บทหก
ประเด็นที่เราทุกคนต้องเผชิญ
1, 2. (ก) ประเด็นอะไรที่ซาตานยกขึ้นมาในสวนเอเดน? (ข) คำพูดของมันบ่งนัยอะไรเกี่ยวกับประเด็นนั้น?
คุณเข้าไปพัวพันกับประเด็นสำคัญที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยประสบมา. จุดยืนของคุณเกี่ยวกับประเด็นนั้นจะกำหนดอนาคตถาวรของคุณ. ประเด็นนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการกบฏในสวนเอเดน. ตอนนั้นซาตานถามฮาวาว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่า, ‘เจ้าอย่ากินผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้’?” เธอตอบว่า เฉพาะแต่ต้นไม้ต้นเดียวที่พระเจ้าตรัสว่า “อย่ากิน . . . เกลือกว่าจะตาย.” จากนั้นซาตานได้กล่าวหาพระยะโฮวาโดยตรงด้วยการโกหก โดยพูดว่าชีวิตของฮาวาและอาดามไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังพระเจ้า. ซาตานอ้างว่า พระเจ้ากีดกันสิ่งดีไว้จากผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง นั่นคือความสามารถที่จะกำหนดมาตรฐานของตนเองในการดำรงชีวิต. ซาตานยืนยันว่า “พระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า, เจ้ากินผลไม้นั้นเข้าไปวันใด, ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น; แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระ, จะรู้จักความดีและชั่ว.”—เยเนซิศ 3:1-5.
2 แท้จริง ซาตานกำลังบอกว่าดีกว่าถ้ามนุษย์จะตัดสินใจด้วยตัวเอง แทนที่จะเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้า. ด้วยวิธีนี้ มันจึงท้าทายวิธีการปกครองของพระเจ้า. นี่ก่อให้เกิดประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งยวดเกี่ยวกับสากลบรมเดชานุภาพของพระเจ้า กล่าวคือ สิทธิของพระองค์ที่จะปกครอง. มีการยกคำถามขึ้นมาว่า สิ่งไหนจะดีกว่าสำหรับมนุษย์ วิธีปกครองของพระยะโฮวาหรือการปกครองที่ไม่ต้องพึ่งอาศัยพระองค์? ตอนนั้นพระยะโฮวาสามารถสำเร็จโทษอาดามและฮาวาได้ทันที แต่นั่นไม่ได้ทำให้ประเด็นเกี่ยวกับพระบรมเดชานุภาพได้รับการจัดการอย่างเป็นที่น่าพอใจ. โดยปล่อยให้สังคมมนุษย์ดำเนินไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่าการไม่พึ่งอาศัยพระองค์และกฎหมายของพระองค์นั้นจะมีผลอย่างไร.
3. ประเด็นรองอะไรที่ซาตานยกขึ้นมา?
3 การโจมตีของซาตานต่อสิทธิในการปกครองของพระยะโฮวามิได้ยุติลงพร้อมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสวนเอเดน. มันได้ทำให้ความภักดีของคนอื่น ๆ ที่มีต่อพระยะโฮวาเป็นเรื่องที่น่าสงสัย. เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นรองที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด. การท้าทายของมันครอบคลุมถึงทั้งลูกหลานของอาดามและเหล่าบุตรฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า แม้กระทั่งพระบุตรหัวปีผู้เป็นที่รักยิ่งของพระยะโฮวา. ตัวอย่างเช่น ในสมัยของโยบ ซาตานโต้แย้งว่าผู้ที่รับใช้พระยะโฮวาทำเช่นนั้น มิใช่เพราะรักพระเจ้าและวิธีการปกครองของพระองค์ แต่ด้วยเหตุผลอันเห็นแก่ตัว. มันแย้งว่า เมื่อตกอยู่ภายใต้ความยากลำบาก พวกเขาทั้งหมดจะยอมแพ้ต่อความปรารถนาอันเห็นแก่ตัว.—โยบ 2:1-6; วิวรณ์ 12:10.
สิ่งที่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็น
4, 5. ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์เช่นไรในเรื่องที่มนุษย์กำหนดก้าวของตนเอง?
4 จุดสำคัญในประเด็นเรื่องพระบรมเดชานุภาพเป็นดังนี้: พระเจ้ามิได้สร้างมนุษย์ให้ดำรงชีวิตอย่างประสบผลสำเร็จโดยไม่ต้องหมายพึ่งการปกครองของพระองค์. เพื่อประโยชน์ของพวกเขา พระองค์ทรงสร้างเขาให้พึ่งอาศัยกฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์. ยิระมะยาผู้พยากรณ์ยอมรับว่า “โอ้พระยะโฮวา, ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าทางที่มนุษย์จะไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของตัว, ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้. โอ้พระยะโฮวาได้โปรดแก้ผิดของข้าพเจ้า.” (ยิระมะยา 10:23, 24) ดังนั้น พระคำของพระเจ้ากระตุ้นเตือนว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า, อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง.” (สุภาษิต 3:5) พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้อยู่ภายใต้กฎทางกายภาพเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้ฉันใด พระองค์ก็ทรงตั้งกฎทางศีลธรรมขึ้นด้วยฉันนั้น ซึ่งหากเชื่อฟังก็จะก่อให้เกิดสังคมที่มีความปรองดองกัน.
5 ปรากฏชัดว่า พระเจ้าทรงทราบว่าครอบครัวมนุษย์ไม่อาจปกครองตัวเองได้สำเร็จโดยปราศจากการปกครองของพระองค์. ในความพยายามอันไร้ผลที่จะไม่หมายพึ่งการปกครองของพระเจ้า มนุษย์ได้ตั้งระบบการเมือง, เศรษฐกิจ, และศาสนาในรูปแบบต่าง ๆ ขึ้น. ความแตกต่างเหล่านี้ได้นำผู้คนไปสู่ความขัดแย้งกันอยู่เนือง ๆ ยังผลให้เกิดความรุนแรง, สงคราม, และความตาย. “มนุษย์ใช้อำนาจเหนือมนุษย์อย่างที่ก่อผลเสียหายแก่เขา.” (ท่านผู้ประกาศ 8:9, ล.ม.) นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์. ดังที่บอกไว้ล่วงหน้าในพระคำของพระเจ้า เหล่าคนชั่วและคนเจ้าเล่ห์ได้ “กำเริบชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น.” (2 ติโมเธียว 3:13) และศตวรรษที่ 20 ซึ่งนอกจากจะได้เห็นมนุษยชาติประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในด้านวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแล้ว ยังได้เห็นความหายนะร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา. ถ้อยคำจากยิระมะยา 10:23 ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงอย่างชัดแจ้งที่มนุษย์มิได้ถูกสร้างให้กำหนดก้าวของตน.
6. ในไม่ช้าพระเจ้าจะแก้ไขเรื่องที่มนุษย์ไม่หมายพึ่งพระองค์อย่างไร?
6 ผลกระทบระยะยาวอันน่าเศร้าจากการไม่พึ่งอาศัยพระเจ้าได้แสดงให้เห็นตลอดมาว่าการปกครองโดยมนุษย์ไม่มีวันประสบความสำเร็จ. การปกครองของพระเจ้าเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะนำไปสู่ความสุข, ความเป็นเอกภาพ, ความเจริญรุ่งเรือง, และชีวิต. และพระคำของพระยะโฮวาแสดงให้เห็นว่า ความอดกลั้นของพระองค์ต่อการปกครองของมนุษย์ที่ไม่หมายพึ่งพระองค์นั้นจวนจะสิ้นสุดแล้ว. (มัดธาย 24:3-14; 2 ติโมเธียว 3:1-5) ไม่ช้า พระองค์จะเข้าแทรกแซงกิจการงานของมนุษย์เพื่อสำแดงอำนาจปกครองของพระองค์เหนือแผ่นดินโลก. คำพยากรณ์ของคัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ในสมัยของกษัตริย์เหล่านั้น [การปกครองของมนุษย์ที่มีอยู่ในเวลานี้] พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่งขึ้น [ในสวรรค์] ซึ่งจะไม่มีวันถูกทำลาย. และอาณาจักรนี้จะไม่ถูกยกแก่ชนชาติอื่นใด [จะไม่มีวันที่มนุษย์จะปกครองแผ่นดินโลกอีก]. อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรทั้งปวงนั้น [ในสมัยปัจจุบัน] และทำให้สิ้นไป และอาณาจักรนี้จะคงอยู่จนเวลาไม่กำหนด.”—ดานิเอล 2:44, ล.ม.
การรอดเข้าสู่โลกใหม่ของพระเจ้า
7. เมื่อการปกครองของพระเจ้าทำให้การปกครองของมนุษย์สิ้นสุดลง ใครจะรอด?
7 เมื่อการปกครองของพระเจ้าทำให้การปกครองของมนุษย์สิ้นสุดลง ใครจะรอด? คัมภีร์ไบเบิลให้คำตอบดังนี้: “คนตรง [คนเหล่านั้นที่สนับสนุนสิทธิในการปกครองของพระเจ้า] จะได้พำนักอยู่ในแผ่นดิน, และคนดีรอบคอบจะได้ดำรงอยู่บนแผ่นดินนั้น. แต่คนบาปหยาบช้า [คนเหล่านั้นที่ไม่สนับสนุนสิทธิในการปกครองของพระเจ้า] จะถูกตัดให้สิ้นศูนย์จากแผ่นดิน.” (สุภาษิต 2:21, 22) ในทำนองเดียวกัน ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบอกว่า “ยังอีกหน่อยหนึ่ง, คนชั่วจะไม่มี . . . คนสัตย์ธรรมจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก, และจะอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปเป็นนิตย์.”—บทเพลงสรรเสริญ 37:10, 29.
8. พระเจ้าจะพิสูจน์อย่างเต็มที่ถึงความถูกต้องแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระองค์โดยวิธีใด?
8 หลังจากระบบของซาตานถูกทำลาย พระเจ้าจะนำโลกใหม่เข้ามา ซึ่งความรุนแรงที่ก่อความเสียหาย, สงคราม, ความยากจน, ความทุกข์, ความเจ็บป่วยและความตายที่ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสนานหลายพันปีนั้นจะถูกขจัดออกไปอย่างสิ้นเชิง. คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาถึงพระพรที่คอยท่ามนุษยชาติผู้เชื่อฟังไว้อย่างงดงามดังนี้: “พระองค์ [พระเจ้า] จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ทั้งความทุกข์โศกหรือเสียงร้องหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย. สิ่งที่เคยมีอยู่เดิมนั้นผ่านพ้นไปแล้ว.” (วิวรณ์ 21:3, 4, ล.ม.) โดยทางราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ คือรัฐบาลภายใต้พระคริสต์ พระเจ้าจะพิสูจน์อย่างเต็มที่ถึงสิทธิของพระองค์ที่จะเป็นองค์บรมมหิศร กล่าวคือ เป็นผู้ครอบครองของเรา.—โรม 16:20; 2 เปโตร 3:10-13; วิวรณ์ 20:1-6.
วิธีที่พวกเขาแสดงจุดยืนเกี่ยวกับประเด็นนี้
9. (ก) ผู้ที่รักษาความภักดีต่อพระยะโฮวามีทัศนะอย่างไรต่อพระคำของพระองค์? (ข) โนฮาได้พิสูจน์ความภักดีโดยวิธีใด และเราได้ประโยชน์จากตัวอย่างของท่านอย่างไร?
9 ตลอดประวัติศาสตร์ มีชายและหญิงผู้มีความเชื่อซึ่งได้พิสูจน์ความภักดีต่อพระยะโฮวาฐานะองค์บรมมหิศร. พวกเขารู้ว่าชีวิตของตนขึ้นอยู่กับการฟังและเชื่อฟังพระองค์. โนฮาเป็นคนเช่นนั้น. ฉะนั้น พระเจ้าตรัสกับโนฮาว่า “เนื้อหนังทั้งสิ้นจะถึงกาลอวสานต่อหน้าเรา . . . เจ้าจงสร้างนาวาสำหรับตัวเจ้า.” และโนฮาเต็มใจทำตามการชี้นำของพระยะโฮวา. ทั้ง ๆ ที่ได้รับคำเตือน คนอื่น ๆ ในสมัยนั้นดำเนินชีวิตราวกับว่าจะไม่มีสิ่งผิดปกติอะไรเกิดขึ้น. แต่โนฮาได้ต่อนาวาใหญ่ และง่วนอยู่กับการประกาศให้คนอื่น ๆ รู้ถึงวิถีทางอันชอบธรรมของพระยะโฮวา. บันทึกบอกต่อไปว่า “โนฮาได้ทำตามทุกสิ่งที่พระเจ้าได้รับสั่งแก่ท่าน. ท่านได้ทำอย่างนั้นทีเดียว.”—เยเนซิศ 6:13-22, ล.ม.; เฮ็บราย 11:7; 2 เปโตร 2:5.
10. (ก) อับราฮามและซาราสนับสนุนพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวาอย่างไร? (ข) เราจะได้ประโยชน์จากตัวอย่างของอับราฮามและซาราในทางใด?
10 อับราฮามและซาราเป็นตัวอย่างที่ดีเช่นกันในการสนับสนุนพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา โดยทำสิ่งใด ๆ ก็ตามที่พระองค์ทรงบัญชาแก่พวกท่าน. ท่านทั้งสองอาศัยอยู่ในเมืองอูระของชาวแคลเดียซึ่งเป็นนครที่เจริญมั่งคั่ง. แต่เมื่อพระยะโฮวาบอกให้อับราฮามไปยังดินแดนอื่นซึ่งท่านไม่รู้จัก อับราฮาม “ก็ออกไปตามคำพระยะโฮวาตรัสสั่งนั้น.” ไม่ต้องสงสัย ซาราคงมีชีวิตที่สะดวกสบาย—มีบ้าน, มิตรสหาย, และญาติ ๆ. กระนั้น เธอยอมอ่อนน้อมต่อพระยะโฮวาและต่อสามีของเธอ และไปยังแผ่นดินคะนาอัน ถึงแม้เธอไม่รู้ว่าที่นั่นจะมีสภาพเช่นไรก็ตาม.—เยเนซิศ 11:31–12:4; กิจการ 7:2-4.
11. (ก) ภายใต้สภาพการณ์เช่นไรที่โมเซสนับสนุนพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา? (ข) ตัวอย่างของโมเซอาจเป็นประโยชน์ต่อเราอย่างไร?
11 โมเซเป็นอีกผู้หนึ่งที่สนับสนุนพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา. และท่านทำเช่นนั้นภายใต้สภาพการณ์ที่ลำบากยิ่ง คือเมื่อเผชิญหน้ากับฟาโรห์แห่งอียิปต์. ไม่ใช่ที่ว่าโมเซเป็นคนมั่นใจในตัวเอง. ตรงกันข้าม ท่านไม่แน่ใจว่าท่านจะสามารถพูดได้ดีพอ. แต่ท่านเชื่อฟังพระยะโฮวา. ด้วยการสนับสนุนจากพระยะโฮวาและความช่วยเหลือจากอาโรนพี่ชายของท่าน โมเซได้กล่าวคำของพระยะโฮวาต่อฟาโรห์ผู้ดื้อรั้นหลายครั้งหลายหน. แม้แต่เหล่าบุตรของอิสราเอลบางคนได้วิพากษ์วิจารณ์โมเซอย่างรุนแรง. กระนั้น โมเซได้ทำทุกสิ่งที่พระยะโฮวาทรงบัญชาแก่ท่านด้วยความภักดี และโดยทางโมเซ ชาติอิสราเอลจึงได้รับการช่วยให้รอดจากอียิปต์.—เอ็กโซโด 7:6; 12:50, 51; เฮ็บราย 11:24-27.
12. (ก) อะไรแสดงว่าความภักดีต่อพระยะโฮวาเกี่ยวพันยิ่งกว่าการทำสิ่งที่พระเจ้าได้ระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษร? (ข) ความเข้าใจเกี่ยวกับความภักดีชนิดนี้อาจช่วยเราให้นำเอา 1 โยฮัน 2:15 ไปใช้อย่างไร?
12 ผู้ที่ภักดีต่อพระยะโฮวามิได้หาเหตุผลว่า เท่าที่พวกเขาถูกเรียกร้องก็คือ ต้องเชื่อฟังสิ่งที่มีเขียนไว้เท่านั้น. เมื่อภรรยาโพติฟาพยายามชักชวนโยเซฟให้ทำผิดประเวณีกับนาง ตอนนั้นพระบัญชาของพระเจ้าที่ห้ามเรื่องการเล่นชู้ยังไม่มีเป็นลายลักษณ์อักษร. อย่างก็ดี โยเซฟรู้เรื่องสถาบันการสมรสที่พระเจ้าจัดให้มีขึ้นในสวนเอเดน. ท่านทราบว่า การมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของชายอื่นนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า. โยเซฟไม่สนใจจะทดลองดูว่าพระเจ้าจะยอมให้ท่านเป็นเหมือนชาวอียิปต์ถึงขีดไหน. ท่านเชิดชูแนวทางต่าง ๆ ของพระยะโฮวาโดยคิดใคร่ครวญถึงวิธีต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงปฏิบัติกับมนุษยชาติ ครั้นแล้วท่านนำสิ่งที่ท่านเข้าใจว่าเป็นพระทัยประสงค์ของพระเจ้าไปใช้อย่างถูกต้อง.—เยเนซิศ 39:7-13; บทเพลงสรรเสริญ 77:11, 12.
13. มีการพิสูจน์ว่าซาตานเป็นผู้มุสาอย่างไรในกรณีของ (ก) โยบ? (ข) ชาวฮีบรูสามคน?
13 ถึงแม้ว่าถูกทดลองอย่างหนัก ผู้ที่รู้จักพระยะโฮวาอย่างแท้จริงไม่ละทิ้งพระองค์. ซาตานกล่าวหาว่า ถ้าโยบสูญเสียบรรดาทรัพย์สินหรือสุขภาพของตนแล้ว แม้กระทั่งโยบ ผู้ซึ่งพระยะโฮวาทรงยกย่อง ก็จะละทิ้งพระเจ้า. แต่โยบพิสูจน์ว่าซาตานพูดมุสา ถึงแม้ว่าโยบเองไม่รู้ว่าเหตุใดความหายนะต่าง ๆ จึงเข้ามารุมล้อมท่าน. (โยบ 2:9, 10) หลายศตวรรษต่อมา ซาตานยังคงพยายามพิสูจน์ประเด็นนี้. มันทำให้กษัตริย์บาบิโลนผู้โกรธแค้นขู่เข็ญหนุ่มชาวฮีบรูสามคนว่าถ้าพวกเขาไม่ก้มลงนมัสการรูปเคารพที่กษัตริย์ได้ตั้งไว้นั้น พวกเขาจะต้องตายในเตาไฟที่ลุกโชน. เมื่อถูกบังคับให้เลือกระหว่างการเชื่อฟังพระบัญชาของกษัตริย์กับการเชื่อฟังกฎหมายของพระยะโฮวาที่ห้ามการนมัสการรูปเคารพ พวกเขาแถลงอย่างหนักแน่นว่า พวกเขารับใช้พระยะโฮวาและกล่าวว่าพระองค์เป็นองค์บรมมหิศรสูงสุดของพวกเขา. ความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีค่ามากยิ่งกว่าชีวิตของพวกเขาที่มีอยู่ในเวลานั้น!—ดานิเอล 3:14-18.
14. เป็นไปได้อย่างไรที่เราในฐานะมนุษย์ไม่สมบูรณ์จะพิสูจน์ว่าเราภักดีต่อพระยะโฮวาอย่างแท้จริง?
14 จากตัวอย่างเหล่านี้เราจะต้องลงความเห็นไหมว่า การที่จะภักดีต่อพระยะโฮวา คนเราต้องเป็นคนสมบูรณ์ หรือคนที่ทำผิดพลาดต้องเป็นคนล้มเหลวโดยสิ้นเชิง? เปล่าเลย! คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า บางครั้งโมเซก็ผิดพลาด. ถึงแม้ว่าพระยะโฮวาไม่พอพระทัย แต่พระองค์ก็มิได้ละทิ้งโมเซ. เหล่าอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ก็มีข้ออ่อนแอเช่นกัน. โดยคำนึงถึงความไม่สมบูรณ์ที่เราได้รับเป็นมรดก พระยะโฮวาทรงพอพระทัยถ้าเราไม่จงใจ เพิกเฉยต่อพระประสงค์ของพระองค์ในทางหนึ่งทางใด. ถ้าเราเข้าไปพัวพันกับการทำผิดเนื่องจากความอ่อนแอ นับว่าสำคัญที่เราจะกลับใจจริง ๆ และไม่ทำความผิดจนเป็นนิสัย. โดยวิธีนี้ เราแสดงให้เห็นว่า แท้จริงแล้วเรารักสิ่งที่พระองค์ตรัสว่าดี และเกลียดสิ่งที่พระองค์ทรงระบุว่าไม่ดี. โดยอาศัยความเชื่อในเครื่องบูชาของพระเยซูซึ่งมีคุณค่าไถ่ถอนบาปได้ เราจึงมีฐานะที่สะอาดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้.—อาโมศ 5:15; กิจการ 3:19; เฮ็บราย 9:14.
15. (ก) ท่ามกลางมนุษย์ทั้งสิ้น ใครที่รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน และนั่นพิสูจน์ถึงอะไร? (ข) สิ่งที่พระเยซูได้ทำช่วยเราอย่างไร?
15 อย่างไรก็ตาม การเชื่อฟังอย่างครบถ้วน ต่อพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ไหม? คำตอบในเรื่องนี้ดูราวกับเป็น “ความลับอันศักดิ์สิทธิ์” มาเป็นเวลา 4,000 ปี. (1 ติโมเธียว 3:16, ล.ม.) ถึงแม้ว่าอาดามถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แต่เขาก็มิได้วางตัวอย่างอันสมบูรณ์ในเรื่องความเลื่อมใสต่อพระเจ้า. ใครล่ะที่ทำได้? แน่ล่ะ ลูกหลานที่ผิดบาปของเขาไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ทำได้. มนุษย์เพียงผู้เดียวที่ทำเช่นนั้นได้คือพระเยซูคริสต์. (เฮ็บราย 4:15) สิ่งที่พระเยซูทำสำเร็จพิสูจน์ว่าอาดามซึ่งอยู่ในสภาพที่ได้เปรียบกว่าก็น่าจะรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงได้อย่างครบถ้วนถ้าเขาต้องการจะทำ. ข้อผิดพลาดมิได้อยู่ที่งานสร้างของพระเจ้า. เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์จึงเป็นตัวอย่างที่เราพึงเลียนแบบ ไม่เพียงแต่ในเรื่องการเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้า แต่ในเรื่องที่เราแต่ละคนจะแสดงความเลื่อมใสต่อพระยะโฮวาองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพอีกด้วย.—พระบัญญัติ 32:4, 5.
คำตอบของเราเองคืออะไร?
16. เหตุใดเราต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาในเรื่องทัศนะที่เรามีต่อพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา?
16 เราแต่ละคนในปัจจุบันต้องเผชิญกับประเด็นเรื่องสากลบรมเดชานุภาพ. ถ้าเราประกาศตัวอย่างเปิดเผยว่าเราอยู่ฝ่ายพระยะโฮวา ซาตานก็จะเอาเราเป็นเป้า. มันจะก่อความกดดันทุกวิถีทางที่มันทำได้และจะทำต่อ ๆ ไปกระทั่งถึงจุดอวสานแห่งระบบชั่วของมัน. เราต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ. (1 เปโตร 5:8) ความประพฤติของเราแสดงถึงจุดยืนที่เรามีต่อประเด็นสูงสุดเกี่ยวกับพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา และประเด็นรองเรื่องความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้าเมื่อถูกทดลอง. เราไม่อาจยอมรับว่าความประพฤติที่ไม่ภักดีเป็นเรื่องไม่สำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่ทำกันอย่างแพร่หลายในโลกนี้. การรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงเรียกร้องให้เราพยายามนำวิถีทางอันชอบธรรมของพระยะโฮวาไปปฏิบัติในทุกแง่มุมของชีวิต.
17. มีอะไรเกี่ยวกับต้นกำเนิดของการโกหกและการขโมยที่น่าจะทำให้เราหลีกเลี่ยงการทำเช่นนั้น?
17 ยกตัวอย่าง เราไม่สามารถเลียนแบบซาตานซึ่งเป็น “พ่อของการมุสา.” (โยฮัน 8:44) เราต้องเป็นคนซื่อตรงในการติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้อื่น. ในระบบของซาตาน คนหนุ่มสาวมักจะไม่บอกความจริงกับบิดามารดาของตน. แต่หนุ่มสาวคริสเตียนหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ และด้วยเหตุนี้พวกเขาพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาของซาตานไม่จริงที่ว่า พลไพร่ของพระเจ้าจะละทิ้งความซื่อสัตย์มั่นคงเมื่อถูกทดลอง. (โยบ 1:9-11; สุภาษิต 6:16-19) และก็ยังมีการดำเนินธุรกิจซึ่งอาจระบุตัวคนเราว่าอยู่ฝ่าย “พ่อของการมุสา” แทนที่จะอยู่ฝ่ายพระเจ้าแห่งความจริง. การดำเนินธุรกิจแบบนี้ เราพึงหลีกเลี่ยง. (มีคา 6:11, 12) นอกจากนี้ การลักขโมยเป็นสิ่งที่ผิดอย่างแน่นอน แม้ว่าบุคคลผู้นั้นขัดสนหรือถ้าผู้ที่ถูกขโมยของไปนั้นเป็นคนร่ำรวย. (สุภาษิต 6:30, 31; 1 เปโตร 4:15) แม้ว่าการขโมยจะถือเป็นเรื่องธรรมดาในถิ่นที่เราอยู่หรือถ้าสิ่งของที่เอาไปมีค่าน้อย การขโมยก็ยังคงขัดต่อกฎหมายของพระเจ้า.—ลูกา 16:10; โรม 12:2; เอเฟโซ 4:28.
18. (ก) ณ ตอนสิ้นสุดแห่งรัชสมัยพันปีของพระคริสต์ การทดลองอะไรจะมีแก่มนุษยชาติทั้งมวล? (ข) เราควรปลูกฝังนิสัยอะไรในขณะนี้?
18 ระหว่างรัชสมัยพันปีของพระคริสต์ ซาตานและภูตผีปิศาจบริวารของมันจะอยู่ในเหวลึก ไม่สามารถชักจูงมนุษยชาติได้อีก. ช่างทำให้โล่งใจจริง ๆ! แต่หลังจากช่วงพันปีล่วงไปแล้ว พวกมันจะถูกปล่อยออกมาชั่วเวลาหนึ่ง. ซาตานและพรรคพวกของมันจะสร้างความกดดันแก่บรรดามนุษยชาติที่ได้รับการฟื้นฟูซึ่งรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้า. (วิวรณ์ 20:7-10) ถ้าเรามีสิทธิพิเศษที่จะมีชีวิตอยู่ในตอนนั้น เราจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อประเด็นเรื่องสากลบรมเดชานุภาพนี้? เนื่องจากในตอนนั้นมนุษย์ทุกคนจะเป็นคนสมบูรณ์ การกระทำใด ๆ ที่ไม่ภักดีจะเป็นการกระทำโดยเจตนาและจะยังผลเป็นความพินาศตลอดกาล. นับว่าสำคัญสักเพียงไรที่เราจะปลูกฝังนิสัยตอบรับการชี้นำเสียแต่บัดนี้ ไม่ว่าเรื่องใดที่พระยะโฮวาทรงบอกเรา ทั้งโดยทางพระคำและทางองค์การของพระองค์! เมื่อทำเช่นนั้น เราจะแสดงความเลื่อมใสอันแท้จริงต่อพระเจ้าผู้เป็นองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ.
การอภิปรายทบทวน
• อะไรคือประเด็นสำคัญที่เราทุกคนต้องเผชิญ? เราเข้าไปพัวพันอย่างไร?
• อะไรที่นับว่าเด่นเกี่ยวกับวิธีต่าง ๆ ที่ชายและหญิงในสมัยโบราณพิสูจน์ความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระยะโฮวา?
• เหตุใดจึงสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะถวายเกียรติแด่พระยะโฮวาด้วยความประพฤติของเราในแต่ละวัน?