วิธีเผชิญการท้าทายทางศีลธรรมของการเป็นคนยากจน
แพทย์ชาวแอฟริกันคนหนึ่งอ้างว่า “ประชาชนยากจนเนื่องจากเขาเกียจคร้าน. เมืองเต็มไปด้วยคนไม่เอาถ่าน. หากเขาต้องการงานทำจริง ๆ แล้ว เขาก็จะหางานได้. ไม่มีใครจำเป็นต้องอยู่ในสภาพอัตคัดขัดสนในทุกวันนี้.”
ไม่ต้องสงสัยที่ว่าบางคนเกียจคร้านและความเกียจคร้านอาจนำไปสู่ความอัตคัดขัดสนได้. พระคัมภีร์บอกว่า “นอนอีกสักหน่อย หลับอีกสักนิดหนึ่ง และเอามือกอดอกหลับไปอีกประเดี๋ยวหนึ่ง อย่างนั้นแหละการยากจนของเจ้าจะมาเหมือนกับโจร และการขัดสนของเจ้าจะมาดั่งคนถืออาวุธครบมือ.” (สุภาษิต 24:33, 34) อย่างไรก็ดี คนจนหลายคนไม่ใช่เกียจคร้านเลยทีเดียว. ตัวอย่างเช่น ขอพิจารณาดูบุรุษผู้หนึ่งซึ่งเขียนว่า “จนถึงบัดนี้เราทั้งหลายยังหิวอาหาร กระหายน้ำ ขัดสนเครื่องนุ่งห่ม ถูกโบยตี และไม่มีที่อาศัยเป็นหลักแหล่ง.” (1 โกรินโธ 4:11) เขาเป็นคนไม่เอาถ่านอย่างที่แก้ไขไม่ได้หรือ? ไม่เลยทีเดียว. ถ้อยคำเหล่านั้นเขียนโดยอัครสาวกเปาโล. ท่านเลือกที่จะดำรงชีวิตที่มีรายได้จำกัดทางด้านเศรษฐกิจเพื่อว่าท่านจะสามารถดำเนินงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียนได้ดีกว่า. การขัดสนของท่านบางประการก็เนื่องมาจากสภาพแวดล้อมที่เหลือการควบคุมของท่าน อย่างเช่นการข่มเหงทางด้านศาสนา.
ทุกวันนี้ คนจนส่วนใหญ่ของโลกเป็นเหยื่อของสภาพแวดล้อมที่เหลือการควบคุมของเขา—บางทีเนื่องจากระบบเศรษฐกิจที่ล้มเหลวในระดับท้องถิ่น หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ทางการเมือง. หลายคนตรากตรำทำงานตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงดึกดื่นค่ำคืนและแทบจะไม่พอยังชีพ. โอกาสต่าง ๆ ที่จะได้ประโยชน์ทางด้านการเงินโดยวิธีการที่ไม่ซื่ออาจดูเหมือนชวนใจ กระทั่งจำเป็นเสียด้วยซ้ำ. บางคนอาจอ้างเหตุผลว่าพระคัมภีร์สนับสนุนการละเมิดศีลธรรมเป็นบางครั้ง! จริงแล้ว พระคัมภีร์บอกว่า “คนไม่ดูหมิ่นขโมยเพียงแต่เพราะเขาลักขโมยเพื่อให้จิตวิญญาณของเขาอิ่มเมื่อเขาหิว.” และบุรุษผู้ฉลาดได้อธิษฐานว่า ‘ขออย่าให้ข้าพเจ้ายากจนและลักขโมย.’—สุภาษิต 6:30, ล.ม.; 30:8, 9.
ความซื่อตรง—จุดยืนของพระคัมภีร์
ข้อคัมภีร์เหล่านี้แสดงการเห็นพ้องโดยปริยายกับความไม่ซื่อตรงกระนั้นไหม? เอาละ ขอให้เราตรวจสอบดูข้อเหล่านั้นตามบริบท. หลังจากยอมรับว่าคนไม่ดูหมิ่นขโมยผู้ซึ่งลักขโมยเพื่อให้ท้องที่หิวนั้นอิ่มแล้ว สุภาษิต 6:31 [ล.ม.] บอกต่อไปว่า “แต่เมื่อถูกจับ เขาจะต้องใช้คืนถึงเจ็ดเท่า เขาจะต้องใช้ด้วยสิ่งของทุกอย่างที่เขามีอยู่ในเรือนของเขา.” กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อขโมยถูกจับ เขาเผชิญกับโทษทัณฑ์ครบถ้วนของกฎหมาย. เขาต้องชดใช้สำหรับความผิดของเขา! เพราะฉะนั้น แทนที่จะสนับสนุนการลักขโมย ถ้อยคำเหล่านี้เตือนคนจนว่าการลักขโมยอาจยังผลด้วยความสูญเสียทางเศรษฐกิจยิ่งขึ้นอีก ความอับอายขายหน้าสำหรับตัวเองและครอบครัวของเขา และการสูญเสียความนับถือต่อตัวเอง.
แต่จะว่าอย่างกับคำอธิษฐานของบุรุษผู้ฉลาด? ท่านทูลขอเพื่อว่าท่านจะไม่ถึงซึ่งความยากจน แล้ว “ขโมยและกระทำให้พระนามของพระเจ้า [ของตน] เป็นมลทิน.” (สุภาษิต 30:9, ฉบับแปลใหม่) ถูกแล้ว ความไม่ซื่อตรงในส่วนของบุคคลที่อ้างว่ารับใช้พระยะโฮวาอาจนำคำติเตียนมาสู่พระนามของพระเจ้าและประชาคมแห่งพลไพร่ของพระองค์ได้. อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ว่า “ท่านผู้ประกาศว่า ‘ไม่ควรลักทรัพย์’ ตัวท่านเองยังลักหรือ?” หากผู้ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนคนใดลักขโมย นี้อาจเป็นเหตุให้ ‘พระนามของพระเจ้าเป็นที่ดูหมิ่นในท่ามกลางนานาชาติ.’—โรม 2:21, 24, ล.ม.
ดังนั้นแล้ว ด้วยเหตุผลที่ดี พระคัมภีร์บอกว่า “คนยากจนที่ดำเนินในความสัตย์ซื่อของเขาก็ดีกว่าคนมั่งคั่งที่คดโกงในทางของตน.” (สุภาษิต 28:6, ฉบับแปลใหม่) ถึงแม้ท่านเองขาดอาหารเป็นบางครั้ง อัครสาวกเปาโลก็ไม่เคยยอมให้กับความไม่ซื่อตรงหรือใช้วิธีนั้น. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ท่านเขียนว่า “คนที่เป็นขโมยก็อย่าขโมยอีกต่อไป แต่จงให้เขาทำงานหนักใช้มือของเขาทำสิ่งซึ่งเป็นการงานอันดีแทน เพื่อเขาจะมีอะไรบางอย่างแจกให้แก่บางคนที่ขัดสน.”—เอเฟโซ 4:28, ล.ม.
วิธีแก้: การไว้วางใจในพระเจ้า
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่ทำงานหนัก แต่ทว่าไม่พอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของตนเอง? มีเหตุผลอันควรไหมในกรณีของเขาที่จะไม่ซื่อตรง หรือกระทั่งลักขโมย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัว หรือภาวะฉุกเฉินอื่น ๆ บางอย่างเกิดขึ้น? บางคนคิดเช่นนั้น. ชาวเมืองคนหนึ่งในประเทศแถบแอฟริกาบอกว่า “ในประเทศของเรา หากคุณเป็นคนซื่อตรง คุณจะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้. หากคุณอยากรอดชีวิตอยู่ คุณก็ต้องทำให้ทางชีวิตของคุณคดโค้งไปบ้าง.”
กระนั้น ตลอดทั่วแอฟริกา คนเรามักเห็นถ้อยคำ “จงวางใจในพระเจ้า” เขียนไว้บนรถบรรทุก ปรากฏอยู่บนแผ่นป้ายบนกำแพง และพิมพ์ลงบนรูปลอกและสติกเกอร์ที่ติดกันชนรถ. พระคัมภีร์เองบอกว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า.” (สุภาษิต 3:5) ความไม่ซื่อตรงจะประสานกับคำเตือนข้อนั้นจากพระคัมภีร์ไม่ได้เลย. แต่การไว้วางใจในพระเจ้าเป็นคำตอบที่ตรงกับสภาพจริงสำหรับการท้าทายทางศีลธรรมในการเป็นคนจนไหม?
ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า อัครสาวกเปาโลประสบความยากลำบากเช่น ‘หิวและกระหาย อดข้าวบ่อย ๆ ทนหนาวและเปลือยกาย.’ (2 โกรินโธ 11:27, ฉบับแปลใหม่) แน่นอน เปาโลคงต้องสงสัยว่าท่านจะรอดชีวิตอยู่ได้อย่างไร! แต่ภายหลังราว ๆ 25 ปีที่เต็มไปด้วยประสบการณ์แบบคริสเตียน ท่านสามารถเขียนได้ว่า “ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์. ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน. ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า.” (ฟิลิปปอย 4:12, 13, ฉบับแปลใหม่) ถูกแล้ว เปาโลไว้วางใจในพระเจ้า.
เปาโลตระหนักว่าหลักการของพระคัมภีร์มิใช่คำพูดที่ไร้สาระเพ้อฝัน. หลักการนั้นเป็นคำแนะนำจากพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ซึ่งประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะสงเคราะห์และค้ำจุนคนเหล่านั้นที่พยายามจะนำหลักการนั้นมาใช้. ผู้พยากรณ์ในสมัยโบราณคนหนึ่งได้กล่าวว่า “เพราะเกี่ยวด้วยพระยะโฮวา พระเนตรของพระองค์สอดส่องไปมาทั่วพิภพ เพื่อสำแดงพลานุภาพของพระองค์โดยเห็นแก่คนเหล่านั้นที่มีหัวใจครบถ้วนต่อพระองค์.”—2 โครนิกา 16:9, ล.ม.
ได้รับพระพรสำหรับการวางใจในพระเจ้า
ทำไมเป็นเรื่องยากจริง ๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่จะวางใจในพระเจ้า. โดยไม่ต้องสงสัย เพราะศาสนาของเขาไม่ได้เสนอเหตุผลพอเพียงแก่พวกเขาในการทำเช่นนั้น. คริสต์จักรต่าง ๆ ได้ทำให้พระเจ้าดูเหมือนกับเป็นนิรนาม เป็นนามธรรม มิใช่เป็นบุคคล เหลือความเข้าใจของมนุษย์. แต่โดยการศึกษาพระคัมภีร์ พยานพระยะโฮวาก็ได้มารู้จักพระเจ้า หาใช่ฐานะพลังบางอย่างที่เป็นนามธรรมไม่ หากแต่เป็นบุคคล ที่มีพระนาม. (บทเพลงสรรเสริญ 83:18; เฮ็บราย 9:24) พวกเขาได้เรียนรู้ว่าพระองค์ทรงคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ทำให้พระองค์คู่ควรกับความไว้วางใจของเรา. อาทิเช่น ตามเอ็กโซโด 34:6 พระยะโฮวาเป็น “พระเจ้าผู้ทรงอดพระทัยได้นาน และบริบูรณ์ด้วยความดีและความจริง.” พวกพยานฯไว้วางใจพระเจ้าและสำนึกว่าพระองค์ทรง ‘บริบูรณ์ด้วยความจริง.’ เนื่องจากเหตุนี้ พวกเขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในคำสัญญาของพระองค์ที่จะทรงนำมาซึ่งโลกใหม่ที่ปลอดจากความอัตคัดขัดสนอันลำบากยากเข็ญซึ่งทรมานเผ่าพันธุ์มนุษย์มากจริง ๆ อยู่ในขณะนี้.—2 เปโตร 3:13.
เพราะฉะนั้น พยานพระยะโฮวาหลายล้านคนได้พิสูจน์ว่าการวางใจในพระเจ้าเป็นเรื่องที่ใช้การได้จริง. ตัวอย่างเช่น โรซาลีน พยานฯคนหนึ่งในเซียรา เลโอน ทำงานหนักตั้งแต่ห้านาฬิกาตอนเช้าจนกระทั่งดึกดื่นเพื่อจัดอาหารและเครื่องนุ่งห่มให้ตัวเองกับลูกหกคนของเธอ. เธอบอกว่า “หลายคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินชีวิตแบบซื่อตรง แต่ดิฉันทราบว่าเรื่องนี้ไม่จริง. บางครั้งดิฉันมีปัญหาและไม่รู้ว่าจะแก้ได้อย่างไร. แต่ดิฉันรู้ว่า หากดิฉันดำเนินชีวิตแบบซื่อตรงแล้ว ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยสำหรับดิฉัน. ดังนั้น ดิฉันพยายามอย่างหนักที่จะไม่ทำให้พระยะโฮวาไม่พอพระทัย.”
นักประพันธ์ผู้หนึ่งได้พูดไว้ว่า “คนจนซึ่งไม่มีอะไรอยู่ในท้อง จำเป็นต้องมีความหวัง . . . ยิ่งเสียกว่าขนมปัง.” ถูกแล้ว ความสิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยาก ความเป็นทุกข์ที่ยืดเยื้อเป็นความเดือดร้อนที่อาจก่อความเจ็บปวดยิ่งกว่าความหิว. แต่คนที่ได้มารู้จักและวางใจในพระเจ้าไม่จำเป็นต้องยอมจำนนต่อความหมดอาลัยตายอยาก. โรซาลีนเสริมว่า “ตอนนี้ดิฉันทำงานหนัก แต่ดิฉันมีความยินดีเพราะทราบว่าเวลาจะมาถึงเมื่อดิฉันจะไม่ต้องตรากตรำทำงานแบบนี้. ปัจจุบันดิฉันทำงานเพื่อได้อาหารสำหรับตัวเองและครอบครัว แต่ในโลกใหม่ของพระยะโฮวา จะมีอาหารอย่างอุดมบริบูรณ์. ฉะนั้น ขณะนี้ดิฉันมีความหวังและความยินดีอย่างที่ดิฉันไม่เคยมีก่อนที่ดิฉันได้รู้จักพระยะโฮวา.”—เปรียบเทียบยะซายา 25:6; วิวรณ์ 21:3, 4.
จริงอยู่ คนเหล่านั้นที่วางใจในพระเจ้าอาจจะยังคงประสบความกดดันทางด้านเศรษฐกิจอยู่ เช่นเดียวกับอัครสาวกเปาโล. แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีละเมิดกฎหมายของพระเจ้าเพื่อจะรอดชีวิตอยู่ได้ทางด้านเศรษฐกิจ. ดาวิดผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญได้กล่าวว่า “ตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่ม จนบัดนี้เป็นคนชราแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยเห็นคนสัตย์ธรรมต้องถูกละทิ้งเสีย ไม่เคยเห็นพงศ์พันธุ์ของเขาขอทาน.” (บทเพลงสรรเสริญ 37:25) ถูกแล้ว พระเจ้าทรงใฝ่พระทัยและอวยพระพรคนเหล่านั้นที่เอาผลประโยชน์ของพระองค์ไว้เป็นอันดับแรกในชีวิตของเขา.—มัดธาย 6:25-33.
ดังนั้น หากคุณเป็นคนยากจน “อย่าอ่อนใจเลยที่จะกระทำการดี.” (2 เธซะโลนิเก 3:13) อย่าใช้วิธีอะลุ้มอล่วยทางด้านศีลธรรม. จงสร้างสัมพันธภาพกับพระเจ้าและพึ่งอาศัยพระองค์ให้ช่วยท่านรับมือกับปัญหาและความยากลำบากในชีวิต. คนเหล่านั้นที่รับใช้พระยะโฮวาและไว้วางใจในพระองค์อย่างเต็มที่ได้รับการเร้าใจว่า “จงถ่อมตัวลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงยกท่านทั้งหลายขึ้นในเวลาอันควร ขณะที่ท่านทั้งหลายฝากความกระวนกระวายทั้งสิ้นของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงใฝ่พระทัยในท่านทั้งหลาย.”—1 เปโตร 5:6, 7.
[รูปภาพหน้า 7]
พยานพระยะโฮวาช่วยประชาชนให้ไว้วางใจในพระเจ้า