จงชูใจซึ่งกันและกันเมื่อวันนั้นใกล้เข้ามา
“จงชูใจซึ่งกันและกัน และให้มากขึ้นเมื่อท่านเห็นวันนั้นใกล้เข้ามา.”—เฮ็บราย 10:25, ล.ม.
1, 2. วันอะไรคืบใกล้เข้ามา และพลไพร่ของพระยะโฮวาควรมีทัศนะเช่นไร?
ทุกวันนี้ บรรดาผู้ร่วมกล่าวคำเชิญที่ว่า ‘มาเถิด มารับน้ำที่ให้ชีวิต’ ไม่ปลีกตัวอยู่ต่างหาก. ขณะที่วันใหญ่ยิ่งแห่งชัยชนะของพระยะโฮวาใกล้เข้ามา พวกเขาปฏิบัติตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “ให้เราพิจารณาดูกันและกัน เพื่อเร้าใจให้เกิดความรักและการงานที่ดี ไม่ละการประชุมร่วมกันเหมือนบางคนทำเป็นนิสัย แต่จงชูใจซึ่งกันและกัน และให้มากขึ้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นวันนั้นใกล้เข้ามา.”—เฮ็บราย 10:24, 25, ล.ม.
2 พระคัมภีร์พยากรณ์ถึง “วันนั้น” ว่าเป็น “วันของพระยะโฮวา.” (2 เปโตร 3:10, ล.ม.) เนื่องจากพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าสูงสุด ทรงพลานุภาพทุกประการ ไม่มีวันไหนจะข่มรัศมีวันของพระองค์เสียได้. (กิจการ 2:20) วันนั้นหมายถึงการชันสูตรเชิดชูพระบรมเดชานุภาพของพระองค์ฐานะเป็นพระเจ้าครอบครองทั้งเอกภพ. วันสำคัญอันเป็นประวัติการณ์นั้นกำลังใกล้เข้ามา.
3. สำหรับคริสเตียนในศตวรรษแรก วันของพระยะโฮวาใกล้เข้ามาอย่างไร และสำหรับพวกเราสมัยนี้ล่ะ?
3 อัครสาวกเปาโลกำชับคริสเตียนในศตวรรษแรกแห่งสากลศักราชว่า วันของพระยะโฮวาจวนจะมาถึงแล้ว. พวกเขาต่างก็คอยให้วันนั้นมาถึง แต่ในสมัยนั้นวันนั้นอยู่ไกลออกไปกว่า 1,900 ปี. (2 เธซะโลนิเก 2:1-3) ทั้งที่เป็นจริงอย่างนั้น พวกเขาก็จำเป็นได้รับการชูใจเพราะวันนั้นต้องมีมาแน่ และถ้าคริสเตียนรุดหน้าต่อไปอย่างมั่นคงในความเชื่อเช่นนั้น เขาจะบรรลุถึงวันแห่งความปีติยินดีนั้น. (2 ติโมเธียว 4:8) ย้อนหลังในศตวรรษแรกเขาเห็นวันนั้นใกล้เข้ามา. แต่สำหรับพวกเราสมัยนี้ วันของพระยะโฮวาใกล้มาแล้วจริง ๆ. ความสำเร็จสมจริงอย่างน่าอัศจรรย์ของคำพยากรณ์หลายข้อจากคัมภีร์ไบเบิลยืนยันข้อเท็จจริงนี้อันก่อให้เกิดความยินดี. ในไม่ช้า นามยะโฮวาพระเจ้าของเราจะได้รับการเชิดชูตลอดกาล.—ลูกา 11:2.
รับการชูใจโดยพระนามของพระเจ้า
4. ตามที่กล่าวในวิวรณ์ 19:6 ใครที่จะมาเป็นพระมหากษัตริย์ และนามของพระองค์รู้ได้อย่างไร?
4 พระนามของพระเจ้าควรเป็นสิ่งที่มวลมนุษยชาติพึงเอาใจใส่. คัมภีร์ฉบับแปล ทูเดย์ส อิงลิช เวอร์ชัน ว่าอย่างนี้ “จงสรรเสริญพระเจ้า! เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงฤทธานุภาพทุกประการเป็นพระมหากษัตริย์!” (วิวรณ์ 19:6) ตามคัมภีร์ฉบับแปลนี้แห่งศตวรรษที่ 20 พระเจ้าเป็นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. ฉบับแปลเล่มนี้ และฉบับแปลอื่น ๆ อีกมากในปัจจุบันหาได้ระบุชื่อพระเจ้าผู้ทรงเริ่มครอบครองเป็นพระมหากษัตริย์ไม่. อย่างไรก็ดี พระนามของพระเจ้ารวมอยู่ในคำอุทาน “อาละลูยา!” (“สรรเสริญยาห์” หรือ “สรรเสริญพระยะโฮวา”) ดังปรากฏอยู่ที่วิวรณ์ 19:6 ในคัมภีร์ไทยฉบับแปลเก่าและฉบับแปลใหม่. ในช่วงปีต่าง ๆ แห่งสากลศักราช โดยทั่วไปแล้วคัมภีร์ฉบับแปลหลายเล่มได้ปิดบังพระนามของพระเจ้า. แต่ดังที่เราจะได้ทราบ พระนามนี้ส่งเสริมให้เกิดกำลังใจอย่างมากมายแก่ไพร่พลของพระเจ้า ทั้งในสมัยโบราณและปัจจุบัน.
5, 6. (ก) ทำไมโมเซจำต้องได้รู้จักพระนามพระเจ้าซึ่งท่านได้เป็นตัวแทน? (ข) คงต้องมีผลกระทบเช่นไรต่อชาวยิศราเอลเมื่อโมเซกล่าวย้ำพระนามของพระเจ้า?
5 เรายังจำได้ว่าเมื่อพระเจ้าองค์สูงสุดได้ส่งโมเซไปหาชาวยิศราเอลซึ่งเป็นทาสในประเทศอียิปต์ ปัญหาว่าด้วยใครส่งท่านไปนั้นก่อความข้องใจแก่ผู้คนที่โมเซถูกส่งไปช่วย. โมเซคาดคิดไว้ว่า ชาวยิวที่ระกำลำบากคงอยากรู้จักพระนามพระเจ้าซึ่งโมเซเป็นตัวแทน. เกี่ยวกับเรื่องนี้เราอ่านที่เอ็กโซโด 3:15 ว่า “พระเจ้าจึงตรัสแก่โมเซอีกว่า ‘เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาติยิศราเอลดังนี้ว่า “ยะโฮวาพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า คือพระเจ้าของอับราฮาม ยิศฮาคและยาโคบได้ใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน.”’ นี่แหละเป็นนามของเราเป็นนิตย์ นี่แหละเป็นที่ระลึกของเราตลอดทุกชั่วอายุของมนุษย์.”
6 เมื่อข่าวสารนี้ได้รับการกล่าวเน้นแก่พวกเขา ชาวยิศราเอลคงต้องได้รับกำลังใจมาก. การช่วยให้พวกเขารอดได้รับคำรับรองจากพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว. และคงต้องเป็นความชูใจสักเพียงไรที่มีความหวังจะรู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้าเมื่อพระองค์จะทรงสำแดงความหมายแห่งนามเฉพาะของพระองค์—มิได้ทรงวางภูมิ แยกตนอยู่ต่างหาก!—เอ็กโซโด 3:13; 4:29-31.
7. (ก) เราทราบอย่างไรว่าสาวกของพระเยซูรู้จักพระนามของพระเจ้า? (ข) โดยวิธีใดนามของพระเจ้าถูกเสือกไสไปไว้เบื้องหลัง?
7 บรรดาสาวกของพระเยซูคริสต์เจ้าได้รับการชูใจเหมือนกันโดยพระนามของพระเจ้ายะโฮวาและสิ่งที่พระนามนั้นหมายถึง. (โยฮัน 17:6, 26) ในระหว่างที่พระเยซูประกาศสั่งสอนที่แผ่นดินโลก พระองค์ไม่ได้ปัดพระนามของพระเจ้าไปไว้เบื้องหลัง และก็ไม่ใช่พระประสงค์ของพระองค์ที่จะให้นามของพระองค์เองคือเยซูขึ้นหน้า. เพียงต่อเมื่อมีการเริ่มต้นของการออกหากจากความเชื่อแบบคริสเตียนแท้ดังบอกไว้ล่วงหน้านั้นแหละ พระนามของพระเจ้าจึงถูกเสือกไสไว้เบื้องหลัง อันที่จริงเกือบเป็นการลบพระนามมิให้มีในการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดของคริสเตียน. (กิจการ 20:29, 30) ครั้นพระนามแห่งพระบุตรของพระเจ้าได้รับการยกย่องให้สูงส่งมากขึ้นกระทั่งเลิศลอยกว่าพระนามของพระบิดา ผู้ที่ได้อ้างตนเป็นคริสเตียนจะเห็นว่าการนมัสการพระบิดานั้นไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลเสียแล้ว ขาดความใกล้ชิดแบบครอบครัว และดังนั้นจึงไม่เป็นการชูใจเท่าไรนัก.
8. ผลกระทบต่อเนื่องเช่นไรเกิดแก่ไพร่พลของพระเจ้าเมื่อเขารับรองเอาชื่อพยานพระยะโฮวา?
8 ด้วยเหตุนี้จึงเป็นความยินดีเหลือจะกล่าวเมื่อนักศึกษาพระคัมภีร์นานาชาติซึ่งได้ร่วมกับสมาคมวอชเทาเวอร์รับรองเอาชื่อพยานพระยะโฮวาในปี 1931. ไม่เพียงแต่ก่อความยินดีปรีดาเท่านั้น แต่เป็นการชูใจได้มากที่สุด. เพราะเหตุนี้เอง นักศึกษาพระคัมภีร์ที่ได้รับชื่อใหม่จึงสามารถหนุนกำลังใจซึ่งกันและกันได้.—เทียบกับยะซายา 43:12.
9. คริสเตียนแท้มีความรู้สึกอย่างไรเกี่ยวด้วยพระองค์ผู้นั้นซึ่งพวกเขาเป็นพยาน?
9 เมื่อเป็นเช่นนั้น คริสเตียนแท้สมัยปัจจุบันจึงพบว่าเป็นสิ่งเหมาะสมที่จะระบุนามผู้นั้นซึ่งเขาเป็นพยานตามการกล่าวไว้ล่วงหน้า ดังพระเยซูคริสต์ผู้นำของเขาได้กระทำขณะที่พระองค์ทรงอยู่ในโลก. (วิวรณ์ 1:1, 2) ใช่แล้ว พวกเขาแสดงหลักฐานว่าพระองค์ผู้เดียวทรงพระนามว่ายะโฮวา.—บทเพลงสรรเสริญ 83:18.
เปี่ยมด้วยความยินดีและพระวิญญาณบริสุทธิ์
10-12. (ก) ผลกระทบจากพลังปฏิบัติการที่มีต่อสาวกของพระเยซูคงจะได้แก่อะไร? (ข) พยานของพระยะโฮวาซึ่งได้รับแรงบันดาลใจให้ชื่นชมยินดี ปรารถนาจะปฏิบัติต่อกันและกันอย่างไร?
10 คราวที่อำลาจากกัน พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถ้อยคำนี้แก่พวกอัครสาวก “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศให้เป็นสาวก ให้รับบัพติสมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราสั่งพวกท่านทั้งหลาย. และนี่แน่ะ! เราอยู่กับท่านทั้งหลายตลอดเวลาจนกระทั่งจุดอวสานแห่งระบบนี้.”—มัดธาย 28:19, 20, ล.ม.
11 โปรดสังเกตว่าคริสเตียนที่เพิ่งได้รับการสั่งสอนใหม่ ๆ จะต้องรับบัพติสมาในนามแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์. พระวิญญาณบริสุทธิ์ดังกล่าวหาใช่บุคคลไม่แต่เป็นพลังปฏิบัติการของพระเจ้ายะโฮวา ซึ่งพระองค์ประทานผ่านทางพระเยซูคริสต์. ในวันเพ็นเตคอสเต พระเจ้ายะโฮวาได้ทรงหลั่งพลังปฏิบัติการโดยทางพระเยซูแก่สาวกของพระเยซูคริสต์. (กิจการ 2:33) พวกเขาประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นการแสดงออกหรือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้แก่ความยินดี. (ฆะลาเตีย 5:22, 23; เอเฟโซ 5:18-20) ความยินดีเป็นคุณลักษณะที่เสริมกำลังใจ. บรรดาสาวกจะเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยความยินดีอันเป็นผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์. คำทูลอธิษฐานซึ่งกล่าวโดยอัครสาวกเปาโลนับว่าเหมาะสมยิ่งที่ว่า “ขอพระเจ้าผู้ทรงประทานความหวังทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายเปี่ยมไปด้วยความยินดีและสันติสุขโดยที่ท่านเชื่อ เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความหวังประกอบด้วยพลังแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์.”—โรม 15:13, ล.ม.
12 พยานพระยะโฮวาสมัยปัจจุบัน รวมทั้ง “ชนฝูงใหญ่” ย่อมต้องการเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณซึ่งก่อพลังให้ชื่นชมยินดี เพื่อจะถูกกระตุ้นให้ชูใจซึ่งกันและกันท่ามกลางระบบแห่งสิ่งต่าง ๆ ที่ขาดน้ำใจไมตรี. ด้วยเหตุนี้ อัครสาวกเปาโลจึงกล่าวถึง “การหนุนใจซึ่งกันและกัน.”—วิวรณ์ 7:9, 10; โรม 1:12; 14:17.
เหตุผลทุกประการที่จะรับการหนุนใจ
13. เรามีเหตุผลอะไรบ้างที่จะได้รับการหนุนใจ และที่จะหนุนใจซึ่งกันและกัน?
13 เนื่องจากพวกเขาอยู่ท่ามกลางระบบแห่งสิ่งต่าง ๆ ซึ่งผู้ต่อต้านทุกสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมนั้นเป็นผู้ครอบครองและกระทั่งเป็นพระเจ้าแห่งระบบนี้ด้วยซ้ำ คริสเตียนย่อมประสงค์จะหนุนใจซึ่งกันและกันภายในประชาคมคริสเตียนทั่วโลกอันแผ่ซ่านไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ายะโฮวา. (เฮ็บราย 10:24, 25; กิจการ 20:28) เรามีเหตุผลทุกประการที่จะรับการหนุนใจ. จริง ๆ แล้ว เราสำนึกบุญคุณสักเพียงไรที่เรามีความรู้ถ่องแท้เกี่ยวด้วยพระยะโฮวาและพระบุตรของพระองค์รวมทั้งพลังปฏิบัติการอันได้แก่พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระองค์ทั้งสองทรงใช้! พวกเรารู้สึกขอบคุณมากเพียงไรที่พระองค์ประทานความหวังแก่เรา! ดังนั้นแล้ว การนมัสการของเราจึงเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี. ในจดหมายที่อัครสาวกเปาโลเขียนถึงคริสเตียนเหล่านั้น ท่านกำชับพวกเขาให้หนุนใจกันและเสริมสร้างกันและกันขึ้นในความเชื่ออันบริสุทธิ์ยิ่ง. พวกเขาจะต้องทำสิ่งนี้ ‘ให้มากยิ่งขึ้นขณะที่เห็นโดยอุปมาแล้ววันนั้นใกล้เข้ามา.’ ยิ่งกว่านั้น เมื่ออำนาจทางการเมืองของโลกนี้กวาดล้างศาสนาคริสเตียนในนาม พร้อมด้วยศาสนาเท็จอื่น ๆ ทั้งมวล สภาพการณ์ตอนนั้นยิ่งจะทำให้เราต้องหนุนใจซึ่งกันและกันมากขึ้น.
14. ใครควรจะชูใจซึ่งกันและกัน และโดยวิธีใด?
14 ขณะที่พวกผู้ปกครองนำหน้าให้การหนุนใจพี่น้องในประชาคมแต่ละแห่งที่เขาดูแล คริสเตียนทุกคน จำเป็นต้องหนุนใจซึ่งกันและกันอย่างที่เฮ็บราย 10:25 แนะนำไว้. ที่จริง ข้อนี้เป็นข้อเรียกร้องสำหรับคริสเตียน. ถ้าคุณเป็นสมาชิกในประชาคม คุณได้ให้การหนุนใจเช่นนั้นไหม? คุณอาจถามตัวเองว่า ‘จะทำได้อย่างไร? ฉันจะทำอะไรได้บ้าง?’ ประการแรก เพียงแต่คุณเข้าไปนั่งในหอประชุมและสนับสนุนวิธีการจัดเตรียมฝ่ายคริสเตียน พี่น้องชายหญิงทั้งหลายก็ได้รับการหนุนใจแล้วมิใช่หรือ เหมือนคุณเองได้รับกำลังใจเมื่อเห็นผู้อื่นตั้งใจเข้ามาร่วมการประชุมอย่างซื่อสัตย์? คนเหล่านั้นย่อมได้รับการชูใจเหมือนกันเมื่อเห็นตัวอย่างความซื่อสัตย์อดทนของคุณ. โดยที่คุณคงอยู่ในแนวทางคริสเตียนต่อ ๆ ไปทั้งที่มีปัญหาและความยากลำบากในชีวิตและยังไม่ย่อท้อ คุณสามารถวางตัวอย่างอันเป็นแรงบันดาลใจได้.
ต้านทานความท้อแท้อันเนื่องมาจากพญามาร
15. ทำไมพญามารมี “ความโกรธยิ่งนัก” และมันโกรธใคร?
15 ไม่เฉพาะพวกเราเท่านั้นที่รู้ว่าวันของพระยะโฮวาใกล้เข้ามา. ซาตานพญามารก็รู้เหมือนกัน. วิวรณ์ 12:12 แจ้งไว้ว่าวิบัติเกิดขึ้นที่แผ่นดินโลก “เพราะมารลงมาถึงเจ้ามีความโกรธยิ่งนัก ด้วยมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย.” ตามที่ระบุในวิวรณ์ 12:17 ความโกรธของมารมุ่งต่อต้านบรรดา “ผู้ที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้า และที่ยึดถือคำพยานของพระเยซู.” ไม่สงสัยเลย—พญามารต้องการทำให้เราท้อแท้! และมันรู้วิธีที่จะลองทำดู. มันรู้จุดอ่อนและปัญหาของเรา และมันก็ใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์.
16. ทำไมซาตานใช้ความท้อแท้เป็นเครื่องมือ?
16 ทำไมพญามารใช้ความท้อแท้เป็นวิธีการต่อสู้? เนื่องจากใช้ได้ผลบ่อย ๆ. แม้แต่คนที่ได้อดทนการต่อต้านขัดขวางและการข่มเหงซึ่ง ๆ หน้าก็อาจจะยอมแพ้ต่อการท้อแท้ใจได้. ซาตานต้องการเยาะเย้ยพระเจ้ายะโฮวาและพยายามจะพิสูจน์ว่ามันสามารถชักนำมนุษย์มิให้รับใช้พระเจ้า. (สุภาษิต 27:11; เทียบกับโยบ 2:4, 5; วิวรณ์ 12:10.) ถ้ามันทำให้คุณท้อใจได้ มันอาจทำให้คุณเฉื่อยช้าลงในงานรับใช้พระเจ้า มันอาจทำได้กระทั่งให้คุณเลิกรับใช้ ทำให้คุณเงื่องหงอยในงานประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร.—2 โกรินโธ 2:10, 11; เอเฟโซ 6:11; 1 เปโตร 5:8.
17. ผลกระทบในทางลบสืบเนื่องจากความท้อแท้ปรากฏชัดในสมัยโมเซอย่างไร?
17 ผลกระทบในทางลบอันเนื่องมาแต่ความท้อใจอาจสังเกตเห็นได้ในกรณีของชาวยิศราเอลในอียิปต์สมัยโบราณ. หลังจากโมเซเข้าทูลฟาโรห์แล้ว ผู้เผด็จการองค์นั้นยิ่งเพิ่มภาระหนักแก่พวกเขาทั้งทวีการกดขี่ให้หนักมือยิ่งขึ้น. พระเจ้าได้รับสั่งแก่โมเซที่จะให้คำรับรองกับชาวยิศราเอลว่าพระเจ้าจะช่วยเขาให้รอดจริง จะทรงตั้งเขาเป็นไพร่พลของพระองค์ เตรียมทางหนีให้เขาและนำเขาเข้าไปถึงแผ่นดินแห่งคำสัญญา. โมเซก็ได้แถลงข้อความดังกล่าวแก่ชนชาวยิศราเอล. แต่เอ็กโซโด 6:9 รายงานว่า “แต่เพราะถูกเกณฑ์ให้ทำการหนักอย่างสาหัสเขาก็ระอาใจ จึงมิได้เชื่อฟังโมเซ.” กระทั่งพระยะโฮวาทรงกระทำให้โมเซเชื่อมั่นและหนุนใจท่าน ปฏิกิริยาเช่นนั้นทำแม้แต่โมเซเองท้อแท้ไม่ต้องการจะเข้าเฝ้าฟาโรห์ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาให้ไป.—เอ็กโซโด 6:10-13.
18. ทำไมมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดสำหรับไพร่พลของพระเจ้าที่จะต้านทานความท้อแท้อันมีสาเหตุมาจากพญามาร?
18 ซาตานพญามารรู้ผลกระทบในทางลบซึ่งความท้อแท้ใจสามารถทำให้เกิดขึ้นได้กับผู้รับใช้ของพระเจ้า. ดังคำกล่าวในสุภาษิต 24:10 ว่า “ถ้าเจ้าป้อแป้ในวันที่มีความทุกข์ยากก็เห็นได้ว่ากำลังของเจ้านั้นน้อย.” เนื่องจากเราล้ำเข้ามาอยู่ในช่วงปลายของยุคสุดท้าย เราจำต้องเข้มแข็งและมั่งคงฝ่ายวิญญาณ. นับว่าหนักหนาอยู่แล้วที่เราต้องต่อสู้กับความบกพร่องไม่สมบูรณ์ของตัวเอง ความอ่อนแอ ความผิดพลาดซึ่งมีแต่จะถ่วงเราไว้ และเมื่อซาตานพยายามใช้ข้อบกพร่องต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเครื่องมือ เราจำต้องรับความช่วยเหลือ.
วางใจแน่วแน่ในเครื่องบูชาของพระคริสต์
19. อะไรจะช่วยเราต่อต้านความท้อใจ และเพราะเหตุใด?
19 การช่วยเหลือที่ดียิ่งในเรื่องนี้ได้แก่การจัดเตรียมค่าไถ่ซึ่งพระยะโฮวาทรงจัดไว้โดยทางพระเยซูคริสต์. เราสามารถจะเอาชนะได้โดยการวางใจอย่างแน่วแน่ในค่าไถ่. นับว่าอันตรายที่จะประเมินวิธีการจัดเตรียมนี้ต่ำ. จริงอยู่ เรายังทำผิดพลาดหรือทำบาปอยู่ ตราบใดที่เราเป็นคนไม่สมบูรณ์อย่างนี้. แต่เราไม่ต้องท้อใจแล้วยอมแพ้ มีความรู้สึกหมดหวัง และโดยเหตุนั้นจึงตกเข้าสู่หลุมพรางของซาตาน. เรารู้ว่าเรามีเครื่องบูชาไถ่ที่ให้ประโยชน์เต็มที่. ค่าไถ่สามารถลบล้างบาปให้หมดไปได้. ถ้าเราอยู่ในกลุ่ม “ชนฝูงใหญ่” เราต้องมีความเชื่อเต็มเปี่ยมและวางใจว่า เราสามารถซักเสื้อคลุมของเราให้ขาวได้โดยโลหิตของพระเมษโปดก.—วิวรณ์ 7:9, 14.
20. วิวรณ์ 12:11 บ่งชี้อย่างไรว่าเราจะเอาชนะพญามารตัวการสำคัญที่ทำให้ท้อใจได้?
20 ที่พระธรรมวิวรณ์ 12:10 มีการพรรณนาถึงซาตานเป็น “ผู้ที่กล่าวโทษพวกพี่น้องของเรา . . . ที่ได้กล่าวโทษเขาต่อพระพักตร์พระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืน.” เราจะพิชิตผู้กล่าวโทษที่ชั่วช้าและเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความท้อแท้โดยวิธีใด? ข้อ 11 ในบทเดียวกันมีคำตอบไว้แล้วดังนี้: “เขาเหล่านั้นได้มีชัยแก่มันโดยพระโลหิตของพระเมษโปดกและโดยคำพยานของตนเอง และเขาไม่ได้เสียดายที่จะพลีชีวิตของตน.” ฉะนั้น ไพร่พลของพระยะโฮวาจึงต้องมีความมั่นใจเต็มที่เสมอในเรื่องเครื่องบูชาไถ่คือพระโลหิตของพระเมษโปดก. จงรักษาการชูกำลังใจไว้ให้มั่นคงซึ่งคุณได้จากการให้คำพยาน การมีส่วนเป็นประจำในการบอกข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าแก่ทุกคนเท่าที่คุณสามารถจะทำได้.
21. เราอาจจะมีส่วนทำงานของพญามารโดยไม่เจตนานั้นอย่างไรด้วยการทำให้พี่น้องของเรารู้สึกท้อใจ?
21 บางครั้ง แม้ไม่มีเจตนาก็ตาม เราอาจมีส่วนทำงานของซาตานด้วยการทำให้พี่น้องท้อใจ. โดยวิธีใด? โดยที่เราเป็นคนช่างติ ชอบวิจารณ์ มั่นหมายเอาจากคนอื่นมากเกินไปหรือเป็นคนชอบธรรมเกินไป. (ท่านผู้ประกาศ 7:16) พวกเราทุกคนต่างก็มีข้อบกพร่องและอ่อนแอ. จงอย่าถือเอาสิ่งเหล่านี้เป็นข้ออ้างอย่างที่พญามารเคยเอาไปใช้อ้าง. แทนที่จะทำเช่นนั้น ให้เราพูดอย่างเป็นที่หนุนกำลังใจเรื่องพี่น้องของเราและไพร่พลของพระยะโฮวาที่ถูกจัดไว้อย่างมีระเบียบ. เราต้องการผดุงความเบิกบานยินดีระหว่างกันและกันอยู่เสมอ และจึงระงับเหตุที่ทำให้กันและกันห่อเหี่ยวหรือท้อใจ.
การชูใจขณะวันนั้นใกล้เข้ามา
22, 23. (ก) ทำไมเราไม่ควรปล่อยให้การหนุนใจซึ่งกันและกันเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองแต่ฝ่ายเดียว? (ข) บรรดาผู้ดูแลในประชาคมจะรับการหนุนใจได้โดยวิธีใด?
22 เราควรตั้งใจแน่วแน่มั่นคงเสมอที่จะชูใจซึ่งกันและกันขณะวันนั้นใกล้เข้ามา. จงหนุนใจคนอื่นโดยตัวอย่างการประพฤติอันซื่อตรงของคุณและด้วยถ้อยคำที่ปลอบประโลมใจ. ในเรื่องนี้จงเลียนแบบพระยะโฮวาและองค์พระเยซูคริสต์. อย่าปล่อยให้งานชูใจเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองในประชาคมแต่ฝ่ายเดียว. พวกผู้ปกครองเองก็ย่อมต้องการการชูใจเหมือนกัน. พวกเขามีจุดอ่อนและเปราะบางเหมือนสมาชิกทั้งหลายในประชาคม และต้องรับมือกับปัญหาเช่นเดียวกันเมื่อจัดหาเลี้ยงดูครอบครัวของเขาในโลกที่เสื่อมโทรมเช่นนี้. นอกจากนี้ เขามีความห่วงใยประชาคม อย่างที่เปาโลได้พรรณนาไว้. (2 โกรินโธ 11:28, 29) งานของพวกผู้ปกครองเป็นงานหนัก—พวกเขาต้องการได้รับการชูใจ.
23 คุณสามารถสนับสนุนบุคคลเหล่านั้นได้มากผู้ซึ่งมีหน้าที่เอาใจใส่ดูแลการงานภายในประชาคมคริสเตียนโดยร่วมมือกับพวกเขา. เมื่อเป็นเช่นนั้นคุณก็จะทำตามคำแนะนำจากเฮ็บราย 13:17 (ล.ม.) ที่ว่า “จงเชื่อฟังคนเหล่านั้นซึ่งนำหน้าในท่ามกลางท่านทั้งหลาย และจงอยู่ใต้อำนาจ เพราะพวกเขาคอยเฝ้าระวังดูจิตวิญญาณของท่านในฐานะเป็นผู้ซึ่งจะชี้แจงรายงาน; เพื่อเขาจะทำเช่นนี้ด้วยความยินดีและไม่ใช่ด้วยความถอนใจ เพราะการเช่นนั้นคงจะเป็นความเสียหายแก่ท่าน.”
24. ในสมัยที่มีความท้อแท้มากเช่นนี้ เราน่าจะทำอะไร เพราะเหตุใด?
24 เราอยู่ในยุคสมัยที่มีหลายสิ่งทำให้ท้อใจ. แท้จริง หัวใจของมนุษย์สลบไสลเพราะความกลัวและการคาดหมายเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับโลกมนุษย์ดังพระเยซูทรงพยากรณ์ไว้. (ลูกา 21:25, 26) เมื่อมีปัญหามากมายซึ่งมักจะก่อความท้อแท้และการขาดกำลังใจ “จงชูใจซึ่งกันและกัน และให้มากยิ่งขึ้นเมื่อท่านเห็นวันนั้นใกล้เข้ามา.” จงทำตามคำแนะนำอันดีของอัครสาวกที่ 1 เธซะโลนิเก 5:11 ที่ว่า “จงหนุนน้ำใจซึ่งกันและกันและจงต่างคนต่างก่อร่างสร้างกันขึ้น ตามอย่างที่ท่านทั้งหลายกระทำอยู่นั้น.”
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ ทำไมคริสเตียนควรชูกำลังซึ่งกันและกันมากยิ่งกว่าที่เคยทำมาแล้ว?
▫ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวด้วยพระนามของพระเจ้าเป็นสิ่งที่หนุนใจอย่างไรแก่ไพร่พลของพระยะโฮวา?
▫ ในทางใดบ้างพวกเราแต่ละคนจะหนุนใจซึ่งกันและกันได้?
▫ ทำไมเราต้องหลีกเลี่ยงเพื่อจะไม่มีส่วนในงานของพญามารที่ทำให้พี่น้องของเราเกิดความท้อแท้?
[รูปภาพหน้า 17]
บรรดาผู้ปกครองนำหน้าในการหนุนใจสมาชิกในประชาคมที่เขาดูแล