บทห้า
ความเชื่อของพวกเขาผ่านการทดสอบที่รุนแรง
1. หลายคนรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการมอบความเลื่อมใสต่อพระเจ้าและบ้านเกิดเมืองนอนของเขา?
คุณควรมอบความเลื่อมใสแด่พระเจ้าหรือว่าประเทศที่คุณอาศัยอยู่? หลายคนคงตอบว่า ‘ผมให้ความนับถือทั้งสอง อย่าง. ผมนมัสการพระเจ้าตามคำสั่งของศาสนาผม และในเวลาเดียวกันผมก็ปฏิญาณตัวว่าจะจงรักภักดีต่อบ้านเกิดเมืองนอนของผม.’
2. กษัตริย์แห่งบาบูโลนเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งทั้งในทางศาสนาและการเมืองอย่างไร?
2 ในสมัยนี้ เส้นแบ่งระหว่างความเลื่อมใสในศาสนาและการแสดงความรักชาติอาจดูเหมือนไม่ค่อยชัดเจน แต่ในบาบูโลนโบราณแทบจะไม่มีเส้นแบ่งนี้เลย. ที่จริง การเมืองและศาสนาเกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออกในบางครั้ง. ศาสตราจารย์ชาลส์ เอฟ. พไฟเฟอร์ เขียนว่า “ในบาบูโลนโบราณ กษัตริย์เป็นทั้งปุโรหิตสูงสุดและผู้ปกครองเมือง. กษัตริย์ทำการถวายเครื่องบูชาและตัดสินชีวิตทางศาสนาของประชาชน.”
3. อะไรแสดงว่านะบูคัดเนซัรเป็นคนที่เคร่งศาสนามาก?
3 ขอพิจารณากษัตริย์นะบูคัดเนซัร. ชื่อของท่านหมายความว่า “โอ เนโบ ขอพิทักษ์รัชทายาท!” เนโบเป็นเทพเจ้าแห่งวิชาความรู้และการเกษตรของบาบูโลน. นะบูคัดเนซัรเป็นคนที่เคร่งศาสนามาก. ดังที่ได้ให้ข้อสังเกตก่อนหน้านี้ ท่านสร้างและตกแต่งวิหารเทพเจ้าของบาบูโลนหลายองค์ และเลื่อมใสมาร์ดุกเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ท่านให้เกียรติสำหรับชัยชนะทางการทหารของท่าน.a ดูเหมือนว่านะบูคัดเนซัรพึ่งการเสี่ยงทายอย่างมากเพื่อจะวางแผนการรบ.—ยะเอศเคล 21:18-23.
4. จงพรรณนาบรรยากาศทางศาสนาของบาบูโลน.
4 บรรยากาศทางศาสนาแพร่ไปทั่วบาบูโลนอย่างแท้จริง. เมืองนี้มีวิหารมากกว่า 50 หลัง ซึ่งมีการนมัสการเทพเจ้าและเทพธิดามากมาย รวมทั้งตรีเอกานุภาพที่มีอะนู (เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า), เอนลิล (เทพเจ้าแห่งแผ่นดิน, อากาศ, และพายุ), และเอีย (เทพเจ้าเหนือน่านน้ำ). ตรีเอกานุภาพอีกกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยซิน (จันทราเทพ), ชามาช (สุริยเทพ), และอิชทาร์ (เทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์). เวทมนตร์, ไสยศาสตร์, และโหราศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการนมัสการแบบบาบูโลน.
5. สภาพแวดล้อมทางศาสนาของบาบูโลนก่อให้เกิดข้อท้าทายอะไรแก่ชาวยิวที่ถูกเนรเทศ?
5 การอยู่ท่ามกลางผู้คนซึ่งนับถือเทพเจ้าหลายองค์เป็นข้อท้าทายที่น่าเกรงขามสำหรับเชลยชาวยิว. หลายศตวรรษก่อนหน้านั้น โมเซได้เตือนชาวยิศราเอลว่าจะมีผลเสียร้ายแรงถ้าพวกเขาจงใจกบฏต่อผู้ประทานกฎหมายองค์ยิ่งใหญ่. โมเซบอกพวกเขาว่า “พระยะโฮวาจะทรงพาเจ้าทั้งหลายและกษัตริย์ที่เจ้าเลือกตั้งให้ครอบครองเจ้าทั้งหลายนั้น, ไปยังประเทศอื่นซึ่งเจ้า, หรือปู่ย่าตายายของเจ้ามิได้รู้จัก, และที่นั่นเจ้าทั้งหลายจะปฏิบัติพระอื่น ๆ, ซึ่งทำด้วยไม้และหิน.”—พระบัญญัติ 28:15, 36.
6. ทำไมการอยู่ในบาบูโลนเป็นข้อท้าทายเป็นพิเศษสำหรับดานิเอล, ฮะนันยา, มิซาเอล, และอะซาระยา?
6 ตอนนี้ชาวยิวพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพอันยากลำบากแบบนั้นเลยทีเดียว. การรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระยะโฮวาจะเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะสำหรับดานิเอล, ฮะนันยา, มิซาเอล, และอะซาระยา. คนหนุ่มชาวฮีบรูสี่คนนี้ถูกเลือกไว้เฉพาะให้รับการฝึกอบรมเพื่อรับราชการ. (ดานิเอล 1:3-5) จำไว้ว่าพวกเขาถึงกับได้รับชื่อแบบบาบูโลน นั่นคือเบละตะซาซัร, ซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโค เพื่อเป็นอิทธิพลชักจูงพวกเขาให้คล้อยตามสภาพแวดล้อมใหม่ของตน.b ตำแหน่งที่เด่นของคนเหล่านี้ทำให้พวกเขาถูกจับตามองถ้ามีการปฏิเสธใด ๆ ที่จะเข้าส่วนร่วมในการนมัสการเทพเจ้าแห่งประเทศนี้—อาจถึงกับเป็นการกบฏ.
รูปทองคำก่อภัยคุกคาม
7. (ก) จงพรรณนารูปที่นะบูคัดเนซัรได้ตั้งขึ้น. (ข) วัตถุประสงค์ที่มีการตั้งรูปนั้นคืออะไร?
7 ดูเหมือนว่านะบูคัดเนซัรพยายามจะเสริมความเป็นเอกภาพในจักรวรรดิ จึงได้ตั้งรูปทองคำบนที่ราบดูรา. รูปนั้นสูง 60 ศอก (27 เมตร) และกว้าง 6 ศอก (2.7 เมตร).c บางคนเชื่อว่ารูปนั้นเป็นเพียงเสาตรง ๆ หรือเสายอดแหลม. รูปนี้อาจมีฐานสูงมากซึ่งมีรูปจำลองของมนุษย์รูปใหญ่ตั้งอยู่ อาจเป็นรูปนะบูคัดเนซัรเองหรือรูปของเทพเจ้าเนโบ. ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน อนุสาวรีย์ใหญ่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจักรวรรดิบาบูโลน. ด้วยเหตุนี้ รูปนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มองเห็นและแสดงความเคารพ.—ดานิเอล 3:1.
8. (ก) ใครถูกเรียกให้มาร่วมในการทำพิธีเฉลิมฉลองรูปนั้น และทุกคนที่อยู่ที่นั่นถูกเรียกร้องให้ทำอะไร? (ข) อะไรเป็นโทษของการไม่ยอมก้มกราบตรงหน้ารูปนั้น?
8 ดังนั้น นะบูคัดเนซัรจัดพิธีเฉลิมฉลองขึ้น. ท่านเรียกอุปราช, ขุนนาง, ผู้ว่าราชการ, ที่ปรึกษา, เจ้าพนักงานการคลัง, ผู้พิพากษา, ตุลาการส่วนท้องถิ่น, และนักปกครองทุกคนในเขตต่าง ๆ มาชุมนุมกัน. ผู้ประกาศร้องว่า “ดูกรประชาชนทั้งหลายทุกชาติทุกภาษา, บัดนี้มีบัญชาสั่งมายังท่านทั้งหลายว่า, ในเมื่อท่านทั้งหลายได้ยินเสียงแตร, ขลุ่ย, พิณ, ซอสามสาย, ซอสิบสามสาย, และปี่กับเสียงเครื่องดนตรีอื่นอีกนานาประโคมขึ้น, ท่านทั้งหลายจงกราบนมัสการรูปเคารพทองคำซึ่งราชานะบูคัศเนซัรได้ตั้งไว้. ถ้าผู้ใดมิได้กราบลงนมัสการรูปนั้น, ในโมงนั้นเองผู้นั้นจะต้องถูกจับตัวโยนทิ้งลงในท่ามกลางเตาติดไฟลุกโพลงอยู่.”—ดานิเอล 3:2-6.
9. ดูเหมือนว่าการก้มกราบตรงหน้ารูปที่นะบูคัดเนซัรได้ตั้งไว้หมายถึงอะไร?
9 บางคนเชื่อว่านะบูคัดเนซัรจัดพิธีนี้ขึ้นด้วยความพยายามที่จะบังคับชาวยิวให้อะลุ่มอล่วยเรื่องการนมัสการพระยะโฮวา. แต่ไม่น่าเป็นเช่นนั้น เพราะเห็นได้ว่าเฉพาะข้าราชการเท่านั้นที่ถูกเรียกมาในเหตุการณ์นี้. ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวที่อยู่ที่นั่นก็คงมีแต่ผู้ที่มีหน้าที่ในการปกครองเท่านั้น. ดังนั้น ดูเหมือนว่าการกราบลงต่อหน้ารูปนั้นเป็นพิธีที่มีจุดประสงค์เพื่อเสริมความสามัคคีในหมู่ชนชั้นปกครอง. ผู้คงแก่เรียนชื่อจอห์น เอฟ. วอลโวร์ดให้ข้อสังเกตว่า “การแสดงออกเช่นนั้นของเจ้าหน้าที่ในแง่หนึ่งเป็นการสำแดงอำนาจแห่งจักรวรรดิของนะบูคัดเนซัรอันน่าพึงพอใจ และในอีกแง่หนึ่งเป็นเครื่องหมายถึงการยอมรับเทพเจ้าต่าง ๆ ซึ่งในทัศนะของพวกเขาแล้วเป็นผู้ช่วยให้พวกเขารบได้ชัยชนะ.”
ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาไม่ยอมอะลุ่มอล่วย
10. ทำไมคนที่ไม่ใช่ยิวจึงไม่มีปัญหากับการทำตามคำสั่งของนะบูคัดเนซัร?
10 ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเลื่อมใสเทพผู้พิทักษ์องค์ต่าง ๆ คนส่วนใหญ่ที่มาชุมนุมกันตรงหน้ารูปที่นะบูคัดเนซัรตั้งขึ้นคงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะนมัสการรูปนั้น. ผู้คงแก่เรียนคนหนึ่งอธิบายว่า “พวกเขาเคยชินกับการนมัสการรูปเคารพ และการนมัสการเทพเจ้าองค์หนึ่งก็ไม่ได้กีดกั้นไม่ให้แสดงความเคารพเทพเจ้าองค์อื่น.” เขากล่าวต่อไปว่า “นับว่าสอดคล้องกับทัศนะที่มีอยู่ทั่วไปของพวกที่บูชารูปเคารพที่ว่ามีพระเจ้าหลายองค์ . . . และที่ว่าไม่เป็นการผิดหากจะแสดงความเคารพพระเจ้าของใครหรือของประเทศใดก็ตาม.”
11. ทำไมซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคจึงไม่ยอมก้มกราบตรงหน้ารูปนั้น?
11 อย่างไรก็ตาม สำหรับชาวยิวแล้วเป็นคนละเรื่อง. พวกเขาได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าของเขา คือพระยะโฮวาดังนี้: “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน, เป็นสัณฐานรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าอากาศเบื้องบน, หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง, หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน, อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น; ด้วยเราคือยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าเป็นผู้หวงแหน.” (เอ็กโซโด 20:4, 5) ดังนั้น เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลงและคนที่มาร่วมชุมนุมหมอบกราบตรงหน้ารูปนั้น คนหนุ่มชาวฮีบรูสามคน—ซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโค—ยังคงยืนอยู่.—ดานิเอล 3:7.
12. ชาวแคลเดียบางคนฟ้องชาวฮีบรูสามคนด้วยข้อหาอะไร และทำไม?
12 การที่เจ้าหน้าที่ชาวฮีบรูไม่ยอมนมัสการรูปนั้นทำให้ชาวแคลเดียบางคนโกรธมาก. พวกเขาจึงไปหากษัตริย์ทันทีและ “ทูลฟ้องพวกยูดาย.”d พวกเขาไม่สนใจฟังคำอธิบาย. พวกผู้ฟ้องต้องการให้ชาวฮีบรูถูกลงโทษเพราะการไม่เชื่อฟังและการกบฏ พวกเขาจึงกล่าวว่า “บัดนี้มีพวกยูดายบางคนซึ่งฝ่าพระบาทได้ทรงตั้งไว้ให้ว่าราชการในกรุงบาบูโลน, คือซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโค, ข้าแต่พระราชา, คนเหล่านี้หาได้เชื่อฟังฝ่าพระบาทไม่: เขาหาได้ปรนนิบัติพระทั้งหลายของฝ่าพระบาทไม่, และหาได้กราบไหว้รูปทองคำซึ่งฝ่าพระบาทได้ตั้งไว้นั้นไม่.”—ดานิเอล 3:8-12.
13, 14. นะบูคัดเนซัรมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อแนวทางของซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโค?
13 นะบูคัดเนซัรคงต้องรู้สึกข้องขัดใจมากสักเพียงไรที่ชาวฮีบรูทั้งสามไม่เชื่อฟังคำสั่ง! เป็นที่ชัดแจ้งว่า ท่านไม่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคให้เป็นผู้สนับสนุนที่ภักดีต่อจักรวรรดิบาบูโลน. ท่านสอนพวกเขาในวิชาความรู้ของชาวแคลเดียมิใช่หรือ? ท่านถึงกับเปลี่ยนชื่อพวกเขาด้วย! แต่ถ้านะบูคัดเนซัรคิดว่าการศึกษาขนานใหญ่จะสอนการนมัสการแบบใหม่ให้พวกเขาหรือการเปลี่ยนชื่อพวกเขาจะเปลี่ยนพวกเขา ท่านก็เข้าใจผิดถนัด. ซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคยังคงเป็นผู้รับใช้ที่ภักดีของพระยะโฮวา.
14 กษัตริย์นะบูคัดเนซัรเดือดดาล. ท่านเรียกซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคมาทันที. ท่านถามว่า “ดูก่อนซัดรัค เมเซ็ค และอะเบ็ดนะโค, จริงหรือ, ว่าเจ้าทั้งหลายไม่ได้ปรนนิบัติพระของเรา, และไม่ได้กราบลงนมัสการรูปทองคำซึ่งเราได้ตั้งไว้?” ไม่ต้องสงสัย นะบูคัดเนซัรกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ. ถึงอย่างไร ท่านก็คงอดคิดไม่ได้ว่า ‘ชายสามคนที่มีจิตปกติจะเพิกเฉยต่อคำสั่งที่ชัดเจนอย่างนี้ได้อย่างไร—และเป็นคำสั่งซึ่งถ้าขัดขืนแล้วจะมีโทษหนักมาก?’—ดานิเอล 3:13, 14.
15, 16. นะบูคัดเนซัรให้โอกาสอะไรแก่ชาวฮีบรูทั้งสาม?
15 นะบูคัดเนซัรประสงค์จะให้โอกาสคนหนุ่มชาวฮีบรูทั้งสามอีกครั้ง. ท่านกล่าวว่า “เอาเถอะ, ถ้าเจ้าทั้งหลายปลงใจพร้อมแล้ว, พอเจ้าได้ยินเสียงแตร, ขลุ่ย, พิณ, ซอสามสาย, ซอสิบสามสาย, ปี่และเสียงเครื่องดนตรีอื่นอีกนานาประโคมขึ้น, เจ้าก็จงกราบลงนมัสการรูปนั้นซึ่งเราได้ตั้งไว้, เอ้า, เอาเถอะ, ดีแล้ว; แต่ถ้าเจ้าจะไม่กราบลง, ในทันใดนั้นพวกเจ้าจะถูกจับตัวโยนทิ้งลงในเตาติดไฟลุกโพลง; แล้วพระเจ้าองค์ไหนจะมาช่วยเจ้าให้พ้นจากหัตถ์ของเราได้?”—ดานิเอล 3:15.
16 เห็นได้ชัดว่า บทเรียนเรื่องรูปปั้นในความฝัน (ซึ่งบันทึกในพระธรรมดานิเอลบท 2) ไม่ได้ประทับอยู่ในจิตใจและหัวใจของนะบูคัดเนซัรนานนัก. บางทีท่านอาจลืมคำพูดที่ตนเคยกล่าวต่อดานิเอลไปแล้วที่ว่า “พระเจ้าของท่านเป็นพระของพระทั้งปวงอย่างแม่นมั่น, และเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของกษัตริย์ทั้งหลาย.” (ดานิเอล 2:47) ตอนนี้ดูเหมือนนะบูคัดเนซัรกำลังท้าทายพระยะโฮวา โดยกล่าวว่าแม้แต่พระองค์ก็ไม่สามารถช่วยชาวฮีบรูเหล่านี้ให้พ้นจากการลงโทษที่พวกเขาจะเผชิญได้.
17. ซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคตอบข้อเสนอของกษัตริย์อย่างไร?
17 ซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญเรื่องราวอีกครั้ง. พวกเขาตอบไปทันทีว่า “โอ้ นะบูคัดเนซัร พวกข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องทูลฝ่าพระบาทในเรื่องนี้สักคำเดียว. ถ้าต้องเป็นอย่างนั้น พระเจ้าของพวกข้าพเจ้าซึ่งพวกข้าพเจ้ารับใช้อยู่นั้นทรงสามารถช่วยพวกข้าพเจ้า. ข้าแต่ราชา พระองค์จะทรงช่วยพวกข้าพเจ้ารอดจากเตาไฟและจากเงื้อมพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท. ถ้าไม่ ขอฝ่าพระบาททรงทราบ ข้าแต่ราชา พระเจ้าของฝ่าพระบาทหาใช่พระเจ้าที่พวกข้าพเจ้ารับใช้ไม่ และรูปเคารพทองคำซึ่งฝ่าพระบาทได้ทรงตั้งไว้นั้น พวกข้าพเจ้าจะไม่นมัสการ.”—ดานิเอล 3:16-18, ล.ม.
ลงไปในเตาไฟ!
18, 19. เกิดอะไรขึ้นเมื่อชาวฮีบรูสามคนถูกโยนลงในเตาไฟ?
18 นะบูคัดเนซัรซึ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟสั่งให้คนรับใช้ของท่านเพิ่มความร้อนในเตาให้แรงกว่าปกติอีกเจ็ดเท่า. แล้วท่านสั่งให้ “ชายฉกรรจ์ที่มีกำลังล่ำสัน” มัดซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคและโยนพวกเขาลงไปใน “เตาไฟ.” พวกเขาทำตามคำสั่งของกษัตริย์ โยนชาวฮีบรูสามคนลงไปในเตาไฟทั้งที่ยังถูกมัดและสวมเสื้อผ้าอยู่—บางทีเพื่อให้พวกเขาไหม้เร็วขึ้น. อย่างไรก็ตาม กลับเป็นคนรับใช้ของนะบูคัดเนซัรเองที่ถูกเผาตายเพราะเปลวไฟ.—ดานิเอล 3:19-22.
19 แต่กำลังมีบางสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโค. แม้พวกเขาอยู่ในเตาไฟ เปลวไฟก็ไม่ได้เผาไหม้พวกเขา. ลองคิดดูว่านะบูคัดเนซัรจะตกตะลึงสักแค่ไหน! พวกเขาถูกโยนลงในไฟที่ลุกโพลงอยู่ ถูกมัดอย่างแน่นหนา แต่พวกเขายังมีชีวิตอยู่. พวกเขายังเดินอยู่ในเปลวไฟได้อย่างสบาย! แต่นะบูคัดเนซัรสังเกตบางสิ่งอีก. ท่านถามมหาดเล็กว่า “เราได้ทิ้งสามคนมัดไว้ลงไปในกลางเตาไฟมิใช่หรือ?” พวกเขาทูลตอบว่า “จริงอยู่พ่ะจ้ะค่ะ.” นะบูคัดเนซัรร้องว่า “ดูแน่ะ, เราเห็นสี่คนหลุดออกจากมัดกำลังเดินอยู่ในท่ามกลางเตาไฟนั้นและเขาไม่ไหม้มอดเลย; รูปโฉมของคนที่สี่นั้นดูละม้ายคล้ายคลึงกับองค์เทพบุตร.”—ดานิเอล 3:23-25.
20, 21. (ก) นะบูคัดเนซัรสังเกตว่าซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคเป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาออกมาจากเตา? (ข) นะบูคัดเนซัรจำต้องยอมรับในเรื่องใด?
20 นะบูคัดเนซัรเข้าไปใกล้ประตูเตาไฟนั้น ร้องเรียกว่า “ซัดรัค, เมเซ็คและอะเบ็ดนะโค, ท่านผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้สูงสุด, จงออกมาที่นี่เถิด.” ชาวฮีบรูสามคนเดินออกมาจากเตาไฟ. ไม่ต้องสงสัยว่าประจักษ์พยานที่เห็นการอัศจรรย์นี้ ซึ่งได้แก่อุปราช, ขุนนาง, ผู้ว่าราชการ, และเจ้าหน้าที่ชั้นสูง ต่างก็ตะลึงงัน. คนหนุ่มชาวฮีบรูเหล่านี้เหมือนกับไม่ได้เข้าไปในเตาไฟเลย! กลิ่นไหม้ไม่ได้ติดตัวพวกเขา และแม้แต่เส้นผมสักเส้นก็ไม่ได้ไหม้ไป.—ดานิเอล 3:26, 27.
21 ตอนนี้กษัตริย์นะบูคัดเนซัรจำต้องยอมรับว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าสูงสุด. กษัตริย์ประกาศว่า “พระเจ้าของซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโค, จงจำเริญเถิด; พระองค์ได้ใช้ทูตของพระองค์ให้มาช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ที่ได้ไว้วางใจในพระองค์ให้รอดได้, และเขาได้ทำให้วาจาของกษัตริย์เหลวไป, โดยสู้ยอมพลีร่างของเขาเสียดีกว่าที่จะยอมปรนนิบัติหรือนมัสการพระใด ๆ, นอกจากพระเจ้าของตนเอง!” แล้วกษัตริย์เพิ่มคำเตือนที่เฉียบขาดดังนี้: “เหตุฉะนี้เราออกเป็นหมายประกาศว่า, ถ้าคนใด, ไม่ว่าชาติไหนภาษาใด, ขืนพูดมิดีมิร้ายต่อพระเจ้าของซัดรัค, เมเซ็คและอะเบ็ดนะโค, คนนั้นต้องถูกฟันเสียเป็นท่อน ๆ, และบ้านเรือนของเขาจะถูกทำเป็นที่ทิ้งมูลสัตว์, เพราะว่าไม่มีพระองค์ใดที่สามารถช่วยในเรื่องทำนองนี้ให้รอดได้.” ตอนนั้นเอง ชาวฮีบรูสามคนกลับมาเป็นคนโปรดปรานของกษัตริย์อีกและ “กษัตริย์ได้โปรดเลื่อนยศให้ซัดรัค, เมเซ็คและอะเบ็ดนะโคสูงขึ้นไปอีกไว้ในแว่นแคว้นบาบูโลน.”—ดานิเอล 3:28-30.
ความเชื่อและการทดสอบที่รุนแรงในสมัยนี้
22. ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในสมัยปัจจุบันเผชิญกับสภาพการณ์ที่คล้ายกับสภาพการณ์ของซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคอย่างไร?
22 ในสมัยนี้ ผู้นมัสการพระยะโฮวาเผชิญสภาพการณ์คล้ายกันกับที่ซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคประสบ. จริงอยู่ พลไพร่ของพระเจ้าอาจไม่ได้ถูกเนรเทศตามตัวอักษร. กระนั้น พระเยซูตรัสว่าผู้ติดตามพระองค์ “ไม่เป็นส่วนของโลก.” (โยฮัน 17:14, ล.ม.) พวกเขาเป็น “คนต่างชาติ” ในแง่ที่พวกเขาไม่รับเอาประเพณี, ทัศนะ, และกิจปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ของคนที่อยู่ล้อมรอบพวกเขา. ดังที่อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ คริสเตียนต้อง “เลิกถูกนวดปั้นตามระบบนี้.”—โรม 12:2, ล.ม.
23. ชาวฮีบรูสามคนแสดงความมั่นคงอย่างไร และคริสเตียนในสมัยนี้จะติดตามตัวอย่างของพวกเขาได้อย่างไร?
23 ชาวฮีบรูสามคนไม่ยอมถูกนวดปั้นตามระบบบาบูโลน. แม้แต่การสั่งสอนอย่างครบถ้วนในวิชาความรู้ของชาวแคลเดียก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาหันเหไป. จุดยืนของพวกเขาในเรื่องการนมัสการนั้นไม่อาจประนีประนอมได้ และความจงรักภักดีของเขามีให้แต่พระเจ้าเท่านั้น. คริสเตียนในสมัยนี้ต้องมั่นคงเช่นเดียวกัน. พวกเขาไม่จำเป็นต้องอายเพราะพวกเขาแตกต่างไปจากคนอื่น ๆ ในโลก. ที่จริง “โลกนี้กับความใคร่ของโลกกำลังผ่านพ้นไป.” (1 โยฮัน 2:17) ดังนั้น เป็นเรื่องโง่และไร้ประโยชน์ที่จะทำตามระบบนี้ที่กำลังจะจบสิ้นไป.
24. จุดยืนของคริสเตียนแท้เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับจุดยืนของชาวฮีบรูสามคน?
24 คริสเตียนต้องระวังการบูชารูปเคารพในทุกแบบ รวมทั้งในแบบที่แฝงเร้นด้วย.e (1 โยฮัน 5:21) ซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคยืนต่อหน้ารูปทองคำนั้นด้วยความนับถือและเชื่อฟัง แต่พวกเขาตระหนักว่าการก้มกราบตรงหน้ารูปนั้นไม่ได้เป็นแค่อากัปกิริยาที่แสดงความนับถือแบบธรรมดา. นั่นเป็นการนมัสการ และการเข้าส่วนในเรื่องนี้จะยั่วให้พระยะโฮวาพิโรธ. (พระบัญญัติ 5:8-10) จอห์น เอฟ. วอลโวร์ดเขียนว่า “ที่แท้มันเป็นเหมือนการทำความเคารพธง กระนั้นอาจมีความหมายทางศาสนาแฝงอยู่ด้วย เพราะว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างการปฏิบัติกิจทางศาสนาและการภักดีต่อชาติ.” สมัยนี้ คริสเตียนแท้ยืนหยัดมั่นคงอย่างเดียวกันต่อต้านการบูชารูปเคารพ.
25. คุณได้บทเรียนอะไรจากเรื่องชีวิตจริงของซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโค?
25 บันทึกของคัมภีร์ไบเบิลเรื่องซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคให้ตัวอย่างแก่ทุกคนที่ตั้งใจแน่วแน่จะถวายความเลื่อมใสโดยเฉพาะแด่พระยะโฮวา. เห็นได้ชัดว่า อัครสาวกเปาโลนึกถึงชาวฮีบรูสามคนนี้เมื่อท่านพูดถึงคนหลายคนที่แสดงความเชื่อ รวมทั้งคนที่ “ได้ดับไฟอันไหม้รุนแรงมาก.” (เฮ็บราย 11:33, 34) พระยะโฮวาจะประทานบำเหน็จแก่ทุกคนที่เลียนแบบความเชื่อเช่นนั้น. ชาวฮีบรูเหล่านี้ได้รับการช่วยให้รอดจากเตาไฟ แต่พวกเรามั่นใจได้ว่าพระองค์จะทรงปลุกผู้ภักดีทุกคนซึ่งเสียชีวิตในฐานะเป็นผู้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงและจะอวยพรพวกเขาด้วยชีวิตนิรันดร์. ไม่ว่าโดยวิธีไหน พระยะโฮวา “ทรงบำรุงรักษาจิตต์วิญญาณแห่งพวกผู้ชอบธรรมของพระองค์; พระองค์ทรงช่วยเขาให้พ้นจากมือคนชั่ว.”—บทเพลงสรรเสริญ 97:10.
[เชิงอรรถ]
a บางคนเชื่อว่ามาร์ดุก ซึ่งถือกันว่าเป็นผู้ก่อตั้งจักรวรรดิบาบูโลนหมายถึงนิมโรดที่ถูกยกเป็นเทพเจ้า. อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังยืนยันไม่ได้.
b “เบละตะซาซัร” หมายถึง “พิทักษ์ชีวิตของกษัตริย์.” “ซัดรัค” อาจหมายถึง “บัญชาของอะกู” ซึ่งเป็นจันทราเทพของชาวซูเมอร์. “เมเซ็ค” อาจพาดพิงถึงเทพเจ้าของชาวซูเมอร์ และ “อะเบ็ดนะโค” หมายถึง “ผู้รับใช้ของนะโค” หรือเนโบ.
c เมื่อพิจารณาขนาดอันใหญ่โตของรูปนี้ ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลบางคนเชื่อว่ารูปนี้ทำด้วยไม้แล้วหุ้มด้วยทองคำ.
d สำนวนภาษาอาระเมอิกที่ได้รับการแปลว่า “ฟ้อง” หมายถึง ‘กินชิ้นส่วน’ ของคนหนึ่ง—โดยอุปมาแล้วคือบดขยี้เขาโดยการใส่ร้าย.
e ยกตัวอย่าง คัมภีร์ไบเบิลเชื่อมโยงความตะกละและความโลภกับการบูชารูปเคารพ.—ฟิลิปปอย 3:18, 19; โกโลซาย 3:5.
คุณได้เรียนรู้อะไร?
• ทำไมซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคไม่ยอมก้มกราบตรงหน้ารูปที่นะบูคัดเนซัรได้ตั้งไว้?
• นะบูคัดเนซัรมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อจุดยืนที่ชาวฮีบรูสามคนยึดมั่น?
• พระยะโฮวาทรงประทานบำเหน็จแก่ชาวฮีบรูสามคนอย่างไรเพราะความเชื่อของพวกเขา?
• คุณได้เรียนอะไรจากการเอาใจใส่เรื่องชีวิตจริงของซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโค?
[ภาพเต็มหน้า 68]
[รูปภาพหน้า 70]
1. วิหารสูง (ซิกกุรัต) ในกรุงบาบูโลน
2. วิหารของมาร์ดุก
3. แผ่นทองสัมฤทธิ์ที่มีภาพเทพเจ้ามาร์ดุก (ซ้าย) และเทพเจ้าเนโบ (ขวา) ยืนอยู่บนมังกร
4. ตราสลักลายนูนรูปนะบูคัดเนซัร ผู้มีชื่อเสียงเรื่องโครงการก่อสร้างของท่าน
[ภาพเต็มหน้า 76]
[ภาพเต็มหน้า 78]