จงสอนในที่สาธารณะและตามบ้านเรือน
“ข้าพเจ้าไม่ได้ถดถอยจาก . . . การสั่งสอนท่านในที่สาธารณะและตามบ้านเรือน.”—กิจการ 20:20, “ไบอิงตัน.”
1. บาทหลวงคาทอลิกให้ข้อคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวด้วยประสิทธิภาพการทำงานประกาศเทศนาตามบ้านโดยพยานพระยะโฮวา?
“ชาวคาทอลิกประกาศกิตติคุณตามบ้านเรือน.” นี้คือหัวข่าวใน เดอะ โพรวิเดนซ์ ซันเดย์ เจอร์นัล วันที่ 4 ตุลาคม 1987. หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า เป้าหมายสำคัญของกิจกรรมนี้ก็เพื่อ “ชักชวนสมาชิกโบสถ์ที่ปวกเปียกให้คืนสู่ชีวิตแบบคนของโบสถ์ที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น.” มีการยกคำพูดของบาทหลวงจอห์น อัลลาร์ด ผู้บริหารฝ่ายการเผยแพร่ประจำสำนักสงฆ์เมืองโพรวิเดนซ์ขึ้นมากล่าวดังนี้ “แน่นอน จะมีความฉงนสนเท่ห์กันมาก. ผู้คนจะพูดว่า ‘เอาละซี คนพวกนี้จะทำเหมือนพยานพระยะโฮวา.’ แต่พยานพระยะโฮวาทำงานได้ผลดีมิใช่หรือ? ข้าพเจ้าท้าได้เลยว่า เมื่อพวกท่านเข้าไปในหอประชุมราชอาณาจักรแห่งใดก็ตามที่รัฐ [โรดไอแลนด์, สหรัฐ] ท่านจะพบเห็นหลายคนที่เคยเป็นชาวคาทอลิกมาก่อน.”
2. มีการยกคำถามอะไรขึ้นมาอย่างเหมาะสม?
2 ใช่แล้ว พยานพระยะโฮวาเป็นที่รู้จักกันดีเพราะการประกาศตามบ้านเรือนอย่างได้ผล. แต่ทำไมพยานฯ จึงไปตามบ้านเรือน?
วิธีการแบบอัครสาวก
3. (ก) พระเยซูคริสต์ทรงมอบหมายหน้าที่อะไรแก่สาวกของพระองค์? (ข) วิธีหลักที่สาวกรุ่นแรก ๆ ของพระคริสต์ได้ดำเนินการตามหน้าที่มอบหมายนั้นคืออย่างไร?
3 พระเยซูคริสต์ได้ทรงมอบหมายงานสำคัญให้อัครสาวกทำโดยบัญชาว่า “จงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศให้เป็นสาวก ให้รับบัพติสมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ นี่แหละ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปเป็นนิตย์กว่าจะสิ้นโลก.” (มัดธาย 28:19, 20) วิธีหลักซึ่งจะทำให้งานนี้ลุล่วงไปปรากฏให้เห็นทันทีทันใดภายหลังวันเพ็นเตคอสเต ปีสากลศักราช 33. “เขาจึงได้สั่งสอนประกาศกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในโบสถ์ และตามบ้านเรือน ทุก ๆ วันมิได้ขาด.” (กิจการ 5:42) ต่อมาประมาณยี่สิบกว่าปี อัครสาวกเปาโลได้ประกาศตามบ้าน เพราะท่านได้ตักเตือนพวกผู้ปกครองจากเมืองเอเฟโซให้ระลึกว่า “สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้ แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็น กับได้สั่งสอนท่านทั้งหลายในที่ประชุมและตามบ้านเรือน.”—กิจการ 20:20.
4. เหตุใดเราจึงพูดได้ว่า กิจการ 5:42 และกิจการ 20:20 หมายความว่า งานเผยแพร่โดยสาวกของพระคริสต์นั้นเป็นงานที่กระจายไปตามบ้านเรือน?
4 ถ้อยคำในกิจการ 5:42 ที่ว่า “ตามบ้านเรือน” นั้นได้แปลจากคำคัดʹ โอยʹคน. ที่นี่คำคาทาʹ ถูกนำไปใช้ในแง่ “กระจาย.” ดังนั้น การประกาศสั่งสอนของสาวกเหล่านั้นจึงได้กระจายกันจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่ง. เมื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับกิจการ 20:20 แรนด็อล์ฟ โอ. ยีเกอร์ เขียนว่าเปาโลสั่งสอน “ทั้งในที่ประชุมสาธารณะ [เดโมเซีย] และตามบ้านเรือน (เป็นคำนามหมายถึงการกระจาย [คาทาʹ] อยู่ในรูปกรรมการก). เปาโลใช้เวลาสามปีในเมืองเอเฟโซ. ท่านได้เยี่ยมทุกบ้าน หรืออย่างน้อยก็ได้ประกาศแก่ทุกคน (ข้อ 26). นี้คือแบบอย่างตามหลักคัมภีร์ว่าด้วยวิธีการเผยแพร่ตามบ้านเรือน และกระทำในที่ประชุมสาธารณะเช่นกัน.”
5. ที่กิจการ 20:20 ทำไมเปาโลมิได้หมายถึงการเยี่ยมของผู้ปกครองเพื่อพบปะสังสรรค์หรือเยี่ยมเพื่อการบำรุงเลี้ยง?
5 การใช้คำคาทาʹ ทำนองเดียวกันนี้ปรากฏอยู่ในลูกา 8:1 ซึ่งพูดถึงการสั่งสอนของพระเยซูว่า “เสด็จไปทั่วตลอดตามบ้านตามเมือง.” ที่กิจการ 20:20 เปาโลได้ใช้คำคัดʹ โออิʹโคอุส ในรูปพหูพจน์. ในข้อนี้คัมภีร์ฉบับแปลบางเล่มใช้คำ “ในบ้านของท่าน.” แต่อัครสาวกหาได้พาดพิงถึงการเยี่ยมสังสรรค์ของพวกผู้ปกครอง หรือเยี่ยมบำรุงเลี้ยงในบ้านของเพื่อนร่วมความเชื่อไม่. คำกล่าวถัดไปแสดงให้เห็นว่าท่านพูดถึงงานประกาศสั่งสอนตามบ้านท่ามกลางคนไม่มีความเชื่อ เพราะท่านพูดดังนี้: “ทั้งเป็นพยานแก่ชาติยูดายและชาติเฮเลนถึงเรื่องการกลับใจเสียใหม่เฉพาะพระเจ้าและความเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา.” (กิจการ 20:21) เพื่อนผู้มีความเชื่อได้กลับใจแล้วและได้แสดงความเชื่อในพระเยซู. ดังนั้น กิจการ 5:42 และกิจการ 20:20 คงต้องหมายถึงการประกาศ “ตามบ้านเรือน” แก่ผู้ไม่มีความเชื่อ หรือประกาศบ้านหนึ่งแล้วไปอีกบ้านหนึ่ง.
ไม่มีอะไรทดแทนงานประกาศตามบ้าน
6. มีการพูดกันเช่นไรเกี่ยวด้วยวิธีการประกาศสั่งสอนของเปาโลในเมืองเอเฟโซ?
6 การให้ความเห็นเกี่ยวกับคำพูดของเปาโลที่กิจการ 20:20 เอบิเอล แอบบอต ลิเวอร์มอร์ เขียนไว้เมื่อปี 1844 ว่า “ท่าน [เปาโล] ไม่อิ่มใจแค่การบรรยาย ณ ที่ประชุมสาธารณะเท่านั้น หรือเพียงการใช้วิธีอื่น ๆ แต่ท่านมุ่งทำงานสำคัญด้วยความกระตือรือร้นเป็นการส่วนตัว ไปตามบ้านเรือน และโดยแท้แล้วแสดงอย่างชัดแจ้งว่าท่านได้นำความจริงจากสวรรค์เข้าไปถึงในบ้าน และใส่ไว้ในหัวใจชาวเอเฟโซ.” ยิ่งเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีข้อสังเกตว่า “การเผยแพร่กิตติคุณไปตามบ้านเรือนเป็นลักษณะเด่นของคริสเตียนศตวรรษแรกตั้งแต่แรกทีเดียว. (กิจการ 2:46; 5:42) . . . [เปาโล] ได้ทำงานที่ท่านรับผิดชอบอย่างทั่วถึงท่ามกลางชาวยิวและคนต่างชาติในเมืองเอเฟโซ และคนเหล่านั้นไม่มีทางแก้ตัวได้ถ้าเขาพินาศเพราะการบาปของตน.”—เดอะ เวสเลยัน ไบเบิล คอมเมนทารี เล่ม 4 หน้า 642, 643.
7. ทำไมอาจกล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยการทำงานของพยานพระยะโฮวาที่ออกไปประกาศตามบ้านเรือน?
7 ถึงแม้การบรรยายต่อสาธารณชนมีบทบาทเพื่อการแถลงข่าวดี แต่จะเอามาทดแทนการพบกันเป็นส่วนตัวที่บ้านไม่ได้. ในเรื่องนี้ โจเซฟ แอดดิสัน อะเล็กซานเดอร์ ผู้คงแก่เรียนบอกว่า “คริสต์จักรยังไม่คิดประดิษฐ์อะไรขึ้นมาใช้แทนบทบาทนี้ หรือที่จะได้ผลดีกว่าการประกาศที่โบสถ์และตามบ้าน.” ดังที่ โอ. เอ. ฮิลลซ์ ผู้เชี่ยวชาญว่าดังนี้ “การสั่งสอนในที่ชุมชน หรือการสั่งสอนตามบ้านเรือนต้องทำควบคู่กัน.” พยานพระยะโฮวาจัดเตรียมการให้ความรู้โดยการบรรยาย ณ หอประชุมประจำสัปดาห์. นอกจากนั้น เขามีหลักฐานชัดแจ้งว่าวิธีการของพวกอัครสาวกคือการเผยแพร่สัจธรรมของพระคัมภีร์ตามบ้านเรือนนั้นได้ผล. และพระยะโฮวาทรงเห็นชอบกับการนี้อย่างแน่นอน เพราะผลจากงานเทศนาสั่งสอนดังกล่าว ทุก ๆ ปีพระองค์ทรงบันดาลให้ผู้คนนับหมื่นนับแสนหลั่งไหลเข้ามายังการนมัสการของพระองค์ที่ได้รับการยกชูขึ้น.—ยะซายา 2:1-4; 60:8, 22.
8. (ก) มีการพูดกันอย่างไรถึงเหตุผลที่ว่าการประกาศตามบ้านบังเกิดผลดี? (ข) อาจเปรียบเทียบพยานพระยะโฮวากับเปาโลได้อย่างไรในเรื่องการออกไปประกาศสั่งสอนถึงบ้านและการให้คำพยานวิธีอื่น?
8 ผู้คงแก่เรียนอีกคนหนึ่งกล่าวดังนี้ “ประชาชนรู้สึกว่าคำสอนที่ได้ยินที่บ้านจำได้ง่ายกว่าไปฟังที่โบสถ์.” เอาละ เปาโลได้ไปเยี่ยมถึงบ้านเป็นประจำ เป็นการวางตัวอย่างที่ดีในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า. “ท่านไม่อิ่มใจเพียงแต่สอนและบรรยายในธรรมศาลาและที่ชุมนุมชน. โดยความขยันหมั่นเพียร ท่าน ‘สั่งสอน’ ‘ตามบ้านเรือน’” นี้คือข้อเขียนของเอ็ดวิน ดับเบิลยู. ไรซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพระคัมภีร์. “งานนี้เป็นการต่อสู้ความชั่วจากบ้านหนึ่งถึงบ้านหนึ่ง เข้าถึงตัวและเผชิญหน้ากันเลยทีเดียว ซึ่งท่านขับเคี่ยวในเมืองเอเฟโซเพื่อจะได้นำคนมาถึงพระคริสต์.” พยานพระยะโฮวาตระหนักว่า การสนทนาโต้ตอบบุคคล ณ ที่บ้านเป็นรายตัวนั้นได้ผล. ยิ่งกว่านั้น พยานฯ ยังกลับเยี่ยมเยียนและยินดีจะคุยกับผู้ต่อต้านด้วยซ้ำ ถ้าคนเหล่านี้จะยอมให้โอกาสสนทนากันโดยการใช้เหตุผล. ช่างเหมือนกันจริงกับกรณีของเปาโล! เอ็ฟ. เอ็น. เพลูเบ็ท เขียนเกี่ยวกับท่านว่า “งานของเปาโลมิใช่เป็นการประชุมไปเสียทั้งหมด. โดยไม่สงสัย ท่านได้เยี่ยมผู้คนมากมายที่บ้านของเขาเป็นรายตัวเมื่อใดก็ตามที่ท่านรู้ว่าใครบ้างอยากไต่ถาม หรือสนใจใคร่รู้หรือต่อต้านถึงขนาดเขาเต็มใจจะสนทนาเรื่องศาสนา.”
ผู้ปกครองควรเป็นฝ่ายนำหน้า
9. เปาโลได้วางตัวอย่างอะไรสำหรับบรรดาผู้ปกครองประชาคม?
9 เปาโลวางตัวอย่างอะไรไว้สำหรับเพื่อนผู้ปกครอง? ท่านแสดงให้เห็นว่า ผู้ปกครองควรเป็นผู้ประกาศข่าวดีตามบ้านเรือนด้วยความกล้าหาญและไม่ย่อท้อ. ในปี 1879 เจ. เกล็นเวิร์ธ บัทเลอร์ เขียนว่า “[พวกผู้ปกครองประชาคมเอเฟโซ] ต่างก็ทราบว่าเมื่อสั่งสอนนั้น [เปาโล] ไม่เคยนึกถึงอันตรายอันจะเกิดขึ้นกับตัวท่านเองหรือการที่ผู้อื่นจะนิยมชมชอบ ท่านไม่ได้ปิดบังความจริงแต่อย่างใดที่เขาจำต้องรู้ ท่านไม่ได้ลำเอียงหรือมองด้านเดียว ยึดอยู่กับแง่มุมแห่งสัจธรรมอันเป็นจุดเด่นเฉพาะและแปลกใหม่ แต่ได้สนับสนุนเฉพาะ และทุกสิ่ง ซึ่งเป็นคุณประโยชน์ ‘เพื่อสอนใจ’ หรือการเสริมสร้าง: คำแนะนำทั้งสิ้นของพระเจ้า ในด้านความบริสุทธิ์และครบถ้วน! และ ‘การแสดง’ อย่างซื่อสัตย์เช่นนี้ ‘การสั่งสอน’ อย่างกระตือรือร้นเกี่ยวด้วยสัจธรรมคริสเตียนเช่นนี้จึงเป็นกิจปฏิบัติที่ท่านทำ ไม่เฉพาะในโรงเรียนของตุระโน และ ณ ที่อื่น ๆ ซึ่งบรรดาสาวกชุมนุมกัน แต่ท่านได้ไปทุกบ้านเท่าที่จะเข้าถึงได้. จากบ้านหนึ่งไปยังบ้านหนึ่ง จากคนหนึ่งแล้วไปหาอีกคนหนึ่ง วันแล้ววันเล่าท่านได้ประกาศข่าวดีอันชื่นใจพร้อมด้วยความปรารถนาและความใฝ่ฝันเยี่ยงพระคริสต์. ท่านได้แสดงตัวต่อคนทุกชั้นทุกเชื้อชาติ ต่อชาวยิวที่เป็นศัตรู และต่อชาวกรีกที่เยาะเย้ย สาระสำคัญอย่างเดียวของท่าน—ซึ่งถ้ากล่าวชี้แจงอย่างเต็มที่ รวมเอาสัจธรรมข้ออื่น ๆ ทั้งสิ้นที่จำเป็นต่อการช่วยชีวิตให้รอด—คือการกลับใจเสียใหม่จำเพาะพระเจ้า และการมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา.”
10, 11. (ก) พูดถึงงานด้านการประกาศสั่งสอน เปาโลคาดหมายอะไรจากพวกผู้ปกครองที่เมืองเอเฟโซ? (ข) เช่นเดียวกันกับเปาโล พยานพระยะโฮวาและผู้ปกครองต่างก็มีส่วนในงานเผยแพร่แบบไหน?
10 เมื่อเป็นเช่นนั้น โดยสรุปแล้ว เปาโลคาดหมายอะไรจากผู้ปกครองแห่งประชาคมเอเฟโซ? อี. เอส. ยัง ผู้เชี่ยวชาญได้ถอดความที่เปาโลกล่าวอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้พูดในที่สาธารณะเท่านั้น แต่ข้าพเจ้าอุตส่าห์ไปตามบ้านเรือน ไปหาคนทุกชั้น ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ. สาระสำคัญแห่งงานประกาศสั่งสอนของข้าพเจ้าแก่คนทุกชนิดคือ ‘การกลับใจเสียใหม่จำเพาะพระเจ้า และความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา.’” หรือดังที่ดับเบิลยู. บี. ไรเลย์ เขียนคำพูดของเปาโลอีกแบบหนึ่งดังนี้ “ความหมายที่เข้าใจง่ายคือ ‘ข้าพเจ้าหวังให้พวกท่านสานต่อจากที่ข้าพเจ้าได้เริ่มไว้ ทั้งที่จะทำและจะสอน และข้าพเจ้าคาดหวังว่าท่านจะต่อต้านอย่างที่ข้าพเจ้าได้ต่อต้านมาแล้ว ทั้งจะสอนเป็นการส่วนตัวหรือที่สาธารณะอย่างข้าพเจ้าได้สอนตามถนนหนทางและตามบ้านเรือน ให้คำพยานแก่คนยิวและคนกรีกเหมือน ๆ กันเพื่อการกลับใจใหม่จำเพาะพระเจ้าและความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา เพราะสิ่งเหล่านี้แหละเป็นหลักพื้นฐาน!’”
11 เป็นที่ชัดแจ้งว่า ในกิจการบท 20 นั้น เปาโลได้ชี้ให้เพื่อนผู้ปกครองทั้งหลายเข้าใจว่ามีการคาดหมายว่า เขาจะเป็นพยานของพระยะโฮวาตามบ้านเรือน. ในเรื่องนี้ พวกผู้ปกครองในศตวรรษแรกจะต้องนำหน้า วางตัวอย่างอันเหมาะสมสำหรับสมาชิกทั้งหลายในประชาคม. (เทียบกับเฮ็บราย 13:17.) ดังนั้น เยี่ยงเปาโล พยานพระยะโฮวาประกาศตามบ้านเรือน บอกคนทุกชาติให้รู้ถึงราชอาณาจักรของพระเจ้า การกลับใจเสียใหม่จำเพาะพระเจ้า และความเชื่อในพระเยซูคริสต์. (มาระโก 13:10; ลูกา 24:45-48) และในงานไปตามบ้านเรือนเช่นนั้นจึงเป็นที่คาดหมายว่า ผู้ปกครองซึ่งรับการแต่งตั้งจะเป็นฝ่ายนำหน้าท่ามกลางเหล่าพยานฯ ในสมัยปัจจุบัน.—กิจการ 20:28.
12. ผู้ปกครองบางคนในอดีตเคยปฏิเสธที่จะทำสิ่งใด แต่ทุกวันนี้พวกผู้ปกครองเป็นฝ่ายนำหน้าในงานอะไร?
12 ในปี 1879 ชาร์ลส เทช รัสเซลล์เริ่มออกหนังสือไซโอนส์ วอชเทาเวอร์ แอนด์ เฮรัลด์ อ็อฟ ไครส์ เพรซึนส์ ปัจจุบันเรียกว่า หอสังเกตการณ์ ประกาศราชอาณาจักรของพระยะโฮวา. รัสเซลล์พร้อมด้วยนักศึกษาพระคัมภีร์คนอื่น ๆ ได้ประกาศข่าวราชอาณาจักรตามแบบอัครสาวก. แต่ในปีต่อมา ผู้ปกครองในบางประชาคมไม่ได้ปฏิบัติสมกับหน้าที่รับผิดชอบของตนในการให้คำพยาน. อย่างที่พยานฯ คนหนึ่งเขียนว่า “ทุกสิ่งดำเนินไปโดยดีกระทั่งมีคำประกาศออกมาให้ทุกคน เข้าส่วนในงานประกาศตามบ้านพร้อมกับใช้สรรพหนังสือ โดยเฉพาะการออกไปตามบ้านในวันอาทิตย์—เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1927. ผู้ปกครองที่ถูกเลือกเข้ามาได้คัดค้านและพยายามทำให้ทั้งประชาคมเกิดความท้อใจ ไม่ออกประกาศหรือไม่ทำงานด้านใดด้านหนึ่งเกี่ยวด้วยการประกาศเลย.” ต่อมา ผู้ชายซึ่งไม่ยอมร่วมงานประกาศตามบ้านเรือนก็ไม่มีสิทธิพิเศษอีกต่อไปที่จะรับใช้ฐานะผู้ปกครอง. ทุกวันนี้ก็เช่นกัน บรรดาผู้ทำหน้าที่ฐานะเป็นผู้ปกครองหรือผู้รับใช้ที่ถูกแต่งตั้งถูกคาดหมายให้เป็นผู้ที่นำหน้าในการออกประกาศเป็นพยานตามบ้านเรือนและรูปแบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานรับใช้ของคริสเตียน.
ทุกคนเป็นพยาน
13. (ก) พวกเราน่าจะทำอะไรแม้ประชาชนไม่ยอมฟังข่าวราชอาณาจักร? (ข) มีการเปรียบเทียบเปาโลกับยะเอศเคลอย่างไร?
13 ด้วยการสนับสนุนของพระยะโฮวา คริสเตียนควรประกาศข่าวราชอาณาจักรตามบ้านเรือน ถึงแม้ดูเหมือนจะไม่ได้รับการสนองตอบด้วยความหยั่งรู้ค่า. ในฐานะที่ตนเป็นคนยามซึ่งพระเจ้าแต่งตั้งขึ้น ยะเอศเคลต้องบอกเตือนประชาชนโดยไม่คำนึงว่าคนเหล่านั้นจะยอมฟังหรือไม่. (ยะเอศเคล 2:5-7; 3:11, 27; 33:1-6) โดยการเปรียบเทียบระหว่างยะเอศเคลกับเปาโล อี. เอ็ม. ไบลคล็อกเขียนดังนี้ “จาก [คำพูดของเปาโลในกิจการบท 20] ทำให้เห็นภาพการประกาศสั่งสอนในเมืองเอเฟโซปรากฏอย่างชัดแจ้ง. จงสังเกตจุดต่าง ๆ ต่อไปนี้: จุดแรก ความซื่อสัตย์อย่างเร่าร้อนของเปาโล. ท่านไม่ใช่คนที่ใฝ่หาความมีหน้ามีตาหรือความชอบพอจากผู้คนโดยทั่ว ๆ ไป. เนื่องจากท่านถูกตั้งให้ทำงานในหน้าที่คนยามอย่างยะเอศเคล ท่านจึงปฏิบัติหน้าที่กระตือรือร้นอย่างสุจริตใจ และปฏิบัติตามคำพูด. จุดที่สอง ท่านมีความเห็นอกเห็นใจที่แฝงด้วยความรักใคร่. ท่านไม่เพียงแต่กล่าวพยากรณ์ถึงความล่มจมโดยไม่มีความรู้สึก. จุดที่สาม งานประกาศเผยแพร่ที่ท่านทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย. ท่านประกาศกิตติคุณแก่สาธารณชนและตามบ้านเรือน ในเมืองใหญ่และทั่วเขตแคว้นต่าง ๆ.”
14. เหตุใดการให้คำพยานเป็นหน้าที่รับผิดชอบของทุกคนซึ่งอุทิศตัวแด่พระเจ้ายะโฮวาด้วยการอธิษฐานผ่านทางพระเยซูคริสต์?
14 การที่พระเจ้าทรงอวยพรอย่างบริบูรณ์แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ในสมัยปัจจุบันจึงไม่สงสัยแม้แต่น้อยว่า พระองค์ทรงพอพระทัยที่คนเหล่านี้ใช้ชื่อพยานพระยะโฮวา. (ยะซายา 43:10-12) นอกจากนั้น พวกเขาเป็นพยานของพระคริสต์ด้วย เพราะพระเยซูตรัสแก่สาวกของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดชเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงยะรูซาเลม สิ้นทั้งมณฑลยูดาย มณฑลซะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก.” (กิจการ 1:8) ฉะนั้น การให้คำพยานจึงเป็นหน้าที่รับผิดชอบของทุกคนซึ่งได้อุทิศตัวแด่พระเจ้ายะโฮวาด้วยการอธิษฐานผ่านพระเยซูคริสต์.
15. มีกล่าวไว้อย่างไรถึงเรื่องงานให้คำพยานของคริสเตียนรุ่นแรก ๆ?
15 เคยมีการพูดถึงการให้คำพยานว่า “งานนี้เกี่ยวข้องกับคริสต์จักรโดยส่วนรวม. การดำเนินงานด้านมิชชันนารีของคริสต์จักรสมัยเริ่มแรกนั้นไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของสมาคมสตรีมิชชันนารี หรือของกรรมาธิการฝ่ายดำเนินงานในต่างประเทศ. และงานให้คำพยานก็หาได้ละไว้กับผู้มีอาชีพในหน้าที่นี้เช่นผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการในสำนักศาสนาหรือกระทั่งพวกอัครสาวก. . . . ในสมัยต้น ๆ คริสต์จักรนั้นแหละเป็น สถาบันเผยแพร่ศาสนา. โครงการมิชชันนารีของคริสต์จักรสมัยแรกอาศัยข้อสันนิษฐานสองประการคือ (1) งานหลักของคริสต์จักรคือ การเผยแพร่กิตติคุณตลอดทั่วโลก. (2) ความรับผิดชอบเพื่อดำเนินงานสำคัญนี้มอบไว้กับชุมชนคริสเตียนทั้งสิ้น.—เจ. เฮอร์เบิร์ต เคน.
16. แม้แต่นักเขียนในคริสต์ศาสนจักรได้ยอมรับสิ่งใดเกี่ยวกับคริสเตียนและการให้คำพยาน?
16 แม้นักเขียนสมัยใหม่ในคริสต์ศาสนจักรไม่เห็นด้วยกับข่าวสารราชอาณาจักร แต่บางคนยอมรับว่าคริสเตียนมีพันธกรณีที่จะให้คำพยาน. ตัวอย่างเช่น ในหนังสือทุกคนเป็นผู้ประกาศเผยแพร่ ออสการ์ อี. ฟอยช์ ให้ข้อสังเกตดังนี้ “ไม่มีนักเทศน์คนใดสามารถทำหน้าที่เผยแพร่ซึ่งพระเจ้ามอบหมายแก่ผู้เชื่อถือทุก ๆ คน. น่าเสียดายจริง ๆ ตลอดหลายศตวรรษการคิดกันอย่างผิด ๆ ในคริสต์จักรที่ทำให้งานสำหรับศาสนิกชน 500 คนกลายเป็นงานของนักเทศน์เพียงคนเดียว. คริสต์จักรสมัยต้น ๆ ไม่เป็นอย่างนั้น. ผู้มีความเชื่อไปทั่วทุกตำบลประกาศพระคำ.”
17. อาจกล่าวได้อย่างไรถึงความสำคัญของการให้คำพยานในชีวิตของคริสเตียนรุ่นแรก ๆ?
17 การให้คำพยานเป็นหน้าที่สำคัญยิ่งในชีวิตของคริสเตียนสมัยต้น ดังที่เป็นอย่างนั้นในท่ามกลางไพร่พลของพระยะโฮวาสมัยปัจจุบัน. เอ็ดเวิร์ด คัลด์เวล มัวร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเขียนว่า “ลักษณะเด่นของช่วงสามศตวรรษแรกแห่งขบวนการคริสเตียนคือ ความกระตือรือร้นอย่างมากมายในอันที่จะเผยแพร่ศาสนา. ความรู้สึกอย่างแรงกล้าของคริสเตียนเป็นไปเพื่องานประกาศกิตติคุณ การบอกข่าวเรื่องการไถ่. . . . อย่างไรก็ดี การแพร่กระจายอำนาจชักจูงและคำสอนของพระเยซูในช่วงแรกสุด เนื่องด้วยผู้ชายที่เราจะเรียกว่ามิชชันนารีเป็นส่วนน้อย. งานนี้เป็นความสำเร็จของคนทุกฐานะอาชีพ และของคนทุกชั้นในสังคม. [พวกเขา] ได้นำเคล็ดลับเกี่ยวกับชีวิตภายใน ทัศนะใหม่ที่มีต่อโลกไปถึงจนสุดเขตแดนภายใต้จักรวรรดิ [โรมัน] ทีเดียว. ซึ่งจากการที่เขาเรียนรู้อย่างช่ำชองแล้วจึงเท่ากับเป็นความรอด . . . [คริสเตียนสมัยต้น] มั่นใจเต็มที่ในเรื่องการคืบใกล้มาของอวสานแห่งระบบโลกปัจจุบัน. ศาสนานี้เชื่อเรื่องการจัดตั้งระบบโลกใหม่ขึ้นโดยฉับพลันและอย่างน่าอัศจรรย์.”
18. ความหวังอันยิ่งใหญ่อะไรซึ่งล้ำหน้าไปไกลกว่าความฝันของพวกผู้นำทางการเมือง?
18 การให้คำพยานตามบ้านและการเทศนาประกาศรูปแบบอื่น ๆ พยานพระยะโฮวายินดีชี้นำผู้รับฟังข่าวสารของเขาไปยังโลกใหม่ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาไว้. พระพรนานัปการเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ตามที่บอกไว้ล่วงหน้าในคำสัญญานั้นดีวิเศษยิ่งเสียกว่าความฝันอันงดงามของผู้ที่จะสร้างระบบโลกใหม่สมัยนี้. (2 เปโตร 3:13; วิวรณ์ 21:1-4) ถึงแม้จะดูเหมือนว่าทุกคนน่าจะปรารถนาจะอยู่อาศัยในโลกใหม่อันวิเศษยิ่งของพระเจ้าก็ตาม แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่. อย่างไรก็ตาม ให้เราพิจารณาแนวทางบางประการที่ได้ผล ซึ่งผู้รับใช้ของพระยะโฮวาอาจสอนแนวทางนั้นแก่ผู้ที่แสวงชีวิตนิรันดร์.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ ทำไมเราสามารถบอกได้ว่า กิจการ 5:42 และกิจการ 20:20 บ่งความหมายว่า สาวกของพระเยซูควรจะประกาศตามบ้านเรือน?
▫ เราทราบอย่างไรว่าพระเจ้าพอพระทัยวิธีการประกาศสั่งสอนที่พยานพระยะโฮวากระทำ?
▫ เกี่ยวกับงานประกาศสั่งสอน มีข้อเรียกร้องอะไรสำหรับผู้ปกครองและผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้ง?
▫ การให้คำพยานน่าจะอยู่ในอันดับไหนในชีวิตคริสเตียน?
[รูปภาพหน้า 10]
ในปีสากลศักราช 33 สาวกของพระเยซูให้คำพยานตามบ้านเรือนอย่างไม่ละลด
[รูปภาพหน้า 13]
เปาโลสั่งสอน “ตามบ้านเรือน.”พยานพระยะโฮวายังคงสั่งสอนวิธีนี้อยู่ในปัจจุบัน