บทห้า
ผลงาน—เกิดจากอะไร?
ดังที่กล่าวไว้ในบทก่อน ๆ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ให้หลักฐานที่น่าเชื่อมากมายที่ว่าทั้งเอกภพและชีวิตบนโลกมีจุดเริ่มต้น. อะไรก่อให้เกิดการเริ่มต้นนั้น?
หลังจากได้ศึกษาหลักฐานที่มีอยู่ หลายคนสรุปว่าจะต้องมีต้นเหตุแรกแห่งสิ่งทั้งหลาย. กระนั้น พวกเขาเลี่ยงที่จะยอมรับว่าต้นเหตุนี้เป็นบุคคล. การไม่เต็มใจที่จะพูดถึงพระผู้สร้างเช่นนั้นสะท้อนให้เห็นในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์บางคน.
เพื่อเป็นตัวอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เชื่อว่าเอกภพมีจุดเริ่มต้น และเขาแสดงความปรารถนาที่ “จะรู้ว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกอย่างไร.” กระนั้น ไอน์สไตน์ไม่ยอมรับว่าเชื่อในพระเจ้าที่เป็นบุคคล; เขาพูดเกี่ยวกับ “ความรู้สึกทางศาสนา [ในระดับเอกภพ] ซึ่งไม่รู้หลักคำสอนใด ๆ และไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งมีลักษณะอย่างมนุษย์.” ในทำนองคล้ายกัน เคนอิชิ ฟูกูอิ นักเคมีผู้ได้รับรางวัลโนเบลแสดงความเชื่อในโครงสร้างอันยิ่งใหญ่แห่งเอกภพ. เขากล่าวว่า “ความเกี่ยวพันกันและโครงสร้างอันยิ่งใหญ่นี้อาจพรรณนาออกมาในคำพูดเช่น ‘อำนาจเด็ดขาด’ หรือ ‘พระเจ้า’” แต่เขาเรียกความเกี่ยวพันนั้นว่า “ลักษณะที่แปลกของธรรมชาติ.”
คุณทราบไหมว่าความเชื่อเช่นนั้นในเรื่องต้นกำเนิดที่ไม่เป็นบุคคลคล้ายกันกับหลายแนวคิดทางศาสนาของทางตะวันออก? ชาวตะวันออกหลายคนเชื่อว่าธรรมชาติเกิดขึ้นเอง. แนวคิดนี้ถึงกับแสดงออกมาในตัวอักษรภาษาจีนที่ใช้หมายถึงธรรมชาติ ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรว่า “เกิดขึ้นเอง” หรือ “มีอยู่เอง.” ไอน์สไตน์เชื่อว่าความรู้สึกทางศาสนาในระดับเอกภพของเขามีการอธิบายอย่างดีในศาสนาพุทธ. พระพุทธเจ้าถือว่าไม่สำคัญที่ว่ามีพระผู้สร้างซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำเนิดเอกภพและมนุษย์หรือไม่. คล้ายกัน ศาสนาชินโตไม่มีคำอธิบายว่าธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างไร และผู้ที่นับถือชินโตเชื่อว่าเหล่าเทพเจ้าเป็นวิญญาณของผู้ตายที่อาจกลายเป็นส่วนของธรรมชาติ.
น่าสนใจ ความคิดแบบนี้แทบไม่ต่างกับทัศนะอันเป็นที่นิยมในกรีซโบราณ. กล่าวกันว่า นักปรัชญาเอพิคิวรุส (ปี 341-270 ก.ส.ศ.) เชื่อว่า ‘พระเจ้าทั้งหลายอยู่ไกลเกินกว่าที่จะทำอะไร ๆ ที่มีผลกระทบต่อมนุษย์ได้.’ เขาเชื่อว่ามนุษย์เป็นผลิตผลจากธรรมชาติ อาจเกิดจากการกำเนิดขึ้นเองและการคัดเลือกตัวที่แข็งแรงที่สุดตามธรรมชาติ. คุณอาจรู้จากเรื่องนี้ว่าแนวความคิดคล้าย ๆ กันนั้นในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องใหม่เลย.
ในยุคเดียวกันกับพวกเอพิคิวรุสก็คือพวกสโตอิกกรีก ซึ่งถือว่าธรรมชาติคือพระเจ้า. พวกเขาเชื่อว่าเมื่อมนุษย์เสียชีวิต พลังงานที่ไม่เป็นบุคคลจากตัวคนตายจะถูกดูดเข้าไปในแหล่งพลังงานมากมายมหาศาลที่ประกอบกันเป็นพระเจ้า. พวกเขาเชื่อว่าการประสานกับกฎธรรมชาติเป็นความดีที่สูงส่งที่สุด. คุณได้ยินทัศนะคล้าย ๆ กันนี้ในสมัยของเราไหม?
การโต้แย้งเรื่องพระเจ้าที่เป็นบุคคล
ถึงอย่างไรก็ดี เราไม่ควรปฏิเสธข้อมูลทุกอย่างจากกรีซโบราณว่าเป็นเพียงประวัติศาสตร์ที่ดูแปลก. อาจารย์ท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงในศตวรรษแรกได้ให้คำบรรยายที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความเชื่อดังกล่าว. ลูกา นายแพทย์และนักประวัติศาสตร์ได้บันทึกคำบรรยายนั้นไว้ และเราพบได้ที่บท 17 ในพระธรรมกิจการของอัครสาวก. คำบรรยายนี้อาจช่วยเราให้แก้แนวคิดของเราเรื่องต้นเหตุแรกแห่งสิ่งทั้งหลายและช่วยให้เข้าใจฐานะของเราต่อต้นเหตุแรกนี้. กระนั้น คำบรรยายที่มีเมื่อ 1,900 ปีมาแล้วจะมีผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนในสมัยนี้ได้อย่างไรขณะที่บุคคลที่จริงใจเสาะหาความหมายของชีวิต?
อาจารย์ที่มีชื่อเสียงคนนั้นคือเปาโล ท่านถูกเรียกตัวไปที่ศาลสูงในกรุงเอเธนส์. ที่นั่นท่านพบพวกเอพิคิวรุสและพวกสโตอิก ซึ่งไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้าที่เป็นบุคคล. ในถ้อยคำเริ่มต้นเปาโลกล่าวว่า ท่านได้เห็นแท่นบูชาหนึ่งในเมืองของพวกเขาที่มีคำจารึกว่า “สำหรับพระเจ้าที่ไม่รู้จัก” (ภาษากรีก อากโนʹ สตอย เธออยʹ). น่าสนใจ บางคนคิดว่านักชีววิทยา โทมัส เอช. ฮักซ์ลีย์ (ปี 1825-1895) อ้างถึงคำนั้นเมื่อเขาคิดคำ “agnostic” (อไญยนิยม) ขึ้นมา. ฮักซ์ลีย์ใช้คำนี้กับคนที่เชื่อว่า “ต้นกำเนิด (พระเจ้า) และลักษณะแก่นแท้ของสิ่งต่าง ๆ ไม่มีใครรู้หรือไม่มีทางรู้จักได้.” แต่พระผู้สร้างเป็นผู้ที่ “ไม่มีทางรู้จักได้” ดังที่หลายคนเชื่อไหม?
พูดตามตรงแล้ว นั่นเป็นการใช้คำพูดของเปาโลอย่างผิด ๆ; นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เปาโลกำลังพูด. แทนที่จะบอกว่าพระผู้สร้างเป็นผู้ที่ไม่มีทางรู้จักได้ เปาโลเพียงแต่พูดว่าพระองค์ไม่เป็นที่รู้จักแก่ชาวเอเธนส์เหล่านั้น. เปาโลไม่ได้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของพระผู้สร้างมากเท่าที่เรามีในสมัยนี้. กระนั้น เปาโลก็ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ว่ามีบุคคล ผู้ออกแบบที่มีเชาวน์ปัญญาซึ่งมีคุณลักษณะที่น่าจะดึงดูดเราเข้าหาพระองค์. โปรดสังเกตสิ่งที่เปาโลกล่าวดังนี้:
“สิ่งซึ่งท่านทั้งหลายถวายความเลื่อมใสโดยไม่รู้ นั่นแหละที่ข้าพเจ้าประกาศให้ท่านทราบ. พระเจ้าซึ่งทรงสร้างโลกและสิ่งสารพัดในโลก พระองค์ผู้นี้แหละทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตอยู่ในโบสถ์วิหารที่ทำด้วยมือ ทั้งพระองค์ไม่ได้รับการรับใช้ด้วยมือมนุษย์เสมือนว่าพระองค์ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์เองทรงประทานชีวิตและลมหายใจและสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวง. และพระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติจากคน ๆ เดียว เพื่ออาศัยอยู่ตลอดทั่วพื้นแผ่นดิน.” (กิจการ 17:23-26, ล.ม.) เป็นแนวการหาเหตุผลที่น่าสนใจมิใช่หรือ?
ถูกแล้ว แทนที่จะบอกว่า พระเจ้าเป็นผู้ที่ไม่มีทางรู้จักได้ เปาโลกำลังเน้นว่าคนที่ทำแท่นบูชาในกรุงเอเธนส์ รวมทั้งหลายคนในหมู่ผู้ฟังของท่าน ยังไม่รู้จักพระองค์. ตอนนั้นเปาโลกระตุ้นพวกเขา—และทุกคนที่ได้อ่านคำบรรยายของท่านตั้งแต่นั้นมา—ให้หาทางรู้จักพระผู้สร้าง เพราะ “พระองค์มิได้ทรงอยู่ห่างไกลจากพวกเราแต่ละคน.” (กิจการ 17:27, ล.ม.) คุณเห็นได้ว่าเปาโลเสนอความจริงอย่างผ่อนหนักผ่อนเบาที่ว่าเราสามารถเห็นหลักฐานว่ามีพระผู้สร้างสิ่งต่าง ๆ โดยสังเกตสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง. โดยการทำอย่างนั้น เราสามารถมองเห็นคุณลักษณะบางประการของพระองค์อีกด้วย.เราได้พิจารณาหลักฐานหลายประการที่ชี้ว่ามีพระผู้สร้าง. หลักฐานหนึ่งคือเอกภพอันกว้างใหญ่ที่มีการจัดระเบียบด้วยสติปัญญาอันสูงส่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีจุดเริ่มต้น. หลักฐานอีกประการหนึ่งคือชีวิตบนแผ่นดินโลก รวมทั้งเซลล์ในร่างกายของเราซึ่งแสดงถึงการออกแบบ. และประการที่สามคือสมองของเรา พร้อมด้วยความสำนึกรู้จักตัวเองและความสนใจในอนาคต. แต่ขอให้เราพิจารณาอีกสองตัวอย่างอันเกี่ยวกับฝีพระหัตถ์ของพระผู้สร้างซึ่งส่งผลกระทบพวกเราในแต่ละวัน. ขณะที่พิจารณา ให้ถามตัวคุณเองว่า ‘สิ่งนี้แสดงให้ฉันเห็นอย่างไรเกี่ยวกับบุคลิกภาพของผู้ออกแบบและจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้?’
เรียนรู้จากฝีพระหัตถ์ของพระองค์
เพียงแต่สังเกตสิ่งทรงสร้างก็บอกเราได้มากเกี่ยวกับพระผู้สร้าง. ในอีกโอกาสหนึ่ง เปาโลกล่าวถึงตัวอย่างหนึ่งในเรื่องนี้เมื่อท่านบอกฝูงชนในเอเชียน้อยว่า “ในกาลก่อนพระองค์ [พระผู้สร้าง] ได้ทรงยอมให้ชาวประเทศทั้งปวงประพฤติตามชอบใจของตน แต่พระองค์ไม่ได้ขาดพยาน, คือพระองค์ได้ทรงกระทำคุณให้ฝนตกและให้มีฤดูเกิดผล, ท่านทั้งหลายจึงอิ่มใจยินดีด้วยอาหารนั้น.” (กิจการ 14:16, 17) โปรดสังเกตตัวอย่างที่เปาโลยกขึ้นมาเกี่ยวกับวิธีที่พระผู้สร้างได้ให้คำพยานถึงบุคลิกภาพของพระองค์โดยการจัดอาหารให้มนุษยชาติ.
สมัยนี้ในบางประเทศ ผู้คนอาจถือว่าการมีอาหารเป็นเรื่องธรรมดา. แต่ในที่อื่น ๆ หลายคนต้องดิ้นรนหาอาหารให้พอกิน. ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม การมีอาหารใด ๆ ที่บำรุงร่างกายล้วนขึ้นอยู่กับสติปัญญาและความดีของพระผู้สร้างของเรา.
อาหารสำหรับทั้งมนุษย์และสัตว์เป็นผลมาจากวัฏจักรต่าง ๆ อันซับซ้อน—รวมถึงวัฏจักรของน้ำ, วัฏจักรของคาร์บอน, วัฏจักรของฟอสฟอรัส, และวัฏจักรของไนโตรเจน. เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ในกระบวนการสังเคราะห์แสงที่มีความสำคัญยิ่งต่อชีวิต พืชใช้คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตน้ำตาล โดยใช้แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงาน. อนึ่ง ระหว่างการสังเคราะห์แสงพืชปล่อยออกซิเจนออกมา. ก๊าซนี้ถูกเรียกว่า “ของเสีย” ได้ไหม? สำหรับพวกเรา ผลพลอยได้นี้ไม่ใช่ของเสียแน่ ๆ. เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปและใช้ในการเปลี่ยนแปลงหรือเผาผลาญอาหารในร่างกายของเรา. เราปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นผลิตผลออกมา ซึ่งพืชนำกลับมาใช้ใหม่เป็นวัตถุดิบสำหรับการสังเคราะห์แสง. เราอาจได้เรียนเกี่ยวกับกระบวนการนี้ในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์เบื้องต้น แต่นี่ไม่ได้ทำให้กระบวนการนี้ด้อยความสำคัญและน่าพิศวงน้อยลงเลย. และนี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น.
ในเซลล์ในร่างกายของเราและของสัตว์ ฟอสฟอรัสเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อนำส่งพลังงาน. เราได้ฟอสฟอรัสมาจากไหน? นี่ก็มาจากพืชเช่นกัน. พืชดูดซึมฟอสเฟตแบบอนินทรีย์จากดินและเปลี่ยนเป็นฟอสเฟตแบบอินทรีย์. เราบริโภคพืชที่มีฟอสฟอรัสเข้าไปในรูปของอินทรีย์และใช้ในกิจกรรมที่จำเป็นต่อชีวิต. หลังจากนั้น ฟอสฟอรัสก็กลับสู่ดินในรูป “ของเสีย” จากร่างกายซึ่งพืชสามารถดูดซึมเข้าไปได้อีก.
นอกจากนี้ เราจำต้องมีไนโตรเจน ซึ่งเป็นส่วนของโมเลกุลโปรตีนและดีเอ็นเอทุกตัวในร่างกายของเรา. เราได้รับธาตุนี้ที่สำคัญมากต่อชีวิตจากที่ไหน? ถึงแม้ว่าประมาณ 78 เปอร์เซ็นต์ของอากาศรอบตัวเราเป็นไนโตรเจน แต่ทั้งพืชและสัตว์ก็ไม่สามารถดูดซึมมันโดยตรงได้. ดังนั้น ไนโตรเจนในอากาศจะต้องถูกเปลี่ยนรูปก่อนที่พืชจะสามารถดูดซึมได้แล้วมนุษย์และสัตว์ถึงจะใช้ประโยชน์ได้. การเปลี่ยนไนโตรเจนในอากาศให้เป็นไนเตรตนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ในหลาย ๆ วิธีด้วยกัน. วิธีหนึ่งคือโดยฟ้าแลบฟ้าผ่า.a การเปลี่ยนไนโตรเจนเกิดขึ้นโดยแบคทีเรียที่อาศัยในปมของรากพืชตระกูลถั่วด้วย เช่นถั่วลันเตา, ถั่วเหลือง, และแอลแฟลฟา. แบคทีเรียเหล่านี้เปลี่ยนไนโตรเจนในอากาศเป็นสารที่พืชใช้ประโยชน์ได้. ในวิธีนี้ เมื่อคุณรับประทานผักใบเขียว คุณก็รับประทานไนโตรเจนเข้าไป ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายของคุณต้องมีเพื่อผลิตโปรตีน. น่าทึ่ง เราพบพืชตระกูลถั่วในป่าดิบชื้น, ในทะเลทราย, และแม้แต่ในเขตทุนดรา. และถ้าบริเวณหนึ่งถูกไฟไหม้ไป ปกติแล้วพืชตระกูลถั่วจะเป็นพืชชนิดแรกที่งอกขึ้นใหม่.
กระบวนการรีไซเคิลเหล่านี้น่าทึ่งจริง ๆ! แต่ละวัฏจักรใช้ประโยชน์จากของเสียจากวัฏจักรอื่น ๆ. พลังงานที่ต้องการก็มาจากดวงอาทิตย์เสียส่วนใหญ่—ซึ่งเป็นแหล่งที่สะอาด, ไม่มีวันหมด, และสม่ำเสมอ. ช่างแตกต่างเสียจริงกับความพยายามของมนุษย์ที่จะนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่! แม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นที่เรียกว่าไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอาจไม่ได้ช่วยให้มีดาวเคราะห์ที่สะอาดขึ้นเนื่องจากความซับซ้อนของระบบรีไซเคิลของมนุษย์. ในเรื่องนี้ยู.เอส. นิวส์ แอนด์ เวิลด์ รีพอร์ต ชี้ว่า ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ควรจะถูกออกแบบให้ส่วนประกอบที่มีคุณค่าสูงสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ง่าย ๆ. นั่นเป็นสิ่งที่เราเห็นในวัฏจักรของธรรมชาติมิใช่หรือ? ดังนั้น นี่เผยอะไรเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และสติปัญญาของพระผู้สร้าง?
ยุติธรรมและไม่ลำเอียง
เพื่อช่วยเราให้เข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับคุณลักษณะบางอย่างของพระผู้สร้าง ขอให้เราพิจารณาอีกระบบหนึ่ง—ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา. ระบบนี้เกี่ยวข้องกับแบคทีเรียด้วย.
สารานุกรมบริแทนนิกาฉบับใหม่ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “แม้ว่าความสนใจของมนุษย์ในแบคทีเรียมักจะเพ่งเล็งในเรื่องผลเสียของมัน แต่แบคทีเรียส่วนใหญ่ไม่มีพิษภัยใด ๆ ต่อมนุษย์ และที่แท้หลายชนิดเป็นประโยชน์.” อันที่จริง มันมีความสำคัญถึงความเป็นความตายทีเดียว. แบคทีเรียมีบทบาทสำคัญในวัฏจักรไนโตรเจนดังที่เพิ่งกล่าวไป เช่นเดียวกับวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนไดออกไซด์และธาตุบางอย่าง. และเราต้องการแบคทีเรียในระบบย่อยอาหารของเราด้วย. เรามีแบคทีเรียประมาณ 400 ชนิดเฉพาะในระบบลำไส้ใหญ่ และมันช่วยสังเคราะห์วิตามิน เค และช่วยในกระบวนการขับถ่ายของเสีย. นอกจากนั้น แบคทีเรียเป็นประโยชน์ต่อเราโดยช่วยโคย่อยหญ้าเพื่อผลิตนม. แบคทีเรียชนิดอื่น ๆ สำคัญในการหมัก—ในการทำเนยแข็ง, นมเปรี้ยว, ผักดอง, เซาเวอร์เคราท์, และกิมจิ. กระนั้น ถ้าหากว่าแบคทีเรียเข้าไปในที่ที่ไม่ควรไปอยู่ในร่างกายของเราล่ะ?
เมื่อนั้นเซลล์เม็ดเลือดขาวสองล้านล้านเซลล์ในร่างกายจะต่อสู้กับแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตรายต่อเรา. แดเนียล อี. คอชแลนด์ จูเนียร์ บรรณาธิการวารสารไซเยนซ์ อธิบายว่า “ระบบภูมิคุ้มกันถูกออกแบบเพื่อให้ตรวจจับผู้บุกรุกที่แปลกปลอม. มันทำอย่างนี้โดยสร้างหน่วยรับทางระบบภูมิคุ้มกันชนิดต่าง ๆ กัน 1011 [100,000,000,000] ชนิดเพื่อที่ไม่ว่าผู้บุกรุกที่แปลกปลอมจะมีรูปแบบอย่างไรก็จะมีหน่วยรับอยู่พร้อมจะช่วยกันตรวจจับและทำลายเสีย.”
เซลล์ชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราใช้เพื่อสู้กับผู้บุกรุกที่แปลกปลอมคือมาโครเฟจ ชื่อของมันหมายความว่า “ตัวกินจุ” ซึ่งเหมาะสมเพราะว่ามันกลืนกินสารแปลกปลอมในเลือดของเรา. ยกตัวอย่าง หลังจากกินไวรัสที่บุกรุกแล้ว มาโครเฟจทำให้ไวรัสแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย. แล้วมันก็จะแสดงโปรตีนบางตัวจากไวรัสนั้น. ชิ้นส่วนโปรตีนทำหน้าที่เป็นธงสัญญาณเตือนระบบภูมิคุ้มกัน ส่งเสียงเตือนว่ามีสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมอยู่ในร่างกายเรา. ถ้าเซลล์อีกเซลล์หนึ่งในระบบภูมิคุ้มกัน คือทีเซลล์ผู้ช่วย รับรู้ว่ามีโปรตีนของไวรัส มันก็จะแลกเปลี่ยนสัญญาณเคมีกับมาโครเฟจ. สารเคมีเหล่านี้ในตัวมันเองเป็นโปรตีนพิเศษที่มีหน้าที่ซับซ้อนหลายอย่าง กำหนดและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ตอบสนองต่อการบุกรุก. กระบวนการนี้ยังผลให้มีการต่อสู้กันอย่างหนักกับไวรัสนั้นโดยเฉพาะ. โดยวิธีนี้ ตามปกติแล้วเราจึงเอาชนะการติดเชื้อได้.
ที่จริง มีอีกมากที่เกี่ยวข้อง แต่แม้แต่การอธิบายสั้น ๆ นี้ก็เผยให้เห็นความซับซ้อนของระบบภูมิคุ้มกันของเรา. เราได้กลไกอันสลับซับซ้อนนี้มาจากไหน? เราได้มาฟรี ๆ ไม่ว่าสถานะทางเศรษฐกิจหรือทางสังคมของครอบครัวเราจะเป็นอย่างไร. ลองเทียบเรื่องนี้กับความไม่ยุติธรรมในเรื่องการรักษาพยาบาลที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับ. ดร. ฮิโรชิ นากาจิมา ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกเขียนว่า “สำหรับองค์การอนามัยโลก การเพิ่มขึ้นของความไม่ยุติธรรมในการรักษาพยาบาลเป็นเรื่องความเป็นความตายจริง ๆ เนื่องจากคนจนไม่ได้รับการรักษาเพราะความเหลื่อมล้ำทางสังคม.” คุณสามารถเข้าใจได้เมื่อชาวสลัมผู้หนึ่งในเมืองเซาเปาลูโอดครวญว่า “สำหรับพวกเรา การรักษาพยาบาลที่ดีเป็นเหมือนกับสิ่งของที่อยู่ในตู้โชว์ในห้างสรรพสินค้าอันหรูหรา. เราได้แต่ดู แต่ไม่มีปัญญาซื้อ.” ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกรู้สึกอย่างเดียวกัน.
ความไม่เท่าเทียมกันดังกล่าวกระตุ้นอัลเบิร์ต ชไวต์เซอร์ให้ไปยังแอฟริกาเพื่อรักษาโรคให้คนจน และความพยายามของเขาทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล. คุณคิดว่าชายหญิงที่ทำความดีคล้าย ๆ กันนี้มีคุณลักษณะอะไร? คุณคงจะมองออกว่าพวกเขามีความรักต่อมนุษยชาติและมีความสำนึกในความยุติธรรม ตระหนักว่าผู้คนในประเทศกำลังพัฒนาก็สมควรได้รับการรักษาพยาบาลเช่นกัน. แล้วจะว่าอย่างไรกับผู้จัดเตรียมระบบภูมิคุ้มกันอันมหัศจรรย์ที่อยู่ในตัวเราไม่ว่าฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมจะเป็นอย่างไร? นั่นยิ่งแสดงให้เห็นอย่างโดดเด่นมิใช่หรือว่าพระผู้สร้างมีความสำนึกในความรัก, ความไม่ลำเอียง, และความยุติธรรม?
มารู้จักพระผู้สร้าง
ระบบต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างพื้นฐานของฝีพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง แต่สิ่งเหล่านั้นเผยให้เห็นมิใช่หรือว่าพระองค์เป็นบุคคลจริง ๆ และมีเชาวน์ปัญญาซึ่งคุณลักษณะและวิธีที่พระองค์ทรงกระทำสิ่งต่าง ๆ นั้นดึงดูดเราให้เข้าหาพระองค์? เราอาจพิจารณาได้อีกหลายตัวอย่าง. อย่างไรก็ตาม เราอาจพบในชีวิตประจำวันว่า เพียงแต่สังเกตผลงานของคนใดคนหนึ่งอาจไม่พอที่เราจะรู้จักเขาอย่างดี. เราอาจถึงกับเข้าใจเขาผิดไปได้ถ้าเราไม่รู้จักเขาดีพอ! และถ้าคนนั้นถูกใส่ความหรือใส่ร้ายล่ะ เราจะเข้าไปพบเขาและฟังความข้างเขาด้วยไม่ดีหรือ? เราอาจสนทนากับเขาเพื่อจะรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ กันและเขาแสดงคุณลักษณะอะไร.
แน่นอน เราไม่สามารถพบพระผู้สร้างเอกภพองค์ยิ่งใหญ่แบบตัวต่อตัวได้. กระนั้น พระองค์ทรงเปิดเผยมากมายเกี่ยวกับพระองค์เองว่าทรงเป็นบุคคลจริง ๆ ในหนังสือที่มีอยู่กว่า 2,000 ภาษา ทั้งในบางส่วนหรือทั้งเล่ม รวมทั้งในภาษาของคุณด้วย. หนังสือเล่มนั้น—คือคัมภีร์ไบเบิล—เชิญชวนคุณให้มารู้จักและสร้างสายสัมพันธ์กับพระผู้สร้าง หนังสือเล่มนั้นบอกว่า “จงเข้าใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงเข้าใกล้ท่านทั้งหลาย.” หนังสือเล่มนี้ยังบอกว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นมิตรของพระองค์. (ยาโกโบ 2:23; 4:8, ล.ม.) คุณสนใจไหม?
เพื่อจะทำอย่างนั้นได้ เราขอเชิญคุณพิจารณาบันทึกเรื่องจริงที่น่าตื่นเต้นของพระผู้สร้างเกี่ยวกับกิจกรรมแห่งการทรงสร้างของพระองค์.
[เชิงอรรถ]
a ฟ้าแลบฟ้าผ่าเปลี่ยนไนโตรเจนจำนวนหนึ่งให้เป็นแบบที่ดูดซึมได้ ซึ่งตกลงสู่ดินพร้อมกับสายฝน. พืชใช้ไนโตรเจนนี้เป็นปุ๋ยธรรมชาติ. หลังจากมนุษย์และสัตว์บริโภคพืชและใช้ไนโตรเจนนี้แล้ว มันจะกลับลงสู่ดินเป็นสารประกอบแอมโมเนียและมีจำนวนหนึ่งเปลี่ยนกลับไปเป็นก๊าซไนโตรเจนในที่สุด.
[กรอบหน้า 79]
ข้อสรุปที่สมเหตุผล
มีการเห็นพ้องกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่าเอกภพมีจุดเริ่มต้น. ส่วนใหญ่เห็นด้วยเช่นกันว่าก่อนจุดเริ่มต้นนั้น บางสิ่งต้องมีอยู่ก่อนแล้ว. นักวิทยาศาสตร์บางคนพูดถึงพลังงานที่มีมาตลอด. คนอื่นอ้างว่ามีความยุ่งเหยิงสับสนอยู่ในสภาวะแรกเริ่ม. ไม่ว่าจะใช้คำอะไร ส่วนใหญ่คาดว่ามีบางสิ่งดำรงอยู่—บางสิ่งที่ไม่มีจุดเริ่มต้น—ซึ่งอยู่มานมนานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.
ดังนั้น ประเด็นอยู่ที่ว่าเราคาดว่ามีสิ่ง ที่อยู่ชั่วนิรันดร์หรือว่ามีบุคคล ที่อยู่ชั่วนิรันดร์. หลังจากพิจารณาสิ่งที่วิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและลักษณะของเอกภพและชีวิตในเอกภพนี้แล้ว ตัวเลือกข้อไหนที่คุณคิดว่าสมเหตุผลที่สุด?
[กรอบหน้า 80]
“ธาตุต่าง ๆ แต่ละชนิดที่จำเป็นต่อชีวิต—คาร์บอน, ไนโตรเจน, ซัลเฟอร์—ถูกแบคทีเรียเปลี่ยนรูปจากสารประกอบแบบก๊าซและอนินทรีย์เป็นแบบที่พืชและสัตว์สามารถใช้ประโยชน์ได้.”—สารานุกรมบริแทนนิกาฉบับใหม่.
[แผนพัง/รูปภาพหน้า 78]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
อะไรคือข้อสรุปของคุณ?
เอกภพของเรา
↓ ↓
ไม่มี จุดเริ่มต้น
มีจุดเริ่มต้น มีจุดเริ่มต้น
↓ ↓
ปราศจากเหตุที่ทำให้เกิด มีเหตุที่ทำให้เกิด
↓ ↓
โดยสิ่งที่อยู่ โดยบุคคลที่อยู่
ชั่วนิรันดร์ ชั่วนิรันดร์
[รูปภาพหน้า 75]
ชาวตะวันออกหลายคนเชื่อว่าธรรมชาติเกิดขึ้นเอง
[รูปภาพหน้า 76]
เปาโลให้คำบรรยายที่ชวนให้คิดเกี่ยวกับพระเจ้าขณะที่ยืนอยู่บนเขาลูกนี้ โดยมีอะโครโพลิสเป็นฉากหลัง
[รูปภาพหน้า 83]
พระเจ้าทรงประทานระบบภูมิคุ้มกันให้เราแต่ละคน ซึ่งเป็นระบบที่เหนือกว่าการแพทย์สมัยใหม่ใด ๆ จะสามารถให้ได้