บทบาทของอำนาจที่สูงกว่า
“เพราะอำนาจนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าสำหรับท่านเพื่อประโยชน์ของท่าน.แต่ถ้าท่านกระทำการชั่ว ก็จงกลัว.”—โรม 13:4, ล.ม.
1, 2. ผู้คนมากมายในคริสต์ศาสนจักรได้นำตัวเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไรกับกิจกรรมต่าง ๆ ในรูปของการปฏิวัติ?
สองปีมาแล้ว การประชุมของหัวหน้าบาทหลวงในลอนดอนได้เป็นเหตุให้มีบทบรรณาธิการที่แค้นเคืองในหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก โพสท์. การชุมนุมครั้งนั้นมีหัวหน้าบาทหลวงมากกว่า 500 องค์จากสำนักนิกายแองกลิกันได้ร่วมประชุมในสภาเลมเบธ. ความเคืองแค้นเกิดขึ้นเนื่องจากมติของที่ประชุมแสดงความเห็นใจสำหรับผู้คน “ซึ่งหลังจากหมดสิ้นวิธีการทุกอย่างแล้ว เลือกเอาการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธว่าเป็นทางเดียวเพื่อได้มาซึ่งความเป็นธรรม.”
2 โพสท์ กล่าวว่าการทำเช่นนั้นที่แท้เป็นการเห็นพ้องกับลัทธิก่อการร้าย. อย่างไรก็ดี พวกหัวหน้าบาทหลวงก็เพียงแต่ลู่ตามแนวโน้มที่กำลังขยายตัว. ทัศนะของพวกเขาไม่ต่างไปจากพวกบาทหลวงลัทธิคาทอลิกในประเทศกานาซึ่งพูดในเชิงแนะนำให้ทำสงครามกองโจรว่าเป็นวิธีปลดปล่อยแอฟริกาได้รวดเร็วที่สุด ได้ผลแน่นอนที่สุดและปลอดภัยที่สุด และไม่ต่างไปจากทัศนะของหัวหน้าบาทหลวงลัทธิเมโธดิสท์ในแอฟริกาผู้ซึ่งปฏิญาณตนจะทำ “สงครามปลดปล่อยจนถึงที่สุด” ไม่ต่างไปจากคณะมิชชันนารีหลายกลุ่มแห่งคริสต์ศาสนจักรซึ่งต่อสู้ร่วมกับพวกกบฏต่อต้านรัฐบาลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายในเอเชียและอเมริกาใต้.
คริสเตียนแท้ไม่ ‘ต่อต้านผู้มีอำนาจ’
3, 4. (ก) หลักการอะไรที่ถูกละเมิดโดยพวกที่ได้ชื่อเป็นคริสเตียนซึ่งสนับสนุนการปฏิวัติ? (ข) มีผู้หนึ่งได้มารู้เห็นอะไรเกี่ยวด้วยพยานพระยะโฮวา?
3 ในศตวรรษแรก พระเยซูตรัสถึงสาวกของพระองค์ว่า “เขาไม่อยู่ฝ่ายโลก เหมือนข้าพเจ้าไม่อยู่ฝ่ายโลก.” (โยฮัน 17:14) ใคร ๆ ที่ได้ชื่อเป็นคริสเตียนและสนับสนุนการปฏิวัติ เป็นฝ่ายโลกอย่างแน่นอน. เขาไม่ใช่สาวกของพระเยซูและหาใช่ “อยู่ใต้อำนาจที่สูงกว่า.” (โรม 13:1) เขาน่าจะใส่ใจคำเตือนสติของอัครสาวกเปาโลที่ว่า “ผู้ซึ่งต่อต้านอำนาจนั้น ต่อต้านการจัดเตรียมของพระเจ้า บุคคลเหล่านั้นที่ได้ตั้งตัวต่อต้านการจัดเตรียมนั้น จะได้รับการพิพากษาสำหรับตน.”—โรม 13:2, ล.ม.
4 ตรงกันข้ามกับผู้คนมากมายในคริสต์ศาสนจักร พยานพระยะโฮวาไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับความรุนแรงด้วยการใช้อาวุธ. ชายผู้หนึ่งในยุโรปได้เรียนรู้ถึงข้อนี้. เขาเขียนว่า “เมื่อแลเห็นผลอันเกิดจากน้ำมือของศาสนาและการเมือง ผมจึงได้อุทิศชีวิตเพื่อล้มล้างทำลายระบบสังคมที่สืบทอดมา. ผมเข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายและถูกฝึกให้ใช้อาวุธทุกรูปแบบ ผมเคยร่วมในการปล้นโดยการใช้อาวุธหลายครั้ง. ชีวิตของผมหมิ่นเหม่ต่ออันตรายตลอดเวลา. ครั้นเวลาผ่านไปก็เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ของเรามีแต่พ่ายแพ้. ผมเป็นคนคับข้องใจ รู้สึกหมดหวังในชีวิต. ครั้นแล้วมีพยานพระยะโฮวามาเคาะที่ประตู. เธอพูดถึงเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. ด้วยการยืนกรานว่าพูดกับผมก็เสียเวลาเปล่า ผมแนะเธอให้พูดกับภรรยาของผม. เธอทำเช่นนั้น แล้วมีการเริ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่บ้าน. ในที่สุดผมตกลงจะร่วมศึกษาด้วย. ไม่มีคำพรรณนาใด ๆ จะเหมาะสมกับความรู้สึกปลอดโปร่งใจที่ผมได้มาเข้าใจเรื่องอำนาจซึ่งผลักดันมนุษย์ไปในทางชั่ว. คำสัญญาอันน่าทึ่งเกี่ยวกับราชอาณาจักรทำให้ผมมีความหวังที่ค้ำจุนผมและมีจุดมุ่งหมายในชีวิต.”
5. ทำไมคริสเตียนดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขใต้อำนาจที่สูงกว่า และจะเป็นเช่นนี้นานอีกเท่าไร?
5 คริสเตียนเป็นราชทูตหรือตัวแทนของพระเจ้าและของพระคริสต์. (ยะซายา 61:1, 2; 2 โกรินโธ 5:20; เอเฟโซ 6:19, 20) เมื่ออยู่ในฐานะเช่นนี้ คริสเตียนย่อมเป็นกลางต่อการขัดแย้งหรือการต่อสู้ของโลกนี้. ถึงแม้นระบบการเมืองบางประเภทดูเหมือนว่าช่วยให้เจริญทางด้านเศรษฐกิจมากกว่าระบบอื่น หรือบางระบบให้เสรีภาพมากกว่าระบบอื่น ๆ ก็ตาม แต่คริสเตียนจะไม่ส่งเสริมหรือถือว่าระบบหนึ่งดีกว่าอีกระบบหนึ่ง. พวกเขารู้ว่าทุกระบบไม่สมบูรณ์ทั้งนั้น. เป็น “การจัดเตรียมของพระเจ้า” ที่ระบบเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่จนกว่าราชอาณาจักรของพระองค์จะเข้ามาครอบครอง. (ดานิเอล 2:44) ดังนั้น คริสเตียนจึงดำเนินชีวิตอย่างสงบภายใต้อำนาจที่สูงกว่า ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมสวัสดิภาพถาวรของคนอื่นโดยการประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร.—มัดธาย 24:14; 1 เปโตร 3:11, 12.
เชื่อฟังกฎหมาย
6. เหตุใดกฎเกณฑ์หลายอย่างที่มนุษย์ตั้งขึ้นเป็นสิ่งดี ทั้งที่ “โลกทั้งสิ้นทอดตัวจมอยู่ในมารร้าย”?
6 รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ได้วางระเบียบทางด้านกฎหมาย และกฎหมายเหล่านั้นส่วนใหญ่ดี. เรื่องนี้ควรทำให้เราประหลาดใจไหมเมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า “โลกทั้งสิ้นทอดตัวจมอยู่ในมารร้าย”? (1 โยฮัน 5:19) เปล่าเลย. พระยะโฮวาได้ทรงให้อาดามบิดาแรกเดิมของเรามีสติรู้สึกผิดชอบและกฎหมายของมนุษย์สะท้อนความสำนึกภายในเกี่ยวด้วยสิ่งผิดชอบชั่วดีนั้นในหลายทาง. (โรม 2:13-16) ฮัมมูราบี ผู้บัญญัติกฎหมายสมัยบาบูโลนโบราณ กล่าวในบทนำสำหรับประมวลกฎหมายของตนว่าดังนี้: “ครั้งนั้น [พวกเขา] ได้แต่งตั้งข้าฯเจ้าชายฮัมมูราบี ซึ่งเลื่อมใสและเกรงกลัวพระเจ้า ให้ส่งเสริมสวัสดิภาพของประชาชน ให้มีความยุติธรรมแพร่หลายทั่วแผ่นดิน เพื่อกำจัดคนชั่วและความชั่วร้าย เพื่อว่าผู้มีกำลังเข้มแข็งจะไม่กดขี่ผู้มีกำลังน้อย.”
7. ถ้าคนหนึ่งคนใดละเมิดกฎหมาย ใครมีสิทธิ์ลงโทษเขา และเพราะเหตุใด?
7 รัฐบาลต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักออกตัวว่าจุดมุ่งหมายแห่งกฎหมายของตนก็ทำนองเดียวกัน คือส่งเสริมสวัสดิภาพของพลเมืองและระเบียบที่ดีในสังคม. ฉะนั้น รัฐบาลต่าง ๆ จึงวางโทษผู้กระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสังคม เช่นการฆ่าคน การขโมยและวางกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่าง ๆ เช่น กำหนดความเร็วของยวดยานและที่จอดรถ. ใครก็ตามซึ่งจงใจฝ่าฝืนกฎที่วางไว้ก็อยู่ในข่ายขัดขืนอำนาจเจ้าหน้าที่ และ ‘ตัวเขาเองจะถูกพิพากษา.’ ใครจะพิพากษาเขา? ไม่จำเป็นต้องมาจากพระเจ้า. คำพิพากษาภาษากรีกที่ใช้ในข้อนี้อาจหมายถึงวิธีดำเนินการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองแทนที่จะเป็นการพิพากษาโดยพระยะโฮวา. (เทียบกับ 1 โกรินโธ 6:7.) ถ้าคนใดประพฤติผิดกฎหมาย อำนาจที่สูงกว่ามีสิทธิจะลงโทษผู้นั้นได้.
8. ประชาคมจะทำอย่างไรถ้าสมาชิกในประชาคมกระทำผิดร้ายแรง?
8 พยานพระยะโฮวามีชื่อเสียงดีเพราะไม่ต่อต้านขัดขืนผู้มีอำนาจฝ่ายบ้านเมือง. ถ้าบังเอิญมีคนหนึ่งในประชาคมละเมิดกฎหมาย ประชาคมจะไม่ช่วยเขาหลบเลี่ยงการลงโทษตามกฎหมาย. ถ้าคนใดขโมยสิ่งของ ฆ่าคน พูดหมิ่นประมาท จ่ายภาษีไม่ตรงตามที่เป็นจริง ข่มขืน ฉ้อโกง ใช้ยาเสพย์ติดที่ผิดกฎหมายหรือในทางใดอื่นอันเป็นการขัดขืนอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นจะรับการตีสอนอย่างหนักจากประชาคม—และเขาไม่ควรคิดว่าตนถูกข่มเหงเมื่อถูกเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจลงโทษเขา.—1 โกรินโธ 5:12, 13; 1 เปโตร 2:13-17, 20.
เป็นที่น่ากลัว
9. คริสเตียนจะทำอย่างไรที่เหมาะสมถ้าถูกคุกคามจากพวกที่ไม่เคารพกฎหมาย?
9 เปาโลยังคงชี้แจงเรื่องอำนาจที่สูงกว่าต่อไปดังนี้: “เพราะผู้ที่ปกครองเป็นที่น่ากลัว ไม่ใช่ต่อการกระทำชั่ว. ดังนั้น ท่านอยากจะอยู่ปราศจากความกลัวอำนาจนั้นหรือ? จงกระทำการดีต่อ ๆ ไป แล้วท่านจะได้รับคำสรรเสริญจากอำนาจนั้น.” (โรม 13:3, ล.ม.) คริสเตียนผู้ภักดีไม่ใช่ฝ่ายที่ควรกลัวการลงโทษจากผู้มีอำนาจ แต่ผู้ทำผิด ผู้ซึ่ง “ทำชั่ว” คือทำอาชญากรรมต่างหากพึงกลัว. เมื่อถูกคุกคามโดยพวกที่ไม่เคารพกฎหมายเช่นนั้น นับว่าเหมาะสมที่พยานพระยะโฮวาจะขออำนาจคุ้มครองจากฝ่ายตำรวจหรือทหาร.—กิจการ 23:12-22.
10. พยานพระยะโฮวา ‘ได้รับคำสรรเสริญ’ จากผู้มีอำนาจโดยวิธีใด?
10 แก่คริสเตียนที่ปฏิบัติตามกฎหมายของอำนาจที่สูงกว่า เปาโลบอกว่า “ท่านจะได้รับคำสรรเสริญจากอำนาจนั้น.” จงพิจารณาตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้จากจดหมายที่ส่งถึงพยานพระยะโฮวาในประเทศบราซิลภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมภาคที่พวกเขาได้จัดขึ้น. ฉบับหนึ่งจากหัวหน้ากองการกีฬาเทศบาลนครว่าดังนี้ “การประพฤติโดยสันติของท่านสมควรที่จะได้รับการยกย่องอย่างสูง. ภายในโลกปัจจุบันอันยุ่งยากเดือดร้อนเช่นนี้นับว่าเป็นความชื่นชูใจจริง ๆ ที่รู้ว่า ยังมีผู้คนอีกมากมายเชื่อพระเจ้าและนมัสการพระองค์.” จดหมายจากผู้อำนวยการกรีฑาสถานประจำเมือง: “ทั้งที่มีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนมาก แต่เนื่องจากการจัดระเบียบอย่างดีเยี่ยม จึงไม่มีการแจ้งเหตุร้ายใด ๆ ซึ่งก่อความมัวหมองแม้แต่รายเดียว.” จากสำนักนายกเทศมนตรีกล่าวว่า “พวกเราขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีต่อพวกท่านที่ท่านมีระเบียบวินัย มีความประพฤติเรียบร้อยอย่างน่าทึ่งโดยไม่ต้องให้ใครกระตุ้น และพวกเราขอให้ท่านประสบความสำเร็จทุกปรการเมื่อท่านจัดประชุมคราวต่อไป.”
11. ทำไมไม่มีทางจะพูดได้ว่าการประกาศข่าวดีเป็นการกระทำที่ไม่ดี?
11 “การกระทำดี” หมายถึงการกระทำด้วยความเชื่อฟังกฎหมายของผู้มีอำนาจสูงกว่า. นอกจากนั้น งานประกาศสั่งสอนของเราซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาให้เราทำไม่ใช่การทำชั่ว—ข้อนี้นักปกครองทางการเมืองน่าจะรับรู้. งานสั่งสอนเป็นการทำงานเพื่อสาธารณะประโยชน์ ซึ่งส่งเสริมคุณธรรมของผู้ที่ตอบรับให้สูงขึ้น. เหตุฉะนั้น เราจึงหวังไว้ว่า ผู้มีอำนาจสูงกว่าจะคุ้มครองสิทธิของเราในการประกาศสั่งสอนผู้อื่น. เปาโลได้อุทธรณ์ถึงผู้มีอำนาจเพื่อตั้งหลักฐานงานประกาศข่าวดีให้ถูกต้องตามกฎหมาย. (กิจการ 16:35-40; 25:8-12; ฟิลิปปอย 1:7) เมื่อเร็ว ๆ นี้ พยานพระยะโฮวาได้ยื่นขอและได้รับการรับรองเป็นทางการเช่นนั้นในเยอรมนีตะวันออก ฮังการี โปแลนด์ โรมาเนีย เบนินและมยันมาร์ (พม่า).
“อำนาจนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า”
12-14. ผู้มีอำนาจได้ทำหน้าที่เสมือนผู้รับใช้ของพระเจ้าโดยวิธีใด (ก) ในสมัยที่มีการจารึกคัมภีร์ไบเบิล? (ข) สมัยปัจจุบัน?
12 เมื่อพูดถึงอำนาจฝ่ายโลก เปาโลกล่าวต่อไปว่า “เพราะอำนาจนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าสำหรับท่าน เพื่อประโยชน์ของท่าน. แต่ถ้าท่านกระทำการชั่ว ก็จงกลัว เพราะอำนาจนั้นหาได้ถือดาบโดยไม่มีจุดมุ่งหมายไม่; เพราะอำนาจนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เป็นผู้แก้แค้นลงพระอาชญาแก่คนกระทำชั่ว.”—โรม 13:4, ล.ม.
13 ผู้มีอำนาจฝ่ายบ้านเมืองบางครั้งก็ได้ปฏิบัติหน้าที่เสมือนผู้รับใช้ของพระเจ้าในแนวทางเฉพาะ. ไซรัสเป็นอย่างนั้นเมื่อท่านเรียกตัวชาวยิวกลับออกมาจากบาบูโลนไปบูรณะพระวิหารของพระเจ้า. (เอษรา 1:1-4; ยะซายา 44:28) อะระธาสัศธาได้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเมื่อท่านส่งเอษราไปพร้อมกับสิ่งของบริจาคเพื่อบูรณะราชสำนักของพระเจ้า และต่อมาเมื่อท่านมอบหมายให้นะเฮมยาบูรณะกำแพงกรุงยะรูซาเลม. (เอษรา 7:11-26; 8:25-30; นะเฮมยา 2:1-8) ผู้มีอำนาจชาวโรมันก็ได้รับใช้พระเจ้าเช่นกันเมื่อช่วยเหลือเปาโลพ้นจากเหล่าร้ายในยะรูซาเลม คุ้มครองท่านในระหว่างเรือแตก อีกทั้งจัดหาบ้านพักให้เปาโลอยู่เป็นส่วนตัวในกรุงโรม.—กิจการ 21:31, 32; 28:7-10, 30, 31.
14 ในทำนองคล้ายคลึงกัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองได้ปฏิบัติหน้าที่เสมือนผู้รับใช้ของพระเจ้าในสมัยปัจจุบัน. อย่างเช่นในปี 1959 ศาลสูงในประเทศแคนาดาได้พิจารณาตัดสินให้พยานพระยะโฮวาคนหนึ่งในควีเบ็กพ้นคดีซึ่งตั้งข้อหาว่าได้ทำการปลุกระดมและก่อความไม่สงบ—ทั้งนี้เป็นการลบล้างฉันทาคติของเมารีซ ดูเพลสซิส นายกรัฐมนตรี รัฐควีเบ็กสมัยนั้น.
15. โดยทั่ว ๆ ไป ผู้มีอำนาจประพฤติตนเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าในทางใด และการที่เป็นเช่นนี้ทำให้เขามีสิทธิทำอะไร?
15 ยิ่งกว่านั้น โดยปกติแล้ว รัฐบาลประเทศต่าง ๆ เป็นเสมือนผู้รับใช้ของพระเจ้าอยู่แล้วโดยการธำรงความเป็นระเบียบสำหรับส่วนรวมจนกว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าจะรับหน้าที่นี้ไป. ตามที่เปาโลกล่าวว่า ด้วยวัตถุประสงค์เช่นนี้ผู้มีอำนาจ “ถือดาบ” สัญลักษณ์แสดงสิทธิจะลงอาชญา. โดยปกตินั่นย่อมหมายรวมถึงการคุมขัง หรือค่าปรับ. ในบางประเทศยังอาจหมายถึงการลงโทษโดยประหารชีวิต.a อีกด้านหนึ่ง หลายประเทศเลือกที่จะไม่มีการลงโทษโดยประหารชีวิตและนั้นก็เป็นสิทธิ์ของเขาเช่นกัน.
16. (ก) เนื่องจากผู้มีอำนาจรับใช้พระเจ้า ผู้รับใช้ของพระเจ้าบางคนได้พิจารณาเห็นว่าสมควรทำอะไร? (ข) คริสเตียนจะไม่ยอมทำงานแบบไหน และทำไมเขาไม่ทำ?
16 ข้อเท็จจริงที่ว่าอำนาจที่สูงกว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้าเช่นนั้นเป็นเหตุทำให้ดานิเอล ชาวฮีบรูสามคน นะเฮมยา และมาระดะคายสามารถรับเอาตำแหน่งรับผิดชอบระดับสูงในรัฐบาลบาบูโลนและเปอร์เซีย. ดังนั้น บุคคลดังกล่าวสามารถร้องเรียนผู้มีอำนาจปกครองประเทศเพื่อประโยชน์แห่งพลไพร่ของพระเจ้า. (นะเฮมยา 1:11; เอศเธระ 10:3; ดานิเอล 2:48, 49; 6:1, 2) ทุกวันนี้ มีคริสเตียนบางคนที่รับราชการเหมือนกัน. แต่เนื่องจากเขาแยกตัวจากโลกนี้ เขาจึงไม่สมทบกับพรรคการเมือง ไม่แสวงหาตำแหน่งทางการเมือง หรือไม่รับตำแหน่งที่มีหน้าที่วางนโยบายให้องค์การฝ่ายการเมือง.
ความเชื่อเป็นสิ่งจำเป็น
17. สถานการณ์เช่นไรอาจยั่วยุบางคนซึ่งไม่ใช่คริสเตียนให้ขัดขืนอำนาจเจ้าหน้าที่?
17 จะว่าอย่างไรถ้าผู้มีอำนาจทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับการทุจริตกินสินบน กระทั่งไม่รับรู้กับการกดขี่ข่มเหง? สมควรไหมที่คริสเตียนจะพยายามตั้งอำนาจอีกแบบหนึ่งที่ดูเหมือนดีกว่าขึ้นมาแทน? ที่จริง ความไม่เป็นธรรมและการฉ้อราษฎร์บังหลวงในส่วนของระบอบการปกครองไม่ใช่สิ่งที่พึ่งจะมีขึ้น. ในศตวรรษแรก จักรพรรดิโรมันเองได้สนับสนุนความอยุติธรรมเช่นการใช้คนเป็นทาส. อีกทั้งปล่อยให้ข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวงเสียด้วยซ้ำ. พระคัมภีร์พูดถึงคนเก็บภาษีที่ฉ้อโกง ผู้พิพากษาที่ลำเอียงและผู้ว่าราชการที่คอยจ้องจะรับสินบน.—ลูกา 3:12, 13; 18:2-5; กิจการ 24:26, 27.
18, 19. (ก) คริสเตียนแสดงปฏิกิริยาเช่นไร ถ้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองใช้อำนาจในทางผิดหรือมีการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง? (ข) คริสเตียนได้ปรับปรุงชีวิตของบุคคลให้ดีขึ้นอย่างไร ดังที่นักประวัติศาสตร์คนหนึ่ง และข้อความในกรอบแสดงให้เห็น?
18 สมัยนั้นคริสเตียนอาจจะพยายามต่อต้านการใช้อำนาจในทางผิดเช่นนั้น แต่เขาไม่ทำ. อาทิ เปาโลไม่ได้สอนว่าควรเลิกระบบทาส และท่านก็ไม่ได้กำชับคริสเตียนเจ้าของทาสให้ปล่อยทาสของตน. แทนที่จะทำเช่นนั้น ท่านได้แนะนำทาสและเจ้าของทาสให้ปฏิบัติต่อกันด้วยน้ำใจรักใคร่เอ็นดูซึ่งกันและกัน. (1 โกรินโธ 7:20-24; เอเฟโซ 6:1-9; ฟิเลโมน 10-16; ดูที่ 1 เปโตร 2:18 ด้วย.) ในทำนองเดียวกัน คริสเตียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ. พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับงานประกาศ “ข่าวความสุข.” (กิจการ 10:36) ในปีสากลศักราช 66 กองทหารโรมันได้ล้อมกรุงยะรูซาเลมแล้วถอยทัพกลับ. แทนที่คริสเตียนชาวฮีบรูจะอยู่กับพวกกบฏที่ป้องกันกรุงนั้นต่อไป เขา ‘ได้หนีไปยังภูเขา’ ตามการชี้นำของพระเยซู.—ลูกา 21:20, 21.
19 คริสเตียนสมัยต้น ๆ ดำรงชีวิตตามสภาพที่เป็นอยู่และพยายามปรับปรุงแก้ไขชีวิตของผู้คนเป็นส่วนตัว โดยช่วยให้คนเหล่านั้นปฏิบัติตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล. จอห์น ลอร์ด นักประวัติศาสตร์เขียนในหนังสือที่เขาแต่งชื่อ ดิ โอลด์ โรมัน เวิลด์ (โลกของชาวโรมันโบราณ) ดังนี้ “ชัยชนะแท้ของศาสนาคริสเตียนนั้นเห็นได้จากการสร้างคนดีจากคนเหล่านั้นที่ยอมรับหลักคำสอนของศาสนา แทนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงเพียงเปลือกนอกของสถาบันต่าง ๆ ที่ผู้คนนิยมกัน หรือเปลี่ยนการปกครองหรือเปลี่ยนกฎหมาย.” คริสเตียนสมัยนี้ควรจะประพฤติต่างกันไหม?
เมื่อรัฐไม่ให้การช่วยเหลือ
20, 21. (ก) โดยวิธีใดเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองในประเทศหนึ่งไม่ได้ปฏิบัติฐานะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า? (ข) พยานพระยะโฮวาควรมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อถูกข่มเหงโดยที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย?
20 เมื่อเดือนกันยายน ปี 1972 เกิดการข่มเหงพยานพระยะโฮวาอย่างร้ายกาจที่ประเทศหนึ่งในใจกลางทวีปแอฟริกา. หลายล้านคนถูกปล้นจี้ ชิงเอาข้าวของและทนรับการกระทำอย่างโหดร้ายทารุณอื่น ๆ อีก รวมทั้งการทุบตี การทรมานและฆาตกรรม. ผู้มีอำนาจสูงกว่าได้ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเหล่าพยานฯไหม? เปล่าเลย! ยิ่งไปกว่านั้น เขากระตุ้นให้ทำการรุนแรง จนกระทั่งคริสเตียนเหล่านี้ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อใคร ๆ จำต้องหนีไปลี้ภัยในประเทศใกล้เคียง.
21 พยานพระยะโฮวาควรจะลุกขึ้นมาต่อต้านพวกที่ทำให้คนตกทุกข์ได้ยากเช่นนั้นไหม? ไม่ควร. คริสเตียนควรจะเพียรอดทนต่อการกระทำอย่างน่าละอายเช่นนั้นโดยประพฤติเลียนแบบพระเยซูด้วยความอ่อนสุภาพ: “เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน พระองค์มิได้ขู่เข็ญ แต่ทรงมอบตัวไว้กับพระองค์ผู้ทรงพิพากษาด้วยความชอบธรรมนั้นต่อ ๆ ไป.” (1 เปโตร 2:23, ล.ม.) พวกเขาระลึกอยู่ว่า เมื่อพระเยซูถูกจับในสวนเฆ็ธเซมาเน พระองค์ทรงว่ากล่าวสาวกคนหนึ่งซึ่งใช้ดาบปกป้องพระองค์ และในเวลาต่อมาพระองค์ตรัสแก่ปนเตียวปีลาตว่า “แผ่นดินของเรามิได้เป็นอย่างแผ่นดินโลกนี้. ถ้าแผ่นดินของเราเป็นอย่างแผ่นดินโลกนี้ พวกของเราก็คงได้ต่อสู้ไม่ให้เราตกในมือของพวกยูดาย. แต่บัดนี้แผ่นดินของเราหาเป็นอย่างนั้นไม่.”—โยฮัน 18:36; มัดธาย 26:52; ลูกา 22:50, 51.
22. พยานพระยะโฮวาชาวแอฟริกันได้วางตัวอย่างที่ดีอะไรเมื่อพวกเขาทนรับทุกข์จากการข่มเหงอย่างรุนแรง?
22 ด้วยการระลึกถึงตัวอย่างของพระเยซู พยานฯชาวแอฟริกันเหล่านั้นมีความกล้าจะปฏิบัติตามที่เปาโลแนะนำไว้ “อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย. เหตุการณ์ซึ่งเกี่ยวกับท่านทั้งหลาย หากท่านจัดได้จงกระทำตนให้เป็นที่สงบสุขแก่คนทั้งปวง. ดูก่อน ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้า [ยะโฮวา] จะลงพระอาชญา.” (โรม 12:17-19; เทียบกับเฮ็บราย 10:32-34.) นับว่าพี่น้องชาวแอฟริกันได้เป็นตัวอย่างที่กระตุ้นใจพวกเราสมัยนี้สักเพียงไร! แม้ในยามที่ผู้มีอำนาจปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติการอย่างเป็นที่น่านับถือ คริสเตียนแท้ก็หาได้ละหลักการของคัมภีร์ไบเบิลไม่.
23. ยังเหลือคำถามอะไรที่จะพิจารณากันต่อไป?
23 กระนั้น ผู้มีอำนาจสูงกว่าอาจคาดหมายสิ่งใดจากคริสเตียน? และมีข้อจำกัดใด ๆ ไหมเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่พวกเขาสามารถจะกระทำได้โดยถูกต้อง? เรื่องนี้จะได้นำขึ้นมาพิจารณากันในบทความถัดไป.
[เชิงอรรถ]
a ประมวลกฎหมายที่พระเจ้าประทานแก่ชนชาติยิศราเอลสมัยโบราณระบุการลงโทษถึงตายในกรณีที่กระทำผิดร้ายแรง.—เอ็กโซโด 31:14; เลวีติโก 18:29; 20:2-6; อาฤธโม 35:30.
คุณจะอธิบายได้ไหม?
▫ คนเราอาจจะทำอะไรบ้างอันเป็น ‘การขัดขืนผู้มีอำนาจสูงกว่า’?
▫ อะไรคือ “การจัดเตรียมของพระเจ้า” เกี่ยวเนื่องกับอำนาจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการปกครอง?
▫ ผู้ที่ปกครอง “เป็นที่น่ากลัว” ในทางใด?
▫ รัฐบาลต่าง ๆ ที่มนุษย์จัดตั้งขึ้นทำหน้าที่เสมือน “ผู้รับใช้ของพระเจ้า” อย่างไร?
[กรอบหน้า 21]
จดหมายจากผู้กำกับการตำรวจ
จดหมายฉบับหนึ่งประทับตรา “กองบริการสาธารณะแห่งรัฐมินัส เจเรส” มาถึงสำนักงานสาขาของสมาคมว็อชเทาเวอร์ในประเทศบราซิล. จดหมายนี้มาจากผู้กำกับการตำรวจแห่งเมืองคองควิสตา. มีอะไรบางอย่างผิดพลาดไปหรือ? ขอให้จดหมายฉบับนี้อธิบายก็แล้วกัน. มีความว่า:
“เรียน ท่านที่นับถือ:
ผมรู้สึกยินดีที่ได้แนะนำตัวกับท่านโดยทางจดหมายฉบับนี้. ผมเป็นผู้กำกับการตำรวจของเมืองคองควิสตา รัฐมินัส เจเรส ประมาณสามปีแล้ว. ผมพยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างเอาจริงเอาจังเสมอ แต่ผมเคยมีปัญหาในการรักษาความสงบในเรือนจำ. พวกผู้ต้องขังแม้จะได้รับการฝึกอบรมในงานบางอย่างแล้ว ก็ยังไม่สงบ.
“เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ คุณ โอ——ได้มาที่เมืองของเราและได้แนะนำตัวว่าเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่ง. เขาเริ่มประกาศสั่งสอนเรื่องคัมภีร์ไบเบิลแก่นักโทษบางคน สอนพวกเขาให้อ่านและเขียนและแสดงให้พวกเขาเห็นถึงหลักการพื้นฐานด้านสุขอนามัยและวิชาความรู้ต่าง ๆ ในสังคม รวมทั้งบอกเล่าให้พวกเขาทราบเกี่ยวกับพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์. วิธีที่ผู้ประกาศสั่งสอนคนนี้ทำงานแสดงให้เห็นถึงการอุทิศตัว ความรักและการเสียสละตนเอง. ความประพฤติของพวกผู้ต้องขัง เปลี่ยนไปในทางที่ดีอย่างน่าสังเกต ทำให้ผู้ที่สังเกตเห็นรู้สึกพิศวงและประทับใจอย่างมากทีเดียว.”
“เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในเรือนจำของเรา ผมปรารถนาจะแจ้งให้สมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทรกท์ ทราบอย่างเป็นทางการว่าเราหยั่งรู้คุณค่าการงานอันดีเยี่ยมที่ได้ทำไปในชุมชนของเราโดยผู้ประกาศสั่งสอนที่น่านับถือนั้น.”
เกี่ยวกับผู้มีอำนาจในทางการปกครอง อัครสาวกเปาโลกล่าวไว้ว่า: “จงกระทำการดีต่อ ๆ ไป แล้วท่านจะได้รับคำสรรเสริญจาก [อำนาจ] นั้น.” (โรม 13:3) นี่เป็นความจริงแท้แน่นอนในกรณีข้างต้น. เป็นพยานหลักฐานถึงพลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงแห่งพระคำของพระเจ้าจริง ๆ ซึ่งข่าวดีนั้นทำให้สัมฤทธิ์ผลภายในไม่กี่เดือนในสิ่งที่ระบบการลงโทษไม่สามารถทำได้เป็นเวลาตั้งหลายปี!—บทเพลงสรรเสริญ 19:7–9.