คุณหยั่งรู้ค่าสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำไหม?
“ถ้าผู้ใดต้องการตามเรามาก็ให้ผู้นั้นปฏิเสธตัวเอง และรับเอาเสาทรมานของตนวันแล้ววันแล่า แล้วติดตามเราเรื่อยไป.”—ลูกา 9:23, ล.ม.
1. ของประทานต่าง ๆ ที่ดีเลิศซึ่งพระเจ้าทรงโปรดให้แก่เรามีอะไรบ้าง?
เราเป็นหนี้บุญคุณชีวิตต่อพระเจ้า. ถ้าพระองค์มิได้สร้างมนุษย์ เราก็คงจะไม่ได้เกิดมา. แต่ไม่เฉพาะชีวิตเท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง. พระองค์ทรงสร้างเราอย่างที่เราจะสามารถชื่นชมกับหลายสิ่งหลายอย่าง เช่นรสชาติของอาหาร ความอบอุ่นจากแสงแดด เสียงดนตรี ความสดชื่นในฤดูใบไม้ผลิ ความอ่อนละมุนของความรัก. ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงประทานโปรดให้เรามีความคิดจิตใจและความปรารถนาจะเรียนรู้จักพระองค์. พระองค์ดลบันดาลให้มีการจารึกพระคัมภีร์ไว้เป็นเครื่องนำทางอย่างดีแก่พวกเรา ชี้แนะวิธีดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น ทั้งก่อความหวังเรื่องการดำรงชีวิตอยู่ตลอดกาลในโลกใหม่อันชอบธรรมของพระองค์. ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ การสนับสนุนจากประชาคมท้องถิ่น พร้อมกับผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งชายและหญิงที่เปี่ยมด้วยความรักซึ่งสามารถช่วยเราให้มั่นคงเข้มแข็งในงานรับใช้พระเจ้า.—เยเนซิศ 1:1, 26-28; 2 ติโมเธียว 3:15-17; เฮ็บราย 10:24, 25; ยาโกโบ 5:14, 15.
2. (ก) สิ่งเด่นชัดที่สุดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำเพื่อเราคืออะไร? (ข) เราสามารถได้มาซึ่งความรอดโดยการประพฤติไหม?
2 ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น พระเจ้าได้ส่งพระบุตรหัวปีของพระองค์ลงมาสอนเรามากขึ้นถึงสิ่งที่พระบิดาคาดหมายให้เราทำ และเพื่อเตรียมการ “ปลดเปลื้องด้วยค่าไถ่” สำหรับทุกคนที่จะยอมรับค่าไถ่. (เอเฟโซ 1:7; โรม 5:18) พระบุตรองค์นี้คือพระเยซูคริสต์ตรัสดังนี้: “พระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะมิได้พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์.” (โยฮัน 3:16) ความรอดที่เป็นไปได้เนื่องจากค่าไถ่นั้นมีคุณค่าประเสริฐยิ่ง ซึ่งไม่มีทางที่ใคร ๆ สามารถจะได้ความรอดนั้นมาโดยการประพฤติ เป็นที่แน่นอนว่าไม่ใช่การประพฤติอย่างทำกันแต่ก่อน ๆ ตามบัญญัติของโมเซ. เหตุฉะนั้น เปาโลเขียนอย่างนี้: “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามพระบัญญัติ แต่โดยศรัทธาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น.”—ฆะลาเตีย 2:16; โรม 3:20-24.
ความเชื่อและการประพฤติ
3. ยาโกโบกล่าวอย่างไรเรื่องความเชื่อกับการประพฤติ?
3 ที่จะรอดก็เนื่องด้วยความเชื่อ แต่ความเชื่อและความหยั่งรู้ค่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำไปนั้นน่าจะกระตุ้นเราให้ลงมือปฏิบัติ. ความเชื่อน่าจะกระตุ้นเราให้กระทำการซึ่งสำแดงความเชื่อของเรา. ยาโกโบน้องชายร่วมมารดาของพระเยซูเขียนไว้ว่า “ความเชื่อก็เหมือนกันถ้าไม่มีการประพฤติก็ตายอยู่ในตัวแล้ว.” ท่านกล่าวต่อไปว่า “จงแสดงให้ข้าเห็นความเชื่อของท่านแยกจากการประพฤติ และข้าจะแสดงให้ท่านเห็นความเชื่อด้วยการประพฤติของข้า.” ยาโกโบได้ชี้ชัดว่า แม้แต่พวกปีศาจ “ก็เชื่อและกลัวจนตัวสั่น” แต่ก็ปรากฏชัดแล้วว่าพวกปีศาจไม่ประพฤติในทางของพระเจ้า. ฝ่ายอับราฮามมีความเชื่อรวมเข้ากับการประพฤติ. “ความเชื่อของท่านร่วมประสานกับความประพฤติของท่าน และความประพฤติทำให้ความเชื่อของท่านสมบูรณ์.” ยาโกโบกล่าวซ้ำอีกว่า “ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้ว.”—ยาโกโบ 2:17-26, ล.ม.
4. พระเยซูตรัสไว้อย่างไรเกี่ยวกับคนที่ต้องการติดตามพระองค์จะพึงกระทำ?
4 อนึ่ง พระเยซูทรงชี้ถึงความสำคัญของการประพฤติที่ถูกต้องโดยตรัสว่า “ให้ความสว่างของท่านส่องไปต่อหน้าคนทั้งปวงอย่างนั้น เพื่อเขาจะได้เห็นการดีของท่าน แล้วจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์.” “ถ้าผู้ใดต้องการตามเรามาก็ให้ผู้นั้นปฏิเสธตัวเอง และรับเอาเสาทรมานของตนวันแล้ววันเล่า แล้วติดตามเราเรื่อยไป.”a ถ้าเรา “ปฏิเสธ” ตัวเอง เราจะสละหลายสิ่งที่เราคงจะเลือกเอาหากเราไม่ได้ปฏิเสธตัวเอง. เราสำนึกว่าทุกสิ่งที่เรามีอยู่นั้นเนื่องมาจากพระเจ้า ดังนั้นเรามอบตัวเองเป็นทาสของพระองค์ พยายามจะเรียนให้รู้จักและทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์ เหมือนพระเยซูทรงกระทำ.—มัดธาย 5:16; ลูกา 9:23; โยฮัน 6:38.
ผลกระทบต่อชีวิต
5. (ก) เปโตรชี้ให้เห็นว่าอะไรซึ่งน่าจะกระทบวิถีชีวิตของเรา? (ข) เปโตรสนับสนุนการงานที่ดีอะไร?
5 เปโตรชี้แจงว่า “โลหิตอันมีค่า” ของพระคริสต์ซึ่งได้สละเพื่อเรานั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าล้ำเลิศถึงขนาดความหยั่งรู้ค่าของเราน่าจะปรากฏในทุกแง่ทุกมุมของชีวิต. อัครสาวกได้จัดเรียงการกระทำหลายอย่างซึ่งความหยั่งรู้ค่าของเราควรจะกระตุ้นให้เราลงมือกระทำ. ท่านแนะนำดังนี้: “จงถอดทิ้งความชั่วร้ายทุกอย่าง.” “จงปลูกฝังความปรารถนาที่จะได้น้ำนมอันไม่มีอะไรเจือปนที่เป็นของพระคำ.” “ประกาศเผยแพร่พระบารมีคุณของพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์.” “หันหนีจากสิ่งที่ชั่วและกระทำสิ่งที่ดี.” “เตรียมพร้อมเสมอที่จะโต้ตอบต่อหน้าทุกคนซึ่งเรียกเหตุผลจากท่านสำหรับความหวังของท่าน.” “ดำเนินชีวิตในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในเนื้อหนัง ไม่ใช่เพื่อความปรารถนาของมนุษย์อีกต่อไป แต่เพื่อพระทัยประสงค์ของพระเจ้า.”—1 เปโตร 1:19; 2:1, 2, 9; 3:11, 15; 4:2, ล.ม.
6. (ก) คริสเตียนศตวรรษแรกแสดงความเชื่อของเขาโดยวิธีใด? (ข) เรื่องนี้เป็นการวางตัวอย่างอะไรบ้างสำหรับเรา?
6 คริสเตียนสมัยศตวรรษแรกดำเนินชีวิตสมกับความเชื่อ. ความเชื่อเปลี่ยนทัศนคติและบุคลิกของเขา ทำให้เขาปรารถนาจะดำเนินชีวิตประสานกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. คนเหล่านั้นทนการถูกเนรเทศ ถูกหินขว้าง ถูกโบย ถูกจำคุก กระทั่งเสียชีวิตแทนที่จะละเมิดความเชื่อของตน. (กิจการ 7:58-60; 8:1; 14:19; 16:22; 1 โกรินโธ 6:9-11; เอเฟโซ 4:22-24; โกโลซาย 4:3; ฟิเลโมน 9, 10) ทาซิทุสนักประวัติศาสตร์ชาวโรมันผู้มีชื่อเสียง เกิดราวปีสากลศักราช 50 บันทึกว่า คริสเตียน “ถูกเผาไฟทั้งเป็น ใช้จุดต่างคบไฟในตอนค่ำคืนเมื่อสิ้นแสงตะวันแล้ว.” กระนั้น พวกเขาก็ไม่หวั่นไหว!—ดิ แอนนัลส์ เล่มสิบห้า วรรค 44.
7. บางคนอาจเจอตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบไหน?
7 ในบางประชาคมคุณอาจพบเห็นบุคคลซึ่งได้เข้าร่วมประชุมเป็นเวลาหลายปี. คนเหล่านี้รักองค์การของพระยะโฮวา คิดว่าเท่าที่เห็นมาก็มีพลไพร่ของพระเจ้านี้แหละเป็นกลุ่มชนที่น่าคบที่สุด เขาออกความคิดเห็นอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับสัจธรรม และกล่าวป้องกันความจริงต่อคนนอกองค์การ. แต่มีบางสิ่งกั้นกางเขาไว้ คอยเหนี่ยวรั้งเขา. พวกเขาไม่เคยก้าวไปถึงขั้นตอนอันดีอย่างที่ 3,000 คนได้บรรลุในวันเพ็นเตคอสเต ซึ่งชาวเอธิโอเปียผู้มีความเชื่อไต่ถาม หรือซึ่งอะนาเนียสนับสนุนเซาโลให้ทำทันที่เมื่ออดีตผู้ปะทุษร้ายคนนี้ได้ตระหนักว่าพระเยซูที่แท้ก็คือมาซีฮา. (กิจการ 2:41; 8:36; 22:16) เวลานี้สิ่งซึ่งบุคคลดังกล่าวขาดไปคืออะไร? ทำไมคนเหล่านี้จึงไม่ได้ทำซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่า “การทูลขอพระเจ้าเพื่อสติรู้สึกผิดชอบอันดี”? (1 เปโตร 3: 21, ล.ม.) ถ้าคุณพบตัวเองอยู่ในสภาพเช่นที่กล่าวมา—คือรู้ความจริงแต่ยังรีรอไม่ลงมือทำ—จงถือว่าบทความนี้เตรียมไว้ด้วยความรักต่อคุณเป็นพิเศษ.
เอาชนะอุปสรรคกีดขวางการรับบัพติสมา
8. หากในอดีตคุณไม่ชอบการเรียนเขียนอ่าน แนวทางที่ดีอะไรซึ่งน่าจะนำมาใช้?
8 คุณอาจมีอะไรเป็นข้อขัดข้อง? บทความก่อนหน้านี้แสดงว่าบางคนอาจมองการศึกษาส่วนตัวเป็นปัญหา. พระเจ้าได้ประทานจิตใจอันน่าพิศวงแก่เรา และพระองค์ทรงคาดหมายให้เราใช้จิตใจเมื่อทำการรับใช้พระองค์. บางคนซึ่งถึงกับไม่เคยเรียนหนังสือ แต่เขาอุตสาหะพยายามเรียนหนังสือเพื่อจะเรียนมากขึ้นเกี่ยวด้วยเรื่องพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์. ส่วนคุณล่ะเป็นอย่างไร? ถ้าคุณอ่านหนังสือได้แล้ว คุณศึกษาจริง ๆ จัง ๆ ไหมเหมือนชาวเมืองเบรอยะที่ได้ ‘ค้นดูพระคัมภีร์ทุกวันอย่างถ้วนถี่’ เพื่อจะรู้ข้อความเหล่านั้นจริงดังกล่าวหรือไม่? คุณได้สำรวจ ‘ความกว้าง ความยาว ความสูง’ ของสัจธรรมไหม? คุณขุดค้นพระคำของพระเจ้าลึกพอไหม? คุณพบไหมว่าที่จริงแล้วน่าตื่นเต้นเพียงไร? คุณพัฒนาความปรารถนาจริง ๆ ที่จะรู้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าไหม? คุณกระหาย อยากรู้สัจธรรมอย่างแท้จริงไหม?—กิจการ 17:10, 11; เอเฟโซ 3:18.
9. อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้องพึงกระทำหากคุณมีปัญหากับบางคนในประชาคม?
9 บางครั้งผู้คนลังเลเนื่องจากมีปัญหาจริงหรือนึกเอาเองซึ่งเขาเคยมีเรื่องบาดหมางกับบางคนในประชาคม. มีคนเคยก่อความขุ่นเคืองแก่คุณไหม? ถ้าเช่นนั้นจงทำตามการชี้แนะซึ่งระบุไว้โดยคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “จงไปแจ้งความผิดนั้นกับเขาสองต่อสองเท่านั้น.” (มัดธาย 18:15) คุณอาจจะแปลกใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้ทำให้คุณขัดเคืองใจ. แต่ถึงแม้เขารู้ คุณก็ยัง ‘คืนดีกับพี่น้องได้’ ดังที่พระเยซูได้ตรัสไว้. นอกจากนั้น คุณอาจช่วยเขาหลีกเลี่ยงการทำให้คนอื่นสะดุด. ยิ่งกว่านั้น เมื่อคุณคิดไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมด คุณรับใช้ใครแน่—รับใช้คน ๆ นั้นหรือพระเจ้า? ความรักของคุณต่อพระเจ้านั้นจำกัด จนคุณยอมให้ความผิดของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์เข้ามารบกวนความรักของคุณต่อพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?
10, 11. คุณควรทำประการใด ถ้าการบาปของคุณที่คนอื่นไม่รู้เห็นนั้นเป็นอุปสรรคสำหรับคุณ?
10 การทำผิดอย่างลับ ๆ อาจถ่วงคนเรามิให้รับบัพติสมา. ทั้งนี้อาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต หรืออาจเป็นการทำผิดอย่างต่อเนื่อง. ถ้าเรื่องนี้เป็นปัญหาสำหรับคุณ ถึงเวลาควรจะแก้ไขแล้วมิใช่หรือ? (1 โกรินโธ 7:29-31) พลไพร่ของพระยะโฮวาหลายคนต่างก็เคยต้องเปลี่ยนแนวชีวิตของตน. พระคัมภีร์กล่าวกำชับว่า “เพราะฉะนั้น จงกลับใจเสียใหม่และหันกลับเพื่อความบาปของท่านทั้งหลายจะรับการปลดเปลื้อง เพื่อฤดูแห่งความสดชื่นจะมาจากพระพักตร์ของพระยะโฮวา.”—กิจการ 3:19, ล.ม.
11 ไม่ว่าคุณเคยกระทำผิดบาปอะไรมาแล้วในอดีต คุณสามารถกลับใจแล้วเปลี่ยนการประพฤติและทูลขอพระเจ้าโปรดอภัยความผิด. “เหตุฉะนั้น จงประหารอวัยวะแห่งร่างกายของท่านทั้งหลาย ซึ่งอยู่บนแผ่นดินโลกนี้ในเรื่องการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาที่เกิดความเสียหาย . . . จงถอดทิ้งบุคลิกลักษณะเก่ากับกิจปฏิบัติต่าง ๆ ของมันเสีย และสวมบุคลิกลักษณะใหม่ที่กำลังสร้างขึ้นใหม่ด้วยความรู้ถ่องแท้ตามแบบพระฉายของพระองค์ผู้ได้ทรงสร้างบุคลิกลักษณะใหม่นั้น.” คุณสามารถนำชีวิตของคุณให้เข้าประสานกับแนวทางของพระองค์ มีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาด และมีความหวังจะได้รับชีวิตนิรันดร์ในโลกใหม่อันชอบธรรมของพระองค์ได้. ทั้งหมดนี้จะไม่คุ้มกับความพยายามใด ๆ ที่จำเป็นทีเดียวหรือ?—โกโลซาย 3:5-10, ล.ม.; ยะซายา 1:16, 18; 1 โกรินโธ 6:9-11; เฮ็บราย 9:14.
12. คุณควรทำประการใด ถ้าการใช้ยาสูบ การใช้แอลกอฮอล์อย่างที่ให้โทษหรือยาเสพย์ติดเป็นอุปสรรคต่อการมีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาด?
12 การใช้ยาสูบ การใช้แอลกอฮอล์ในทางผิด หรือการติดยาเป็นอุปสรรคขัดต่อสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาดของคุณไหม? นิสัยต่าง ๆ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตเช่นนั้น ส่อให้เห็นการขาดความนับถือต่อของประทานที่มหัศจรรย์จากพระเจ้าอันได้แก่ชีวิตมิใช่หรือ? ถ้านิสัยดังกล่าวยังเป็นสิ่งขัดขวางคุณ ก็ถึงเวลาแล้วที่คุณจะแก้ไขนิสัยดังกล่าว. นิสัยต่าง ๆ ที่กล่าวมามีค่าเท่าชีวิตของคุณไหม? เปาโลกล่าวว่า “ให้เราชำระตัวของเราให้ปราศจากมลทินทุกอย่างแห่งเนื้อหนังและวิญญาณจิต และให้เรากระทำความบริสุทธิ์ให้สำเร็จโดยความเกรงกลัวพระเจ้า.” คุณหยั่งรู้ค่าแนวทางบริสุทธิ์สะอาดและชอบธรรมของพระเจ้าเพียงพอไหมที่จะสลัดนิสัยนั้นทิ้งไป?b—2 โกรินโธ 7:1.
ปัจจัยต่าง ๆ ด้านวัตถุ
13, 14. (ก) พระคัมภีร์กล่าวอย่างไรเกี่ยวกับเป้าหมายด้านวัตถุ? (ข) ทำไมจึงจำเป็นที่จะจัดสิ่งต่าง ๆ ฝ่ายสวรรค์ไว้เป็นอันดับแรก?
13 โลกสมัยนี้ยึดเอาความสำเร็จและ “การอวดอ้างวิถีทางแห่งชีวิตของตน” ขึ้นหน้าสิ่งอื่นเกือบทุกอย่าง. แต่พระเยซูทรงเปรียบเทียบ ‘ความปรารภปรารมภ์เกี่ยวด้วยระบบแห่งสิ่งต่าง ๆ และการล่อลวงแห่งทรัพย์สมบัติ’ เสมือน “หนาม” ที่งอกขึ้นปกคลุมพระคำของพระเจ้า. พระองค์ตรัสถามอีกด้วยว่า “ถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตนจะเป็นประโยชน์อะไร?”—1 โยฮัน 2:16, ล.ม.; มาระโก 4:2-8, 18, 19; มัดธาย 16:26.
14 พระเยซูทรงชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเตรียมการไว้สำหรับนกจะหาอาหารได้ และดอกไม้จะชูช่อบานอย่างงดงาม. ครั้นแล้วพระองค์ทรงถามว่า “ท่านทั้งหลายไม่ประเสริฐยิ่งกว่านกหรือ? . . . พระองค์จะทรงตกแต่งพวกท่านมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด!” พระเยซูทรงแนะนำอย่างสุขุมให้ ‘เลิกกระวนกระวาย’ เกี่ยวด้วยวัตถุปัจจัย และให้ “แสวงหาราชอาณาจักร [ของพระเจ้า] ต่อ ๆ ไป แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้.” พระองค์ทรงชี้แจงว่า เราควรจัดเอาสิ่งต่าง ๆ ฝ่ายสวรรค์ไว้เป็นอันดับแรก เพราะ “ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย.”—ลูกา 12:22-31; มัดธาย 6:20, 21.
การรับใช้ด้วยความเลื่อมใสพร้อมกับการช่วยเหลือจากพระเจ้า
15. คริสเตียนศตวรรษแรกได้ให้ตัวอย่างอะไรที่ดีเป็นกำลังใจแก่พวกเรา?
15 การประกาศให้คำพยานแก่คนอื่นดูเหมือนเป็นปัญหาสำหรับคุณไหม? ความไม่กล้าเข้าหน้าคนเป็นเหตุให้คุณรีรออยู่ไหม? ถ้าเช่นนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะจำไว้ว่าคริสเตียนศตวรรษแรกก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันกับพวกเราสมัยนี้. พระเจ้าหาได้ทรงเลือกคนฉลาดและคนใหญ่คนโตมากมายหลายคนไม่ แต่พระองค์ทรงเลือก “สิ่งที่โลกถือว่าอ่อนกำลัง เพื่อจะให้คนมีกำลังมากอับอาย.” (1 โกรินโธ 1:26-29) ผู้นำศาสนาที่มีอำนาจได้ขัดขวางคนเหล่านี้ที่ “มิได้เรียนมาก” แล้วสั่งห้ามพวกเขาประกาศ. คนเหล่านั้นทำประการใด? เขาได้อธิษฐาน. พวกเขาทูลขอพระเจ้าเพื่อจะมีความกล้า และพระองค์ได้ทรงประทานแก่เขา. ผลที่ตามมาก็คือ ข่าวสารที่เขาได้ประกาศนั้นแพร่กระจายไปทั่วกรุงยะรูซาเลม และต่อมาทั่วโลกสั่นสะเทือนเพราะข่าวนี้!—กิจการ 4:1-4, 13, 17, 23, 24, 29-31; 5:28, 29; โกโลซาย 1:23.
16. เราได้เรียนอะไรจาก “พยานหมู่ใหญ่” ตามคำพรรณนาในเฮ็บรายบท 11?
16 ดังนั้น ไม่ควรปล่อยให้ความกลัวหน้ามนุษย์ขัดขวางเราในงานรับใช้พระเจ้า. พระธรรมเฮ็บรายบท 11 แจ้งรายชื่อ “พยาน” หมู่ใหญ่ผู้ซึ่งไม่กลัวมนุษย์แต่กลัวพระเจ้า. พวกเราก็น่าจะแสดงความเชื่อทำนองเดียวกัน. อัครสาวกได้เขียนอย่างนี้ “ครั้นเรามีพยานหมู่ใหญ่อย่างนั้นอยู่รอบข้าง ให้เราทิ้งของหนักทุกสิ่งที่ขัดข้องอยู่และการผิดที่เรามักง่ายกระทำนั้น และการวิ่งแข่งกันที่กำหนดไว้สำหรับเรานั้นให้เราวิ่งด้วยความเพียรพยายาม.”—เฮ็บราย 12:1.
17. พระเจ้าทรงให้การหนุนใจเช่นไรผ่านทางยะซายา?
17 พระเจ้าสามารถให้ความช่วยเหลืออย่างมากมายแก่ผู้รับใช้ของพระองค์. พระผู้สร้างเอกภพได้ตรัสแก่ยะซายาว่า “ผู้ที่คอยท่าพระยะโฮวาจะได้รับกำลังเพิ่มขึ้น เขาจะกางปีกบินขึ้นไปดุจนกอินทรี เขาจะวิ่งไปและไม่รู้จักอ่อนเปลี้ย เขาจะเดินไป และไม่รู้จักอิดโรย.”—ยะซายา 40:31.
18. โดยวิธีใดคุณสามารถขจัดความไม่กล้าที่จะร่วมงานประกาศสั่งสอน?
18 เหล่าพยานที่กล้าหาญและร่าเริงยินดีซึ่งคุณพบเห็นอยู่ที่ประชาคมท้องถิ่นเป็นเพียงส่วนน้อยในจำนวนผู้รับใช้สามล้านกว่าคนที่กระตือรือร้นทำงานอยู่ทั่วโลก. คนเหล่านี้ชื่นชมที่มีส่วนร่วมงานซึ่งพระเยซูคริสต์เองทรงกล่าวพยากรณ์ว่า “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วแผ่นดินโลกที่มีผู้คนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ แล้วจุดอวสานจะมาถึง.” หากการเข้าร่วมงานประกาศสั่งสอนเรื่องราชอาณาจักรเป็นปัญหาสำหรับคุณ ถึงแม้คุณเองมีคุณสมบัติพร้อมแล้วก็ตาม ทำไมคุณไม่ขอไปกับพยานที่ช่ำชองในงานประกาศเพื่อจะร่วมทำงานกับเขา? ที่จริง พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้แล้วเพื่อคุณจะมี “ฤทธิ์เดชอันเลิศ” และคุณจะแปลกใจเมื่อพบว่าการรับใช้ด้วยความเลื่อมใสนำมาซึ่งความชื่นชมอย่างแท้จริง.—มัดธาย 24:14; 2 โกรินโธ 4:7; ดูที่บทเพลงสรรเสริญ 56:11; มัดธาย 5:11, 12; ฟิลิปปอย 4:13 ด้วย.
19. พระเยซูสั่งสาวกของพระองค์ให้ทำงานสั่งสอนแบบไหน?
19 พระเยซูทรงคาดหมายว่าคนเหล่านั้นที่หยั่งรู้ค่าข่าวสารราชอาณาจักรจะลงมือปฏิบัติตามความรู้นั้น. พระองค์ตรัสว่า “เหตุฉะนั้น จงออกไปทำให้คนจากทุกชาติเป็นสาวก ให้เขารับบัพติสมาในนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราสั่งพวกท่านทั้งหลาย.”—มัดธาย 28:19, 20, ล.ม.
20. ถ้าคุณมุ่งหน้าฝ่ายวิญญาณอยู่ ในไม่ช้าคำถามอะไรอาจจะเหมาะสำหรับคุณ?
20 การที่คุณหยั่งรู้ค่าในพระพรนานาประการจากพระเจ้า หยั่งรู้ค่า “โลหิตอันมีค่า” ของพระเยซู และความหวังอันมหัศจรรย์เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์นั้นเป็นแรงกระตุ้นให้คุณลงมือปฏิบัติไหม? (1 เปโตร 1:19) คุณได้จัดแนวชีวิตของคุณเข้าประสานกับข้อเรียกร้องที่ชอบธรรมของพระเจ้าไหม? คุณมีส่วนร่วมเป็นประจำไหมในการทำให้คนเป็นสาวก? คุณได้ปฏิเสธตัวเองไหมแล้วอุทิศชีวิตแด่พระเจ้า? ถ้าคุณตอบคำถามเหล่านี้ด้วยความมั่นใจว่าใช่ ก็คงได้เวลาพึงถามผู้ปกครองคนใดคนหนึ่งในประชาคมที่คุณร่วมอยู่ด้วย อย่างที่ชายชาวเอธิโอเปียถามฟิลิปว่า “มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติสมา?”—กิจการ 8:36.
[เชิงอรรถ]
a คัมภีร์ฉบับแปลเจรูซาเลมไบเบิล แปลข้อนี้ว่า “สละตัวเอง.” ฉบับแปลโดย เจ. บี. ฟิลิปส์บอกว่า “สละสิทธิ์ทุกอย่างในตนเอง.” ฉบับแปลเดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล ว่า “ละตัวเองไว้เบื้องหลัง.”
b คำแนะนำเรื่องการเลิกนิสัยไม่ดีเช่นนั้น โปรดอ่านหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 สิงหาคม 1981 หน้า 3-12; 1 พฤศจิกายน 1973 หน้า 656-663; และตื่นเถิด 8 พฤศจิกายน 1982 หน้า 25-28; 8 กันยายน 1981 หน้า 6-18. จะหาอ่านวารสารนี้ได้จากห้องสมุดของหอประชุมพยานพระยะโฮวา.
คุณจำได้ไหม?
▫ เรามีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษที่เราแสดงความขอบพระคุณพระเจ้า?
▫ ความเชื่อและความหยั่งรู้ค่าควรกระตุ้นเราทำอะไร?
▫ อุปสรรคอะไรบ้างอาจขัดขวางเราในการแสดงความเชื่อฟังต่อพระเจ้า และเราสามารถทำอะไรได้บ้างในเรื่องนี้?
▫ ผู้ที่ยังไม่ได้รับบัพติสมาอาจถามตัวเองอย่างไร?
[กรอบหน้า 18]
‘ฉันเป็น “ดิน” ชนิดใด?’
พระเยซูทรงให้อุทาหรณ์เรื่องชายผู้หนึ่งได้ออกไปหว่านพืช. เมล็ดพืชที่ตกริมทางก็มีนกมาจิกกินเสีย. บ้างก็ตกที่หินมากดินน้อย. พืชงอกก็จริง แต่เมื่อแดดออกร้อนก็เฉาตาย. บ้างก็ตกกลางหนาม ๆ ก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย. พระเยซูทรงชี้แจงว่าดินสามชนิดนี้หมายถึง: ชนิดแรก บุคคลที่ “ได้ยินคำแห่งแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ” ชนิดที่สองได้แก่ผู้ที่รับเอาพระคำแต่ไม่มุ่งมั่นอีกต่อไป เพราะความร้อนแรงอันเนื่องมาจาก “การข่มเหงหรือการประทุษร้าย” และชนิดที่สามได้แก่บุคคลที่ “ความปรารภปรารมภ์ด้วยโลกนี้และการล่อล่วงแห่งทรัพย์สมบัติก็ปกคลุมพระวจนะนั้นไว้.”
แต่พระเยซูทรงกล่าวถึงเมล็ดพืชซึ่งตกที่ดินดีด้วย. พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ จึงเกิดผล.”—มัดธาย 13:3-8, 18-23.
คงจะดีหากจะถามตัวเองว่า ‘ฉันเป็น “ดิน” ชนิดใด?’
[กรอบหน้า 19]
เขาตายเพราะความเชื่อศรัทธา
คุณรู้จักใครบ้างไหมที่ยอมตายดีกว่ายอมเสียความเชื่อของตน? พยานพระยะโฮวานับพัน ๆ เคยทำอย่างนั้น. ในหนังสือการปกครองระบอบนาซีกับศาสนาใหม่: การศึกษาวิจัยห้ารายที่ไม่ยอมปฏิบัติตาม โดย ดร. คริสติน อี. คิง เขียนอย่างนี้: “พยานฯชาวเยอรมันทุก ๆ สองคนถูกขังคุกหนึ่งคน หนึ่งในสี่คนเสียชีวิต.”
ในที่สุด เมื่อความสยดสยองภายในค่ายกักกันสิ้นสุดเมื่อปี 1945 “พยานพระยะโฮวามีจำนวนเพิ่มขึ้นและไม่มีการอะลุ้มอล่วย.” เจ. เอส. คอนเวย์เขียนเรื่องพยานพระยะโฮวาในหนังสือนาซีข่มเหงคริสต์จักร ดังนี้ “ไม่มีนิกายอื่นแสดงความมุ่งมั่นตั้งใจเหมือนพยานฯในยามที่เผชิญกับความหฤโหดของตำรวจลับ.”
พยานพระยะโฮวาถูกกดขี่ข่มเหงมิใช่เพราะการเมืองหรือเผ่าพันธุ์เป็นเหตุ. เขาทนรับทุกข์เนื่องจากพวกเขารักพระเจ้า และเขาไม่ยอมฝืนสติรู้สึกผิดชอบของตนซึ่งได้รับการอบรมตามหลักการของพระคัมภีร์.