บท 13
การฉลองต่าง ๆ ที่พระเจ้าไม่พอพระทัย
“จงตรวจดูให้แน่ใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยสิ่งใด.”—เอเฟโซส์ 5:10.
1. พระยะโฮวาทรงชักนำคนชนิดใดให้มาหาพระองค์ และเหตุใดเขาต้องคอยเฝ้าดูเสมอว่าพระเจ้าพอพระทัยสิ่งใด?
พระเยซูตรัสว่า “ผู้นมัสการแท้จะนมัสการพระบิดาด้วยพระวิญญาณและความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาคนอย่างนั้นนมัสการพระองค์.” (โยฮัน 4:23) เมื่อพระยะโฮวาพบคนอย่างนั้น ดังที่ได้พบคุณ พระองค์ทรงชักนำพวกเขาให้มาหาพระองค์เองและพระบุตรของพระองค์. (โยฮัน 6:44) นับว่าเป็นเกียรติอะไรเช่นนี้! อย่างไรก็ดี ผู้รักความจริงในคัมภีร์ไบเบิลต้อง “ตรวจดูให้แน่ใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยสิ่งใด” เนื่องด้วยซาตานเป็นผู้เชี่ยวชาญในการหลอกลวง.—เอเฟโซส์ 5:10; วิวรณ์ 12:9.
2. จงอธิบายว่าพระยะโฮวามีทัศนะอย่างไรต่อคนที่พยายามเอาศาสนาแท้มาปะปนกับศาสนาเท็จ.
2 ขอพิจารณาเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นใกล้ภูเขาไซนายเมื่อชาวอิสราเอลได้ขออาโรนทำพระให้พวกเขา. อาโรนจำยอมโดยสร้างรูปโคทองคำแต่ก็บอกเป็นนัย ๆ ว่ารูปนี้เป็นสิ่งที่ใช้แสดงถึงพระยะโฮวา. เขากล่าวว่า “พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลเลี้ยงถวายพระยะโฮวา.” พระยะโฮวาทรงเพิกเฉยต่อการเอาศาสนาแท้มาปะปนกับศาสนาเท็จไหม? ไม่. พระองค์ทรงประหารผู้ที่ไหว้รูปเคารพประมาณสามพันคน. (เอ็กโซโด 32:1-6, 10, 28) เราควรเรียนอะไรจากเรื่องนี้? หากเราต้องการทำตัวให้เป็นที่รักของพระเจ้าเสมอ เราต้อง “[ไม่] แตะต้องสิ่งใด ๆ ที่ไม่สะอาด” และต้องปกป้องความจริงไว้ด้วยความหวงแหนเพื่อมิให้แปดเปื้อนความเสื่อมทรามไม่ว่ารูปแบบใด.—ยะซายา 52:11, ล.ม.; ยะเอศเคล 44:23; กาลาเทีย 5:9.
3, 4. เหตุใดเราควรเอาใจใส่หลักการในคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจังเมื่อตรวจสอบธรรมเนียมและการฉลองต่าง ๆ อันเป็นที่นิยมกัน?
3 น่าเศร้า ภายหลังการเสียชีวิตของเหล่าอัครสาวกซึ่งได้ทำหน้าที่ยับยั้งการออกหาก ผู้ที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนซึ่งไม่ได้รักความจริงได้เริ่มรับเอาธรรมเนียม, การฉลองเทศกาล, และวันศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แบบนอกรีตซึ่งพวกเขาตั้งชื่อให้เป็นแบบคริสเตียน. (2 เทสซาโลนิเก 2:7, 10) ขณะที่คุณพิจารณาการฉลองเหล่านี้บางอย่าง ขอสังเกตว่าการฉลองดังกล่าวไม่ได้สะท้อนถึงพระวิญญาณของพระเจ้า แต่แสดงน้ำใจของโลก. โดยทั่วไป การฉลองต่าง ๆ ทางโลกมีแง่มุมบางอย่างที่เหมือน ๆ กัน นั่นคือ การฉลองเหล่านั้นดึงดูดความปรารถนาทางกายและส่งเสริมความเชื่อของศาสนาเท็จรวมทั้งการถือผี ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของ “บาบิโลนใหญ่.”a (วิวรณ์ 18:2-4, 23) ขอจำไว้เช่นกันว่า พระยะโฮวาได้ทรงสังเกตเห็นด้วยพระองค์เองเกี่ยวกับกิจปฏิบัติทางศาสนาแบบนอกรีตที่น่ารังเกียจต่าง ๆ ที่มีการทำกัน ซึ่งเป็นต้นตอของธรรมเนียมอันเป็นที่นิยมหลายอย่าง. ไม่ต้องสงสัยว่าพระองค์ทรงเห็นว่าการฉลองดังกล่าวในทุกวันนี้เป็นที่น่ารังเกียจเช่นเดียวกัน. ทัศนะของพระองค์ควรมีความสำคัญที่สุดสำหรับเรามิใช่หรือ?—2 โยฮัน 6, 7.
4 ฐานะคริสเตียนแท้ เราทราบว่าการฉลองบางอย่างทำให้พระยะโฮวาไม่พอพระทัย. แต่เราต้องตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับการฉลองเหล่านั้นอย่างเด็ดขาด. การทบทวนเหตุผลที่พระยะโฮวาไม่พอพระทัยการฉลองดังกล่าวจะเสริมความตั้งใจของเราที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งใด ๆ ที่อาจขัดขวางเรามิให้เป็นที่รักของพระเจ้าต่อไป.
คริสต์มาส—ชื่อใหม่ของการนมัสการดวงอาทิตย์
5. เหตุใดเราแน่ใจได้ว่าพระเยซูมิได้ประสูติในวันที่ 25 ธันวาคม?
5 คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้กล่าวถึงการฉลองวันประสูติของพระเยซู. ที่จริง ไม่มีใครรู้วันประสูติที่แน่นอนของพระองค์. แต่เราแน่ใจได้ว่า พระองค์มิได้ประสูติวันที่ 25 ธันวาคม ในฤดูหนาวอันเย็นเยือกในภูมิภาคแถบนั้นของโลก.b เหตุผลหนึ่งก็คือ ลูกาบันทึกว่าตอนที่พระเยซูประสูติ “ยังมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งหญ้า” ดูแลฝูงแกะของตนอยู่. (ลูกา 2:8-11) หากพวกเขา “อยู่ในทุ่งหญ้า” เป็นประจำตลอดทั้งปี ก็คงไม่มีนัยสำคัญอะไร. อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเบทเลเฮมมีอากาศหนาวเย็นเพราะฝนและหิมะตก ในช่วงฤดูหนาวฝูงแกะจึงอยู่กลางแจ้งไม่ได้และผู้เลี้ยงแกะคงจะไม่ไป “อยู่ในทุ่งหญ้า.” นอกจากนี้ โยเซฟกับมาเรียไปเบทเลเฮมก็เพราะซีซาร์เอากุสตุสออกพระราชกฤษฎีกาทำสำมะโนประชากร. (ลูกา 2:1-7) ไม่น่าเป็นไปได้เลยที่ซีซาร์จะออกคำสั่งให้ประชาชนที่ไม่พอใจการปกครองของโรมอยู่แล้วเดินทางไปยังบ้านเกิดของบรรพบุรุษในช่วงฤดูหนาวอันเย็นเยือก
6, 7. (ก) ธรรมเนียมหลายอย่างของคริสต์มาสมีต้นตอมาจากไหน? (ข) อาจเห็นความแตกต่างอะไรระหว่างการให้ในช่วงคริสต์มาสกับการให้ของคริสเตียนแท้?
6 ต้นตอของคริสต์มาสพบได้ไม่ใช่ในพระคัมภีร์ แต่ในเทศกาลของพวกนอกรีตสมัยโบราณ เช่น เทศกาลซาทูร์นาเลียของชาวโรมัน ซึ่งเป็นการฉลองที่อุทิศให้พระเสาร์ เทพเจ้าแห่งการเกษตร. เช่นเดียวกัน สารานุกรมคาทอลิกฉบับใหม่ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า ตามการคำนวณของพวกผู้นมัสการเทพมิทรา พวกเขาได้ฉลองวันที่ 25 ธันวาคมเป็น “วันประสูติของพระอาทิตย์ที่ไม่มีใครพิชิตได้. คริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในช่วงที่การบูชาดวงอาทิตย์เฟื่องฟูเป็นพิเศษในโรม” ราว ๆ สามร้อยปีภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์.
คริสเตียนแท้ให้เนื่องด้วยความรัก
7 ระหว่างการฉลอง พวกนอกรีตได้แลกเปลี่ยนของขวัญและเลี้ยงฉลองกัน ซึ่งเป็นกิจปฏิบัติที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองคริสต์มาสสมัยปัจจุบัน. แต่ถึงแม้ผู้คนแลกเปลี่ยนของขวัญกันดังที่ทำกันในทุกวันนี้ด้วย ส่วนใหญ่ของการให้ในช่วงคริสต์มาสในสมัยโรมันไม่ใช่การให้ด้วยน้ำใจตามที่บอกไว้ใน 2 โครินท์ 9:7 ที่ว่า “ให้แต่ละคนทำอย่างที่เขามุ่งหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ด้วยฝืนใจหรือถูกบังคับ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี.” คริสเตียนแท้ให้เนื่องด้วยความรัก พวกเขามิได้จำกัดการให้ไว้เฉพาะแต่ในวันพิเศษเท่านั้น อีกทั้งไม่คาดหมายว่าจะได้รับของขวัญเป็นการตอบแทน. (ลูกา 14:12-14; กิจการ 20:35) ยิ่งกว่านั้น พวกเขารู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งที่หลุดพ้นจากบรรยากาศช่วงคริสต์มาสที่วุ่นวายและทำให้เครียด ทั้งได้รับการปลดเปลื้องจากหนี้สินอันเป็นภาระหนักที่หลายคนก่อขึ้นในช่วงนั้นของปี.—มัดธาย 11:28-30; โยฮัน 8:32.
8. พวกโหรนำของขวัญวันเกิดมาให้พระเยซูไหม? จงอธิบาย.
8 แต่บางคนอาจโต้แย้งว่า พวกโหรได้นำของขวัญวันเกิดมาให้พระเยซูมิใช่หรือ? ไม่ใช่. การให้ของพวกเขาเป็นเพียงวิธีหนึ่งในการแสดงความนับถือต่อบุคคลสำคัญ ซึ่งเป็นธรรมเนียมทั่วไปในสมัยคัมภีร์ไบเบิล. (1 กษัตริย์ 10:1, 2, 10, 13; มัดธาย 2:2, 11) ที่จริง พวกเขาไม่ได้มาในคืนที่พระเยซูประสูติด้วยซ้ำ. พระเยซูมิใช่ทารกอยู่ในรางหญ้า แต่มีอายุได้หลายเดือนแล้วและอยู่ในบ้านหลังหนึ่งตอนที่พวกโหรมาถึง.
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเช่นไรในเรื่องวันเกิด?
9. เกิดอะไรขึ้น ณ การฉลองวันเกิดที่มีการกล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิล?
9 ถึงแม้การกำเนิดทารกเป็นโอกาสที่น่ายินดีเสมอ แต่คัมภีร์ไบเบิลก็มิได้กล่าวถึงผู้รับใช้ของพระเจ้าว่าฉลองวันเกิด. (บทเพลงสรรเสริญ 127:3) เรื่องนี้เพียงแต่ถูกมองข้ามไปเท่านั้นไหม? ไม่ใช่ เนื่องจากมีการกล่าวถึงการฉลองวันเกิดสองราย รายหนึ่งคือฟาโรห์แห่งอียิปต์และอีกรายหนึ่งคือเฮโรด อันติปา. (เยเนซิศ 40:20-22; มาระโก 6:21-29) อย่างไรก็ดี ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีขึ้นในการฉลองวันเกิดทั้งสองราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ การฉลองวันเกิดของเฮโรด อันติปา โยฮันผู้ให้รับบัพติสมาได้ถูกตัดศีรษะ.
10, 11. คริสเตียนยุคแรกมีทัศนะอย่างไรต่อการฉลองวันเกิด และเพราะเหตุใด?
10 สารานุกรม เดอะ เวิลด์ บุ๊ก กล่าวว่า “คริสเตียนยุคแรกถือว่าการฉลองวันเกิดของคนใดคนหนึ่งเป็นธรรมเนียมแบบนอกรีต.” ตัวอย่างเช่น ชาวกรีกโบราณเชื่อว่ามีวิญญาณตนหนึ่งดูแลมนุษย์แต่ละคนที่เกิดมาและคอยปกป้องคุ้มครองคนนั้นตลอดชีวิต. หนังสือความรู้เกี่ยวกับวันเกิด (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า วิญญาณดังกล่าว “มีความเกี่ยวพันอย่างลึกลับกับเทพเจ้าองค์ที่มีวันประสูติตรงกับวันเกิดของคนนั้น.” วันเกิดยังเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับโหราศาสตร์และการดูดวงชะตามายาวนาน.
11 นอกจากปฏิเสธธรรมเนียมการฉลองวันเกิดเนื่องจากมีต้นตอแบบนอกรีตและการถือผีแล้ว ผู้รับใช้ของพระเจ้าในอดีตได้ปฏิเสธธรรมเนียมดังกล่าวก็คงจะเนื่องจากหลักการที่พวกเขายึดถือด้วย. เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนั้น? บรรดาชายหญิงที่ถ่อมใจและเจียมตัวเหล่านี้ไม่ได้ถือว่าการเกิดของตนสำคัญถึงขนาดที่ควรจะฉลอง.c (มีคา 6:8; ลูกา 9:48) แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขายกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาและขอบพระคุณพระองค์สำหรับชีวิตซึ่งเป็นของประทานอันมีค่า.d—บทเพลงสรรเสริญ 8:3, 4; 36:9; วิวรณ์ 4:11.
12. วันตายของเราจะดีกว่าวันเกิดได้อย่างไร?
12 เมื่อสิ้นชีวิต ผู้ที่รักษาความซื่อสัตย์ถึงที่สุดทุกคนอยู่อย่างปลอดภัยในความทรงจำของพระเจ้า และมีการรับประกันชีวิตอนาคตของพวกเขา. (โยบ 14:14, 15) ท่านผู้ประกาศ 7:1 กล่าวว่า “ชื่อเสียงหอมก็ดีกว่าน้ำมันหอมอย่างวิเศษ; และวันตายก็ดีกว่าวันเกิดของคนผู้หนึ่ง.” “ชื่อเสียง” ของเราหมายถึงชื่อเสียงที่ดีซึ่งเรามีกับพระเจ้าโดยการรับใช้อย่างซื่อสัตย์. น่าสังเกตเป็นพิเศษว่า เหตุการณ์เดียวที่คริสเตียนได้รับคำสั่งให้ฉลองนั้นเกี่ยวข้องกับการตาย ไม่ใช่การเกิด นั่นคือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูผู้ซึ่ง “นาม” อันประเสริฐของพระองค์เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับความรอดของเรา.—ลูกา 22:17-20; ฮีบรู 1:3, 4.
อีสเตอร์—โฉมใหม่ของการนมัสการ เทพธิดาแห่งการเจริญพันธุ์
13, 14. ธรรมเนียมอีสเตอร์อันเป็นที่นิยมมีต้นตอมาจากไหน?
13 ถึงแม้มีการอ้างว่าอีสเตอร์เป็นการฉลองการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ก็ตาม ที่จริงแล้วการฉลองนี้มีต้นตอมาจากศาสนาเท็จ. ชื่ออีสเตอร์เองเชื่อมโยงกับอีออสเตอร์ หรือออสตารา เทพธิดาแห่งรุ่งอรุณและฤดูใบไม้ผลิของชาวแองโกล-แซกซัน. และการใช้ไข่กับกระต่ายเกี่ยวข้องกับอีสเตอร์อย่างไร? สารานุกรมบริแทนนิกา กล่าวว่า ไข่ “เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นแสดงถึงชีวิตใหม่และการกลับเป็นขึ้นจากตาย” ส่วนกระต่ายป่าและกระต่ายเลี้ยงใช้เป็นสัญลักษณ์ของการเจริญพันธุ์มานานแล้ว. ดังนั้น อีสเตอร์จึงเป็นพิธีกรรมเพื่อการเจริญพันธุ์อย่างแท้จริงที่แปลงโฉมมาเป็นการฉลองการคืนพระชนม์ของพระคริสต์.e
14 พระยะโฮวาจะพอพระทัยการใช้พิธีกรรมเกี่ยวกับการเจริญพันธุ์ที่น่ารังเกียจนั้นเพื่อระลึกถึงการคืนพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ไหม? ไม่อย่างเด็ดขาด! (2 โครินท์ 6:17, 18) ที่จริง ตั้งแต่แรกพระคัมภีร์ไม่ได้สั่งหรืออนุญาตให้ฉลองเพื่อระลึกถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซู. ดังนั้น การระลึกถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูโดยใช้ชื่ออีสเตอร์เป็นการแสดงความไม่ซื่อสัตย์สองต่อ.
ต้นตอของวันฮัลโลวีน
15. วันฮัลโลวีนมีต้นตอมาจากไหน และวันที่เลือกไว้เพื่อฉลองวันหยุดนี้อาจมีความหมายเช่นไร?
15 วันฮัลโลวีนซึ่งมีการฉลองกันในตอนเย็นวันที่ 31 ตุลาคมเป็นที่รู้จักเนื่องด้วยมีแม่มด, ปิศาจ, และการประดับตกแต่งรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ แบบพิลึกกึกกือ. ฮัลโลวีนซึ่งถูกเรียกว่าวันสุกดิบของเทศกาลชุมนุมนักบุญด้วย อาจสืบร่องรอยย้อนไปถึงชาวเคลต์โบราณในบริเตนและไอร์แลนด์. ในวันเพ็ญซึ่งใกล้วันที่ 1 พฤศจิกายนมากที่สุด พวกเขาฉลองเทศกาลซออัน ซึ่งหมายถึง “จุดจบของฤดูร้อน.” พวกเขาเชื่อว่าระหว่างช่วงซออัน มีการเปิดม่านที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกที่เหนือธรรมชาติ แล้วเหล่าวิญญาณทั้งดีและชั่วได้ท่องไปทั่วโลก. เชื่อกันว่าวิญญาณคนตายกลับไปยังบ้านของตน และครอบครัวก็จะตั้งอาหารและเครื่องดื่มไว้สำหรับพวกผีที่กลับมา โดยหวังจะเอาใจผีเหล่านั้น. ด้วยเหตุนี้ เมื่อเด็ก ๆ ในทุกวันนี้ซึ่งแต่งตัวเป็นผีหรือแม่มด ไปตามบ้านแล้วแกล้งหลอกให้คนกลัวจนกว่าจะได้รับของหวาน พวกเขาทำให้พิธีกรรมเกี่ยวกับเทศกาลซออันมีอยู่ต่อไปโดยไม่รู้ตัว.
ให้งานสมรสของคุณบริสุทธิ์สะอาดเสมอ
16, 17. (ก) ทำไมหนุ่มสาวคริสเตียนที่วางแผนจะสมรสกันควรตรวจสอบดูธรรมเนียมการแต่งงานในท้องถิ่นโดยคำนึงถึงหลักการในคัมภีร์ไบเบิล? (ข) เกี่ยวกับธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น การโปรยข้าวสารหรือสิ่งอื่นที่ใช้แทน คริสเตียนควรคำนึงถึงอะไร?
16 ในไม่ช้า “จะไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวภายใน [บาบิโลนใหญ่] อีกเลย.” (วิวรณ์ 18:23) เพราะเหตุใด? เหตุผลอย่างหนึ่งคือ เนื่องจากกิจปฏิบัติเกี่ยวกับลัทธิผีปิศาจของเมืองนั้น ซึ่งทำให้การสมรสเป็นมลทินตั้งแต่วันแต่งงานทีเดียว.—มาระโก 10:6-9.
17 มีธรรมเนียมหลากหลายต่างกันไปในแต่ละประเทศ. ธรรมเนียมบางอย่างที่อาจดูเหมือนไม่มีพิษภัยอาจมีต้นตอมาจากกิจปฏิบัติแบบบาบิโลนซึ่งเข้าใจว่าทำให้คู่บ่าวสาวหรือแขกของเขา ‘โชคดี.’ (ยะซายา 65:11) ประเพณีดังกล่าวอย่างหนึ่งเกี่ยวข้องกับการโปรยข้าวสารหรือสิ่งอื่น ๆ ที่ใช้แทน. กิจปฏิบัติดังกล่าวอาจมีต้นตอมาจากความเชื่อที่ว่าอาหารทำให้วิญญาณชั่วพอใจและป้องกันมิให้พวกมันทำอันตรายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว. นอกจากนี้ ข้าวยังมีความเกี่ยวพันอย่างลึกลับมายาวนานกับการเจริญพันธุ์, ความสุข, และอายุยืน. เห็นได้ชัด ทุกคนที่ต้องการเป็นที่รักของพระเจ้าเสมอจะหลีกเลี่ยงธรรมเนียมที่แปดเปื้อนดังกล่าว.—2 โครินท์ 6:14-18.
18. หลักการอะไรในคัมภีร์ไบเบิลควรชี้นำคู่บ่าวสาวที่วางแผนจะจัดงานสมรสและคนเหล่านั้นที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วม?
18 นอกจากนี้ ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาละเว้นจากกิจปฏิบัติทางโลกที่อาจทำให้การสมรสและงานเลี้ยงฉลองสมรสขาดความสง่างามแบบคริสเตียนหรืออาจขัดกับสติรู้สึกผิดชอบของบางคน. ตัวอย่างเช่น พวกเขาหลีกเลี่ยงการกล่าวคำปราศรัยที่ประกอบด้วยคำพูดเย้าแหย่ซึ่งสร้างความเจ็บปวดหรือการพูดสองแง่สองง่าม และละเว้นจากการพูดเล่นที่ทำให้คนอื่นอับอายหรือคำพูดที่อาจทำให้คนที่เพิ่งแต่งงานเสียหน้า. (สุภาษิต 26:18, 19; ลูกา 6:31; 10:27) พวกเขายังหลีกเลี่ยงการจัดงานเลี้ยงฉลองหรูหราแบบที่เห็นในเทพนิยาย ไม่ใช่ความเจียมตัว แต่เป็น “การโอ้อวดทรัพย์สมบัติ.” (1 โยฮัน 2:16) หากคุณวางแผนจัดงานสมรส ขออย่าลืมว่าพระยะโฮวาประสงค์ให้คุณมองย้อนหลังดูวันพิเศษของคุณด้วยความยินดีเสมอ ไม่ใช่ด้วยความเสียใจ.f
การดื่มอวยพร—มีความหมายทางศาสนาไหม?
19, 20. แหล่งข้อมูลทางโลกแหล่งหนึ่งกล่าวเช่นไรเกี่ยวกับต้นตอของการดื่มอวยพร และเหตุใดธรรมเนียมนี้จึงไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับคริสเตียน?
19 กิจปฏิบัติธรรมดาในงานสมรสและงานสังสรรค์ในโอกาสอื่น ๆ คือการดื่มอวยพร. หนังสือคู่มือสากลว่าด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และวัฒนธรรม (ภาษาอังกฤษ) ฉบับปี 1995 กล่าวว่า “การดื่มอวยพร . . . อาจเป็นธรรมเนียมทางโลกสมัยใหม่อันเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของพิธีบวงสรวงถวายเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์แด่เหล่าเทพเจ้า . . . เพื่อแลกเปลี่ยนกับการอวยพร ซึ่งคำอธิษฐานนั้นสรุปได้ด้วยถ้อยคำว่า ‘ขอให้อายุมั่นขวัญยืน!’ หรือ ‘แด่สุขภาพของท่าน!’ ”
20 จริงอยู่ หลายคนอาจไม่ได้ถือว่าการดื่มอวยพรเป็นการแสดงท่าทางที่มีความหมายทางศาสนาหรือเกี่ยวกับโชคลาง. กระนั้น ธรรมเนียมการชูแก้วเหล้าองุ่นขึ้นไปทางท้องฟ้าอาจถือว่าเป็นการขอพรจาก “ท้องฟ้า” อันเป็นพลังอำนาจที่เหนือธรรมชาติ เป็นวิธีที่ไม่ประสานกับสิ่งที่อธิบายไว้ในพระคัมภีร์.—โยฮัน 14:6; 16:23.g
“ท่านทั้งหลายผู้รักพระยะโฮวา จงเกลียดสิ่งชั่ว”
21. คริสเตียนจะหลีกเลี่ยงการฉลองอะไรอันเป็นที่นิยม ถึงแม้อาจจะไม่มีต้นตอมาจากศาสนา และเพราะเหตุใด?
21 สิ่งที่แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานของโลกทุกวันนี้เสื่อมถอยลงทุกที อันเป็นแนวโน้มที่ได้รับการส่งเสริมจากบาบิโลนใหญ่โดยตรงหรือไม่ก็โดยทางอ้อม คือ บางประเทศสนับสนุนงานคาร์นิวาลหรือมาร์ดีกราส์ประจำปี อันเป็นเทศกาลฉลองที่มีลักษณะเด่นคือการเต้นรำแบบยั่วให้เกิดตัณหา และอาจถึงกับจัดขบวนแห่เฉลิมฉลองวิถีชีวิตของพวกรักร่วมเพศด้วยซ้ำ. เหมาะสมไหมที่ ‘ผู้รักพระยะโฮวา’ จะเข้าร่วมหรือดูการฉลองดังกล่าว? การทำเช่นนั้นจะแสดงว่าเขาเกลียดสิ่งชั่วจริง ๆ ไหม? (บทเพลงสรรเสริญ 1:1, 2; 97:10) ดีกว่าสักเพียงไรที่จะเลียนแบบเจตคติของผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญซึ่งได้อธิษฐานว่า “ขอให้ลูกตาของข้าพเจ้าเมินไปเสียจากของอนิจจัง”!—บทเพลงสรรเสริญ 119:37.
22. เมื่อไรที่คริสเตียนอาจตัดสินใจตามสติรู้สึกผิดชอบของตนว่าจะเข้าร่วมในการฉลองอย่างหนึ่งหรือไม่?
22 ในวันต่าง ๆ ที่มีการฉลองทางโลก คริสเตียนจะระวังเพื่อมิให้ความประพฤติของเขาทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเขาเข้าร่วมในการฉลองนั้น. เปาโลได้เขียนว่า “ไม่ว่าพวกท่านจะกินหรือดื่มหรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่งอย่างที่ทำให้พระเจ้าได้รับการสรรเสริญ.” (1 โครินท์ 10:31; ดูกรอบ “ตัดสินใจอย่างฉลาดสุขุม.”) อย่างไรก็ดี หากเห็นได้ชัดว่าธรรมเนียมหรือการฉลองไม่มีความหมายไปทางศาสนาเท็จ ทั้งมิได้เป็นส่วนของการฉลองทางการเมืองหรือพิธีแสดงความรักชาติ และไม่ละเมิดหลักการในคัมภีร์ไบเบิลแล้ว คริสเตียนแต่ละคนอาจตัดสินใจเป็นส่วนตัวว่าจะเข้าร่วมการฉลองดังกล่าวหรือไม่. ขณะเดียวกัน เขาคงจะคำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นเพื่อจะไม่เป็นเหตุทำให้ใครสะดุด.
จงสรรเสริญพระเจ้าด้วยคำพูดและการกระทำ
23, 24. เราอาจให้คำพยานที่ดีเกี่ยวกับมาตรฐานอันชอบธรรมของพระยะโฮวาได้โดยวิธีใด?
23 ผู้คนจำนวนมากมายมองว่าการฉลองอันเป็นที่นิยมบางวันเป็นโอกาสที่ครอบครัวและมิตรสหายจะมาพบปะสังสรรค์กันเป็นประการสำคัญ. ดังนั้น หากบางคนคิดอย่างผิด ๆ ว่าจุดยืนของเราตามหลักพระคัมภีร์เป็นการไม่แสดงความรักหรือสุดโต่ง เราก็อาจชี้แจงด้วยความกรุณาว่าพยานพระยะโฮวาเห็นคุณค่าของการพบปะสังสรรค์ที่ดีงามของครอบครัวและมิตรสหาย. (สุภาษิต 11:25; ท่านผู้ประกาศ 3:12, 13; 2 โครินท์ 9:7) เราได้รับความเพลิดเพลินในการคบหากับคนที่เรารักในช่วงเวลาอื่นตลอดทั้งปี แต่เนื่องจากความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและมาตรฐานอันชอบธรรมของพระองค์ เราจึงไม่ต้องการให้โอกาสที่ทำให้มีความสุขเช่นนั้นแปดเปื้อนด้วยธรรมเนียมที่พระองค์ทรงรังเกียจ.—ดูกรอบ “การนมัสการแท้ทำให้เกิดความยินดีมากที่สุด.”
24 พยานฯบางคนประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีในการอธิบายกับผู้ซักถามที่จริงใจถึงจุดสำคัญต่าง ๆ จากหนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ?h บท 16. แต่ขอจำไว้ว่าเป้าหมายของเราคือเพื่อจะทำให้เขาเข้ามาสู่การนมัสการแท้ ไม่ใช่พิสูจน์ว่า เขาเป็นฝ่ายผิด. ดังนั้น จงแสดงความนับถือ รักษาอารมณ์อ่อนโยนไว้ และ “ให้คำพูดของท่านทั้งหลายเป็นคำพูดที่แสดงความกรุณาเสมอเหมือนอาหารที่ปรุงด้วยเกลือ.”—โกโลซาย 4:6.
25, 26. บิดามารดาจะช่วยบุตรให้วัฒนาขึ้นในความเชื่อและความรักต่อพระยะโฮวาได้อย่างไร?
25 ฐานะผู้รับใช้ของพระยะโฮวา เราเป็นคนที่รอบรู้. เราทราบเหตุผลที่เราเชื่อและปฏิบัติบางสิ่ง และละเว้นจากบางสิ่ง. (ฮีบรู 5:14) ดังนั้น บิดามารดาทั้งหลาย จงสอนบุตรให้หาเหตุผลโดยอาศัยหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. โดยการทำเช่นนั้น คุณเสริมสร้างความเชื่อของบุตร ทั้งช่วยเขาให้คำตอบตามหลักพระคัมภีร์แก่คนที่ถามเกี่ยวกับความเชื่อของเขา และทำให้บุตรมั่นใจในความรักของพระยะโฮวา.—ยะซายา 48:17, 18; 1 เปโตร 3:15.
26 ทุกคนที่นมัสการพระเจ้า “ด้วยพระวิญญาณและความจริง” ไม่เพียงหลีกเลี่ยงการฉลองที่ไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ยังพยายามจะเป็นคนซื่อสัตย์ในทุกแง่มุมของชีวิตด้วย. ทุกวันนี้ หลายคนมองว่าความซื่อสัตย์ใช้ไม่ได้ผล. แต่ดังที่เราจะได้เห็นในบทถัดไป แนวทางของพระเจ้านับว่าดีที่สุดเสมอ.
a ดูกรอบ “ฉันควรเข้าร่วมในการฉลองไหม?” วันและการฉลองบางอย่างที่ถือกันว่า “ศักดิ์สิทธิ์” มีรายการบอกไว้ในดัชนีสรรพหนังสือของว็อชเทาเวอร์ (ภาษาอังกฤษ) จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
b โดยอาศัยการคำนวณเวลาตามคัมภีร์ไบเบิลและประวัติศาสตร์โลก เป็นไปได้ว่าพระเยซูประสูติปี 2 ก่อนสากลศักราช ในเดือนเอธานิมตามปฏิทินยิว ซึ่งตรงกับเดือนกันยายน/ตุลาคมตามปฏิทินของเราในปัจจุบัน.—ดูการหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 2 หน้า 56-57 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
c ดูกรอบ “‘วันศักดิ์สิทธิ์’ และลัทธิซาตาน.”
d สัญญาแห่งพระบัญญัติกำหนดว่า หลังจากคลอดบุตร ผู้หญิงต้องถวายเครื่องบูชาไถ่บาปแด่พระเจ้า. (เลวีติโก 12:1-8) ข้อเรียกร้องตามกฎหมายนี้เป็นการย้ำเตือนที่สะเทือนความรู้สึกที่ว่ามนุษย์ถ่ายทอดบาปไปยังลูกหลานของเขา และช่วยชาวอิสราเอลให้มีทัศนะที่สมดุลเกี่ยวกับการกำเนิดบุตรและอาจยับยั้งพวกเขามิให้รับเอาธรรมเนียมฉลองวันเกิดของพวกนอกรีต.—บทเพลงสรรเสริญ 51:5.
e อีออสเตอร์ (หรืออีสเตอร์) ยังเป็นเทพธิดาแห่งการเจริญพันธุ์ด้วย. ตามที่กล่าวในพจนานุกรมเทพนิยายวิทยา (ภาษาอังกฤษ) “นางเลี้ยงกระต่ายตัวหนึ่งไว้ที่ดวงจันทร์ซึ่งกระต่ายตัวนี้ชอบไข่มาก. บางครั้ง มีการวาดภาพให้พระนางมีหัวเป็นกระต่าย.”
f ดูบทความสามเรื่องเกี่ยวกับงานสมรสและงานสังสรรค์ในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 ตุลาคม 2006 หน้า 18-31.
h จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.