บทเก้า
ครอบครัวที่มีบิดาหรือมารดาไร้คู่สามารถประสบผลสำเร็จได้!
1-3. อะไรทำให้จำนวนครอบครัวที่มีบิดาหรือมารดาไร้คู่มีเพิ่มขึ้น และคนเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องด้วยได้รับผลกระทบอย่างไร?
ครอบครัวที่มีบิดาหรือมารดาฝ่ายเดียวถูกเรียกว่า “รูปแบบครอบครัวที่กำลังเพิ่มขึ้นรวดเร็วที่สุด” ในสหรัฐ. มีสภาพการณ์คล้ายคลึงกันในประเทศอื่นหลายประเทศ. จำนวนการหย่าร้าง, การทอดทิ้ง, การแยกกันอยู่, และการมีลูกนอกกฎหมายซึ่งมีมากเป็นประวัติการณ์ส่งผลกระทบกว้างไกลต่อบิดามารดาและเด็กหลายล้านคน.
2 มารดาไร้คู่คนหนึ่งเขียนว่า “ดิฉันเป็นแม่ม่ายอายุ 28 ปีมีลูกสองคน. ดิฉันหดหู่ใจจริง ๆ เพราะไม่อยากเลี้ยงดูลูกโดยไม่มีพ่อ. ดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจดิฉันด้วยซ้ำ. ลูก ๆ เห็นดิฉันร้องไห้อยู่บ่อย ๆ และนั่นมีผลกระทบต่อพวกเขา.” นอกจากการต่อสู้กับความรู้สึก เช่น ความโกรธ, ความรู้สึกผิด, และความว้าเหว่แล้ว บิดาหรือมารดาไร้คู่ส่วนใหญ่เผชิญการท้าทายทั้งการทำงานนอกบ้านและการปฏิบัติหน้าที่การงานในบ้าน. คนหนึ่งบอกว่า “การเป็นบิดาหรือมารดาไร้คู่เป็นเหมือนนักแสดงกายกรรม. หลังจากฝึกซ้อมหกเดือน ในที่สุดคุณก็สามารถโยนบอลสี่ลูกได้ในเวลาเดียวกัน. แต่ทันทีที่ทำเช่นนั้นได้ ก็มีคนโยนบอลลูกใหม่ให้อีก!”
3 เด็กหนุ่มสาวในครอบครัวที่มีบิดาหรือมารดาไร้คู่มักมีสิ่งที่พวกเขาเองต้องฝ่าฟัน. เขาอาจต้องต่อสู้กับอารมณ์เครียดอันเป็นผลมาจากการที่บิดาหรือมารดาจากไปหรือเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน. สำหรับเด็กหนุ่มสาวหลายคนแล้ว การขาดบิดาหรือมารดาไปดูเหมือนจะมีผลกระทบในทางลบอย่างลึกซึ้ง.
4. เราทราบอย่างไรว่าพระยะโฮวาทรงห่วงใยครอบครัวที่มีบิดาหรือมารดาไร้คู่?
4 ครอบครัวที่มีบิดาหรือมารดาฝ่ายเดียวเคยมีอยู่ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล. พระคัมภีร์กล่าวหลายครั้งถึง “ลูกกำพร้า [“เด็กชายกำพร้าพ่อ,” ล.ม.]” และ “หญิงหม้าย.” (เอ็กโซโด 22:22; พระบัญญัติ 24:19-21; โยบ 31:16-22) พระยะโฮวาพระเจ้าไม่ทรงเฉยเมยต่อสภาพทุกข์ร้อนของพวกเขา. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดาของเด็กชายกำพร้าพ่อและผู้พิพากษาของหญิงม่าย.” (บทเพลงสรรเสริญ 68:5, ล.ม.) แน่นอน พระยะโฮวาทรงมีความห่วงใยอย่างเดียวกันต่อครอบครัวที่มีบิดาหรือมารดาฝ่ายเดียวในทุกวันนี้! แน่ละ พระคำของพระองค์เสนอหลักการที่สามารถช่วยพวกเขาให้ประสบผลสำเร็จ.
การดูแลเรื่องกิจวัตรประจำวันในบ้าน
5. บิดามารดาไร้คู่ต้องเผชิญปัญหาอะไรในเบื้องต้น?
5 ลองพิจารณาถึงภารกิจในการดูแลบ้าน. หญิงคนหนึ่งที่หย่าขาดจากสามียอมรับว่า “มีหลายโอกาสที่เราอยากให้มีผู้ชายอยู่ใกล้ ๆ อย่างเช่น เมื่อรถยนต์เริ่มมีเสียงดังผิดปกติแล้วคุณไม่รู้ว่าเสียงนั้นมาจากไหน.” พวกผู้ชายที่เพิ่งหย่าหรือเป็นม่ายอาจหัวหมุนเช่นกันเนื่องจากงานบ้านมากมายที่เขาต้องทำในตอนนี้. สำหรับลูก ๆ ความยุ่งเหยิงในบ้านยิ่งทำให้รู้สึกไม่มั่นคงและไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้น.
6, 7. (ก) “ภรรยาที่มีความสามารถ” ในพระธรรมสุภาษิตวางตัวอย่างที่ดีอะไรไว้? (ข) การขยันขันแข็งในหน้าที่รับผิดชอบภายในบ้านช่วยครอบครัวที่มีบิดามารดาไร้คู่อย่างไร?
6 อะไรจะช่วยได้? โปรดสังเกตตัวอย่างที่วางไว้โดย “สตรีที่เป็นแม่เรือนดี [“ภรรยาที่มีความสามารถ,” ล.ม.]” ซึ่งพรรณนาไว้ในสุภาษิต 31:10-31. ขอบเขตแห่งความสำเร็จของเธอนับว่าโดดเด่น ไม่ว่าในด้านการซื้อ, การขาย, การเย็บผ้า, การปรุงอาหาร, การลงทุนซื้อที่ดิน, การทำไร่, และการดำเนินธุรกิจ. เคล็ดลับของเธอน่ะหรือ? เธอเป็นคนขยัน ทำงานจนดึกแล้วตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเริ่มกิจการงานของเธอ. และเธอมีการจัดระเบียบอย่างดี ให้คนทำงานบางอย่างแทนและลงมือทำงานอื่นเอง. ไม่แปลกที่เธอได้รับคำชมเชย!
7 หากคุณเป็นบิดาหรือมารดาไร้คู่ จงสำนึกถึงหน้าที่รับผิดชอบภายในบ้าน. จงมีความพอใจในงานนั้น เพราะสิ่งนี้มีส่วนมากในการเพิ่มพูนความสุขให้แก่ลูกของคุณ. อย่างไรก็ดี การวางแผนและการจัดระเบียบที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น. คัมภีร์ไบเบิลแจ้งว่า “แผนงานของคนขยันขันแข็งนำสู่ความอุดมแน่นอน.” (สุภาษิต 21:5, ฉบับแปลใหม่) บิดาไร้คู่คนหนึ่งยอมรับว่า “ผมมักไม่คิดถึงอาหารจนกว่าจะหิว.” แต่อาหารที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้ามักให้คุณค่าทางโภชนาการและน่ารับประทานมากกว่าอาหารที่ทำอย่างเร่งรีบ. คุณอาจต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เกี่ยวกับงานบ้านด้วย. โดยการขอคำแนะนำจากเพื่อนที่มีความรู้, ดูหนังสือคู่มือต่าง ๆ, และถามช่างที่ยินดีให้ความช่วยเหลือ มารดาไร้คู่บางคนสามารถลงมือจัดการทาสีบ้าน, ซ่อมท่อน้ำ, และซ่อมรถแบบง่าย ๆ ได้.
8. ลูก ๆ ของบิดาหรือมารดาไร้คู่สามารถให้การช่วยเหลือในบ้านได้อย่างไร?
8 เป็นการเหมาะสมไหมที่จะขอให้ลูก ๆ ช่วย? มารดาไร้คู่คนหนึ่งหาเหตุผลว่า “เราต้องการชดเชยให้กับการขาดพ่อหรือขาดแม่ไปโดยให้ลูกอยู่สบาย ๆ.” นั่นอาจเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่บางทีไม่ได้ก่อประโยชน์อันดีที่สุดแก่ลูกเสมอไป. หนุ่มสาวผู้ยำเกรงพระเจ้าในสมัยคัมภีร์ไบเบิลได้รับมอบหมายงานประจำวันที่เหมาะ. (เยเนซิศ 37:2; เพลงไพเราะของกษัตริย์ซะโลโม 1:6) ดังนั้น ถึงแม้จะระวังไม่ให้ลูกของคุณแบกภาระหนักเกินไป เป็นการสุขุมที่จะมอบหมายงานให้ลูกทำ เช่น การล้างถ้วยจานและดูแลห้องของเขาให้สะอาด. ทำไมไม่ทำงานบ้านบางอย่างด้วยกัน? การทำเช่นนั้นอาจทำให้เพลิดเพลินทีเดียว.
ข้อท้าทายในการหาเลี้ยงชีพ
9. ทำไมมารดาไร้คู่มักจะเผชิญความลำบากด้านการเงิน?
9 บิดาหรือมารดาไร้คู่ส่วนใหญ่พบว่ายากที่จะรับมือกับความจำเป็นด้านการเงิน และมารดาวัยรุ่นที่ไม่ได้สมรสมักจะอยู่อย่างลำบากเป็นพิเศษ.a ในประเทศที่มีสวัสดิการสังคม อาจเป็นการฉลาดที่เขาจะใช้การช่วยเหลือนั้นให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อยที่สุดก็จนกว่าเขาจะหางานทำได้. คัมภีร์ไบเบิลอนุญาตให้คริสเตียนใช้การจัดเตรียมดังกล่าวให้เป็นประโยชน์เมื่อมีความจำเป็น. (โรม 13:1, 6) แม่ม่ายและหญิงที่หย่าขาดจากสามีเผชิญข้อท้าทายคล้ายกัน. หลายคน ซึ่งจำใจกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานหลังจากทำงานบ้านมาหลายปี มักจะได้แค่งานที่มีค่าตอบแทนต่ำ. บางคนหาทางปรับปรุงสภาพชีวิตของตนโดยการสมัครเข้าในโครงการฝึกงานหรือเรียนหลักสูตรระยะสั้น.
10. มารดาไร้คู่จะอธิบายแก่ลูกของเธอได้อย่างไรถึงสาเหตุที่เธอต้องทำงานอาชีพ?
10 อย่าประหลาดใจหากลูกของคุณไม่สบายใจเมื่อคุณพยายามหางานทำ และอย่ารู้สึกผิด. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงอธิบายให้ลูกฟังว่า ทำไมคุณต้องทำงาน และช่วยเขาให้เข้าใจว่า พระยะโฮวาทรงเรียกร้องให้คุณจัดหามาเลี้ยงดูพวกเขา. (1 ติโมเธียว 5:8) ในที่สุด เด็กส่วนใหญ่จะปรับตัวได้. อย่างไรก็ดี จงพยายามใช้เวลากับเขาให้มากเท่าที่ตารางเวลาซึ่งเต็มไปด้วยธุระของคุณอำนวยให้. การเอาใจใส่ด้วยความรักเช่นนั้นอาจช่วยลดผลกระทบจากภาวะจำกัดด้านการเงินใด ๆ ที่ครอบครัวอาจประสบ.—สุภาษิต 15:16, 17.
ใครเป็นฝ่ายเอาใจใส่ดูแล?
11, 12. บิดามารดาไร้คู่ต้องรักษาเส้นแบ่งเขตอะไรไว้ และเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
11 เป็นเรื่องธรรมดาที่บิดาหรือมารดาไร้คู่จะสนิทกับลูกเป็นพิเศษ กระนั้น ต้องระวังไม่ให้เส้นแบ่งเขตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ระหว่างบิดามารดากับบุตรถูกทำลาย. ตัวอย่างเช่น ความยุ่งยากร้ายแรงอาจเกิดขึ้นได้หากมารดาไร้คู่คาดหมายให้ลูกชายรับภาระผู้นำในบ้าน หรือปฏิบัติกับลูกสาวเหมือนผู้ที่ตนจะปรับทุกข์ได้ โดยให้ลูกสาวแบกภาระที่เป็นปัญหาลึกซึ้งส่วนตัว. การทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะ, สร้างแรงกดดัน, และบางทีทำให้เด็กสับสน.
12 จงทำให้ลูกของคุณมั่นใจว่า ในฐานะบิดาหรือมารดา คุณจะเอาใจใส่ดูแลเขา—ไม่ใช่ในทางกลับกัน. (เทียบกับ 2 โกรินโธ 12:14.) บางครั้ง คุณอาจต้องการข้อเสนอแนะหรือการหนุนกำลังใจ. จงแสวงหาสิ่งนั้นจากผู้ปกครองคริสเตียนหรือบางทีจากสตรีคริสเตียนที่อาวุโส ไม่ใช่จากลูกที่เป็นผู้เยาว์.—ติโต 2:3.
การรักษาระเบียบวินัยไว้
13. มารดาไร้คู่อาจเผชิญปัญหาอะไรเกี่ยวกับการตีสอน?
13 ผู้ชายอาจไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรนักที่ถูกมองอย่างจริงจังว่าเป็นผู้ตีสอน แต่ผู้หญิงอาจมีปัญหาในเรื่องนี้. มารดาไร้คู่คนหนึ่งบอกว่า “พวกลูกชายของดิฉันตัวก็โตและเสียงก็ห้าว. บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะไม่ให้เสียงที่ดิฉันพูดออกมาฟังดูไม่เด็ดขาดหรือไม่เข้มแข็งเมื่อนำมาเทียบกัน.” นอกจากนี้ คุณอาจยังคงเศร้าระทมในความตายของคู่ชีวิตผู้เป็นที่รัก หรือบางทีคุณอาจรู้สึกว่าผิดหรือโกรธเคืองเรื่องความแตกหักในชีวิตสมรส. ถ้าต้องอุปการะเลี้ยงดูเด็กร่วมกัน คุณอาจเกรงว่าลูกอยากจะอยู่กับอดีตคู่ครองของคุณมากกว่า. สภาพการณ์เช่นนั้นอาจทำให้เป็นเรื่องยากที่จะดำเนินการตีสอนที่สมดุล.
14. บิดามารดาไร้คู่อาจรักษาไว้ซึ่งทัศนะที่สมดุลในการตีสอนได้อย่างไร?
14 คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “เด็กที่ถูกปล่อยตามใจจะเป็นเหตุให้มารดาของตนอับอาย.” (สุภาษิต 29:15, ล.ม.) คุณได้รับการหนุนหลังจากพระยะโฮวาพระเจ้าในการตั้งและบังคับใช้กฎของครอบครัว. ดังนั้น อย่ายอมแพ้ต่อความรู้สึกผิด, ความเสียใจ, หรือความกลัว. (สุภาษิต 1:8) อย่าอะลุ่มอล่วยหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. (สุภาษิต 13:24) พยายามเป็นคนมีเหตุผล, เสมอต้นเสมอปลาย, และมั่นคง. ในที่สุด เด็กส่วนใหญ่จะตอบรับ. กระนั้น คุณคงจะต้องการคำนึงถึงความรู้สึกของลูก. บิดาไร้คู่คนหนึ่งบอกว่า “ผมต้องทำให้การตีสอนผ่อนลงด้วยการแสดงความเห็นอกเห็นใจเนื่องจากการตกตะลึงที่เขาสูญเสียแม่ไป. ผมพูดกับลูก ๆ ในทุกโอกาส. เรามี ‘เวลาอยู่ใกล้ชิดกัน’ เมื่อเราทำอาหารมื้อเย็น. แล้วก็ตอนนั้นแหละที่พวกเขาเผยความในใจให้ผมรู้จริง ๆ.”
15. บิดามารดาที่หย่าร้างควรหลีกเลี่ยงอะไรเมื่อพูดถึงอดีตคู่ครอง?
15 หากคุณหย่าร้าง ไม่ประสบผลดีอะไรในการบั่นทอนความนับถือต่ออดีตคู่ครองของคุณ. การวิวาทกันของบิดามารดาทำให้เด็กเจ็บปวดและจะทำให้ความนับถือของเขาที่มีต่อคุณทั้งสองนั้นเสื่อมลงในที่สุด. ฉะนั้น จงหลีกเลี่ยงคำพูดที่ทำให้ปวดร้าว เช่น “เธอก็เหมือนพ่อของเธอนั่นแหละ!” ไม่ว่าความเจ็บปวดใด ๆ ที่อดีตคู่ครองอาจได้ทำกับคุณ เขาก็ยังเป็นบิดาหรือมารดาของลูกคุณซึ่งต้องการความรัก, ความเอาใจใส่, และการตีสอนจากทั้งบิดาและมารดา.b
16. การจัดเตรียมอะไรฝ่ายวิญญาณที่ควรเป็นส่วนแห่งการตีสอนเป็นประจำในบ้านของบิดาหรือมารดาไร้คู่?
16 ดังที่พิจารณาแล้วในบทก่อน ๆ การตีสอนเกี่ยวข้องกับการอบรมและการสั่งสอน ไม่ใช่แค่การลงโทษ. ปัญหาหลายอย่างอาจหลีกเลี่ยงได้โดยมีกำหนดการที่ดีเกี่ยวกับการอบรมฝ่ายวิญญาณ. (ฟิลิปปอย 3:16) การเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ. (เฮ็บราย 10:24, 25) การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประจำครอบครัวทุกสัปดาห์เป็นสิ่งสำคัญด้วย. จริงอยู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำการศึกษาเช่นนั้นเป็นประจำ. มารดาผู้สำนึกในหน้าที่คนหนึ่งบอกว่า “หลังจากทำงานมาทั้งวัน เราก็อยากจะพักผ่อนจริง ๆ. แต่ดิฉันเตรียมใจไว้ที่จะศึกษากับลูกสาว เพราะรู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ. เธอชอบการศึกษาประจำครอบครัวของเราจริง ๆ!”
17. เราอาจเรียนรู้อะไรจากการอบรมที่ดีซึ่งติโมเธียวสหายของเปาโลได้รับ?
17 เห็นได้ชัดว่าติโมเธียวสหายของอัครสาวกเปาโลได้รับการอบรมตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิลจากมารดาและยายของเขา—แต่ดูเหมือนไม่ใช่จากบิดา. กระนั้น ติโมเธียวได้เป็นคริสเตียนที่โดดเด่นจริง ๆ! (กิจการ 16:1, 2; 2 ติโมเธียว 1:5; 3:14, 15) คุณสามารถหวังผลในทางดีได้เช่นกันขณะที่คุณพากเพียรที่จะอบรมลูกของคุณ “ด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา.”—เอเฟโซ 6:4, ล.ม.
มีชัยชนะในการต่อสู้กับความว้าเหว่
18, 19. (ก) สำหรับบิดาหรือมารดาไร้คู่ ความว้าเหว่อาจปรากฏออกมาอย่างไร? (ข) มีคำแนะนำอะไรเพื่อช่วยควบคุมความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนัง?
18 มารดาไร้คู่คนหนึ่งพูดอย่างทอดถอนใจว่า “เมื่อดิฉันกลับบ้านและรู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียว และโดยเฉพาะหลังจากลูกเข้านอนแล้ว ความว้าเหว่โถมทับดิฉัน.” ถูกแล้ว บ่อยครั้งความว้าเหว่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดซึ่งบิดาหรือมารดาไร้คู่เผชิญ. เป็นเรื่องธรรมดาที่จะปรารถนาเพื่อนคู่คิดและผู้ที่คุณจะสนิทชิดใกล้อย่างอบอุ่นได้ในชีวิตสมรส. แต่ควรไหมที่คนเราจะพยายามแก้ปัญหานี้ไม่ว่าจะเสียอะไรไปก็ตาม? ในสมัยของอัครสาวกเปาโล แม่ม่ายที่ยังสาวบางคนได้ปล่อยให้ “แรงกระตุ้นทางเพศของเขาทำให้เขาเหินห่างจากพระคริสต์.” (1 ติโมเธียว 5:11, 12, ล.ม.) การยอมให้ความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนังบดบังผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณย่อมยังความเสียหาย.—1 ติโมเธียว 5:6.
19 ชายคริสเตียนคนหนึ่งบอกว่า “แรงกระตุ้นทางเพศนับว่ารุนแรงทีเดียว ทว่าคนเราสามารถควบคุมมันได้. เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้นมาในจิตใจ ก็อย่าไปหมกมุ่นกับมัน. ต้องขจัดความคิดนั้นออกไป. การคิดถึงลูกก็ช่วยได้.” พระคำของพระเจ้าแนะนำว่า ‘จงประหารอวัยวะแห่งร่างกายของท่านในเรื่องราคะตัณหา.’ (โกโลซาย 3:5, ล.ม.) หากคุณพยายามระงับความอยากอาหาร คุณจะอ่านนิตยสารที่มีภาพอาหารอร่อย ๆ ไหม หรือว่าคุณจะคบหากับคนที่คุยเรื่องอาหารอยู่เรื่อย ๆ ไหม? คงไม่อย่างแน่นอน! เป็นเช่นเดียวกันนั้นกับความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนัง.
20. (ก) มีอันตรายอะไรแฝงอยู่สำหรับคนที่ติดต่อฝากรักกับผู้ไม่มีความเชื่อ? (ข) คนที่อยู่ตัวคนเดียวทั้งในศตวรรษแรกและในทุกวันนี้เอาชนะความว้าเหว่โดยวิธีใด?
20 คริสเตียนบางคนได้เข้าสู่การติดต่อฝากรักกับคนที่ไม่มีความเชื่อ. (1 โกรินโธ 7:39) การทำเช่นนั้นแก้ปัญหาของเขาไหม? เปล่าเลย. สตรีคริสเตียนที่หย่าร้างคนหนึ่งเตือนว่า “มีสิ่งหนึ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการอยู่ตัวคนเดียว. นั่นคือการเลือกแต่งงานผิดคน!” แม่ม่ายคริสเตียนในศตวรรษแรกประสบความว้าเหว่เป็นระยะ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่คนที่ฉลาดง่วนอยู่กับ ‘การรับแขก, ล้างเท้าสิทธชน, สงเคราะห์คนที่ได้รับความลำบาก.’ (1 ติโมเธียว 5:10) คริสเตียนผู้ซื่อสัตย์ในทุกวันนี้ซึ่งได้รอมาหลายปีเพื่อจะพบคู่ครองที่เกรงกลัวพระเจ้าก็ได้ง่วนกับงานในทำนองคล้ายกัน. แม่ม่ายคริสเตียนวัย 68 ปีคนหนึ่งเริ่มไปเยี่ยมแม่ม่ายคนอื่นเมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกว้าเหว่. เธอบอกว่า “ดิฉันพบว่า โดยการไปเยี่ยมแบบนี้ การดูแลงานบ้านและการเอาใจใส่ต่อสภาพฝ่ายวิญญาณของตัวเอง ดิฉันจึงไม่มีเวลาที่จะว้าเหว่.” การสอนคนอื่นเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นงานดีซึ่งมีประโยชน์เป็นพิเศษ.—มัดธาย 28:19, 20.
21. การอธิษฐานและการคบหาสมาคมที่ดีอาจช่วยให้เอาชนะความว้าเหว่ได้ในทางใด?
21 เป็นที่ยอมรับกันว่า ไม่มีวิธีรักษาอย่างรวดเร็วสำหรับความว้าเหว่. แต่ก็สามารถทนความว้าเหว่ได้ด้วยกำลังจากพระยะโฮวา. กำลังดังกล่าวจะได้มาเมื่อคริสเตียน “มุ่งหน้าไม่ละลดในการอ้อนวอน และอธิษฐานทั้งกลางวันและกลางคืน.” (1 ติโมเธียว 5:5, ล.ม.) การอ้อนวอนเป็นการวิงวอนอย่างจริงจัง ใช่แล้ว เป็นการขอความช่วยเหลือ บางทีด้วยเสียงดังและน้ำตาไหล. (เทียบกับเฮ็บราย 5:7.) การระบายความในใจของคุณกับพระยะโฮวา “ทั้งกลางวันและกลางคืน” สามารถช่วยได้จริง ๆ. นอกจากนี้ การคบหาสมาคมที่เป็นประโยชน์ช่วยได้มากในการเข้ามาแทนที่ความว้าเหว่. โดยการคบหาสมาคมที่ดี คนเราอาจได้รับ “ถ้อยคำที่ดี” ที่หนุนกำลังใจดังที่พรรณนาไว้ในสุภาษิต 12:25 (ฉบับแปลใหม่).
22. การพิจารณาถึงเรื่องอะไรบ้างจะช่วยได้เมื่อความรู้สึกว้าเหว่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว?
22 หากความรู้สึกว้าเหว่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว—ซึ่งมักจะเป็นเช่นนั้น—ก็โปรดจำไว้ว่า ไม่มีใครมีสภาพชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม. ที่จริง “สังคมพี่น้องทั้งสิ้นของท่านทั้งหลาย” ประสบความยากลำบากไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง. (1 เปโตร 5:9, ล.ม.) จงหลีกเลี่ยงการหมกมุ่นอยู่กับอดีต. (ท่านผู้ประกาศ 7:10) ทบทวนดูข้อได้เปรียบที่คุณมีอยู่. สำคัญที่สุด จงตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงของคุณไว้และกระทำให้พระหฤทัยของพระยะโฮวายินดี.—สุภาษิต 27:11.
วิธีที่คนอื่นช่วยได้
23. เพื่อนคริสเตียนมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรต่อบิดาหรือมารดาไร้คู่ในประชาคม?
23 การสนับสนุนและการช่วยเหลือจากเพื่อนคริสเตียนเป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้. ยาโกโบ 1:27 (ล.ม.) บอกว่า “แบบแห่งการนมัสการที่สะอาดและปราศจากมลทินจากทัศนะของพระเจ้าและพระบิดาของเราเป็นดังนี้: ให้เอาใจใส่ดูแลลูกกำพร้าและหญิงม่ายในความทุกข์ลำบากของเขา.” ถูกแล้ว คริสเตียนมีพันธะที่จะช่วยครอบครัวที่มีบิดาหรือมารดาไร้คู่. มีวิธีใดบ้างที่ใช้ได้จริงซึ่งอาจทำเช่นนี้ได้?
24. ครอบครัวที่มีบิดาหรือมารดาไร้คู่ที่ขัดสนอาจได้รับการช่วยเหลือในทางใดบ้าง?
24 อาจให้ความช่วยเหลือทางด้านวัตถุได้. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ใครก็ตามที่มีสิ่งจำเป็นของโลกนี้เพื่อบำรุงชีวิตและเห็นพี่น้องของตนขาดแคลนและกระนั้นปิดประตูแห่งความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนของตนต่อเขา ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในคนนั้นอย่างไรได้?” (1 โยฮัน 3:17, ล.ม.) คำภาษากรีกเดิมที่ได้รับการแปลว่า “เห็น” หมายความถึงไม่เพียงการเหลือบมองโดยบังเอิญ แต่หมายถึงการจ้องมองอย่างจงใจ. นี่บ่งชี้ว่า คริสเตียนที่กรุณาจะต้องคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและความจำเป็นของครอบครัวนั้นเสียก่อน. บางทีเขาอาจขาดเงิน. บางคนอาจต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการซ่อมแซมภายในบ้าน. หรือเขาอาจหยั่งรู้ค่าทีเดียวที่ได้รับเชิญไปรับประทานอาหารหรือการสังสรรค์.
25. เพื่อนคริสเตียนอาจแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อบิดาหรือมารดาไร้คู่โดยวิธีใด?
25 นอกเหนือจากนี้ 1 เปโตร 3:8 (ล.ม.) กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายทุกคน จงมีความคิดจิตใจอย่างเดียวกัน, แสดงความเห็นอกเห็นใจ, มีความรักใคร่ฉันพี่น้อง, ความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน.” มารดาไร้คู่ซึ่งมีลูกหกคนบอกว่า “เป็นเรื่องยากที่จะทน และบางครั้งดิฉันรู้สึกหดหู่ใจ. อย่างไรก็ตาม บางครั้งบางคราวพี่น้องชายหรือหญิงไม่คนใดก็คนหนึ่งจะพูดกับดิฉันว่า ‘โจน คุณทำได้ดีทีเดียว. คุณจะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า.’ เพียงแค่รู้ว่าคนอื่นคิดถึงเราและพวกเขาใส่ใจก็นับว่าช่วยได้มากจริง ๆ.” สตรีคริสเตียนที่สูงวัยกว่าอาจบังเกิดผลเป็นพิเศษในการช่วยผู้หญิงสาว ๆ ซึ่งเป็นมารดาไร้คู่ โดยรับฟังเมื่อเธอมีปัญหาที่อาจทำให้กระอักกระอ่วนใจถ้าปรึกษากับผู้ชาย.
26. ชายคริสเตียนที่อาวุโสสามารถช่วยเด็กกำพร้าพ่อได้อย่างไร?
26 ผู้ชายคริสเตียนอาจช่วยได้ในวิธีอื่น ๆ. โยบบุรุษผู้ชอบธรรมบอกว่า “ข้าฯ จะช่วย . . . เด็กชายกำพร้าพ่อและใคร ๆ ที่ไม่มีคนช่วย.” (โยบ 29:12, ล.ม.) ผู้ชายคริสเตียนบางคนในทุกวันนี้ก็แสดงความสนใจในทางที่ดีงามเช่นกันต่อเด็กกำพร้าพ่อและแสดง “ความรักซึ่งบังเกิดแต่ใจอันบริสุทธิ์” โดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง. (1 ติโมเธียว 1:5) โดยไม่ละเลยครอบครัวของตนเอง พวกเขาอาจจัดแจงเป็นครั้งคราวที่จะทำงานกับเยาวชนดังกล่าวในงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียนและอาจเชิญเขามาร่วมในการศึกษาประจำครอบครัวหรือในการนันทนาการด้วย. ความกรุณาเช่นนั้นอาจสามารถช่วยเด็กกำพร้าพ่อมิให้ออกนอกลู่นอกทางได้.
27. บิดามารดาไร้คู่สามารถมั่นใจได้ในการเกื้อหนุนอะไร?
27 แน่นอน ในที่สุด บิดาหรือมารดาไร้คู่ต้อง “แบกภาระของตนเอง” ในเรื่องหน้าที่รับผิดชอบ. (ฆะลาเตีย 6:5) ถึงอย่างไรก็ตาม เขาสามารถได้รับความรักจากพี่น้องชายหญิงคริสเตียนและจากพระยะโฮวาพระเจ้าเอง. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงพระองค์ว่า “ทรงอุปถัมภ์เด็กกำพร้า [“เด็กชายกำพร้าพ่อ,” ล.ม.] กับหญิงหม้าย.” (บทเพลงสรรเสริญ 146:9) โดยการเกื้อหนุนด้วยความรักของพระองค์ ครอบครัวที่มีบิดาหรือมารดาไร้คู่สามารถประสบผลสำเร็จได้!
a หากคริสเตียนวัยรุ่นตั้งครรภ์เนื่องจากการประพฤติผิดศีลธรรม ประชาคมคริสเตียนยอมไม่ได้อย่างเด็ดขาดในสิ่งที่เธอทำไปนั้น. แต่ถ้าเธอกลับใจ ผู้ปกครองและคนอื่นในประชาคมอาจอยากเสนอความช่วยเหลือแก่เธอ.
b เราไม่ได้พาดพิงถึงสภาพการณ์ซึ่งเด็กอาจต้องได้รับการปกป้องจากบิดาหรือมารดาที่กระทำทารุณ. นอกจากนี้ หากอีกฝ่ายหนึ่งพยายามบั่นทอนอำนาจของคุณ บางทีโดยมุ่งหมายจะเกลี้ยกล่อมเด็กให้ทิ้งคุณไป อาจสมควรที่จะพูดกับเพื่อนที่มีประสบการณ์ เช่น ผู้ปกครองในประชาคมคริสเตียนเพื่อได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีจัดการกับสภาพการณ์นั้น.