การอยู่ใต้อำนาจที่สูงกว่าภายในขอบเขต
“เหตุฉะนั้น มีเหตุผลอันเหลือที่จะขัดขืนได้ในเรื่องที่ท่านทั้งหลายจะอยู่ใต้อำนาจ.”—โรม 13:5, ล.ม.
1. ประสบการณ์อะไรที่ยากลำบากซึ่งพยานพระยะโฮวาทนรับจากผู้มีอำนาจสูงกว่าของนาซี และทั้งนี้เพราะเหตุที่เขา “กระทำชั่ว” ไหม?
วันที่ 7 มกราคม 1940 ฟรานซ์ ไรเทอร์กับเด็กหนุ่มชาวออสเตรียอีกห้าคนถูกประหารชีวิตด้วยเครื่องกิโยตีน. พวกเขาคือ นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล หรือพยานพระยะโฮวา และเขาตายเพราะเนื่องด้วยสติรู้สึกผิดชอบเขาไม่ยอมสู้รบเพื่ออาณาจักรไรค์ของฮิตเลอร์. ไรเทอร์เป็นหนึ่งในบรรดาพยานพระยะโฮวาหลายพันคนที่ตายในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเพราะความเชื่อศรัทธา. มีอีกหลายคนได้อดทนนานหลายปีในค่ายกักกัน. คนเหล่านี้ทั้งหมดต้องทนทรมานด้วย “ดาบ” แห่งอำนาจนาซีเนื่องจาก “การกระทำชั่ว” ไหม? (โรม 13:4) ไม่ใช่ อย่างแน่นอน! ถ้อยคำของเปาโลต่อจากนั้นแสดงว่าคริสเตียนเหล่านี้เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าตามที่แจ้งในพระธรรมโรมบท 13 ถึงแม้พวกเขาต้องทนทรมานด้วยน้ำมือของผู้มีอำนาจก็ตาม.
2. อะไรคือเหตุผลอันเหลือที่จะขัดขืนได้ในเรื่องการอยู่ใต้อำนาจที่สูงกว่า?
2 อัครสาวกเขียนไว้ที่โรม 13:5 (ล.ม.) ดังนี้: “เหตุฉะนั้น มีเหตุผลอันเหลือที่จะขัดขืนได้ในเรื่องที่ท่านทั้งหลายจะอยู่ใต้อำนาจ มิใช่เพราะอาชญาอย่างเดียว แต่เพราะเหตุสติรู้สึกผิดชอบของท่านด้วย.” เปาโลได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า การที่ผู้มีอำนาจนั้นถือ “ดาบ” เป็นเหตุผลที่ดีพึงอยู่ใต้อำนาจนั้น. แต่บัดนี้ ท่านให้เหตุผลที่หนักแน่นกว่า คือสติรู้สึกผิดชอบ. พวกเราบากบั่นรับใช้พระเจ้า ‘ด้วยสติรู้สึกผิดชอบอันสะอาด.’ (2 ติโมเธียว 1:3) พระคัมภีร์กำชับให้เรายอมอยู่ใต้อำนาจที่สูงกว่า และเราเชื่อฟังเพราะเราปรารถนาจะทำสิ่งที่ถูกในสายตาของพระเจ้า. (เฮ็บราย 5:14) ที่จริง สติรู้สึกผิดชอบของเราซึ่งถูกขัดเกลาโดยหลักการของพระคัมภีร์แล้วกระตุ้นเราให้เชื่อฟังผู้มีอำนาจ แม้นในยามที่ไม่มีคนคอยตรวจสอบเรา.—เทียบกับท่านผู้ประกาศ 10:20.
“เพราะเหตุนั้นท่านจึงเสียภาษีด้วย”
3, 4. พยานพระยะโฮวามีชื่อเสียงเช่นไร และทำไมคริสเตียนพึงเสียภาษี?
3 ในประเทศไนจีเรียเมื่อหลายปีมาแล้ว มีเหตุวุ่นวายเกี่ยวด้วยการเสียภาษี. หลายคนเสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ได้ขอกำลังหนุนจากทหาร. ทหารบุกเข้าไปถึงหอประชุมแห่งหนึ่งขณะที่การประชุมดำเนินอยู่ และต้องการทราบวัตถุประสงค์ของการร่วมชุมนุมกันที่นั่น. ครั้นได้คำตอบว่าเป็นการประชุมของพยานพระยะโฮวาเพื่อการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล นายทหารผู้บังคับบัญชาจึงสั่งการห้ามทหารยุ่งเกี่ยว และบอกว่า “พยานพระยะโฮวาไม่ใช่ผู้ปลุกปั่นเรื่องการเสียภาษี.”
4 พยานฯชาวไนจีเรียเหล่านั้นมีชื่อเสียงดีเพราะการดำเนินชีวิตสอดคล้องกับคำพูดของเปาโลที่ว่า “เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเสียภาษีด้วย เพราะคนเหล่านั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อสาธารณะประโยชน์ รับใช้เพื่อจุดประสงค์นี้เสมอไป.” (โรม 13:6, ล.ม.) เมื่อพระเยซูทรงวางกฎ ‘ของของกายะซาจงถวายแก่กายะซา’ พระองค์ทรงหมายถึงการเสียภาษี. (มัดธาย 22:21) เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองจัดสร้างถนนหนทาง จัดให้มีตำรวจพิทักษ์สันติราษฎร์ ตั้งหอสมุด จัดระบบการขนส่ง โรงเรียน ไปรษณีย์ และอะไรต่ออะไรอีกมากมาย. เราใช้บริการจากการจัดเตรียมเหล่านี้อยู่เนือง ๆ. เป็นสิ่งถูกต้องทีเดียวที่เราพึงเสียภาษีเพราะเราได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้.
“จงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรได้รับ”
5. คำพูดที่ว่า “จงให้แก่ทุกคน ตามที่เขาควรได้รับ” นั้นหมายถึงอะไร?
5 เปาโลกล่าวสืบไปว่า “จงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรได้รับ ภาษีควรให้แก่ผู้ใดจงให้ภาษีแก่ผู้นั้น ส่วยควรให้แก่ผู้ใด จงให้ส่วยแก่ผู้นั้น ความเกรงกลัวควรให้แก่ผู้ใด จงให้ความเกรงกลัวแก่ผู้นั้น เกียรติยศควรให้แก่ผู้ใด จงให้เกียรติยศแก่ผู้นั้น.” (โรม 13:7, ล.ม.) คำ “ทุกคน” ย่อมรวมเอาเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทุกคนซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อสาธารณชน. ไม่มีข้อยกเว้น. ถึงแม้เราอยู่ภายใต้ระบบการเมืองซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเราไม่นิยม แต่เราก็เสียภาษี. ถ้าศาสนาในประเทศที่เราอยู่ได้รับการยกเว้นภาษี ประชาคมต่าง ๆ ในประเทศนั้นก็ถือเอาเป็นประโยชน์ได้. และก็เช่นเดียวกับราษฎรอื่น ๆ คริสเตียนสามารถใช้วิธีการจัดเตรียมที่กำหนดไว้เพื่อจำกัดการจ่ายค่าภาษี. แต่คริสเตียนไม่ควรเลี่ยงการเสียภาษีโดยผิดกฎหมาย.—เทียบกับมัดธาย 5:41; 17:24-27.
6, 7. ทำไมเราควรเสียภาษีถึงแม้เงินภาษีถูกนำไปใช้เพื่อกิจกรรมบางอย่างซึ่งเราไม่เห็นด้วย หรือถ้าผู้มีอำนาจกดขี่ข่มเหงเราเสียด้วยซ้ำ?
6 สมมุติว่าการเรียกเก็บภาษีดูเหมือนไม่เป็นธรรม. หรือถ้าเงินภาษีส่วนหนึ่งถูกนำไปจ่ายเพื่อโครงการบางอย่างที่เราไม่เห็นด้วย เช่นการทำแท้งอย่างเสรี ธนาคารเลือด หรือโครงการต่าง ๆ ซึ่งขัดกับทัศนะอันเป็นกลางของเรา? ถึงกระนั้นเราก็เสียภาษี. เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจต่างหากเป็นฝ่ายรับผิดชอบสำหรับวิธีที่เขาจ่ายเงินภาษีนั้น. เราไม่ได้ถูกมอบหมายให้ตัดสินผู้มีอำนาจ. พระเจ้าทรงเป็น “ผู้พิพากษาแห่งแผ่นดินโลก” และเมื่อถึงเวลา พระองค์จะทรงคิดบัญชีกับรัฐบาลทั้งหลายว่าเขาได้ใช้อำนาจของเขาอย่างไร. (บทเพลงสรรเสริญ 94:2; ยิระมะยา 25:31) กว่าจะถึงเวลานั้น เราก็จะเสียภาษีต่อไป.
7 แต่สมมุติว่า ผู้มีอำนาจข่มเหงเราล่ะ? เราก็ยังคงเสียภาษีเพราะเรารับบริการเป็นประจำทุกวัน. เกี่ยวกับพยานพระยะโฮวาที่ถูกกดขี่ข่มเหงในประเทศหนึ่งแถบแอฟริกา วารสารซานฟรานซิสโก เอ็กแซมมิเนอร์ ลงข่าวว่า “คุณอาจถือว่าเขาเป็นพลเมืองตัวอย่าง. พยานฯขมีขมันเสียภาษี ดูแลคนเจ็บ รณรงค์การไม่รู้หนังสือ.” ใช่แล้ว พยานฯเหล่านั้นที่ถูกกดขี่ข่มเหงได้เสียภาษีตามที่ควร.
“ความเกรงกลัว” และ “เกียรติยศ”
8. “ความเกรงกลัว” ซึ่งเราให้แก่ผู้มีอำนาจนั้นหมายถึงสิ่งใด?
8 “ความเกรงกลัว” ที่กล่าวไว้ในพระธรรมโรม 13:7 ไม่ใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความนับถือยำเกรงอำนาจเจ้าหน้าที่ การกลัวจะละเมิดกฎหมาย. การให้ความนับถืออย่างนี้เนื่องด้วยตำแหน่ง ไม่ใช่ทุกกรณีที่เห็นแก่บุคคลที่สวมตำแหน่งนั้น ๆ. เมื่อพระคัมภีร์กล่าวในเชิงพยากรณ์ถึงติเบเรียวจักรพรรดิชาวโรมันก็ได้ขนานนามท่านว่า “ทุรชน.” (ดานิเอล 11:21) ทว่าผู้นี้เป็นจักรพรรดิ ดังนั้น คริสเตียนจะต้องเกรงกลัวและให้เกียรติแด่ท่าน.
9. แนวทางอะไรบ้างซึ่งเราให้เกียรติยศแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ?
9 เกี่ยวข้องกับเกียรติยศ เราก็ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซูที่จะไม่ใช้ยศบรรดาศักดิ์ที่อาศัยตำแหน่งทางศาสนา. (มัดธาย 23:8-10) ครั้นพูดถึงอำนาจเจ้าบ้านผ่านเมือง เรายินดีพูดต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจโดยใช้ยศอย่างสมควรเพื่อให้เกียรติแก่เขา. เปาโลใช้คำพูดส่อความเคารพว่า “ท่าน (เฟศโต) เจ้าข้า” เมื่อท่านแถลงต่อผู้ว่าราชการชาวโรมัน. (กิจการ 26:25) ดานิเอลทูลนะบูคัดเนซัรว่า “ข้าแต่ราชา.” (ดานิเอล 4:19) ทุกวันนี้คริสเตียนอาจใช้คำพูดเช่น “ฝ่าพระบาท” “ฯพณฯ ท่าน.” คริสเตียนอาจยืนขึ้นขณะผู้พิพากษาเดินเข้ามาในห้องพิจารณาคดี หรือหากถือเป็นธรรมเนียมประเพณีก็อาจแสดงความเคารพด้วยการโค้งคำนับผู้มีอำนาจ.
การอยู่ใต้อำนาจภายในขอบเขต
10. พระเยซูได้แสดงให้เห็นอย่างไรว่าสิ่งที่ผู้มีอำนาจเรียกร้องได้จากคริสเตียนนั้นมีขอบเขตจำกัด?
10 เนื่องจากพยานพระยะโฮวายอมอยู่ใต้อำนาจของมนุษย์ แต่ทำไม ฟรานซ์ ไรเทอร์และคนอื่นอีกหลายคนได้ทนความทุกข์ทรมาน? เพราะว่าการเชื่อฟังของเราต่อผู้มีอำนาจนั้นมีขอบเขตจำกัด และผู้มีอำนาจไม่ยอมรับเสียทุกครั้งว่าสิ่งที่อำนาจเรียกร้องเอาได้นั้นตามหลักคัมภีร์มีขอบเขตจำกัด. ถ้าผู้มีอำนาจเรียกร้องบางสิ่งซึ่งฝืนสติรู้สึกผิดชอบของคริสเตียนที่รับการหล่อหลอมแล้ว จึงเป็นการล่วงเกินขอบเขตที่พระเจ้าอนุญาต. พระเยซูทรงแสดงให้เห็นเรื่องนี้เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ของของกายะซาจงถวายแก่กายะซา ของของพระเจ้าจงถวายแก่พระเจ้า.” (มัดธาย 22:21) เมื่อกายะซาเรียกร้องสิ่งที่เป็นของพระเจ้า เราต้องยอมรับว่าพระเจ้ามีสิทธิเรียกร้องเป็นอันดับแรก.
11. หลักการอะไรเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางซึ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจเรียกร้องได้นั้นมีขอบเขตจำกัด?
11 ความเห็นอย่างนี้ถือเป็นการโค่นล้มอำนาจหรือทรยศไหม? หามิได้. ที่จริง เป็นการขยายหลักการอันเป็นที่ยอมรับกันในชาติต่าง ๆ ส่วนใหญ่ที่เจริญแล้ว. ในศตวรรษที่ 15 ปีเตอร์ ฟอน ฮาเกนบัค ถูกดำเนินคดีเพราะการริเริ่มการปกครองที่สยดสยองขึ้นในแถบของยุโรปซึ่งเขามีอำนาจ. การที่เขากล่าวแก้คดีว่าตนเพียงแต่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านายของตน เจ้าผู้ครองแคว้นเบอร์กันดีนั้นศาลไม่รับฟัง. นับตั้งแต่นั้นมาได้มีการอ้างบ่อย ๆ ว่าผู้คนที่กระทำการอันโหดร้ายนั้นไม่ต้องรับผิดชอบหากเขาปฏิบัติตามคำสั่งของผู้มีอำนาจที่สูงกว่า—เช่นโดยอาชญากรสงครามที่ขึ้นชื่อสมัยนาซี เมื่อให้การต่อศาลระหว่างชาติที่เมืองนูเร็มเบิร์ก. ปกติศาลไม่รับฟังการอ้างเช่นนั้น. ศาลระหว่างชาตินั้นแถลงคำตัดสินดังนี้: “ปัจเจกชนมีพันธะหน้าที่สากลซึ่งอยู่เหนือกว่าความเชื่อฟังซึ่งกำหนดขึ้นโดยรัฐเฉพาะแห่ง.”
12. มีตัวอย่างอะไรบ้างในพระคัมภีร์เกี่ยวด้วยผู้รับใช้ของพระเจ้าซึ่งไม่ยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องอย่างไม่มีเหตุผลของผู้มีอำนาจในแผ่นดิน?
12 ผู้รับใช้ของพระเจ้าตระหนักอยู่เสมอว่า การอยู่ใต้อำนาจซึ่งโดยสติรู้สึกผิดชอบแล้วเขาต้องยอมให้กับอำนาจที่สูงกว่านั้นมีขอบเขต. ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับคราวที่โมเซเกิดในประเทศอียิปต์นั้น ฟาโรห์ออกคำสั่งให้นางผดุงครรภ์ชาวฮีบรูสองคนฆ่าทารกเพศชายแรกเกิดทุกคน. แต่นางผดุงครรภ์ได้ไว้ชีวิตทารกเหล่านั้น. เขาผิดไหมที่ขัดขืนอำนาจของฟาโรห์? ไม่ เขากระทำตามสติรู้สึกผิดชอบของตนซึ่งพระเจ้าได้ประทานให้เขา และพระเจ้าทรงอวยพรพวกเขาเพราะการกระทำดังกล่าว. (เอ็กโซโด 1:15-20) ในคราวที่ชาติยิศราเอลอยู่ต่างแดนในบาบูโลน กษัตริย์นะบูคัดเนซัรมีรับสั่งให้พวกข้าราชการทั้งปวง รวมทั้งชายฮีบรูสามคนซึ่งได้แก่ซัครัค เมเซ็คและอะเบ็ดนะโคก้มตัวลงกราบรูปปั้นซึ่งกษัตริย์ทรงตั้งขึ้นไว้ ณ ที่ราบดูรา. ชายฮีบรูสามคนปฏิเสธ. เขาผิดไหม? เปล่าเลย เพราะการปฏิบัติตามบัญชาของกษัตริย์จะหมายถึงการไม่เชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้า.—เอ็กโซโด 20:4, 5; ดานิเอล 3:1-18.
“เชื่อฟังพระเจ้าฐานะผู้ครอบครอง”
13. คริสเตียนสมัยแรกได้วางตัวอย่างอะไรในเรื่องขอบเขตการเชื่อฟังผู้มีอำนาจสูงกว่า?
13 ในทำนองเดียวกัน เมื่อผู้มีอำนาจชาวยิวสั่งเปโตรกับโยฮันให้เลิกประกาศเรื่องพระเยซู ท่านทั้งสองตอบว่า “จะเป็นการชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่ ที่จะยอมฟังท่านยิ่งกว่าจะฟังพระเจ้า ขอท่านทั้งหลายจงตัดสินเอาเองเถิด.” (กิจการ 4:19; 5:29, ล.ม.) ท่านเหล่านั้นไม่อาจนิ่งเงียบอยู่ได้. วารสารเดอะ คริสเตียน เซนจูรี ดึงความเอาใจใส่ไปยังอีกกรณีหนึ่งเกี่ยวกับการรักษาสติรู้สึกผิดชอบของคริสเตียนสมัยแรกดังนี้: “คริสเตียนสมัยแรกมิได้เข้ารับราชการทหาร. โรแลนด์ เบนทันตั้งข้อสังเกตว่า ‘นับตั้งแต่หมดสมัยการจารึกคัมภีร์คริสเตียนจนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษปีสากลศักราช 170-180 ไม่มีหลักฐานใด ๆ ว่าคริสเตียนเข้าประจำการในกองทัพ’ (ทีท่าของคริสเตียนต่อสงครามและสันติภาพ [อับบิงดอน, ปี 1960, ภาษาอังกฤษ] หน้า 67, 68) . . . สวิฟท์กล่าวว่า จัสติน มาร์เทอร์ ‘ถือว่าเป็นสิ่งปกติที่พวกคริสเตียนละเว้นการกระทำที่รุนแรง.’”
14, 15. หลักการในพระคัมภีร์ข้อใดบ้างซึ่งควบคุมการเชื่อฟังอย่างมีขอบเขตสำหรับคริสเตียนสมัยแรกต่อผู้มีอำนาจ?
14 ทำไมคริสเตียนสมัยแรกไม่รับราชการทหาร? ไม่ต้องสงสัย แต่ละคนได้ศึกษาพระคำและกฎหมายของพระเจ้าอย่างถี่ถ้วน แล้วตัวเองตัดสินใจโดยอาศัยพื้นฐานของสติรู้สึกผิดชอบซึ่งถูกฝึกด้วยหลักพระคัมภีร์. พวกเขาตั้งตัวเป็นกลาง “ไม่เป็นส่วนของโลก” และความเป็นกลางของเขาไม่ยอมให้เขาตั้งตนอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการต่อสู้กันของโลกนี้. (โยฮัน 17:16; 18:36) ยิ่งกว่านั้น พวกเขาเป็นของพระเจ้าแล้ว. (2 ติโมเธียว 2:19) การสละชีพเพื่อรัฐหมายถึงการมอบสิ่งซึ่งเป็นของพระเจ้าแก่กายะซา. ยิ่งกว่านั้น พวกเขาเป็นส่วนแห่งภราดรภาพสากลซึ่งผูกพันกันด้วยความรัก. (โยฮัน 13:34, 35; โกโลซาย 3:14; 1 เปโตร 4:8; 5:9) เขาไม่อาจจะมีสติรู้สึกผิดชอบที่ดีได้หากต้องจับอาวุธขึ้นแล้วอาจฆ่าเพื่อนคริสเตียน.
15 นอกจากที่กล่าวมาแล้ว คริสเตียนไม่สามารถร่วมกับกิจปฏิบัติทางศาสนาตามที่คนหมู่มากนิยม เช่นการสักการะจักรพรรดิ. ผลก็คือ ผู้คนมองดูเขาเสมือนเป็นคนพิสดารและเป็นภัยอันตราย แล้วประชากรโดยส่วนใหญ่ก็ไม่วางใจพวกเขา.” (คัมภีร์ไบเบิลยังพูดอยู่ [ภาษาอังกฤษ] โดยดับเบิลยู. เอ. สมาร์ท.) ถึงแม้เปาโลได้เขียนไว้ว่าคริสเตียนควร ‘ให้ความเกรงกลัวแก่ผู้ใดก็จงให้แก่ผู้นั้น’ แต่พวกเขาไม่ละลืมความเกรงกลัวหรือความเคารพใหญ่ยิ่งกว่าแด่พระยะโฮวา. (โรม 13:7; บทเพลงสรรเสริญ 86:11) พระเยซูทรงกล่าวว่า “อย่ากลัวคนเหล่านั้นที่ฆ่าร่างกาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวท่านผู้นั้นที่สามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและร่างกายในเกเฮนนา.”—มัดธาย 10:28, ล.ม.
16. (ก) คริสเตียนต้องระมัดระวังในด้านใดบ้างเกี่ยวด้วยการอยู่ใต้อำนาจผู้มีอำนาจสูงกว่า? (ข) กรอบที่หน้า 27 แสดงให้เห็นอะไร?
16 ทุกวันนี้ พวกเราในฐานะเป็นคริสเตียนก็ได้ประสบกับการท้าทายทำนองเดียวกัน. เราไม่สามารถเข้าส่วนการไหว้รูปเคารพสมัยใหม่ไม่ว่าในรูปแบบใด ๆ—จะเป็นอาการแสดงลักษณะการนมัสการรูปจำลองหรือสัญลักษณ์ก็ดีหรือฝากความรอดไว้กับบุคคลหรือองค์การก็ดี. (1 โกรินโธ 10:14; 1 โยฮัน 5:21) และเช่นเดียวกันกับคริสเตียนสมัยแรก เราไม่อาจจะอะลุ้มอล่วยฐานะคริสเตียนของเราที่ตั้งตัวเป็นกลาง.—เทียบกับ 2 โกรินโธ 10:4.
“อารมณ์อ่อนโยนและความนับถือสุดซึ้ง”
17. เปโตรได้ให้คำแนะนำอะไรแก่คนเหล่านั้นที่ทนรับทุกข์เนื่องด้วยสติรู้สึกผิดชอบ?
17 อัครสาวกเปโตรเขียนเกี่ยวกับการที่เรายืนหยัดเพื่อสติรู้สึกผิดชอบและกล่าวว่า “เพราะถ้าหากคนใดทนอยู่ภายใต้สิ่งที่น่าโศกเศร้า และทนทุกข์อย่างไม่ยุติธรรมเนื่องด้วยสติรู้สึกผิดชอบต่อพระเจ้า นี้เป็นสิ่งที่น่าพอใจ.” (1 เปโตร 2:19, ล.ม.) ใช่แล้ว เป็นสิ่งที่พระเจ้าชอบพระทัยเมื่อคริสเตียนตั้งมั่นคงแม้มีการกดขี่ข่มเหง ทั้งได้รับผลประโยชน์เพิ่มพูนมากขึ้นที่ว่าความเชื่อของคริสเตียนเข้มแข็งยิ่งขึ้นและได้ผ่านการกลั่นกรองแล้ว. (ยาโกโบ 1:2-4; 1 เปโตร 1:6, 7; 5:8-10) นอกจากนี้ เปโตรยังได้เขียนอีกว่า“แต่ถึงแม้ท่านทั้งหลายจะทนทุกข์เพื่อเห็นแก่ความชอบธรรม ท่านก็เป็นสุข. อย่างไรก็ดี สิ่งที่เขาหวาดกลัวนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากลัว ทั้งอย่าร้อนใจ. แต่จงจัดให้พระคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้บริสุทธิ์ในหัวใจของท่านทั้งหลาย เตรียมพร้อมเสมอที่จะโต้ตอบต่อหน้าทุกคนซึ่งเรียกเหตุผลสำหรับความหวังของท่าน แต่จงทำเช่นนี้ด้วยอารมณ์อ่อนโยนและความนับถือสุดซึ้ง.” (1 เปโตร 3:14, 15, ล.ม.) เป็นคำแนะนำที่เป็นประโยชน์จริง ๆ.
18, 19. ทีท่าที่แสดงความนับถือสุดซึ้งและความมีเหตุผลอาจช่วยได้โดยวิธีใด ถ้าผู้มีอำนาจได้จำกัดเสรีภาพในการนมัสการ?
18 เมื่อเกิดการข่มเหงเพราะผู้มีอำนาจเข้าใจผิดเกี่ยวด้วยฐานะของคริสเตียนหรือเนื่องจากผู้นำฝ่ายคริสต์ศาสนจักรได้หาเรื่องใส่ความพยานพระยะโฮวา ฟ้องผู้มีอำนาจ การเสนอข้อเท็จจริงต่อผู้มีอำนาจก็อาจจะคลี่คลายสถานการณ์ที่กดดันได้. การมีอารมณ์อ่อนโยนพร้อมด้วยความนับถืออย่างสุดซึ้ง คริสเตียนย่อมไม่ใช้กำลังต่อสู้โต้ตอบผู้กดขี่ข่มเหง. แต่ทว่าเขาจะใช้วิธีการทางกฎหมายทุกอย่างเท่าที่หาได้เพื่อปกป้องความเชื่อของตน. แล้วเขาจะฝากเรื่องนั้นไว้กับพระยะโฮวา.—ฟิลิปปอย 1:7; โกโลซาย 4:5, 6.
19 อนึ่ง ความนับถือสุดซึ้งยังจะนำคริสเตียนในด้านการเชื่อฟังผู้มีอำนาจได้มากเท่าที่เป็นไปได้โดยไม่ขัดกับสติรู้สึกผิดชอบของตนเอง. ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีคำสั่งห้ามการประชุมประชาคม คริสเตียนก็จะหาบางวิธีซึ่งไม่ครึกโครมนัก เพื่อจะรับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณจากพระยะโฮวามิได้ขาด. พระเจ้ายะโฮวาผู้ทรงอำนาจใหญ่ยิ่งทรงกล่าวแก่พวกเราผ่านทางเปาโลดังนี้ “ให้เราพิจารณาดูกันและกันและกระทำการดี เพื่อเป็นเหตุให้เกิดใจรักซึ่งกันและกันและกระทำการดี ซึ่งเราเคยประชุมกันนั้นอย่าให้หยุด เหมือนอย่างบางคนเคยกระทำนั้น.” (เฮ็บราย 10:24-25) แต่ก็อาจจัดการพบปะชุมนุมกันเช่นนั้นด้วยความรอบคอบ. ถึงแม้นมีไม่กี่คนเข้าร่วม เราสามารถมั่นใจได้ว่าพระเจ้าทรงอวยพรการจัดเตรียมดังกล่าว.—เทียบกับมัดธาย 18:20.
20. ถ้ามีคำสั่งห้ามการประกาศข่าวดีแก่ประชาชน คริสเตียนอาจจัดการกับสถานการณ์เช่นนั้นโดยวิธีใด?
20 ทำนองคล้ายคลึงกัน ผู้มีอำนาจบางคนเคยสั่งห้ามการประกาศสั่งสอนข่าวดีแก่ประชาชนทั่ว ๆ ไป. ชาวคริสเตียนที่อยู่ใต้อำนาจดังกล่าวจำไว้ว่า ผู้มีอำนาจสูงสุดได้ตรัสผ่านพระเยซูว่า “กิตติคุณจะต้องประกาศทั่วประเทศทั้งปวงก่อน.” (มาระโก 13:10) เหตุฉะนั้น คริสเตียนจึงเชื่อฟังผู้มีอำนาจสูงสุดไม่ว่าเขาต้องสูญเสียอะไรก็ตาม. ในที่ที่เป็นไปได้ พวกอัครสาวกได้ทำการประกาศโดยเปิดเผยและตามบ้านเรือน กระนั้น ยังมีวิธีอื่นอีกที่จะเข้าถึงประชาชน เช่นการให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการ. (โยฮัน 4:7-15; กิจการ 5:42; 20:20) บ่อยครั้ง เจ้าหน้าที่จะไม่เข้าขัดขวางงานประกาศถ้าเพียงแต่ใช้พระคัมภีร์—ซึ่งชี้จุดสำคัญถึงความจำเป็นที่พยานฯทุกคนพึงได้รับการฝึกฝนอย่างดีให้หาเหตุผลจากคัมภีร์ไบเบิล. (เทียบกับกิจการ 17:2, 17.) โดยเป็นคนกล้าแต่แสดงความนับถือ มีอยู่บ่อย ๆ ที่คริสเตียนสบโอกาสจะเชื่อฟังพระยะโฮวาโดยไม่เปิดช่องให้อำนาจที่สูงกว่าเกิดความกริ้วโกรธ.—ติโต 3:1, 2.
21. ถ้ากายะซายังคงกดขี่ข่มเหงโดยไม่มีการผ่อนปรน คริสเตียนจำต้องเลือกแนวทางเช่นไร?
21 แต่บางครั้งผู้มีอำนาจกดขี่ข่มเหงคริสเตียนอย่างปราศจากการผ่อนปรน. เมื่อเป็นเช่นนั้น ด้วยสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาด เราสามารถอดทนได้กับการกระทำสิ่งที่ถูกต้อง. ฟรานซ์ ไรเทอร์ชายหนุ่มผู้นั้นเผชิญทางเลือกว่าจะอะลุ้มอล่วยหรือยอมตาย. เนื่องจากเขาจะเลิกนมัสการพระเจ้าไม่ได้ เขาจึงยอมตายอย่างกล้าหาญ. คืนก่อนเขาตาย ฟรานซ์เขียนถึงมารดาว่า “ผมจะถูกประหารเช้าพรุ่งนี้. ผมได้รับกำลังจากพระเจ้า เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับคริสเตียนแท้ทุกคนในอดีต . . . ถ้าแม่ตั้งมั่นคงกระทั่งตาย เราจะพบกันอีกเมื่อได้รับการปลุกขึ้นจากตาย.”
22. พวกเรามีความหวังอะไร และระหว่างนี้เราควรดำเนินต่อไปอย่างไร?
22 วันหนึ่ง มวลมนุษย์ทั้งสิ้นจะอยู่ภายใต้กฎหมายเดียว คือกฎหมายของพระเจ้ายะโฮวา. จนกว่าจะถึงวันนั้น ด้วยสติรู้สึกผิดชอบที่ดีเราต้องปฏิบัติตามการจัดเตรียมที่มาจากพระเจ้าและรักษาฐานะของเราด้วยการยอมอยู่ใต้อำนาจสูงกว่าภายในขอบเขต และในเวลาเดียวกันก็เชื่อฟังพระยะโฮวาองค์บรมมหิศรของเราในประการทั้งปวง.—ฟิลิปปอย 4:5-7.
คุณจำได้ไหม?
▫ อะไรคือเหตุผลอันเหลือที่จะขัดขืนได้สำหรับการอยู่ใต้อำนาจสูงกว่า?
▫ เหตุใดเราไม่ควรลังเลในการเสียภาษีตามที่กายะซากำหนดขึ้น?
▫ เราพึงให้เกียรติยศแบบไหนแก่ผู้มีอำนาจ?
▫ ทำไมการอยู่ใต้อำนาจกายะซามีขอบเขต?
▫ ถ้าแม้นเราถูกข่มเหงเนื่องจากกายะซาเรียกร้องสิ่งซึ่งเป็นของพระเจ้า เราพึงตอบรับเช่นไร?
[กรอบหน้า 27]
ความนับถือไม่ใช่การนมัสการ
เช้าวันหนึ่งในห้องเรียน เทอร์รา เด็กหญิงพยานพระยะโฮวาชาวแคนาดา ได้สังเกตเห็นครูประจำชั้นพานักเรียนคนหนึ่งออกไปนอกห้องเรียนครู่ใหญ่ ๆ. ไม่นานหลังจากนั้นครูกระซิบบอกเทอร์ราให้ออกไปยังห้องครูใหญ่ด้วยกัน.
เมื่อไปถึงห้องนั้น เทอร์ราพบว่ามีธงชาติแคนาดาปูพาดโต๊ะของครูใหญ่. ครูประจำชั้นสั่งเทอร์ราให้ถ่มน้ำลายใส่ธงผืนนั้น! ครูพูดเชิงแนะว่าในเมื่อเทอร์ราไม่ร้องเพลงชาติหรือทำความเคารพธง เธอก็น่าจะถ่มน้ำลายใส่ธงได้โดยไม่มีปัญหา. เทอร์ราปฏิเสธ โดยชี้แจงว่าถึงแม้พยานพระยะโฮวาไม่นมัสการธง พยานฯก็แสดงความนับถือต่อธง.
ครั้นกลับเข้าห้องเรียน คุณครูประกาศต่อหน้าชั้นว่าตนพึ่งได้ทำการทดสอบ. เขาได้พานักเรียนสองคนไปยังห้องครูใหญ่ แต่ให้เข้าไปทีละคนและสั่งให้เขาถ่มน้ำลายใส่ธง. นักเรียนคนแรกเป็นคนที่มีส่วนร่วมในพิธีแสดงตนรักประเทศชาติ แต่เธอกลับถ่มน้ำลายรดธงเมื่อสั่งให้ทำ. ตรงกันข้าม เทอร์ราไม่ร้องเพลงชาติหรือทำความเคารพธง กระนั้น เธอปฏิเสธที่จะดูหมิ่นธงชาติด้วยการกระทำอย่างนั้น. คุณครูได้อธิบายว่า เทอร์ราเป็นผู้ที่แสดงความนับถืออย่างสมควร.—หนังสือประจำปี 1990 ของพยานพระยะโฮวา.
[ที่มาของภาพหน้า 23]
French Embassy Press & Information Division
USSR Mission to the UN.