บทบาทของสตรีตามที่ระบุในคัมภีร์ไบเบิล
“[ผู้นี้] จะต้องเรียกว่าหญิง เพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย.”—เยเนซิศ 2:23.
1, 2. (ก) บางคนคิดว่าพระคัมภีร์แสดงทัศนะเช่นไรต่อสตรี? (ข) เพื่อความเป็นธรรม ควรมีการเปรียบเทียบกันในเรื่องใด และหนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งกล่าวเช่นไร?
คัมภีร์ไบเบิลให้แง่คิดอย่างไรเรื่องผู้หญิง? ความคิดเห็นในเรื่องนี้แตกต่างกันไป. หนังสือเล่มหนึ่งว่าด้วยเรื่องนี้ซึ่งเพิ่งออกใหม่กล่าวว่า “ข้อคิดเห็นในปัจจุบันนี้คือคัมภีร์ไบเบิลเหยียดหยามสตรี.” บางคนอ้างว่าทั้งคัมภีร์ไบเบิลภาคภาษาฮีบรูทั้งภาคภาษากรีกด้วยไม่ให้โอกาสสตรีเลย. แต่จริงไหม?
2 เพื่อความเป็นธรรม ก่อนอื่นสมควรจะตรวจสอบดูว่าสตรีท่ามกลางผู้คนซึ่งไม่นมัสการพระยะโฮวานั้นได้รับการปฏิบัติเช่นไรในสมัยที่มีการจารึกคัมภีร์ไบเบิล. ในชนเผ่าโบราณบางพวกที่มีอารยธรรมซึ่งได้ปฏิบัติบูชาพระแม่เจ้า ผู้หญิงได้รับการยกย่องเป็นสัญลักษณ์แห่งการแพร่พันธุ์. ผู้หญิงดูเหมือนได้รับการเทิดทูนอย่างมากมายในแคว้นบาบิโลนเนียและอียิปต์. แต่ในที่อื่น ผู้หญิงมักจะไม่เป็นที่ยอมรับกันนัก. ผู้ชายในประเทศอัสซีเรียโบราณจะทิ้งภรรยาได้ตามใจชอบหรือฆ่าเสียก็ได้หากนางไม่ซื่อสัตย์. เมื่ออยู่นอกบ้าน นางต้องคลุมหน้า. ในประเทศกรีซและโรม เฉพาะสตรีที่ร่ำรวย ซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นโสเภณีชั้นสูง มีโอกาสรับการศึกษาและอยู่อย่างมีอิสระอยู่บ้าง. ดังนั้น เป็นสิ่งที่น่าชื่นใจเมื่ออ่านในพจนานุกรมเกี่ยวกับศาสนศาสตร์แห่งพระคริสต์ธรรมใหม่ a ว่า “ต่างกันกับส่วนอื่น ๆ แห่งโลก (ทางศาสนา) ทางตะวันออก ผู้หญิง [ที่มีกล่าวถึงในคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู] เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับเป็นคนและเป็นคู่เคียงของผู้ชาย.” ทั้งนี้มีการระบุไว้เป็นอย่างดีในพระธรรมเล่มสุดท้ายของคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู ที่นั่นผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาพรรณนาถึงภรรยาว่าเป็น “คู่เคียง” ของสามี และกล่าวเพิ่มเติมว่า “และส่วนภรรยาของเจ้าที่ได้เมื่อหนุ่มนั้น ขออย่าให้คนใดทรยศต่อนาง.”—มาลาคี 2:14, 15, ล.ม.
ถูกสร้างเป็นคู่ของชาย
3. และหมายเหตุ. (ก) ภายหลังการสร้างอาดาม พระยะโฮวาได้มอบงานอะไรให้เขาทำ? (ข) ถึงแม้นอาดามยังไม่มีภรรยา แต่เขาอยู่ในสภาพเช่นไรก่อนมีการสร้างฮาวาขึ้นมา และพระเยซู “อาดามคนสุดท้าย” นั้นเป็นอย่างไร?
3 ตามที่กล่าวในพระคัมภีร์ พระยะโฮวาได้สร้างอาดาม “จากผงคลีดิน” และให้เขาตั้งรกรากอยู่ในสวนเอเดน เพื่อทำการเพาะปลูกในสวนนั้น. พระเจ้าทรงนำสัตว์ป่าจากท้องทุ่งและบรรดานกที่บินได้มาให้อาดามศึกษาและตั้งชื่อให้สัตว์เหล่านั้น. ในระหว่างที่อาดามใช้เวลาทำงานนี้ไม่ว่าจะนานเท่าไรก็ตาม เขาอยู่แต่ลำพัง. สำหรับหน้าที่มอบหมายจากพระยะโฮวาจนกระทั่งเวลานั้น เขาสมบูรณ์พร้อม ครบถ้วน ไม่ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใด.b เขาหาได้มี “ผู้ช่วยเหมาะกับตนไม่.”—เยเนซิศ 2:7, 15, 19, 20.
4, 5. (ก) ครั้นไม่เป็นการดีอีกต่อไปสำหรับอาดามจะอยู่คนเดียวต่อไป พระยะโฮวาทรงทำประการใด? (ข) พระยะโฮวามอบหน้าที่อะไรอาดามกับฮาวาทำในระยะยาว ทั้งนี้เรียกร้องอะไรจากบุคคลทั้งสอง?
4 อย่างไรก็ดี ครั้นเวลาผ่านไป พระยะโฮวาทรงแถลงว่า “ซึ่งมนุษย์ผู้นั้นจะอยู่คนเดียวไม่เหมาะ” และพระองค์ทรงดำเนินการขั้นต่อไปโดยจัดคู่เคียงให้อาดามเพื่อจะได้ร่วมทำภารกิจซึ่งมีอยู่เบื้องหน้า. พระเจ้าทรงบันดาลให้อาดามหลับสนิทแล้วชักเอากระดูกซี่โครงของเขาออกมาหนึ่งซี่ และสร้างขึ้นเป็นหญิง ‘กระดูกแท้และเนื้อแท้ของเขา.’ มาบัดนี้อาดามจึงมี “ผู้ช่วย” “คู่เคียง” หรือ คู่ของตน. นอกจากนั้น “พระเจ้าได้ทรงอวยพระพรแก่มนุษย์นั้น [ภาษาฮีบรู “พวกเขา”] ตรัสแก่เขาว่า ‘จงบังเกิดทวีมากขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือ [จงปราบ, ล.ม.] แผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศกับบรรดาสัตว์ที่ไหวกายได้ซึ่งอยู่บนแผ่นดิน.’”—เยเนซิศ 1:25, 28; 2:18, 21–23.
5 โปรดสังเกตว่า พระองค์ได้มอบหมายงานนี้แก่ “พวกเขา” คือทั้งผู้ชายและผู้หญิง. ความร่วมมือกันระหว่างสองคนนั้นจะไม่จำกัดอยู่เพียงแต่การบรรจุพลเมืองให้เต็มโลก แต่คงหมายรวมถึงการปราบพื้นดินและใช้อำนาจอย่างเหมาะสมเอาใจใส่ดูแลสัตว์ชั้นต่ำกว่า. ทั้งนี้คงต้องใช้คุณสมบัติทางสติปัญญาและทางศีลธรรม และทั้งชายและหญิงมีศักยภาพที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาคุณสมบัติเหล่านี้ให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า.
บทบาทของสตรีอันเป็นไปตามเหตุผล
6. (ก) พระคัมภีร์ระบุไว้เช่นไรเกี่ยวด้วยความแข็งแรงด้านร่างกายของผู้ชายกับผู้หญิง? (ข) พวกผู้หญิงน่าจะหาเหตุผลอย่างไรเพื่อรับรองเอาการจัดเตรียมของพระยะโฮวาสำหรับสิ่งต่าง ๆ?
6 จริงอยู่ การปราบพื้นแผ่นดินคงต้องใช้กำลังกายเหมือนกัน. ด้วยพระปัญญาอันลึกล้ำ พระยะโฮวาจึงทรงสร้างอาดามก่อน แล้วสร้างฮาวา. นางได้รับการสร้าง “จากชาย” “สำหรับผู้ชาย” และดูเหมือนว่ามีกำลังกายน้อยกว่าผู้ชาย. (1 ติโมเธียว 2:13; 1 โกรินโธ 11:8, 9; เทียบกับ 1 เปโตร 3:7.) นี้เป็นข้อเท็จจริงของชีวิตซึ่งบรรดาผู้สนับสนุนลัทธิให้ความเสมอภาคแก่ผู้หญิง และสตรีคนอื่น ๆ บางคนก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าลำบากใจที่จะยอมรับ. พวกเขาคงรู้สึกสบายใจอย่างแน่นอนหากเขาพยายามเข้าใจเหตุผลที่พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ วิธีนี้ อันเป็นการยอมรับบทบาทของตัวเองตามที่พระเจ้ากำหนดไว้. อาจเปรียบบุคคลที่บ่นเรื่องการจัดเตรียมของพระเจ้ากับนกไนติงเกลที่มัวซุกเงียบอยู่ในรังของมันเพราะตัวมีปีกไม่แข็งแรงเหมือนนกนางนวล แทนที่จะบินขึ้นไปเกาะกิ่งไม้สูง และร้องเพลงขอบพระคุณสำหรับของประทานที่พิเศษสุดซึ่งพระเจ้าโปรดแก่นกชนิดนี้.
7. เหตุใดอาดามอยู่ในฐานะอันเหมาะสมที่จะทำหน้าที่เป็นประมุขของฮาวาและบุตรที่จะเกิดมาภายหลัง แต่การเช่นนั้นเป็นความเสียหายสำหรับฮาวาไหม?
7 โดยไม่สงสัย ก่อนฮาวาถูกสร้าง อาดามได้รับประสบการณ์มากในการดำเนินชีวิต. ในระหว่างนั้น พระยะโฮวาทรงให้คำแนะนำเฉพาะอย่างแก่เขา. อาดามจะต้องถ่ายทอดคำแนะนำเหล่านั้นแก่ภรรยา จึงทำหน้าที่เป็นโฆษกของพระเจ้า. ตามเหตุผล เขาควรนำหน้าทุกด้านเกี่ยวกับการนมัสการและกิจกรรมที่แสดงถึงความเลื่อมใสในพระเจ้า ซึ่งเขาทั้งสองจะได้กระทำต่อไปโดยคำนึงถึงการทำหน้าที่มอบหมายของเขาให้สำเร็จ. เมื่อเขามีบุตร เขาจะเป็นหัวหน้าครอบครัว. แต่ทั้งนี้คงไม่เป็นความเสียหายแก่ภรรยาของเขา. ตรงกันข้าม ยิ่งจะเป็นประโยชน์แก่นางเพราะนางจะมีคนสนับสนุนเมื่อนางใช้อำนาจซึ่งพระเจ้าประทานให้ในการปกครองบุตร.
8. ระเบียบแห่งสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงวางเค้าโครงไว้ในพระคัมภีร์ได้แก่อะไร?
8 ตามระเบียบของพระเจ้าสำหรับสิ่งต่าง ๆ อาดามต้องรายงานต่อพระยะโฮวา ฮาวาอยู่ภายใต้อาดามผู้เป็นประมุข บุตรใด ๆ จะอยู่ใต้การชี้นำของบิดามารดา ส่วนสัตว์ต่าง ๆ อยู่ใต้อำนาจมนุษย์. ชายกับหญิงต่างก็มีบทบาทตามลำดับ และแต่ละฝ่ายสามารถมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขและก่อประโยชน์. ดังนั้น ‘ทุกสิ่งจะดำเนินไปอย่างบังควรและโดยการจัดเตรียม.’—1 โกรินโธ 11:3; 14:33, 40, ล.ม.
บาปเป็นเหตุให้บทบาทของสตรีบิดเบือนไป
9, 10. ผลอันเนื่องมาจากชายหญิงคู่แรกได้ทำบาปไปนั้นมีอะไรบ้าง และผลอะไรตกอยู่กับผู้หญิงหลายคน?
9 แน่นอน การแผ่ลามของบาปและความไม่สมบูรณ์เข้าสู่อุทยานแห่งแรกนั้นยังความเสียหายแก่วิธีการจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ อย่างมีระเบียบเช่นนั้น. (โรม 7:14-20) มันก่อความยากลำบากให้กับชายที่ดื้อดึงและภรรยาที่ไม่เชื่อฟัง. (เยเนซิศ 3:16-19) นับตั้งแต่นั้นมาพวกผู้ชายหลายคนที่เห็นแก่ตัวได้ใช้ความเป็นประมุขโดยถูกต้องของตนในทางผิด ทำให้พวกผู้หญิงทนทุกข์มากมายตลอดยุคสมัยต่าง ๆ.
10 ด้วยการหยั่งรู้ล่วงหน้าถึงผลของบาปที่จะติดตามมาเช่นนั้น พระยะโฮวาตรัสแก่ฮาวาว่า “เจ้าใคร่จะอยู่กับสามีของเจ้า และเขาจะใช้อำนาจเหนือเจ้า.” (เยเนซิศ 3:16, ล.ม.) การใช้อำนาจในทางที่ผิดเช่นนี้หาใช่การแสดงความเป็นประมุขอย่างถูกต้องสมควรไม่ แต่เป็นการสะท้อนการผิดบาปของผู้ชายและความไม่สมบูรณ์ของผู้หญิงด้วย เพราะบางครั้งผู้หญิงได้รับความลำบากเพราะพวกเธอพยายามแย่งชิงอำนาจสามี.
11. ผู้หญิงจำนวนมากเป็นอย่างไร และนักประพันธ์คนหนึ่งได้เขียนไว้อย่างไรเรื่องผู้หญิงสมัยบุรุษต้นตระกูลแห่งยิศราเอล?
11 แต่เท่าที่ได้ยึดอยู่กับหลักการต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ สตรีหลายคนประสบความอิ่มใจและความสุข. สภาพอย่างนี้เกิดขึ้นแม้ในสมัยบุรุษต้นตระกูล. เมื่อกล่าวถึงยุคสมัยนั้นในหนังสือลา บีบเลอ โอ เฟมินิม (คัมภีร์ไบเบิลในเพศหญิง) ผู้แต่งชื่อ ลอร์ เอนาร์ด เขียนอย่างนี้: “สิ่งหนึ่งโดดเด่นเฉพาะเกี่ยวกับบันทึกเหล่านี้ได้แก่บทบาทสำคัญของสตรี ความมีหน้ามีตาของพวกเธอในสายตาบุรุษต้นตระกูล การริเริ่มอย่างกล้าหาญ และบรรยากาศอันอิสระที่พวกสตรีอาศัยอยู่.”
สตรีภายใต้กฎหมายของโมเซ
12, 13. (ก) สถานะของสตรีภายใต้พระบัญญัติของโมเซเป็นเช่นไร? (ข) สภาพฝ่ายวิญญาณของสตรีภายใต้พระบัญญัติเป็นอย่างไร?
12 ตามกฎหมายของพระยะโฮวาที่ประทานผ่านโมเซ ภรรยาควรได้รับการทะถุถนอมประหนึ่งอยู่ใน “อ้อมอก.” (พระบัญญัติ 13:6, ฉบับแปลใหม่) เกี่ยวข้องกับความรู้สึกทางเพศนั้น สามีพึงคำนึงถึงศักดิ์ศรีของภรรยา และไม่ควรมีการทำทารุณทางเพศกับผู้หญิงเลย. (เลวีติโก 18:8-19) ผู้ชายและผู้หญิงเสมอภาคกันตามกฎหมายหากจับได้ว่าเขากระทำผิดประเวณี, ร่วมประเวณีระหว่างพี่น้องซึ่งเป็นญาติสนิท, หรือร่วมสังวาสกับสัตว์. (เลวีติโก 18:6, 23; 20:10-12) พระบัญญัติประการที่ห้าได้เรียกร้องการให้เกียรติแก่บิดามารดาเสมอภาคกัน.—เอ็กโซโด 20:12.
13 นอกเหนือจากนั้น พระบัญญัติให้สตรีมีโอกาสเต็มที่ในการพัฒนาตัวเองทางฝ่ายวิญญาณ. พวกสตรีได้รับประโยชน์จากการอ่านพระบัญญัติ. (ยะโฮซูอะ 8:35; นะเฮมยา 8:2, 3) มีข้อเรียกร้องสำหรับสตรีให้ร่วมฉลองเทศกาลต่าง ๆ. (พระบัญญัติ 12:12, 18; 16:11, 14) สตรีเข้าร่วมในวันซะบาโตประจำสัปดาห์และอาจปฏิญาณตนเป็นนาษารีษได้. (เอ็กโซโด 20:8; อาฤธโม 6:2) สตรีมีสัมพันธภาพเฉพาะตัวกับพระยะโฮวาและอธิษฐานต่อพระองค์ได้ตามลำพัง.—1 ซามูเอล 1:10.
14. ผู้เชี่ยวชาญด้านคัมภีร์ชาวคาทอลิกพูดไว้อย่างไรเกี่ยวกับสตรีชาวยิว และอาจกล่าวได้อย่างไรเรื่องบทบาทของสตรีภายใต้พระบัญญัติ?
14 เมื่อให้ความเห็นในเรื่องของสตรีชาวฮีบรู โรแลนด์ เดอวอ ผู้เชี่ยวชาญคัมภีร์ชาวคาทอลิกเขียนดังนี้: “งานหนักทุกอย่างในบ้านตกอยู่กับเธอแน่นอน เธอเลี้ยงและเอาใจใส่ฝูงแกะ ทำงานในเรือกสวนไร่นา ประกอบอาหาร ปั่นด้ายทอผ้าและอื่น ๆ. งานทั้งหมดนี้ที่ดูเหมือนว่าน่าเบื่อหน่าย แต่แทนที่จะลดฐานะของเธอให้ต่ำต้อย กลับทำให้เธอได้รับการระลึกนึกถึงด้วยความนับถือ. . . . และข้อความเหล่านั้นไม่กี่ข้อซึ่งทำให้เราพอจะเห็นความใกล้ชิดสนิทสนมในชีวิตครอบครัวแสดงว่าภรรยาชาวยิวเป็นที่รักของสามีและเป็นบุคคลที่สามีรับฟังและเขาได้ปฏิบัติกับเธออย่างทัดเทียมกัน. . . . และไม่มีข้อสงสัยว่านี้เป็นภาพปกติ. เป็นการสะท้อนภาพโดยตรงของหลักคำสอนซึ่งได้อารักขาไว้ในพระธรรมเยเนซิศ ซึ่งที่นั่นกล่าวถึงพระเจ้าได้สร้างผู้หญิงให้เป็นผู้ช่วยของชายซึ่งเขาจะใกล้ชิดกับเธอไม่ห่าง. (เยเนซิศ 2:18, 24) และบทสุดท้ายของพระธรรมสุภาษิตกล่าวยกย่องแม่ศรีเรือนซึ่งบุตรของเธอก็กล่าวชมเชยและเธอเป็นความภูมิใจของสามี (สุภาษิต 31:10-31).” (ชาติยิศราเอลสมัยโบราณ—ชีวิตและสถาบันต่าง ๆ ประจำชาติ) ไม่ต้องสงสัย เมื่อชาวยิศราเอลปฏิบัติตามพระบัญญัติ พวกสตรีย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดี.
สตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
15. (ก) ความประพฤติของซาราเป็นตัวอย่างอย่างไรเรื่องความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างสามีกับภรรยาของเขา? (ข) เหตุใดจึงน่าจะพิจารณากรณีของราฮาบ?
15 พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูบรรจุตัวอย่างหลายรายเกี่ยวด้วยสตรีชื่อดังซึ่งได้รับใช้พระยะโฮวาพระเจ้า. นางซาราเป็นตัวอย่างที่ดีซึ่งแสดงวิธีที่สตรีผู้เลื่อมใสในพระเจ้าสามารถอ่อนน้อมยอมฟังสามีของเธอและเวลาเดียวกันช่วยเขาในการทำการตัดสินใจ. (เยเนซิศ 21:9-13; 1 เปโตร 3:5, 6) กรณีของราฮาบก็น่าเอาใจใส่. ตัวอย่างนี้ชี้ว่าการกล่าวหาว่าพระยะโฮวาทรงลำเอียงในทางเชื้อชาติและเข้มงวดกับพวกผู้หญิงนั้นไม่จริง. ราฮาบเป็นโสเภณีที่ไม่ใช่ชาวยิว. พระยะโฮวาไม่เพียงแต่รับรองราฮาบฐานะเป็นผู้นมัสการพระองค์แต่เนื่องจากนางมีความเชื่อมากพร้อมกับการประพฤติอันแสดงถึงความเชื่อ ซึ่งนับรวมการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต พระองค์จึงทรงประกาศว่านางเป็นผู้ชอบธรรม. นอกจากนั้น พระองค์ทรงให้นางได้รับบำเหน็จพิเศษยิ่งโดยที่นางได้เป็นบรรพสตรีของพระมาซีฮา.—มัดธาย 1:1, 5; เฮ็บราย 11:31; ยาโกโบ 2:25.
16. ตัวอย่างของอะบีฆายิลเป็นตัวอย่างชี้ถึงอะไร และทำไมการกระทำของนางนับว่าถูกต้องมีเหตุผล?
16 กรณีของอะบีคายิลเป็นตัวอย่างแสดงว่าพระยะโฮวาไม่เรียกร้องภรรยาให้อ่อนน้อมเชื่อฟังสามีโดยไม่ไตร่ตรอง. สามีของนางเป็นคนร่ำรวย มีฝูงแกะฝูงแพะมากมาย. แต่เขาเป็น “คนเลวทราม.” อะบีฆายิลไม่ยอมปฏิบัติตามการกระทำอันเลวทรามของสามี. ด้วยความรอบคอบ ด้วยสำนึกที่ดี ด้วยความเจียมตนและมีปฏิภาณดีเธอจึงได้ป้องกันเหตุร้ายอันอาจหมายถึงความหายนะสำหรับครอบครัวของเธอ และเธอได้รับพระพรอย่างอุดมจากพระยะโฮวา.—1 ซามูเอล 25:2-42.
17. (ก) ผู้หญิงบางคนในยิศราเอลมีสิทธิพิเศษอะไรที่โดดเด่น? (ข) ตัวอย่างของมิริยามให้บทเรียนอะไรแก่สตรีที่อาจได้รับมอบสิทธิพิเศษบางอย่าง?
17 สตรีบางคนเป็นถึงผู้พยากรณ์. ดังกรณีของดะโบรา สมัยผู้วินิจฉัย (พระธรรมวินิจฉัยบท 4 และ 5) ฮินดาก็เป็นหญิงพยากรณ์ในแผ่นดินยูดา ชั่วระยะสั้น ๆ ก่อนยะรูซาเลมถูกทำลาย. (2 กษัตริย์ 22:14-20) กรณีของมิริยามก็น่าเอาใจใส่. ถึงแม้ได้รับการกล่าวขานว่าเธอเป็นผู้พยากรณ์ที่พระยะโฮวาทรงใช้ ปรากฏว่าสิทธิพิเศษที่เธอได้รับทำให้เธอกลายเป็นคนอวดดีชั่วระยะหนึ่ง. เธอไม่ได้ยอมรับอำนาจซึ่งพระยะโฮวาทรงมอบแก่โมเซซึ่งเป็นน้องชายของเธอให้นำชาติยิศราเอล และพระเจ้าทรงลงโทษเธอเพราะเหตุนั้น แม้นดูเหมือนว่าเธอได้แสดงความเสียใจสำนึกผิดและถูกรับกลับคืนก็ตาม.—เอ็กโซโด 15:20, 21; อาฤธโม 12:1-15; มีคา 6:4.
ผู้หญิงภายใต้ลัทธิยูดาย
18, 19. สตรีภายใต้ลัทธิยูดายมีสถานะเช่นไร และสถานะเช่นนั้นเกิดขึ้นอย่างไร?
18 ตามที่เราทราบแล้วว่า พระบัญญัติของโมเซคุ้มครองสิทธิสตรี และครั้นได้ปฏิบัติตามแล้ว จึงทำให้พวกสตรีดำเนินชีวิตอย่างเป็นที่พอใจ. แต่เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกรุงยะรูซาเลมถูกทำลายในปี 607 ก่อนสากลศักราช ศาสนาลัทธิยูดายก็พัฒนาขึ้นมายึดถือประเพณีที่สอนสืบปากยิ่งเสียกว่าพระบัญญัติของพระยะโฮวาซึ่งจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร. นับจากศตวรรษที่สี่ก่อนสากลศักราชเป็นต้นมา ลัทธิยูดายได้ซึมซับปรัชญากรีกไว้มาก. ตามปกติแล้วนักปรัชญาชาวกรีกไม่สู้จะสนใจสิทธิสตรี ฉะนั้น สถานะของสตรีในลัทธิยูดายจึงตกต่ำไปตาม ๆ กัน. นับจากศตวรรษที่สามก่อนสากลศักราช สตรีเริ่มถูกแยกออกจากกลุ่มผู้ชายในธรรมศาลาของคนยิว และไม่ได้รับการสนับสนุนให้อ่านหนังสือโทรา (พระบัญญัติของโมเซ). สารานุกรมจูไดกา ยอมรับว่า “ผลก็คือผู้หญิงที่มีการศึกษาจึงไม่ค่อยจะมี.” การศึกษาจัดไว้สำหรับเด็กผู้ชายโดยเฉพาะ.
19 เจ. เจเรเมียสเขียนลงในหนังสือ เจรูซาเลมในสมัยพระเยซู ดังนี้: “เมื่อได้พิจารณาเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ฐานะของสตรีในแง่กฎหมายว่าด้วยศาสนามีกล่าวไว้เป็นอย่างดีตามสูตรที่กล่าวกันซ้ำซากและอย่างต่อเนื่องทำนองนี้ ‘พวกผู้หญิง ทาสชาวต่างชาติและเด็ก.’ . . . เราอาจเพิ่มเติมว่า ความคิดเห็นเชิงดูถูกนั้นได้แสดงออกบ่อย ๆ ต่อผู้หญิง. . . . ดังนั้น เรามีความรู้สึกฝังใจว่าลัทธิยูดายสมัยพระเยซูเช่นกัน มีความเห็นที่ว่าสตรีเป็นชนชั้นต่ำ.”
บรรดาสตรีผู้ซื่อสัตย์ที่รอคอยพระมาซีฮา
20, 21. (ก) ถึงแม้นพวกผู้นำศาสนาชาวยิวมีท่าทีดูหมิ่นผู้หญิง แต่ปรากฏว่ามีใครบ้างในจำพวกคนเหล่านั้นที่เฝ้าคอยขณะการเสด็จของมาซีฮาใกล้เข้ามา? (ข) อะไรแสดงให้เห็นว่าเอลิซาเบ็ตกับมาเรียต่างก็มีความเลื่อมใสในพระเจ้าอย่างล้ำลึก?
20 ท่าทีเชิงเยาะเย้ยสตรีเช่นนั้นเป็นอีกลักษณะหนึ่งซึ่งหัวหน้าศาสนาชาวยิวได้ทำให้ ‘พระคำของพระเจ้าเป็นโมฆะโดยประเพณีของเขา.’ (มาระโก 7:13) แต่ทั้งที่มีการดูถูกถึงเพียงนั้น เมื่อใกล้เวลาที่พระมาซีฮาจะมาปรากฏ สตรีบางคนซึ่งเลื่อมใสในพระเจ้าก็ตื่นตัวเฝ้าคอยอยู่. คนหนึ่งได้แก่เอลิซาเบ็ต ภรรยาซะคาเรียปุโรหิตแห่งตระกูลเลวี. นางกับสามีเป็น “คนชอบธรรมจำเพาะพระเจ้าและประพฤติตามบัญญัติและศีลทั้งปวงของพระเจ้าไม่มีที่ติเลย.” (ลูกา 1:5, 6) เอลิซาเบ็ธเป็นที่ชอบจำเพาะพระยะโฮวาโดย ทั้งที่นางเป็นหมัน มิหนำอายุก็ล่วงเลยไปมากแล้ว แต่นางก็ได้เป็นมารดาของโยฮันผู้ให้บัพติสมา.—ลูกา 1:7, 13.
21 โดยการกระตุ้นจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เอลิซาเบ็ตได้แสดงความรักอันลึกซึ้งต่อสตรีอีกคนหนึ่งซึ่งเลื่อมใสในพระเจ้าและเกี่ยวดองเป็นญาติกันคือมาเรีย. ประมาณปลายปีที่สามก่อนสากลศักราช เมื่อทูตสวรรค์ฆับรีเอลได้แจ้งแก่มาเรียว่า โดยการอัศจรรย์เธอจะตั้งครรภ์มีบุตร (พระเยซู) ทูตทรงกล่าวกับเธอว่า “เธอเป็นที่ทรงโปรดปรานมาก” และกล่าวอีกว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่กับเธอ.” ไม่นานหลังจากนั้น มาเรียได้ไปเยี่ยมเอลิซาเบ็ตซึ่งอวยพรเธอและทารกในครรภ์ โดยการเรียกพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ก่อนพระองค์ทรงประสูติด้วยซ้ำ. ครั้นได้ยินเช่นนั้น มาเรียเปล่งคำพูดกล่าวสรรเสริญพระยะโฮวาซึ่งแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนว่าเธอเป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระเจ้ามากจริง ๆ.—ลูกา 1:28, 31, 36–55, ล.ม.
22. หลังจากพระเยซูได้มาบังเกิดแล้ว สตรีที่เกรงกลัวพระเจ้าคนใดแสดงว่าเธอเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่คอยหาพระมาซีฮา?
22 เมื่อพระเยซูได้ทรงบังเกิดแล้ว และมาเรียได้นำพระองค์ไปยังพระวิหารในกรุงยะรูซาเลมเพื่อถวายแด่พระยะโฮวา มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เกรงกลัวพระเจ้าได้แสดงความชื่นชม นางเป็นผู้พยากรณ์วัยชราชื่ออันนา. นางโมทนาขอบพระคุณพระยะโฮวาและกล่าวเรื่องพระเยซูให้คนทั้งปวงที่ตั้งใจจดจ่อคอยท่าพระมาซีฮาแห่งคำสัญญา.—ลูกา 2:36-38.
23. อัครสาวกเปโตรกล่าวอย่างไรถึงสตรีผู้ซื่อสัตย์ก่อนสมัยพระคริสต์ และจะมีการพิจารณาคำถามอะไรในบทความต่อไป?
23 ดังนั้น เมื่อใกล้เวลาที่พระเยซูจะเริ่มงานเทศนาสั่งสอนในโลก ตอนนั้นก็ยังมี “พวกผู้หญิงบริสุทธิ์ที่ไว้ใจในพระเจ้า.” (1 เปโตร 3:5) บางคนในผู้หญิงเหล่านั้นได้เข้ามาเป็นสาวกของพระคริสต์. พระเยซูทรงปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นอย่างไร? และทุกวันนี้มีผู้หญิงซึ่งยินดีรับบทบาทของตนตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์หรือไม่? จะมีการพิจารณาคำถามเหล่านี้ในบทความต่อไป.
[เชิงอรรถ]
a เล่ม 3 หน้า 1055.
b “อาดามคนสุดท้าย” คือพระเยซูคริสต์เป็นมนุษย์สมบูรณ์ ครบถ้วนเช่นกันแม้ว่าพระองค์ไม่มีภรรยาที่เป็นมนุษย์.—1 โกรินโธ 15:45.
คำถามสำหรับทบทวน
▫ การปฏิบัติต่อสตรีในชาติยิศราเอลโบราณต่างกันอย่างไรกับชาติอื่น ๆ?
▫ ฐานะตำแหน่งของอาดามกับฮาวาเป็นอย่างไร และทำไม?
▫ สถานะสตรีชาวยิศราเอลภายใต้พระบัญญัติเป็นอย่างไร และพวกเขาเสียเปรียบทางด้านวิญญาณไหม?
▫ มีบทเรียนอะไรบ้างซึ่งเรียนได้จากชีวิตของสตรีที่มีชื่อเสียงในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู?
▫ เราจะพบตัวอย่างที่ดีอะไรบ้างในด้านความเชื่อ ทั้งที่ลัทธิยูดายตั้งทัศนะไม่ดีเกี่ยวกับสตรี?
[กรอบหน้า 10]
“สตรีที่ยำเกรงพระยะโฮวา”
“10 ใครจะได้พบสตรีที่เป็นแม่เรือนดี? เพราะว่าค่าของนางนั้นล้ำกว่าทับทิมอีก. 11 สตรีนั้นเป็นที่ไว้วางใจของสามี, และสามีของเขาจะไม่ขาดกำไรเลย. 12 ตลอดอายุของนางนางจะทำให้เกิดคุณงามความดีแก่สามี, และไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย. 13 นางหาขนแกะและป่านมา, และทำเป็นของใช้ขึ้นตามที่นางเห็นควร. 14 นางเปรียบเหมือนเรือกำปั้นพ่อค้า; คือนำอาหารมาแต่ไกล. 15 นางลุกขึ้นแต่เช้ามืด, เตรียมอาหารไว้สำหรับครอบครัว, และจัดส่วนอาหารไว้สำหรับหญิงใช้ด้วย. 16 นางพิเคราะห์ดูนาที่ดีและซื้อไว้; นางทำไร่องุ่นด้วยผลกำไรแห่งน้ำมือของนาง. 17 นางคาดเอวไว้อย่างเข้มแข็ง, และใช้กำลังแขนอย่างเต็มที่. 18 นางเห็นว่าการค้าขายของนางมีกำไรงาม; ตะเกียงของนางมิได้ดับตลอดคืน. 19 มือของนางถือเครื่องคีบฝ้ายไว้, และนิ้วมือของนางจับในปั่นฝ้ายไว้ด้วย. 20 นางหยิบยื่นให้แก่คนจน, เออนางเอื้อมมือออกช่วยคนเข็ญใจ. 21 นางไม่กลัวว่าหิมะจะทำให้ครอบครัวหนาว; เพราะว่าคนในครอบครัวของนางนุ่งห่มด้วยผ้าสักหลาดสีแดงจัด, 22 นางกระทำพรมเจียนไว้สำหรับใช้; เครื่องนุ่งห่มของนางก็ทำด้วยผ้าป่านเนื้อดีและผ้าสีม่วง. 23 สามีของนางก็เป็นคนมีชื่อเสียงในประตูเมือง, เขานั่งอยู่ในคณะมนตรีของบ้านเมือง. 24 นางทำเครื่องนุ่งห่มด้วยผ้าป่านขาย; และทำผ้าคาดพุงส่งพ่อค้า. 25 ความขยันขันแข็งและความเป็นสง่าเป็นอาภรณ์ของนาง; และนางหัวเราะเยาะต่อเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้นภายหน้า. 26 นางพูดจาล้วยแต่คำเฉลียวฉลาด; และลิ้นของนางพูดเป็นคำเตือนสติด้วยความปราณี. 27 นางดูแลฝ่ายการของครอบครัวเป็นอย่างดี, และไม่เป็นคนอย่างชุบมือเปิบ. 28 บุตรของนางก็ลุกขึ้นชมเชยเขา; สามีของนางก็สรรเสริญเขาด้วยว่า: 29 “สตรีหลายคนได้ประพฤติดี; แต่เธอนั้นเยี่ยมกว่าเพื่อน.” 30 ท่าทางนวยนาดเป็นของลวง, และความสวยงามเป็นของไม่เที่ยง; แต่สตรีที่ยำเกรงพระยะโฮวานั้นจะรับคำชมเชย. 31 จงให้เกียรติยศแก่นางสมกับเกียรติยศของเขา; และให้การงานของนางเป็นที่สรรเสริญเขาที่ประตู.”—สุภาษิต 31:10-31.
[รูปภาพหน้า 8, 9]
ฐานะของสตรีในครอบครัวมีเกียรติ