การบูชาพระแม่เจ้ายังคงมีอยู่ไหม?
การบูชาพระแม่เจ้ายังคงถือปฏิบัติกันอยู่ระหว่างสมัยของคริสเตียนรุ่นแรก. อัครสาวกเปาโลได้เผชิญหน้ากับการนมัสการนั้นในเมืองเอเฟโซที่เอเชียน้อย. เช่นเดียวกับในเมืองอะเธนาย เมืองที่มีการบูชาเทพธิดาอีกเมืองหนึ่ง ท่านได้เป็นพยานถึง “พระเจ้าซึ่งทรงสร้างโลก” พระผู้สร้างทรงพระชนม์อยู่ ผู้ซึ่งมิได้ “เป็นเหมือนทอง เงิน หรือหินซึ่งมนุษย์ได้แกะสลักด้วยปัญญาและความคิดของเขา.” สิ่งนี้เหลือวิสัยที่จะยอมรับได้สำหรับชาวเอเฟโซ ซึ่งส่วนใหญ่นมัสการพระแม่เจ้าอะระเตมี. คนเหล่าที่หาเลี้ยงชีพด้วยการประดิษฐ์ศาลเจ้าที่ทำด้วยเงินของเทพธิดานั้น ได้ปลุกปั่นให้เกิดการจลาจล. เป็นเวลาราวสองชั่วโมงที่ฝูงชนได้ร้องตะโกนว่า “พระอะระเตมีของชาวเอเฟโซเป็นใหญ่!”—กิจการ 17:24, 29; 19:26, 34.
พระอะระเตมีของชาวเอเฟโซ
ชาวกรีกบูชาพระอะระเตมีด้วย แต่พระอะระเตมีที่บูชานมัสการในเมืองเอเฟโซนั้นเพียงแต่คล้ายคลึงกันเท่านั้น. พระอะระเตมีของชาวกรีกเป็นเทพธิดาพรหมจารีแห่งการล่าสัตว์และการให้กำเนิดบุตร. พระอะระเตมีของชาวเอเฟโซเป็นเทพธิดาแห่งการแพร่พันธุ์. วิหารอันโอฬารของพระนั้นที่เมืองเอเฟโซถือกันว่าเป็นหนึ่งในบรรดาสิ่งมหัศจรรย์เจ็ดอย่างของโลก. รูปปั้นของนาง ซึ่งเข้าใจกันว่าตกจากสวรรค์นั้น แสดงภาพนางฐานะเป็นสัญลักษณ์แห่งการแพร่พันธุ์ มีเต้านมรูปไข่เรียงเป็นแถวเต็มหน้าอกของนาง. รูปลักษณะพิลึกของเต้านมเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดคำอธิบายต่าง ๆ ขึ้น เช่นที่ว่านั่นแสดงถึงพวงมาลัยไข่ หรือกระทั่งลูกอัณฑะของโคผู้ด้วยซ้ำ. ไม่ว่าคำอธิบายจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ สัญลักษณ์แห่งการแพร่พันธุ์ก็ชัดแจ้ง.
เป็นที่น่าสนใจ ตามที่ เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา ชี้แจงนั้น รูปปั้นแรกเดิมของเทพธิดาองค์นี้ “ทำขึ้นจากทอง ไม้มะเกลือ เงิน และหินสีดำ.” รูปปั้นที่มีชื่อเสียงของพระอะระเตมีจากเอเฟโซ ซึ่งมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่สองสากลศักราชนั้น แสดงให้เห็นเธอด้วยใบหน้า มือและเท้าสีดำ.
รูปปั้นของอะระเตมีได้ถูกแห่ไปตามถนนสายต่าง ๆ. ผู้เชี่ยวชาญด้านพระคัมภีร์ชื่อ อาร์. บี. แรคแฮมเขียนไว้ว่า “ภายในวิหาร [ของอะระเตมี] มี . . . รูปปั้น ศาลเจ้า ภาชนะศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำด้วยทองและเงิน เก็บไว้ซึ่งในวันฉลองใหญ่โตได้นำมายังเมือง แล้วนำกลับด้วยขบวนแห่ที่วิจิตรตระการตา.” การฉลองเหล่านี้ดึงดูดใจผู้จาริกแสวงบุญหลายแสนคนจากตลอดทั่วเอเชียน้อย. พวกเขาซื้อศาลเจ้าเล็ก ๆ ของเทพธิดา และโห่ร้องอวยชัยนางฐานะเป็นองค์ใหญ่ยิ่ง เป็นนายหญิง ราชินี พรหมจารีของพวกเขา “ผู้ซึ่งสดับฟังและยอมรับคำอธิษฐาน.” ภายใต้สภาพแวดล้อมดังกล่าวนั้น เปาโลกับคริสเตียนรุ่นแรกต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอันมากในการยกย่องสรรเสริญ “พระเจ้าซึ่งทรงสร้างโลก” แทนเทพเจ้าและเทพธิดาที่สร้างขึ้นด้วย “ทอง เงิน หรือหิน.”
จากพระแม่เจ้ามาสู่ “แม่พระ”
อัครสาวกเปาโลบอกล่วงหน้าถึงการออกหากแก่พวกผู้ปกครองในประชาคมคริสเตียนที่เมืองเอเฟโซนั่นเอง. ท่านเตือนว่าพวกออกหากจะปรากฏขึ้น และพูด “สิ่งที่บิดเบือน.” (กิจการ 20:17, 28-30, ล.ม.) ในบรรดาอันตรายที่แอบแฝงอยู่เรื่อยมาในเอเฟโซนั้นก็คือการกลับไปสู่การบูชานมัสการพระแม่เจ้า. เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นจริงไหม?
เราอ่านใน นิว คาทอลิก เอ็นไซโคลพีเดีย ว่า “โดยเหตุที่เป็นศูนย์กลางของการจาริกแสวงบุญ มีการถือกันว่าเอเฟโซเป็นสถานที่ฝังศพของ [อัครสาวก] โยฮัน. . . . ประเพณีที่สืบกันต่อมาอีกอย่างหนึ่ง ที่สภาประชุมแห่งเอเฟโซ (ปี 431) ยืนยันเป็นหลักฐาน เชื่อมโยงพระนางมาเรียผู้ศักดิ์สิทธิ์เข้ากับนักบุญโยฮัน. โบสถ์ซึ่งมีการจัดสภาประชุมนั้นถูกเรียกว่าโบสถ์มาเรีย. ผลงานประพันธ์อีกชิ้นหนึ่งของคาทอลิก (เธโอ—นุเวล์เล เอนซิคโลเพดี คาโธลิก) กล่าวถึง “คำเล่าลือที่เป็นไปได้” ที่ว่ามาเรียติดตามโยฮันไปยังเมืองเอเฟโซ ซึ่งเธอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นั่น. ทำไมความเกี่ยวพันตามที่เข้าใจกันนี้ระหว่างเมืองเอเฟโซกับมาเรียจึงสำคัญสำหรับพวกเราในทุกวันนี้?
ขอให้ เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา ตอบก็แล้วกัน: “การเคารพแม่พระได้รับแรงผลักดันเมื่อคริสต์จักรคริสเตียนกลายเป็นคริสต์จักรของจักรพรรดิภายใต้คอนสแตนติน และมวลชนนอกรีตได้หลั่งไหลเข้ามาในคริสต์จักร. . . . ความศรัทธาและจิตสำนึกทางด้านศาสนาของพวกเขาได้ถูกนวดปั้นเป็นเวลาหลายพันปี โดยทางการบูชาเทพธิดา ‘แม่องค์ใหญ่ยิ่ง’ และ ‘แม่พระพรหมจารี’ เป็นการพัฒนาเรื่อยมาตั้งแต่ศาสนาเก่าแก่อันเป็นที่นิยมของบาบิโลเนียและอัสสิเรีย.” จะมีที่ใดดีไปกว่าเอเฟโซในการทำให้การนมัสการพระแม่เจ้า “กลายมาเป็นแบบคริสเตียน”?
ด้วยเหตุนี้ ในเมืองเอเฟโซ ในปีสากลศักราช 431 นั่นเองที่สภาที่สามแห่งคริสต์ศาสนาทั้งมวลตามที่เรียกกันนั้นได้แถลงว่ามาเรียเป็น “เธโอโทคอส” คำภาษากรีก หมายความว่า “ผู้ให้กำเนิดพระเจ้า” หรือ “แม่พระ.” นิว คาทอลิก เอ็นไซโคลพีเดีย แถลงว่า “โดยไม่ต้องสงสัย การใช้บรรดาศักดิ์นี้โดยคริสต์จักรก่อให้เกิดการเติบโตของคำสอนและความเลื่อมใสศรัทธาต่อมาเรียในศตวรรษต่อ ๆ มา.”
ซากปรักหักพังของ “โบสถ์พระแม่มารีหญิงพรหมจารี” ซึ่งสภานี้ประชุมกัน ยังเห็นได้อยู่ในปัจจุบันในบริเวณเมืองเอเฟโซโบราณ. อาจไปเยือนโรงสวดได้ด้วย ซึ่งตามคำเล่าลือบอกว่าเป็นบ้านที่มาเรียเคยอยู่แล้วตายไป. สันตะปาปาปอลที่ 6 ได้ไปเยือนสถานศักดิ์สิทธิ์ของมาเรียเหล่านี้ในเอเฟโซเมื่อปี 1967.
ถูกแล้ว เอเฟโซเป็นจุดรวมสำหรับการเปลี่ยนรูปของการนมัสการพระแม่เจ้าแบบนอกรีต เช่นที่เปาโลได้เผชิญหน้าในศตวรรษแรกนั้นไปเป็นความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแก่กล้าต่อมาเรียฐานะ “แม่พระ.” โดยทางความเลื่อมใสศรัทธาต่อมาเรียเป็นส่วนใหญ่นั่นเองที่การนมัสการพระแม่เจ้าได้หลงเหลืออยู่ในดินแดนต่าง ๆ ของคริสต์ศาสนจักร.
การนมัสการพระแม่เจ้ายังคงมีอยู่
เอ็นไซโคลพีเดีย อ็อฟ ริลิจัน แอนด์ เอธิคส์ อ้างถึง ดิบเบิลยู. เอ็ม. แรมเซย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพระคัมภีร์ในการอ้างเหตุผลว่า ใน “ศตวรรษที่ 5 การถวายเกียรติแก่พระแม่มารีหญิงพรหมจารี ณ เอเฟโซ เป็นรูปแบบใหม่ของการนมัสการแม่พระศักดิ์สิทธิ์ของพวกอะนาโทเลียนนอกรีต.” เดอะ นิว อินเตอร์เนชันแนล ดิกชันนารี อ็อฟ นิว เทสทาเมนท์ ธีโอโลจี แถลงว่า “ข้อคิดเห็นของคาทอลิกเกี่ยวกับ ‘แม่พระ’ และเกี่ยวกับ ‘ราชินีแห่งสวรรค์’ ถึงแม้ล่ากว่าพระคริสต์ธรรมใหม่ก็ตาม ชี้ถึงรากเหง้าของประวัติศาสตร์ทางศาสนายุคแรก ๆ ในตะวันออก. . . . ในการเคารพต่อมาเรียสมัยหลังนั้น มีร่องรอยมากมายเกี่ยวกับการบูชาแม่พระของพวกนอกรีต.”
ร่องรอยเหล่านี้มีมากมายและมีรายละเอียดมากเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องที่บังเอิญมาตรงกัน. ความคล้ายคลึงกันระหว่างรูปปั้นของแม่กับลูกของพระแม่มาเรีย กับรูปปั้นของเทพธิดานอกรีต เช่น ไอซิสนั้นจะมองข้ามไม่ได้. รูปปั้นและภาพวาดหลายร้อยภาพของแม่พระผิวดำในคริสต์จักรคาทอลิกตลอดทั่วโลกทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดถึงรูปปั้นของอะระเตมี. บทประพันธ์ (เธโอ-นุเวล์เล เอนซิคโลเพดี คาโธลิก) กล่าวถึงแม่พระผิวดำเหล่านี้ว่า “รูปเหล่านั้นดูเหมือนเป็นวิธีการถ่ายทอดความเลื่อมใสศรัทธาอันเป็นที่นิยมที่คงเหลืออยู่ต่อไดอานา [อาระเตมี] . . . หรือซีเบเล ถึงมารี.” ขบวนแห่วันพระแม่มาเรียเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ มีรูปแบบดั้งเดิมอยู่ในขบวนแห่เพื่อแสดงความคารวะต่อซีเบเลและอาระเตมี.
บรรดาศักดิ์ที่มอบให้แก่มาเรียนั่นเองทำให้เราระลึกถึงพระแม่เจ้าของพวกนอกรีต. อิชทาร์ได้รับการโห่ร้องอวยชัยให้ฐานะเป็น “หญิงพรหมจารีองค์บริสุทธิ์” “พระนางของข้าพเจ้า” และ “พระมารดาองค์เปี่ยมด้วยความเมตตา ผู้สดับฟังคำอธิษฐาน.” ไอซิสและแอสทาร์ท ได้ฉายาว่า “ราชินีแห่งสวรรค์.” ซีเบเลถูกเรียกว่า “พระมารดาแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย.” บรรดาศักดิ์เหล่านี้พร้อมกับความผิดแผกกันเล็กน้อย ได้ถูกนำมาใช้กับมาเรีย.
สภาวาติกันที่ 2 ได้สนับสนุนการบูชา “หญิงพรหมจารีองค์บริสุทธิ์.” สันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ขึ้นชื่อในเรื่องความศรัทธาแก่กล้าต่อมาเรีย. ระหว่างการเดินทางอันยืดยาวของเขานั้น เขาไม่เคยพลาดโอกาสในการไปเยือนสถานศักดิ์สิทธิ์ของมาเรีย รวมทั้งสถานศักดิ์สิทธิ์ของแม่พระผิวดำแห่งเซสโตโควาในโปแลนด์. เขามอบทั้งโลกไว้กับมาเรีย. เพราะฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา เขียนไว้ภายใต้หัวข้อ “พระแม่เจ้า” ว่า “ถ้อยคำนั้นได้ถูกนำมาใช้กับรูปปั้นหลายหลากเช่นเดียวกับเทพวีนัสที่กล่าวกันว่ามีมาตั้งแต่ยุคหิน และมาเรียหญิงพรหมจารี.”
แต่การเคารพบูชามาเรียของโรมันคาทอลิกใช่ว่าเป็นวิถีทางเดียวเท่านั้นแห่งการนมัสการพระแม่เจ้าที่มีหลงเหลืออยู่จนกระทั่งสมัยของเรา. น่าประหลาดใจ ผู้สนับสนุนขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิของสตรี ได้ผลิตสรรพหนังสือมากมายในเรื่องการนมัสการพระแม่เจ้า. พวกเขาเชื่อว่าสตรีถูกกดขี่อย่างบอบช้ำในโลกที่บุรุษปกครองอย่างก้าวร้าว และถือว่าการนมัสการที่หันเหไปทางสตรีนั้นสะท้อนถึงปณิธานของมนุษยชาติในเรื่องโลกที่มีการก้าวร้าวน้อยลง. ดูเหมือนพวกเขาเชื่อด้วยว่า ปัจจุบันโลกคงจะดีขึ้นและเป็นสถานอันเปี่ยมด้วยสันติยิ่งขึ้นถ้าหากมุ่งไปทางการให้สตรีมีสิทธิมากขึ้น.
อย่างไรก็ดี การนมัสการพระแม่เจ้ามิได้นำมาซึ่งสันติภาพในโลกสมัยโบราณ และจะไม่นำสันติภาพมาให้ในทุกวันนี้. ยิ่งกว่านั้น ผู้คนจำนวนมากขึ้นทุกทีในทุกวันนี้ ที่จริงหลายล้านคนซึ่งคบหากับพยานพระยะโฮวาเชื่อมั่นว่า แผ่นดินโลกนี้จะได้รับการช่วยให้รอดมิใช่โดยมาเรีย แม้ว่าพวกเขาก็ให้ความนับถือและรักเธอฐานะเป็นสตรีในศตวรรษแรกที่ซื่อสัตย์ผู้ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษอันดีวิเศษในการให้กำเนิดและเลี้ยงดูพระเยซู. ทั้งพยานพระยะโฮวาก็มิได้เชื่อว่าขบวนการปลดปล่อยสตรีสามารถก่อให้เกิดโลกอันเพียบพร้อมด้วยสันติ ถึงแม้คำเรียกร้องบางอย่างของขบวนการอาจมีเหตุผลสมควรก็ตาม. เพื่อจะได้มีโลกอันเพียบพร้อมด้วยสันติ พวกเขาหมายพึ่งพระเจ้าที่เปาโลได้ประกาศแก่ชาวอะเธนายและชาวเอเฟโซ “พระเจ้าซึ่งทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในโลก.” (กิจการ 17:24; 19:11, 17, 20) พระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการผู้นี้ ผู้ทรงพระนามว่ายะโฮวา ได้ทรงสัญญาเรื่องโลกใหม่อันรุ่งโรจน์ที่ซึ่ง “ความชอบธรรมจะดำรงอยู่” และเราไว้วางใจในคำสัญญาของพระองค์ด้วยความมั่นใจได้.—2 เปโตร 3:13.
ในเรื่องทัศนะของพระคัมภีร์เกี่ยวกับฐานะของสตรีจำเพาะพระเจ้าและต่อผู้ชายนั้น จะมีการคลี่คลายเรื่องนี้อีกต่อไปในวารสารฉบับนี้.
[รูปภาพหน้า 5]
อัชโทเรธ เทพธิดาแห่งเพศและสงครามของคะนาอัน
[รูปภาพหน้า 6]
อาระเตมีส์ เทพธิดาแห่งการแพร่พันธุ์ของเอเฟโซ
[ที่มาของภาพ]
Musei dei Conservatori, Rome
[รูปภาพหน้า 7]
“แม่พระ” ของคริสต์ศาสนจักร
[ที่มาของภาพ]
Chartres Cathedral, France