“ไม่รู้สึกละอายในเรื่องข่าวดี”
“ข้าพเจ้าไม่รู้สึกละอายในเรื่องข่าวดี แท้จริง ข่าวดีนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อจะได้ความรอด.”—โรม 1:16, ล.ม.
1. โดยทั่วไป ข่าวดีได้รับการตอบสนองอย่างไร แต่ชาวโลกที่ไม่มีความเชื่อมีทัศนะเช่นไรต่อข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า?
สิ่งที่ปรากฏแก่คนหนึ่งว่าเป็นข่าวดีอาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับอีกคนหนึ่งก็ได้. ปกติแล้ว คนที่มีข่าวดีมักจะได้รับการต้อนรับด้วยความยินดี และผู้ที่อยากรู้ข่าวดีอยู่แล้วก็จะตั้งใจฟังอย่างหูผึ่งทีเดียว. อย่างไรก็ดี คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลได้แจ้งล่วงหน้าว่า คนไม่มีความเชื่อแห่งโลกนี้กลับรู้สึกว่า ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าและข่าวสารเรื่องความรอดนั้นไม่ใช่เรื่องน่าปีติยินดีอะไรเลย.—เทียบกับ 2 โกรินโธ 2:15, 16.
2. อัครสาวกเปาโลกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับข่าวดีที่ท่านได้ประกาศไป และทำไมข่าวที่ท่านแถลงยังคงเป็นข่าวดีในทุกวันนี้?
2 อัครสาวกเปาโลเป็นคนหนึ่งที่ถูกส่งไปบอกข่าวดีแก่สาธารณชน. ท่านมีความรู้สึกอย่างไรต่องานที่ท่านรับมอบหมายให้กระทำ? ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเต็มใจพร้อมที่จะประกาศข่าวดีแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วย. ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่รู้สึกละอายในเรื่องข่าวดี.” (โรม 1:15, 16, ล.ม. ) หากข่าวนั้นยังถือได้ว่าเป็นข่าวดีในทุกวันนี้ เกือบสองพันปีหลังจากอัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายถึงคริสเตียนที่อยู่ในกรุงโรม ข่าวนั้นก็ต้องเป็นข่าวดีที่ยั่งยืนนานทีเดียว. ที่จริง ข่าวนั้นเป็น “ข่าวดีอันเจริญเป็นนิตย์.”—วิวรณ์ 14:6.
3, 4. ทำไมอัครสาวกเปาโลบอกว่าท่านไม่รู้สึกละอายในเรื่องข่าวดี?
3 เพราะเหตุใดอัครสาวกเปาโลบอกว่า ท่านไม่รู้สึกละอายในเรื่องข่าวดี? ทำไมท่านอาจจะรู้สึกละอายด้วยล่ะ? เนื่องจากข่าวดีนั้นไม่เป็นที่นิยม เพราะเกี่ยวข้องกับบุรุษผู้หนึ่งซึ่งถูกตอกตรึงบนหลักทรมานเยี่ยงผู้ร้ายที่ต่ำช้าเลวทราม จากสิ่งซึ่งปรากฏแก่สายตาดูเหมือนผู้นั้นเลวทรามจริง ๆ. บุรุษผู้นี้เดินทางขึ้นล่องทั่วแผ่นดินปาเลสไตน์ประกาศข่าวดีเป็นเวลาสามปีครึ่ง และได้เผชิญการต่อต้านอย่างรุนแรงจากชาวยิว โดยเฉพาะพวกผู้นำศาสนา. และมาบัดนี้ เปาโลผู้ซึ่งเป็นพยานฝ่ายบุรุษที่ได้รับการเยาะเย้ยก็เจอกับการเกลียดชังทำนองเดียวกัน.—มัดธาย 9:35; โยฮัน 11:46-48, 53; กิจการ 9:15, 20, 23.
4 เพราะการต่อต้านดังกล่าว เปาโลพร้อมด้วยเพื่อนสาวกของพระเยซูคริสต์จึงอาจถูกมองในแง่ที่ว่า พวกเขาน่าจะรู้สึกละอาย. แท้จริง ตอนนั้นเปาโลกำลังยึดอยู่กับบางสิ่งซึ่งเมื่อก่อนตัวเองก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าละอาย. ท่านเองก็เคยทับถมสาวกของพระเยซูคริสต์ด้วยการหมิ่นประมาท. (กิจการ 26:9-11) แต่ท่านเลิกประพฤติแบบนั้นเสียแล้ว. ผลก็คือ ท่านพร้อมกับอีกหลายคนที่ได้มาเป็นคริสเตียนจึงต่างก็ทนรับการข่มเหงอย่างรุนแรง.—กิจการ 11:26.
5. อัครสาวกเปาโลได้อธิบายคำกล่าวของท่านอย่างไรเกี่ยวด้วยการไม่รู้สึกละอายในเรื่องข่าวดี?
5 ถ้าคนเรายอมรู้สึกละอายเพราะการเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ ผู้นั้นคงจะมีทัศนะต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างมนุษย์ทั่ว ๆ ไป. อัครสาวกเปาโลไม่เป็นอย่างนั้น. ตรงกันข้าม เมื่อท่านชี้แจงว่า ท่านไม่รู้สึกละอายในเรื่องข่าวดีซึ่งท่านได้ประกาศ ท่านบอกว่า “แท้จริง ข่าวดีนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพื่อทุกคนที่มีความเชื่อจะได้ความรอด.” (โรม 1:16, ล.ม. ) ฤทธิ์เดชของพระเจ้าไม่เป็นเหตุให้รู้สึกละอาย ถ้าได้ดำเนินงานผ่านสาวกของพระเยซูเพื่อจะสัมฤทธิ์ผลตามจุดมุ่งหมายอันน่าสรรเสริญของพระเจ้าองค์ทรงสง่าราศี ซึ่งพระเยซูคริสต์เองทรงนมัสการและถวายคำสรรเสริญแด่พระองค์.—เทียบกับ 1 โกรินโธ 1:18; 9:22, 23.
การประกาศข่าวดีทั่วโลก
6, 7. (ก) พยานพระยะโฮวาพยายามดำเนินชีวิตให้สมกับความรับผิดชอบเช่นไรเกี่ยวกับข่าวดี พร้อมด้วยผลประการใด? (ข) ถึงแม้เราจะไม่ต้องการให้ความกลัวยับยั้งเราจากการให้คำพยาน แต่อะไรอาจเป็นสิ่งจำเป็นในบางครั้ง? (ดูหมายเหตุ.)
6 เหมือนเปาโล พยานพระยะโฮวาสมัยนี้เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ พระบุตรผู้ได้รับสง่าราศี. พระยะโฮวาทรงฝากทรัพย์อันมีค่าซึ่งได้แก่ “กิตติคุณแห่งสง่าราศี” ไว้กับพยานทั้งหลายของพระองค์. (1 ติโมเธียว 1:11) พยานของพระยะโฮวาไม่ได้ละเลยที่จะดำเนินชีวิตให้สมกับหน้าที่รับผิดชอบอันหนักหน่วงนี้ และพวกเขาได้รับการเร้าใจที่จะไม่รู้สึกละอายในเรื่องข่าวดี. (2 ติโมเธียว 1:8) เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะไม่ปล่อยให้ความกลัวหรือความกระดากยับยั้งเราจากการให้คำพยานและการแสดงตัวว่าเป็นพยานพระยะโฮวา.a
7 การให้คำพยานอย่างกล้าหาญปราศจากความหวั่นกลัวเช่นนั้นยังผลให้พระนามของพระเจ้าองค์สูงสุดได้รับการยกย่องสรรเสริญ และข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรก็ได้รับการประกาศไปทั่วโลก. พระบุตรของพระเจ้าตรัสว่า “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรจะได้รับการประกาศไปทั่วทุกประเทศที่มีผู้คนอาศัยอยู่เพื่อเป็นคำพยานแก่นานาชาติ ครั้นแล้วที่สุดปลายจะมาถึง” และคำพยากรณ์ของพระองค์ในเรื่องนี้จะไม่ล้มเหลวเป็นอันขาด. (มัดธาย 24:14, ล.ม. ) เวลานี้การประกาศข่าวดีดำเนินอยู่ตามประเทศต่าง ๆ กว่า 210 ประเทศ และงานประกาศยังไม่สิ้นสุด. เราไม่รู้สึกละอายเรื่องข่าวดีทั้งเผชิญอนาคตอย่างกล้าหาญ เราจึงอธิษฐานเหมือนสาวกรุ่นแรกของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “และบัดนี้ พระยะโฮวา . . . ขอโปรดให้ผู้ทาสของพระองค์กล่าวคำของพระองค์ต่อไปด้วยใจกล้า.”—กิจการ 4:29, ล.ม.
8. ทำไมพยานพระยะโฮวาไม่ควรรู้สึกท้อแท้ใจเพราะเหตุที่ได้รับการต่อต้านขัดขวางในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก?
8 ขณะที่เป็นความจริงว่า พยานพระยะโฮวาเป็นที่เกลียดชังและถูกต่อต้านในทุกประเทศแห่งแผ่นดินโลก ทั้งนี้สมจริงตามคำพยากรณ์ว่าด้วยเครื่องหมายที่จะชี้ตัวบุคคลผู้ซึ่งได้นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์แต่องค์เดียว. (โยฮัน 15:20, 21; 2 ติโมเธียว 3:12) ฉะนั้น แทนที่จะท้อแท้และเสียกำลังใจเพราะสาเหตุดังกล่าว ผู้ประกาศข่าวดีทั้งหลายแน่นอนใจว่า พวกเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า และขึ้นอยู่กับองค์การซึ่งพระยะโฮวาองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพทรงรับรอง.
9. ทำไมจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ทั้งโลกนี้ต่อต้านเรา?
9 อย่าลืม: เราได้รับการหนุนหลังจากพระเจ้าองค์สูงสุดแห่งเอกภพ. ฉะนั้น จะเป็นไรไปถ้าโลกนี้พร้อมด้วยลัทธินิกายต่าง ๆ ไม่ว่าทางศาสนาและพรรคการเมืองต่อต้านพวกเรา? พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าเคยได้รับการต่อต้านจากโลกนี้ และพวกเราไม่รู้สึกละอายเลยเมื่ออยู่ในสภาพอย่างเดียวกัน. ดังพระองค์ตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ถ้าโลกนี้ชังท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าเขาได้ชังเราก่อน. ถ้าท่านทั้งหลายได้อยู่ฝ่ายโลก โลกก็จะรักซึ่งเป็นของของโลกเอง. แต่ว่าเพราะท่านมิได้อยู่ฝ่ายโลก แต่เราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงชังท่าน.”—โยฮัน 15:18, 19.
10. การกดขี่ข่มเหงพยานพระยะโฮวาส่วนใหญ่มาจากแหล่งไหน และทำไมพยานฯจึงไม่รู้สึกละอายในเรื่องนี้?
10 ด้วยเหตุนี้ พยานพระยะโฮวาทั่วโลกจึงทนรับการกดขี่ข่มเหง แต่ที่เห็นได้ชัดมากก็ในประเทศชาติเหล่านั้นซึ่งประกอบกันเป็นคริสต์ศาสนจักร. การข่มเหงดังกล่าวโดยน้ำมือของชนประเทศในคริสต์ศาสนจักรไม่ได้พิสูจน์ว่า พยานพระยะโฮวาไม่ใช่คริสเตียน. ตรงกันข้าม การข่มเหงเช่นนั้นเป็นหลักฐานแสดงการเป็นคริสเตียนแท้ เป็นพยานของพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ กล่าวคือพระยะโฮวา. เนื่องจากเขาเป็นพยานของพระเจ้า เขาไม่รู้สึกละอายเมื่อทนรับการกดขี่ข่มเหงในประเด็นทางศาสนา. ดังนั้น คำตักเตือนของอัครสาวกเปาโลต่อคริสเตียนในศตวรรษแรกที่ว่า ไม่ควรละอายนั้นจึงนำมาใช้ได้อย่างเหมาะเจาะกับพยานพระยะโฮวาสมัยปัจจุบัน.—ดูที่ฟิลิปปอย 1:27-29.
ข่าวที่ดีที่สุดเท่าที่จะประกาศได้
11. โดยการรับเอาชื่อพยานพระยะโฮวา ทำไมเราจึงไม่เลิกจากการเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์?
11 ด้วยความกล้าพยานพระยะโฮวารับเอาชื่อของเขาสมตามคำสัญญาของพระยะโฮวาต่อพลไพร่ของพระองค์ที่พระธรรมยะซายา 43:10. แต่ทั้งนี้ไม่หมายความว่า พยานฯไม่เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์อีกต่อไป. พระเยซูคือผู้นำของเขา ผู้ซึ่งได้วางแบบอย่างให้พวกเขาปฏิบัติตาม. พระเยซูเองทรงเป็นพยานของพระยะโฮวา. ที่จริง พระองค์ทรงเป็นพยานองค์เอกของพระยะโฮวาทีเดียว.—1 ติโมเธียว 6:13; วิวรณ์ 1:5.
12. พยานพระยะโฮวาทั่วโลกประกาศข่าวประเภทไหน เพราะเหตุใด?
12 ข่าวสารซึ่งพยานทั้งหลายของพระยะโฮวากำลังประกาศอยู่ทั่วโลกเป็นข่าวดีที่สุดเท่าที่จะประกาศได้. ไม่มีรัฐบาลใดจะเหมาะสำหรับมนุษย์ยิ่งไปกว่าราชอาณาจักรมาซีฮาซึ่งพระยะโฮวาได้ทรงสถาปนาขึ้นเพื่อที่จะปกครองโลกแห่งมนุษยชาติ ซึ่งพระองค์ได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาไถ่ถอน. (ยะซายา 9:6, 7) มวลมนุษย์ในแผ่นดินโลกซึ่งได้ยินการประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรจึงมีโอกาสตอบรับข่าวดีและพิสูจน์ตนมีคุณสมบัติสมควรได้รับชีวิตนิรันดร์เยี่ยงมนุษย์สมบูรณ์อยู่บนแผ่นดินโลกซึ่งเป็นอุทยาน.
13. ทำไมเราแน่ใจได้ว่า รัฐบาลแห่งอาณาจักรมาซีฮานั้นยอดเยี่ยมจริง และพยานทั้งหลายแนะนำอะไรโดยไม่รู้สึกละอาย?
13 เป็นที่แน่นอนว่า ถ้าพระเยซูเต็มพระทัยยอมทนความโหดร้ายจนสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่ถอนคนเหล่านั้นซึ่งจะกลายมาเป็นพลเมืองภายใต้การปกครองของพระองค์ พระองค์ก็ย่อมจัดหารัฐบาลที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ให้พวกเขา. พวกเราขอแนะนำมนุษย์ทุกคนในโลกว่า จงมาเป็นพลเมืองดี สัตย์ซื่อ เชื่อฟังรัฐบาลนั้น. เราไม่รู้สึกละอายที่จะแนะนำรัฐบาลนี้แก่มวลมนุษย์. พวกเราไม่ย่อหย่อนจากงานประกาศเรื่องราชอาณาจักร แม้ว่าแนวทางเช่นนี้อาจจะทำให้เราถูกข่มเหงก็ตาม. พวกเราแต่ละคนสามารถจะพูดได้เช่นเดียวกับอัครสาวกเปาโลที่ว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้สึกละอายในเรื่องข่าวดี.”
14. พระเยซูทรงพยากรณ์ไว้ว่า การประกาศเรื่องราชอาณาจักรจะกว้างขวางเพียงใดในสมัยนี้?
14 พระเยซูทรงพยากรณ์ว่า การประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรจะมีขอบข่ายอยู่ทั่วโลก และคำพยากรณ์ซึ่งครอบคลุมอย่างกว้างขวางจึงเหมาะกับข่าวสารดังกล่าว. (มาระโก 13:10) พระองค์ไม่ลังเลที่จะทำนายว่า งานประกาศข่าวราชอาณาจักรของพระยะโฮวาจะแพร่ไปไกลที่สุด—คือจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก. (กิจการ 1:8) พระเยซูทรงทราบว่า ทั่วทุกแห่งหนที่ผู้คนอาศัยอยู่นั้น สาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์จะพยายามบากบั่นไปให้ถึงเพื่อประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร.
15, 16. (ก) ใครบ้างสมควรจะได้ยินการประกาศข่าวดี? (ข) ทำไมงานประกาศจะสำเร็จแน่นอน ทั้งที่องค์การของซาตานก่อการกดขี่ข่มเหง?
15 มนุษย์ในโลกมีจำนวนหลายพันล้านคนและกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกทวีปและตามหมู่เกาะในมหาสมุทร. แต่ก็ไม่มีส่วนไหนในโลกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยนั้นจะไกลเกินกว่าความพยายามของพยานพระยะโฮวาจะนำข่าวดีไปถึง. ทั่วแผ่นดินโลกที่มีผู้คนอาศัยอยู่โดยนัยแล้วเป็นม้ารองพระบาทของพระยะโฮวา. (ยะซายา 66:1) จึงสมควรนำข่าวแห่งความรอดไปบอกแก่บรรดามนุษย์ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ส่วนใดแห่งม้ารองพระบาทนี้.
16 ข่าวดีในปัจจุบันเป็นข่าวอันน่าชื่นใจว่าด้วยรัฐบาลซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นแล้วโดยพระมาซีฮา. พระเยซูทรงทราบว่า ทั้ง ๆ การกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงจากองค์การของพญามารก็ตาม แต่พระวิญญาณของพระเจ้าจะกระตุ้นสาวกแท้ของพระมาซีฮาให้ทำสุดกำลังความสามารถ เพื่อว่า “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร” ซึ่งเป็นความจริงมีหลักฐานเช่นนี้จะ “ได้รับการประกาศไปทั่วแผ่นดินโลกที่ผู้คนอาศัยอยู่.”—มัดธาย 24:14, ล.ม.
ไม่รู้สึกละอายในเรื่องพระเยซูคริสต์และพระยะโฮวา
17. (ก) ผู้นมัสการแท้ไม่รู้สึกละอายในเรื่องใด? (ข) พระเยซูได้ให้กฎอะไรที่มาระโก 8:38 และอะไรเป็นสาระของกฎข้อนี้?
17 พระเจ้าองค์สูงสุดไม่ทรงลังเลที่จะตั้งนามให้พระองค์เอง คือยะโฮวา และผู้นมัสการพระองค์อย่างซื่อสัตย์ก็ไม่ควรรู้สึกละอายเพราะพระนามนั้น. ผู้นมัสการแท้มีความยินดีที่ผู้คนรู้จักตนและได้เป็นที่ยอมรับว่าพวกตนเป็นผู้ที่นมัสการและเชื่อฟังพระองค์แต่ผู้เดียว. เกี่ยวกับพระเยซูเอง พระเยซูทรงตั้งกฎหรือหลักการไว้แล้วที่มาระโก 8:38 ว่า “ถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเราในชั่วอายุนี้ซึ่งประกอบด้วยการชั่วคิดคดทรยศ บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้นในเวลาเมื่อพระองค์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศีและเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์.” ทำนองเดียวกัน ใครก็ตามที่รู้สึกละอายในเรื่องพระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยะโฮวาก็จะทรงตะขิดตะขวงพระทัยต่อคนเหล่านั้นอย่างแน่นอน. และใครก็ตามซึ่งพระยะโฮวาทรงตะขิดตะขวงพระทัยเพราะการกระทำอันไม่ซื่อสัตย์ของเขา ผู้นั้นก็ไม่สมควรจะได้อยู่ภายในอาณาบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งซึ่งเป็นของพระเจ้า ไม่ว่าในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก.—ลูกา 9:26.
18. (ก) ทำไมเราควรรับเอาคำตรัสของพระเยซูที่มัดธาย 10:32, 33 ใส่ไว้ในหัวใจและจิตใจของเรา? (ข) เกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านั้นที่ปฏิเสธพระเยซูและพระยะโฮวาเนื่องด้วยการกลัวหน้ามนุษย์? (จงยกตัวอย่างโดยอาศัยหมายเหตุท้ายหน้า.)
18 ขอให้เรารับเอาถ้อยคำต่อไปนี้ของพระเยซูคริสต์ใส่เข้าไว้ในหัวใจและความคิดของเราที่ว่า “เหตุดังนั้น ทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์ แต่ผู้ใดจะปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะปฏิเสธผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์ด้วย.” (มัดธาย 10:32, 33; ลูกา 12:8, 9) โดยอาศัยหลักเดียวกัน ใครที่ไม่ยอมรับพระเจ้า พระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าก็จะปฏิเสธผู้นั้น. ผู้นั้นจะไม่ถูกนับเป็นสมาชิกในครอบครัวซึ่งพระเยซูคริสต์เป็นบุตรองค์สำคัญที่สุด. ฉะนั้น เมื่อถึงเวลากำหนดของพระเจ้า เขาจะถูกทำลาย.b
19, 20. (ก) ทำไมคนที่อธิษฐานขอให้พระนามของพระยะโฮวาเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์จึงไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดทำให้เขาได้รู้สึกละอาย? (ข) ผู้ประกาศราชอาณาจักรที่ไม่หวั่นกลัวนั้นได้สัมฤทธิ์ผลในสิ่งใด และด้วยการสนับสนุนของใคร?
19 คำอธิษฐานอันเป็นแบบอย่างซึ่งพระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์นั้นจะสำเร็จเป็นจริงที่ว่า “พระบิดาแห่งข้าพเจ้าทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์. ขอให้แผ่นดิน [ราชอาณาจักร] ของพระองค์มา. พระทัยของพระองค์สำเร็จในสวรรค์อย่างไรก็ให้สำเร็จในแผ่นดินโลกเหมือนกัน.” (มัดธาย 6:9, 10) ถึงตอนนั้น บรรดาสาวกของพระเยซูที่มีความรักจะไม่มีสิ่งใดทำให้เขาละอายเลย. พระนามของพระยะโฮวาจะได้รับความนับถือยกย่อง ไม่เฉพาะโดยคนนับล้าน ๆ ที่มีชีวิตอยู่เวลานี้ซึ่งจะไม่ต้องตาย แต่โดยมนุษย์อีกหลายพันล้านคนซึ่งพระองค์จะปลุกให้ฟื้นขึ้นมาจากหลุมฝังศพในระหว่างรัชสมัยพันปีแห่งการปกครองโดยราชอาณาจักรของพระองค์. คนเหล่านี้จะมีโอกาสได้อยู่ตลอดไปบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน.
20 โดยไม่รู้สึกละอาย พวกผู้ประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรซึ่งไม่มีความกลัวสามารถให้คำพยานได้อย่างสัมฤทธิ์ผลแม้มีการต่อต้านขัดขวางทั่วโลก ทั้งนี้เพราะพวกเขาได้รับการหนุนหลังด้วยอำนาจซึ่งมีฤทธิ์ยิ่งกว่ามนุษย์—คือการหนุนหลังจากทูตสวรรค์. ด้วยเหตุนั้น พยานพระยะโฮวาจึง “เกรงกลัวพระเจ้าและถวายเกียรติยศแด่พระองค์.”—วิวรณ์ 14:6, 7.
ไม่รู้สึกละอายที่จะเกรงกลัวพระเจ้าและถวายเกียรติยศแด่พระองค์
21. พยานพระยะโฮวาไม่เคยรู้สึกละอายที่จะทำอะไร พร้อมด้วยผลอะไร?
21 พยานพระยะโฮวาได้พิสูจน์ตัวเองเป็นคนไม่รู้สึกละอายที่จะเกรงกลัวพระเจ้าและถวายเกียรติยศแด่พระองค์ กระทั่งใช้พระนามยะโฮวาอันเป็นนามเฉพาะของพระองค์ด้วยซ้ำ. ทั้งนี้ยังผลเป็นพระพรอย่างใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา. พระพรมากมายเหล่านี้เป็นไปตามคำสัญญาอันไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้าองค์สูงสุด. นับว่าเป็นการชันสูตรเชิดชูอย่างแท้จริงว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ เป็นองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ!
22. ทำไมพยานพระยะโฮวาจะเผชิญการกดขี่ข่มเหงอันร้ายกาจ แต่พวกเขาจะประสบความชื่นชมยินดีเช่นไร?
22 ในอนาคตอันใกล้นี้ รัฐบาลฝ่ายการเมืองจะต่อต้านระบอบการปกครองทางศาสนา และจะกวาดล้างศาสนาให้หมด—ไม่เว้นกระทั่งคริสต์ศาสนจักร. (วิวรณ์ 17:16, 17) ผลที่ติดตามมา คือพยานพระยะโฮวาจะเผชิญการกดขี่ข่มเหงอันชั่วร้ายจากแหล่งต่าง ๆ ฝ่ายโลก. เขาคงไม่สามารถทนทานและรอดชีวิตได้ ถ้าพระเจ้าผู้ทรงดำรงชั่วนิรันดร์ไม่อยู่ฝ่ายเขา. แต่พระองค์อยู่ฝ่ายเขา เพราะฉะนั้นพวกเขาจะมีความปีติยินดีที่จะเห็นพระเจ้าองค์ที่เหล่าพยานฯบูชานมัสการโดยไม่เชือนแชทรงกวาดล้างทำลายศัตรูผู้ต่อต้านคริสเตียน ต่อต้านพระยะโฮวา. พวกเขาจะไม่ประสบความละอายว่าจะถูกเปิดโปงและถูกทำลายเยี่ยงศัตรูต่อระบอบการของพระเจ้า แต่เขาจะประสบความชื่นชมยินดีเหลือจะกล่าว ที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวาว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอยู่ตั้งแต่อดีตกาลจนตลอดอนาคตกาล.”—บทเพลงสรรเสริญ 90:2.
23. ทำไมพยานทั้งหลายของพระยะโฮวาไม่มีสิ่งใดที่จะให้เขารู้สึกละอาย และผลจะเป็นอย่างไร?
23 พวกเขาจะปีติยินดีในพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ ซึ่งโดยพระองค์ผู้นี้ ครอบครัวมนุษยชาติถูกไถ่ไว้แล้วเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร์ เป็นมนุษย์สมบูรณ์เปี่ยมด้วยความสุขบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน. โดยทางพระเยซูคริสต์พระยะโฮวาทรงสำแดงให้ประจักษ์ว่า พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพยิ่งเพียงไร! พระยะโฮวาได้ทรงสำแดงพระองค์ในวิถีทางอันงามเลิศอะไรอย่างนั้นที่ว่า พระองค์ทรงใช้ฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์อย่างสุขุมและด้วยความรัก ไม่ใช่ในทางอธรรม! เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงไม่มีสิ่งใดจะมาทำให้เรารู้สึกละอายในเรื่องพระยะโฮวาหรือพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์. เราไม่มีความละอายที่จะเป็นผู้ประกาศข่าวดีอันรุ่งโรจน์ซึ่งแถลงถึงศักดานุภาพของพระยะโฮวาที่สามารถพิชิตทุกสิ่งได้ตลอดไปโดยทางพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งตรัสในวันสุดท้ายที่พระองค์มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ว่า “จงกล้าหาญเถิด! เราชนะโลกแล้ว.” (โยฮัน 16:33, ล.ม. ) เมื่อเราดำเนินในแนวนี้ จงให้เราเอาอย่างอัครสาวกเปาโล ผู้ซึ่งไม่รู้สึกละอายในเรื่องข่าวดี. ถ้าเราทำเช่นนั้น พระเจ้าองค์สูงสุดก็จะไม่ทรงรู้สึกละอายในตัวเรา.
[เชิงอรรถ]
a ถึงแม้เราไม่ละอายในการยอมรับว่าเราเป็นพยานฯ แต่บางครั้งเราก็ต้อง “ฉลาดเหมือนงู.” (มัดธาย 10:16) พยานพระยะโฮวาในประเทศเยอรมนีสมัยนาซีรู้ดีว่า เวลาไหนควรแสดงตัวและเวลาไหนไม่ควร.—เทียบกับกิจการ 9:23-25.
b หลายต่อหลายครั้ง คนที่ปฏิเสธพระเยซูและพระยะโฮวาเนื่องด้วยการกลัวหน้ามนุษย์นั้นไม่ได้รับความนิยมชมชอบจากโลก. ดังมีตัวอย่าง ในวอชเทาเวอร์ วันที่ 1 พฤษภาคม 1989 หน้า 12; หนังสือประจำปี 1982 (ภาษาอังกฤษ) หน้า 168; ปี 1977 หน้า 174-176; ปี 1974 หน้า 149-150, 177-178. ในทางกลับกัน แม้พวกที่ต่อต้านข่าวดีอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ยังคาดการณ์ไว้เลยว่า พยานพระยะโฮวาจะไม่ปฏิเสธพระเยซูและพระยะโฮวา. (หนังสือประจำปี 1989 หน้า 116-118) โปรดดูมัดธาย 10:39 และลูกา 12:4 ด้วย.
คำถามสรุป
▫ เช่นเดียวกันกับอัครสาวกเปาโล เราควรมีท่าทีเช่นไรต่อการประกาศข่าวดี และทำไม?
▫ ทำไมข่าวสารที่พยานพระยะโฮวาประกาศจึงเป็นข่าวที่ดีที่สุดเสมอมา?
▫ พระเยซูทรงให้คำเตือนอะไรหากจะมีคนใดคนหนึ่งรู้สึกละอายเพราะพระองค์ในคราวพระองค์เสด็จมาด้วยสง่าราศีแห่งราชอาณาจักร?
▫ จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ปฏิเสธพระเยซูและพระยะโฮวา?
▫ ผู้ประกาศข่าวดีสามารถทำอะไรได้สำเร็จผลโดยไม่รู้สึกละอาย และทำไม?