมื่อมาถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ ทีแรกเด็กบางคนอาจไม่ค่อยสนใจหรือไม่สนใจความจริงในคัมภีร์ไบเบิล แต่เขาอาจไม่ใช่คนขืนอำนาจก็ได้. ในฐานะบิดาหรือมารดา อย่าด่วนจัดประเภทให้ลูกของคุณ.
6 การขืนอำนาจบิดามารดาเป็นลักษณะเด่นในช่วงวัยรุ่นของเด็กหนุ่มสาวทุกคนไหม? ไม่เลย. ที่จริง หลักฐานดูเหมือนจะบ่งชี้ว่า เด็กวัยรุ่นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นแสดงการขืนอำนาจอย่างร้ายแรง. กระนั้น จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับเด็กที่ขืนอำนาจอย่างดื้อรั้นอยู่เสมอ? อะไรอาจก่อให้เกิดการขืนอำนาจดังกล่าว?
สาเหตุของการขืนอำนาจ
7. สิ่งแวดล้อมที่ชั่วช้าอาจชักจูงเด็กให้ขืนอำนาจได้อย่างไร?
7 สาเหตุสำคัญของการขืนอำนาจคือสภาพแวดล้อมที่ชั่วช้าของโลก. “โลกทั้งสิ้นตกอยู่ใต้อำนาจผู้ชั่วร้ายนั้น.” (1 โยฮัน 5:19, ล.ม.) โลกที่อยู่ในอำนาจของซาตานได้พัฒนาวัฒนธรรมที่เป็นอันตราย ซึ่งคริสเตียนต้องต่อสู้ด้วย. (โยฮัน 17:15) ส่วนใหญ่ของวัฒนธรรมนั้นหยาบช้า, เป็นอันตราย, และเต็มไปด้วยอิทธิพลที่เลวร้ายในทุกวันนี้ยิ่งกว่าในอดีต. (2 ติโมเธียว 3:1-5, 13) หากบิดามารดาไม่ได้สอน, ตักเตือน และปกป้องลูกของตนแล้ว เด็กหนุ่มสาวก็อาจถูกครอบงำได้อย่างง่ายดายโดย “วิญญาณซึ่งบัดนี้ปฏิบัติการในบุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง.” (เอเฟโซ 2:2, ล.ม.) ที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้คือความกดดันจากคนรุ่นเดียวกัน. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “การคบค้ากับคนโฉดเขลาจะได้รับความเจ็บแสบ.” (สุภาษิต 13:20) ในทำนองคล้ายกัน ผู้ที่คบกับคนเหล่านั้นซึ่งซึมซับน้ำใจของโลกนี้ก็คงจะได้รับผลกระทบจากน้ำใจแบบนั้น. เด็กหนุ่มสาวจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออยู่เสมอหากจะให้เขาหยั่งรู้เข้าใจว่า การเชื่อฟังหลักการของพระเจ้าเป็นรากฐานสำหรับแนวทางชีวิตที่ดีที่สุด.—ยะซายา 48:17, 18.
8. ปัจจัยอะไรบ้างอาจนำไปสู่การขืนอำนาจในส่วนของบุตร?
8 สาเหตุอีกประการหนึ่งของการขืนอำนาจอาจเป็นบรรยากาศในบ้าน. ตัวอย่างเช่น หากบิดาหรือมารดาเป็นคนติดสุรา, ใช้ยาเสพย์ติด, หรือใช้ความรุนแรงกับคู่สมรสแล้ว ทัศนะของเด็กวัยรุ่นต่อชีวิตอาจถูกบิดเบือนได้. แม้แต่ในบ้านที่ค่อนข้างจะสงบ การขืนอำนาจก็อาจปะทุขึ้นได้เมื่อบุตรรู้สึกว่าบิดามารดาไม่มีความสนใจในตัวเขา. อย่างไรก็ดี การที่วัยรุ่นขืนอำนาจใช่ว่าจะเกิดจากอิทธิพลภายนอกเสมอไป. เด็กบางคนปฏิเสธค่านิยมของบิดามารดาทั้ง ๆ ที่มีบิดามารดาซึ่งนำหลักการของพระเจ้ามาใช้และเป็นผู้ซึ่งปกป้องคุ้มครองเขาได้มากจากโลกรอบด้าน. เพราะเหตุใด? บางทีเนื่องจากมูลเหตุอีกอย่างหนึ่งแห่งปัญหาของเรา—ความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์. เปาโลบอกว่า “ความผิดได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว [อาดาม], และความตายก็เกิดมาเพราะความผิดนั้น อย่างนั้นแหละความตายจึงได้ลามไปถึงคนทั้งปวง, เพราะคนทั้งปวงเป็นคนผิดอยู่แล้ว.” (โรม 5:12) อาดามเป็นคนขืนอำนาจที่เห็นแก่ตัว และเขาละมรดกเลวร้ายไว้ให้ลูกหลานทั้งสิ้น. หนุ่มสาวบางคนเพียงแต่เลือกที่จะขืนอำนาจ เช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษของเขาได้กระทำ.
เอลีผู้ชอบตามใจบุตรกับระฮับอามผู้ชอบวางข้อจำกัด
9. ความสุดโต่งอะไรในการเลี้ยงดูบุตรอาจทำให้บุตรขืนอำนาจ?
9 อีกสิ่งหนึ่งที่ได้นำไปสู่การขืนอำนาจในเด็กวัยรุ่นคือ ทัศนะที่ไม่สมดุลเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตรในส่วนของบิดามารดา. (โกโลซาย 3:21) บิดามารดาที่จริงจังบางคนวางข้อจำกัดและตีสอนบุตรของตนอย่างเข้มงวด. ส่วนคนอื่นตามใจลูก ไม่ได้จัดให้มีแนวชี้นำซึ่งจะปกป้องเด็กวัยรุ่นที่ขาดประสบการณ์. ไม่ง่ายเสมอไปที่จะหาความพอดีระหว่างความสุดโต่งทั้งสองนี้. และเด็กแต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน. คนหนึ่งอาจต้องได้รับการควบคุมดูแลมากกว่าอีกคนหนึ่ง. ถึงกระนั้น สองตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยให้เห็นอันตรายของการเป็นคนสุดโต่งไม่ว่าในการวางข้อจำกัดหรือการตามใจบุตร.
10. ทำไมเอลี ถึงแม้ดูเหมือนว่าเป็นมหาปุโรหิตที่ซื่อสัตย์ก็ตาม จึงเป็นบิดาที่ไม่ดี?
10 เอลีมหาปุโรหิตของยิศราเอลโบราณเป็นบิดา. ท่านรับใช้มาเป็นเวลา 40 ปี เป็นคนรอบรู้ในพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย. เอลีคงจะปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตเป็นประจำอย่างซื่อสัตย์ทีเดียวและอาจได้สอนพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างถี่ถ้วนแก่ฮฟนีกับฟีนะฮาศบุตรชายด้วยซ้ำ. อย่างไรก็ดี เอลีปล่อยให้ลูกทำตามอำเภอใจมากเกินไป. ฮฟนีกับฟีนะฮาศรับใช้เป็นปุโรหิตที่ถวายเครื่องบูชา แต่เขาทั้งสองเป็น “คนอันธพาล” สนใจแต่การสนองความอยากอาหารและความปรารถนาที่ผิดศีลธรรมของตนเท่านั้น. กระนั้น เมื่อเขาทั้งสองกระทำการที่น่าอัปยศอดสูในบริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์ เอลีไม่กล้าถอดเขาออกจากตำแหน่ง. ท่านเพียงแต่ต่อว่าเขาเล็กน้อย. โดยการตามใจลูก เอลีนับถือลูกชายของตนยิ่งกว่าพระเจ้า. ผลก็คือ บุตรชายของท่านขืนอำนาจต่อการนมัสการที่สะอาดของพระยะโฮวาและเชื้อวงศ์ทั้งสิ้นของเอลีประสบความหายนะ.—1 ซามูเอล 2:12-17, ฉบับแปลใหม่, 22-25, 29; 3:13, 14; 4:11-22.
11. บิดามารดาอาจเรียนอะไรได้จากตัวอย่างที่ไม่ดีของเอลี?
11 ลูก ๆ ของเอลีเป็นผู้ใหญ่แล้วเมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น แต่ประวัติบันทึกเรื่องนี้ยืนยันอันตรายของการยับยั้งการตีสอนไว้. (เทียบกับสุภาษิต 29:21.) บิดามารดาบางคนอาจเอาความรักไปปนกับการตามใจบุตร จึงพลาดไปจากการวางและบังคับใช้กฎที่ชัดเจน, เสมอต้นเสมอปลาย, และมีเหตุผล. พวกเขาละเลยการตีสอนด้วยความรัก แม้แต่เมื่อมีการละเมิดหลักการของพระเจ้า. เนื่องจากการตามใจเช่นนั้น ลูก ๆ ของเขาอาจลงเอยด้วยการไม่เอาใจใส่ต่ออำนาจของบิดามารดาหรืออำนาจอื่นใด.—เทียบกับท่านผู้ประกาศ 8:11.
12. ระฮับอามทำความผิดพลาดอะไรในการใช้อำนาจ?
12 ระฮับอามเป็นตัวอย่างของความสุดโต่งอีกด้านหนึ่งในการใช้อำนาจ. ท่านเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรยิศราเอลที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ท่านมิใช่กษัตริย์ที่ดี. ระฮับอามครอบครองแผ่นดินซึ่งประชาชนไม่พอใจเนื่องจากภาระหนักที่ซะโลโม ราชบิดาของท่านวางไว้เหนือพวกเขา. ระฮับอามแสดงความเห็นอกเห็นใจไหม? ไม่เลย. เมื่อกลุ่มตัวแทนทูลขอท่านให้ยกเลิกมาตรการที่กดขี่บางอย่าง ท่านไม่ได้ใส่ใจฟังข้อแนะที่รอบคอบจากที่ปรึกษาผู้สูงวัยและมีรับสั่งให้เพิ่มภาระของไพร่พลให้หนักขึ้น. ความหยิ่งยโสของท่านยั่วยุให้สิบตระกูลทางเหนือกบฏ และอาณาจักรถูกแยกเป็นสองฝ่าย.—1 กษัตริย์ 12:1-21; 2 โครนิกา 10:19.
13. บิดามารดาจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดของระฮับอามได้อย่างไร?
13 บิดามารดาสามารถเรียนรู้บทเรียนสำคัญบางอย่างจากเรื่องราวของระฮับอามในคัมภีร์ไบเบิล. เขาต้อง “แสวงหาพระยะโฮวา” ในคำอธิษฐานและตรวจสอบวิธีอบรมบุตรโดยคำนึงถึงหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. (บทเพลงสรรเสริญ 105:4) ท่านผู้ประกาศ 7:7 กล่าวว่า “การกดขี่ข่มเหงกระทำผู้มีสติปัญญาให้คลั่งไป.” แนวทางชี้นำที่ไตร่ตรองอย่างรอบคอบนั้นเปิดโอกาสให้เด็กวัยรุ่นเติบโตขณะที่ปกป้องเขาไว้จากอันตราย. แต่เด็กไม่น่าจะอยู่ในบรรยากาศที่เข้มงวดและถูกจำกัดขอบเขตจนกระทั่งกีดกันเขาไว้จากการพัฒนาการพึ่งพาตัวเองและความมั่นใจในตัวเองถึงระดับที่ควร. เมื่อบิดามารดาพยายามจะบรรลุความสมดุลระหว่างเสรีภาพที่พอเหมาะกับขีดจำกัดที่แน่นอนซึ่งกำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้ว เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มในการขืนอำนาจน้อยลง.
การสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานอาจป้องกันการขืนอำนาจได้
14, 15. บิดามารดาควรมีทัศนะอย่างไรต่อพัฒนาการของลูก?
14 ถึงแม้บิดามารดาชื่นชมยินดีที่เห็นบุตรวัยหนุ่มสาวของตนเติบโตทางร่างกายจากวัยเด็กมาสู่วัยผู้ใหญ่ก็ตาม เขาอาจรู้สึกไม่สบายใจเมื่อลูกวัยรุ่นเริ่มเปลี่ยนจากการพึ่งพาอาศัยผู้อื่นมาเป็นการพึ่งตัวเองตามที่ควรจะเป็น. ระหว่างช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ อย่าประหลาดใจหากลูกวัยรุ่นของคุณค่อนข้างจะดื้อรั้นหรือไม่ร่วมมือเป็นครั้งคราว. โปรดจำไว้ว่าเป้าประสงค์ของบิดามารดาคริสเตียนน่าจะเป็นการเลี้ยงลูกให้เป็นคริสเตียนที่อาวุโส, มั่นคง, และรู้จักรับผิดชอบ.—เทียบกับ 1 โกรินโธ 13:11; เอเฟโซ 4:13, 14.
15 แม้อาจเป็นเรื่องยาก บิดามารดาจำเป็นต้องเลิกตอบปฏิเสธต่อคำขอใด ๆ จากลูกวัยรุ่นเพื่อมีอิสรภาพมากขึ้น. ในแนวทางที่ดีงาม เด็กจำเป็นต้องเติบโตฐานะปัจเจกบุคคล. ที่จริง ด้วยอายุที่ค่อนข้างน้อย เด็กวัยรุ่นบางคนเริ่มพัฒนาทัศนะที่ออกจะเป็นแบบผู้ใหญ่. ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงกษัตริย์โยซียาผู้ทรงพระเยาว์ว่า “เมื่อท่านยังทรงพระเยาว์อยู่ [พระชนมายุประมาณ 15 พรรษา], ก็ได้ตั้งพระราชหฤทัยแสวงหาพระเจ้าแห่งดาวิด.” เด็กวัยรุ่นที่โดดเด่นผู้นี้เป็นบุคคลที่รู้จักรับผิดชอบอย่างเห็นได้ชัด.—2 โครนิกา 34:1-3.
16. ขณะที่ลูกได้รับหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้น เขาควรสำนึกถึงสิ่งใด?
16 อย่างไรก็ดี เสรีภาพนำมาซึ่งความรับผิดชอบ. เพราะฉะนั้น ให้ลูกที่เริ่มจะเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นรับผลจากการตัดสินใจและการกระทำบางอย่างของเขา. หลักการที่ว่า “คนใดหว่านอะไรลงก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น” นำมาใช้กับเด็กวัยรุ่นเช่นเดียวกับผู้ใหญ่. (ฆะลาเตีย 6:7, ล.ม.) คุณไม่อาจปกป้องลูกตลอดไปได้. แต่จะว่าอย่างไรหากลูกของคุณต้องการทำอะไรสักอย่างที่ยอมรับไม่ได้เลย? ฐานะบิดาหรือมารดาที่รับผิดชอบ คุณต้องพูดว่า “ไม่ได้.” และขณะที่คุณอาจจะอธิบายเหตุผล ก็ไม่ควรเปลี่ยนคำพูดจากไม่ได้มาเป็นได้. (เทียบกับมัดธาย 5:37.) ถึงอย่างไรก็ตาม พยายามพูดว่า “ไม่ได้” ด้วยท่าทีสงบและมีเหตุผล เนื่องจาก “คำตอบอ่อนหวานกระทำให้ความโกรธผ่านพ้นไป.”—สุภาษิต 15:1.
17. บิดาหรือมารดาควรสนองความต้องการอะไรบ้างของลูกวัยรุ่น?
17 คนหนุ่มสาวจำเป็นต้องได้รับความมั่นคงจากการตีสอนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ถึงแม้ว่าเขาไม่เต็มใจเห็นพ้องกับข้อจำกัดและกฎเสมอไป. เป็นเรื่องที่ทำให้ข้องขัดใจหากมีการเปลี่ยนกฎอยู่บ่อย ๆ แล้วแต่อารมณ์ความรู้สึกของบิดามารดาในตอนนั้น. นอกจากนี้ หากลูกวัยรุ่นได้รับการหนุนกำลังใจและความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นในการรับมือกับความประหม่า, ความเหนียมอาย, หรือการขาดความมั่นใจในตัวเองแล้ว เขาคงจะเติบโตขึ้นเป็นคนมั่นคงแน่วแน่มากกว่า. ลูกวัยรุ่นหยั่งรู้ค่าด้วยเมื่อได้รับความไว้วางใจจากบิดามารดาอย่างที่เขาสมควรได้รับ.—เทียบกับยะซายา 35:3, 4; ลูกา 16:10; 19:17.
18. มีความจริงที่หนุนกำลังใจอะไรบ้างเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่น?
18 บิดามารดาอาจสบายใจที่ทราบว่า เมื่อสันติสุข, ความมั่นคง, และความรักมีอยู่ภายในครัวเรือนแล้ว ตามปกติเด็กมักจะวัฒนาขึ้น. (เอเฟโซ 4:31, 32; ยาโกโบ 3:17, 18) แต่หนุ่มสาวหลายคนได้ผ่านพ้นกระทั่งสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีในบ้าน, มาจากครอบครัวที่มีการติดสุรา, ความรุนแรง, หรือผลกระทบอื่น ๆ บางอย่างที่ยังความเสียหาย และได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี. ดังนั้น หากคุณจัดให้มีบ้านที่ลูกวัยรุ่นจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและรู้ว่าเขาจะได้รับความรัก, ความเอ็นดู, และความเอาใจใส่—ถึงแม้การเกื้อหนุนเช่นนั้นควบคู่ไปกับการวางข้อจำกัดและการตีสอนที่มีเหตุผลประสานกับหลักการในพระคัมภีร์แล้ว—ก็มีทางเป็นไปได้มากที่เขาจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกภูมิใจ.—เทียบกับสุภาษิต 27:11.
เมื่อลูกตกเข้าสู่ความยุ่งยาก
19. ถึงแม้บิดามารดาควรอบรมบุตรตามทางที่ควรดำเนินนั้น ความรับผิดชอบอะไรตกอยู่กับบุตร?
19 การเป็นบิดามารดาที่ดีเป็นเรื่องสำคัญแน่นอน. สุภาษิต 22:6 กล่าวว่า “จงฝึกสอนเด็กให้ประพฤติตามทางที่ควรจะประพฤตินั้น: และเมื่อแก่ชราแล้วเขาจะไม่เดินห่างจากทางนั้น.” กระนั้น จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับบุตรซึ่งมีปัญหาร้ายแรงทั้ง ๆ ที่มีบิดามารดาที่ดี? เรื่องนี้เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้. ต้องเข้าใจถ้อยคำในพระธรรมสุภาษิตโดยคำนึงถึงข้ออื่น ๆ ที่เน้นความรับผิดชอบของบุตรที่จะ “ฟัง” และเชื่อฟังบิดามารดา. (สุภาษิต 1:8) ทั้งบิดาหรือมารดากับบุตรต้องร่วมมือกันในการนำหลักการของพระคัมภีร์มาใช้เพื่อจะมีความปรองดองกันในครอบครัว. หากบิดามารดากับบุตรไม่ร่วมมือกันแล้ว ก็จะมีความยุ่งยาก.
20. เมื่อเด็กทำผิดเนื่องจากการไม่รู้จักคิด บิดามารดาจะมีวิธีเข้าหาที่ฉลาดสุขุมอย่างไร?
20 บิดามารดาควรมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อบุตรวัยรุ่นทำผิดและตกเข้าสู่ความยุ่งยาก? ตอนนั้นเองที่เด็กจำต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษ. หากบิดามารดาจำไว้ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติกับเด็กหนุ่มสาวที่ขาดประสบการณ์แล้ว เขาจะต้านทานแนวโน้มที่จะแสดงปฏิกิริยามากเกินไปได้ง่ายกว่า. เปาโลแนะนำคนอาวุโสในประชาคมว่า “ถ้าแม้นผู้ใดก้าวพลาดไปประการใดก่อนที่เขารู้ตัว ท่านทั้งหลายผู้มีคุณวุฒิทางฝ่ายวิญญาณจงพยายามปรับคนเช่นนั้นให้เข้าที่ด้วยน้ำใจอ่อนโยน.” (ฆะลาเตีย 6:1, ล.ม.) บิดามารดาอาจปฏิบัติตามขั้นตอนเดียวกันนี้ได้เมื่อจัดการกับเยาวชนซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการไม่รู้จักคิด. ขณะที่อธิบายอย่างชัดเจนว่าเหตุใดความประพฤติของเขาจึงผิดและเขาจะหลีกเลี่ยงการทำผิดซ้ำได้อย่างไร บิดามารดาควรชี้ชัดว่า ความประพฤติผิดนั่นเองที่เป็นสิ่งเลวร้าย ไม่ใช่ตัวเยาวชน.—เทียบกับยูดา 22, 23.
21. โดยติดตามตัวอย่างของประชาคมคริสเตียน บิดามารดาควรมีปฏิกิริยาอย่างไรหากบุตรกระทำบาปร้ายแรง?
21 จะว่าอย่างไรหากความเหลวไหลของเยาวชนเป็นเรื่องร้ายแรงมาก? ในกรณีเช่นนั้นเด็กจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษและการชี้นำที่ชำนาญ. เมื่อสมาชิกของประชาคมกระทำบาปร้ายแรง เขาได้รับการสนับสนุนให้กลับใจและเข้าหาผู้ปกครองเพื่อขอความช่วยเหลือ. (ยาโกโบ 5:14-16) เมื่อเขากลับใจแล้ว ผู้ปกครองใช้เวลากับเขาเพื่อฟื้นฟูเขาทางฝ่ายวิญญาณ. ในครอบครัว หน้าที่รับผิดชอบในการช่วยเด็กวัยรุ่นที่กระทำผิดนั้นเป็นของบิดามารดา ถึงแม้เขาอาจจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องนั้นกับผู้ปกครองก็ตาม. แน่นอน เขาไม่ควรพยายามปกปิดความผิดร้ายแรงใด ๆ ที่ลูกคนหนึ่งของเขากระทำนั้นมิให้คณะผู้ปกครองรู้.
22. ในการเลียนแบบพระยะโฮวา บิดามารดาจะพยายามรักษาไว้ซึ่งเจตคติเช่นไรหากบุตรกระทำความผิดร้ายแรง?
22 ปัญหาร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับลูกของตนเองนั้นเป็นเรื่องที่ก่อความทุกข์ใจมาก. เนื่องจากว้าวุ่นใจ บิดามารดาอาจรู้สึกอยากดุด่าเด็กที่ดื้อรั้นนั้นอย่างเดือดดาล แต่การทำเช่นนี้อาจรังแต่จะทำให้เขาเคืองแค้น. โปรดจำไว้ว่า อนาคตของเยาวชนคนนี้อาจขึ้นอยู่กับวิธีที่เขาได้รับการปฏิบัติระหว่างช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้. จงระลึกด้วยเช่นกันว่า พระยะโฮวาทรงพร้อมจะให้อภัยถึงแม้ไพร่พลของพระองค์หันเหไปจากสิ่งที่ถูกต้อง—หากเขาเพียงแต่กลับใจเท่านั้น. จงฟังคำตรัสด้วยความรักของพระองค์ที่ว่า “พระยะโฮวาตรัสว่า, ‘มาเถิด, ให้เรามาหารือตกลงกันเสียให้เด็ดขาด [“จัดเรื่องราวระหว่างเรากับเจ้าให้ถูกต้อง,” ล.ม.]: แม้บาปของเจ้าจะแดงเป็นเหมือนสีที่แดงก่ำ, บาปนั้นก็อาจจะกลับกลายเป็นสีขาวเหมือนอย่างหิมะ; แม้บาปของเจ้าจะแดงเป็นเหมือนสีที่แดงเข้ม, บาปนั้นก็อาจจะขาวเหมือนอย่างขนแกะ.’” (ยะซายา 1:18) ช่างเป็นตัวอย่างยอดเยี่ยมเสียจริง ๆ สำหรับบิดามารดา!
23. เมื่อลูกคนหนึ่งทำบาปร้ายแรง บิดามารดาควรปฏิบัติอย่างไร และเขาควรหลีกเลี่ยงอะไร?
23 ดังนั้น จงพยายามสนับสนุนลูกที่ดื้อรั้นให้เปลี่ยนแนวทางของเขา. จงแสวงหาคำแนะนำที่ดีจากบิดามารดาผู้มีประสบการณ์และผู้ปกครองในประชาคม. (สุภาษิต 11:14) พยายามไม่ดำเนินการอย่างหุนหันพลันแล่น และพูดหรือทำอะไรที่จะทำให้เป็นเรื่องยากที่เด็กจะกลับมาหาคุณอีก. จงหลีกเลี่ยงความโกรธเคืองและความขมขื่นอย่างที่ไม่ควบคุม. (โกโลซาย 3:8) อย่าด่วนหมดหวัง. (1 โกรินโธ 13:4, 7) ถึงแม้เกลียดชังความเลวร้าย จงหลีกเลี่ยงที่จะกลายเป็นคนใจแข็งและเคืองแค้นต่อลูกของคุณ. สำคัญที่สุด บิดามารดาควรพยายามวางตัวอย่างที่ดีและรักษาความเชื่อในพระเจ้าให้เข้มแข็ง.
การจัดการกับผู้ตั้งใจขืนอำนาจ
24. บางครั้งมีสถานการณ์ที่น่าเศร้าอะไรเกิดขึ้นในครอบครัวคริสเตียน และบิดาหรือมารดาควรมีปฏิกิริยาอย่างไร?
24 ในบางกรณีกลับปรากฏชัดว่าเยาวชนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะขืนอำนาจและปฏิเสธค่านิยมแบบคริสเตียนอย่างสิ้นเชิง. ถ้าเช่นนั้นควรให้จุดรวมความสนใจเปลี่ยนมายังการรักษาหรือการสร้างชีวิตครอบครัวของลูกคนอื่น ๆ ขึ้นใหม่. จงระวังที่จะไม่ทุ่มเทพลังทั้งหมดของคุณให้กับลูกที่ขืนอำนาจจนละเลยลูกคนอื่น ๆ. แทนที่จะพยายามปิดบังเรื่องยุ่งยากไม่ให้คนอื่นในครอบครัวรู้ จงหารือเรื่องนั้นกับพวกเขาในขอบเขตที่เหมาะสม และด้วยท่าทีที่ไม่หวั่นวิตก.—เทียบกับสุภาษิต 20:18.
25. (ก) โดยปฏิบัติตามแบบอย่างของประชาคมคริสเตียน บิดามารดาอาจต้องดำเนินการอย่างไรหากบุตรกลายเป็นคนจงใจขืนอำนาจ? (ข) บิดามารดาควรจดจำอะไรไว้หากบุตรคนหนึ่งของเขาขืนอำนาจ?
25 อัครสาวกโยฮันพูดถึงผู้ที่กลายเป็นคนขืนอำนาจจนแก้ไขไม่ได้ในประชาคมว่า “อย่ารับเขาเข้ามาในเรือนของท่านหรือกล่าวทักทายเขาเลย.” (2 โยฮัน 10, ล.ม.) บิดามารดาอาจรู้สึกว่าจำเป็นต้องยึดจุดยืนคล้ายกันต่อลูกของตนหากเขาบรรลุนิติภาวะแล้วและกลายเป็นคนขืนอำนาจอย่างสิ้นเชิง. แม้การปฏิบัติเช่นนั้นอาจเป็นเรื่องยากและทำให้เจ็บปวดรวดร้าว บางครั้งนั่นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจะป้องกันคนอื่นในครอบครัวไว้. ครัวเรือนของคุณจำเป็นต้องได้รับการปกป้องและการดูแลของคุณต่อไป. เพราะฉะนั้น จงรักษาขอบเขตการประพฤติที่กำหนดไว้อย่างชัดแจ้ง ทว่ามีเหตุผลนั้นต่อไป. จงสื่อความกับลูกคนอื่น ๆ. สนใจว่าเขาเป็นอย่างไรในโรงเรียนและในประชาคม. นอกจากนี้ ให้พวกเขารู้ว่า ถึงแม้คุณไม่เห็นชอบกับการกระทำของลูกที่ขืนอำนาจก็ตาม คุณก็มิได้เกลียดชังเขา. จงกล่าวโทษการกระทำที่เลวร้าย แทนที่จะเป็นตัวเด็ก. เมื่อลูกชายสองคนของยาโคบทำให้ครอบครัวเสียชื่อเสียงเนื่องจากการกระทำที่โหดเหี้ยมของเขา ยาโคบได้สาปแช่งความโกรธแค้นอย่างบ้าระห่ำของลูกชาย ไม่ใช่ตัวลูกชาย.—เยเนซิศ 34:1-31; 49:5-7.
26. บิดามารดาที่สุจริตใจอาจได้รับการปลอบประโลมจากอะไรหากบุตรคนหนึ่งของเขาขืนอำนาจ?
26 คุณอาจรู้สึกรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในครอบครัวของคุณ. แต่หากคุณได้ทำทุกสิ่งเท่าที่คุณทำได้ด้วยน้ำใสใจจริง โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของพระยะโฮวาเป็นอย่างดีเท่าที่คุณสามารถทำได้ ก็ไม่จำเป็นต้องติเตียนตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล. ขอให้รับการปลอบประโลมใจจากข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครอาจเป็นบิดาหรือมารดาที่สมบูรณ์พร้อม แต่คุณได้พยายามอย่างสุจริตใจแล้วที่จะเป็นบิดาหรือมารดาที่ดี. (เทียบกับกิจการ 20:26.) การมีคนขืนอำนาจอย่างสิ้นเชิงอยู่ในครอบครัวเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง แต่หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคุณ ก็ขอให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงเข้าใจและพระองค์จะไม่มีวันละทิ้งผู้รับใช้ที่เลื่อมใสศรัทธาของพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 27:10) ดังนั้น จงตั้งใจที่จะรักษาบ้านของคุณให้เป็นสถานพักพิงที่ปลอดภัยฝ่ายวิญญาณสำหรับลูกคนอื่น ๆ.
27. โดยระลึกถึงคำอุปมาเรื่องบุตรผู้สุรุ่ยสุร่าย บิดามารดาของบุตรที่ขืนอำนาจอาจหวังอะไรได้เสมอ?
27 นอกจากนี้ คุณไม่ควรจะหมดหวัง. ความพยายามก่อนหน้านี้ของคุณในการอบรมอย่างเหมาะสมอาจมีผลกระทบในที่สุดต่อหัวใจของเด็กที่หลงไปและทำให้เขาสำนึกได้. (ท่านผู้ประกาศ 11:6) ครอบครัวคริสเตียนหลายครอบครัวเคยมีประสบการณ์เหมือนกับคุณ และบางครอบครัวได้เห็นลูกที่ดื้อรั้นของเขากลับคืนมา คล้ายกับบิดาในคำอุปมาของพระเยซูเรื่องบุตรผู้สุรุ่ยสุร่าย. (ลูกา 15:11-32) เหตุการณ์อย่างเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นกับคุณก็ได้.