จงติดตามความกรุณารักใคร่ทุกเวลา
“คนที่ติดตามความชอบธรรมและความกรุณารักใคร่จะพบชีวิต ความชอบธรรมและสง่าราศี.”—สุภาษิต 21:21, ล.ม.
1. เหตุใดเราควรคาดหมายว่าผู้ที่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณของพระเจ้าจะแสดงความกรุณา?
พระยะโฮวาทรงมีพระทัยกรุณาและเมตตาสงสาร. พระองค์เป็น “พระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณา ผู้ทรงอดพระทัยได้นานและบริบูรณ์ด้วยความดีและความจริง.” (เอ็กโซโด 34:6, 7) เช่นนั้นแล้ว จึงพอเข้าใจได้ว่า ผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์รวมเอาความรัก และความกรุณาเข้าไว้ด้วย.—ฆะลาเตีย 5:22, 23.
2. ตอนนี้เราจะพิจารณาตัวอย่างอะไรบ้าง?
2 บรรดาผู้ที่รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือพลังปฏิบัติงานของพระยะโฮวานั้นต่างก็สำแดงออกซึ่งผลแห่งความกรุณา. พวกเขาแสดงความกรุณารักใคร่เมื่อเขาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่น. อันที่จริง เขาประพฤติตามตัวอย่างของอัครสาวกเปาโล เขาแนะนำตัวเองเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า “โดยความเผื่อแผ่ [ความกรุณา, ล.ม.]” และโดยวิธีอื่น ๆ. (2 โกรินโธ 6:3-10) น้ำใจของเขาเปี่ยมด้วยกรุณา เมตตาสงสาร พร้อมให้อภัยเช่นนั้นนับว่าสอดคลองกับบุคลิกของพระยะโฮวาผู้ ‘ประกอบด้วยพระเมตตากรุณาเหลือล้น’ และพระวจนะของพระองค์บรรจุตัวอย่างความกรุณาไว้มากมาย. (บทเพลงสรรเสริญ 86:15; เอเฟโซ 4:32) เราสามารถเรียนอะไรได้จากตัวอย่างเหล่านั้นบางราย?
ความกรุณาทำให้เราเป็นคนไม่เห็นแก่ตัวและมีน้ำใจต้อนรับแขก
3. อับราฮามเป็นตัวอย่างเช่นไรในการแสดงความกรุณา และเกี่ยวกับเรื่องนี้เปาโลได้กล่าวคำหนุนใจอะไร?
3 อับราฮาม (อับราม) บุรุษต้นตระกูลยิศราเอล—“มิตรของพระยะโฮวา” และ “บิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ”—ได้วางตัวอย่างที่ดีในการแสดงความกรุณา. (ยาโกโบ 2:23; โรม 4:11) ท่านและครอบครัวของท่าน รวมทั้งโลตหลานชายของท่าน ได้ออกจากเมืองอูระแขวงแผ่นดินเคเซ็ดแล้วไปในแผ่นดินคะนาอันตามพระบัญชาของพระเจ้า. แม้นว่าอับราฮามมีอายุมากกว่าโลตและเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ท่านแสดงความกรุณาและไม่เห็นแก่ตัวเมื่อให้โลตเลือกเอาแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ขณะที่ท่านเองรับเอาส่วนที่เหลืออยู่. (เยเนซิศ 13:5-18) ความกรุณาในลักษณะคล้าย ๆ กันก็อาจกระตุ้นเรายอมเสียสละเพื่อให้คนอื่นได้ผลประโยชน์. ความกรุณาอย่างไม่เห็นแก่ตัวดังกล่าวสอดคล้องกับคำแนะนำของอัครสาวกเปาโลที่ว่า “อย่าให้ผู้ใดกระทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น แต่ให้คิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย” เปาโลเอง ‘ได้ทำให้เป็นที่พอใจแก่คนทั้งปวง มิได้แสวงผลประโยชน์ของตนเอง แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนเป็นอันมาก เพื่อเขาจะรอดได้.’—1 โกรินโธ 10:24, 33.
4. อับราฮามกับซาราได้รับบำเหน็จอย่างไรเมื่อแสดงความกรุณาด้วยการรับรองแขก?
4 บางครั้งความกรุณาอาจปรากฏออกมาในลักษณะแสดงความเต็มใจรับรองแขกแปลกหน้า. อับราฮามกับซาราภรรยาของท่านเป็นคนกรุณา และได้รับรองชายแปลกหน้าสามคนที่เดินทางผ่านแถบนั้นวันหนึ่ง. อับราฮามพูดโน้มน้าวจนแขกเหล่านั้นได้พักกับท่านชั่วระยะหนึ่ง ขณะที่ท่านกับซาราก็เร่งรีบเตรียมอาหารอย่างดีต้อนรับอาคันตุกะเหล่านั้น. การณ์กลายเป็นว่าแขกเหล่านั้นคือทูตของพระยะโฮวา องค์หนึ่งได้นำคำสัญญามาบอกว่านางซาราที่ชราแล้วและเป็นหมันจะมีบุตร. (เยเนซิศ 18:1-15) การมีน้ำใจกรุณาต้อนรับแขกช่างมีบำเหน็จอะไรเช่นนั้น!
5. ฆาโยแสดงความกรุณาในทางใดบ้าง และเราอาจทำสิ่งคล้าย ๆ กันโดยวิธีใด?
5 ทางหนึ่งที่คริสเตียนทั้งหลายอาจจะแสดงความกรุณาได้คือแสดงน้ำใจรับรองแขก. (โรม 12:13; 1 ติโมเธียว 3:1, 2) ดังนั้น ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาแสดงน้ำใจต้อนรับผู้ดูแลเดินทางด้วยความกรุณา. ทั้งนี้ทำให้นึกถึงการแสดงความกรุณาของฆาโยคริสเตียนในศตวรรษแรก. ท่านได้กระทำ “ด้วยใจสัตย์ซื่อ” ด้วยการรับรองพี่น้องเป็นแขกในบ้านของท่าน—และพวกเขาเป็น “คนแปลกหน้า” จริง ๆ เพราะท่านไม่เคยรู้จักเขามาก่อน. (3 โยฮัน 5-8) ตามปกติ เรารู้จักผู้ที่เรากรุณาให้การต้อนรับ. บางทีเราสังเกตเห็นพี่น้องหญิงฝ่ายวิญญาณคนหนึ่งหงอยเหงา. สามีของเธออาจไม่นับถือพระเจ้าหรือเป็นคนถูกตัดสัมพันธ์. นับว่าเป็นโอกาสดีเพียงไรที่จะแสดงความกรุณาโดยชวนเธอเข้าร่วมมีการสังสรรค์ฝ่ายวิญญาณและรับประทานอาหารกับครอบครัวของเราเป็นครั้งคราว! ถึงแม้เราไม่จัดเลี้ยงใหญ่โต แต่เป็นที่แน่นอนว่าครอบครัวของเราคงจะประสบความยินดีเมื่อได้แสดงความกรุณาต่อพี่น้องในสภาพเช่นนั้น. (เทียบกับสุภาษิต 15:17.) และไม่ต้องสงสัย เธอคงออกปากกล่าวแสดงความขอบคุณหรืออาจเขียนจดหมายขอบคุณก็ได้.
6. ลุเดียแสดงความกรุณาโดยวิธีใด และทำไมการแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อการกระทำอย่างกรุณาจึงเป็นสิ่งสำคัญ?
6 หลังจากลุเดียสตรีผู้เลื่อมใสได้รับบัพติสมาแล้ว “เธออ้อนวอนว่า ‘ถ้าพวกท่าน [เปาโลกับเพื่อนสนิท] เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา เชิญท่านเข้ามาพักในบ้านของข้าพเจ้าเถิด.’ และเธอวิงวอนจนเราขัดไม่ได้” ลูกากล่าวเสริม. ไม่ต้องสงสัย เปาโลกับเพื่อนหยั่งรู้ค่าความกรุณาของลุเดีย. (กิจการ 16:14, 15, 40) แต่เมื่อไม่มีการแสดงความหยั่งรู้ค่าก็อาจเป็นการทำลายจิตใจกันได้. มีอยู่คราวหนึ่ง พี่น้องหญิงอายุแปดสิบปีซึ่งสุขภาพไม่ค่อยดี และฐานะของเธอก็พอมีพอใช้เท่านั้น แต่เธอมีน้ำใจอุตส่าห์ลงมือประกอบอาหารสำหรับแขกสองสามคน. เธอรู้สึกผิดหวังมากโดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งไม่ได้แจ้งให้เธอรู้ว่ามาไม่ได้. อีกรายหนึ่งพี่น้องหญิงสองคนไม่มาร่วมรับประทานอาหารที่หญิงสาวคนหนึ่งเตรียมสำหรับเขาทั้งสองโดยเฉพาะ. หญิงสาวพูดว่า “ดิฉันหมดกำลังใจจริง ๆ เพราะเขาทั้งสองไม่ได้ลืมการนัดหมาย. . . . ถ้าเขาลืมเรื่องอาหารมื้อเย็นนั้นจริงดิฉันจะไม่ว่าอะไร แต่นี่เขาไม่มีความกรุณาหรือความรักพอจะโทรศัพท์ให้ดิฉันรู้บ้างเลย.” ผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เกี่ยวด้วยความกรุณาจะกระตุ้นคุณให้แสดงความหยั่งรู้ค่าและคำนึงถึงผู้อื่นไหมภายใต้สภาพการณ์คล้าย ๆ กันเช่นนั้น?
ความกรุณาส่งเสริมเราให้คิดถึงผู้อื่น
7. จุดสำคัญอะไรเกี่ยวด้วยความกรุณาซึ่งได้รับการพรรณนาโดยความพยายามที่จะจัดการฝังศพตามความประสงค์ของยาโคบ?
7 ความกรุณาน่าจะส่งเสริมเราให้คิดถึงผู้อื่นและความปรารถนาที่เหมาะสมของเขา. ยกตัวอย่าง ยาโคบ (ยิศราเอล) ได้ขอร้องโยเซฟบุตรชายของท่านให้แสดงความเมตตาต่อท่านโดยไม่ให้ฝังศพของท่านในแผ่นดินอียิปต์. แม้ว่าการทำเช่นนี้จะต้องได้นำศพยาโคบไปยังที่ห่างไกลมาก ถึงกระนั้น โยเซฟพร้อมด้วยบุตรคนอื่น ๆ ของยาโคบก็ได้ “เชิญศพไปยังแผ่นดินคะนาอันแล้วได้ฝังไว้ในถ้ำที่อยู่ในนาชื่อมัคเพลา คือนาป่าช้าซึ่งอับราฮามได้ซื้อไว้จากเอ็ฟโรนชาติเฮ็ธอยู่ตรงมัมเร.” (เยเนซิศ 47:29; 49:29-31; 50:12, 13) สอดคล้องกับตัวอย่างนี้เราน่าจะยอมให้ความกรุณารักใคร่เป็นแรงกระตุ้นเราไหมที่จะจัดงานศพอย่างที่ถูกต้องกับหลักพระคัมภีร์ตามความประสงค์ของสมาชิกครอบครัวคริสเตียน?
8. กรณีนางราฮาบให้บทเรียนอะไรแก่เราในเรื่องการตอบแทนความกรุณา?
8 เมื่อคนอื่นแสดงความกรุณารักใคร่ต่อเรา ไม่สมควรหรือที่เราพึงแสดงความหยั่งรู้ค่าหรือตอบแทนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง? เราพึงกระทำอย่างแน่นอน. ราฮาบหญิงโสเภณีแสดงความกรุณา โดยได้ซ่อนคนสอดแนมชาวยิศราเอล. ดังนั้น ชาวยิศราเอลจึงแสดงความกรุณาตอบด้วยการให้ความคุ้มครองราฮาบและครอบครัวของนางเมื่อพวกเขามอบเมืองยะริโฮให้ถูกทำลายเสียสิ้น. (ยะโฮซูอะ 2:1-21; 6:20-23) นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีบ่งชี้ว่าเราควรตอบแทนความกรุณาที่เราได้รับโดยที่เราเองคำนึงถึงผู้อื่นและมีใจกรุณา!
9. เหตุใดคุณจึงบอกว่าการขอร้องบางคนให้แสดงความกรุณารักใคร่ต่อเรานั้นเหมาะสม?
9 เกี่ยวกับเรื่องนี้ นับว่าเป็นการสมควรที่จะขอให้บางคนแสดงความกรุณารักใคร่ต่อเรา. โยนาธาน โอรสของซาอูลกษัตริย์องค์แรกของยิศราเอลได้ทำเช่นนั้น. โยนาธานทรงขอร้องดาวิดพระสหายที่รักซึ่งอ่อนวัยกว่าให้แสดงความกรุณารักใคร่ต่อตัวท่านและเชื้อวงศ์ของท่าน. (1 ซามูเอล 20:14, 15; 2 ซามูเอล 9:3-7) ดาวิดระลึกถึงเรื่องนี้เมื่อท่านแก้แค้นแทนพวกฆิบโอนซึ่งถูกซาอูลทำร้าย. ด้วยระลึกถึง “คำสัตย์สาบานเฉพาะพระยะโฮวา” ซึ่งท่านกับโยนาธานกระทำไว้ต่อกัน ดาวิดจึงได้แสดงความกรุณารักใคร่โดยการไว้ชีวิตมะฟีโบเซ็ธบุตรชายโยนาธาน. (2 ซามูเอล 21:7, 8) พวกเราเช่นเดียวกัน ‘ให้คำว่าใช่ของเราหมายความว่าใช่’ ไหม? (ยาโกโบ 5:12, ล.ม.) และถ้าเราเป็นผู้ปกครองในประชาคม เราแสดงความเมตตาเช่นเดียวกันไหมเมื่อเพื่อนร่วมความเชื่อต้องการความเมตตารักใคร่?
ความกรุณากระชับข้อผูกมัดอย่างแน่นแฟ้น
10. ความกรุณารักใคร่ของรูธได้รับพระพรอย่างไร?
10 ความกรุณารักใคร่ทำให้สายสัมพันธ์ในครอบครัวกระชับแน่นและส่งเสริมความสุข. เรื่องนี้ปรากฏให้เห็นในกรณีของรูธหญิงชาวโมอาบ. นางออกไปทำงานเก็บข้าวตกในทุ่งนาของโบอัศชายสูงอายุซึ่งอยู่ใกล้ ๆ บ้านเบธเลเฮ็มเพื่อจะได้อาหารสำหรับตัวเองและเผื่อนาอะมีหญิงม่ายและเป็นแม่ผัวที่ขัดสน. (ประวัตินางรูธ 2:14-18) ในเวลาต่อมา โบอัศกล่าวแก่รูธว่า “คุณ [ความกรุณารักใคร่, ล.ม.] ของเจ้าครั้งหลังนี้ยิ่งกว่าครั้งก่อน ด้วยเจ้ามิได้ไปหาคนหนุ่มที่ยากจนหรือคนมั่งมี.” (ประวัตินางรูธ 3:10) ประการแรก รูธได้แสดงความกรุณารักใคร่ต่อนางนาอะมี. “ครั้งหลังนี้” หญิงชาวโมอาบแสดงความกรุณารักใคร่โดยสมัครใจแต่งงานกับโบอัศชายสูงอายุ เพื่อจะได้สืบพงศ์พันธุ์สามีของนางที่ตายไปแล้วและเพื่อนาอะมีผู้ชรา. โดยทางโบอัศนี้เอง รูธจึงเป็นมารดาของโอเบ็ดปู่ของดาวิด. และพระเจ้าทรงตอบแทนนางด้วย “บำเหน็จอันเต็มบริบูรณ์” โดยที่นางเป็นบรรพสตรีของพระเยซูคริสต์. (ประวัตินางรูธ 2:12; 4:13-17; มัดธาย 1:3-6, 16; ลูกา 3:23, 31–33) ความกรุณารักใคร่ของรูธช่างก่อผลเป็นพระพรสำหรับตัวเองและครอบครัวของนางอะไรเช่นนั้น! ทุกวันนี้ พระพร ความสุข และการเสริมสร้างสายสัมพันธ์ของครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้นจะเกิดขึ้นเช่นเดียวกันเมื่อความกรุณารักใคร่เฟื่องฟูงอกงามภายในบ้านที่เลื่อมใสในพระเจ้า.
11. ความกรุณาของฟิเลโมนมีผลกระทบเช่นไร?
11 ความกรุณารักใคร่ทำให้สายสัมพันธ์ภายในประชาคมแห่งไพร่พลของพระยะโฮวากระชับแน่น. ฟิเลโมนชายคริสเตียนเป็นที่รู้จักดีเพราะเขาแสดงความกรุณารักใคร่ต่อเพื่อนร่วมความเชื่อ. เปาโลบอกเขาอย่างนี้: “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าเสมอ และในคำอธิษฐานของข้าพเจ้าก็ได้ระลึกถึงท่าน เพราะได้ยินถึงความรักและและความเชื่อของท่านซึ่งท่านมีอยู่ต่อพระเยซูเจ้าและต่อบรรดาสิทธชน . . . เรามีความยินดีและความชูใจเป็นอันมากเพราะเหตุความรักของท่าน ด้วยว่าท่านได้กระทำให้สิทธชนชื่นใจ.” (ฟิเลโมน 4-7) พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าฟิเลโมนทำอย่างไรเพื่อทำให้ความรักอันอ่อนโยนของสิทธชนเป็นที่สดชื่น. แต่เขาคงได้แสดงความกรุณารักใคร่ต่อผู้ถูกเจิมหลายวิธีต่างกันซึ่งยังความชื่นใจแก่คนเหล่านั้น และไม่สงสัยว่าการเช่นนั้นย่อมกระชับสายสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างแน่นแฟ้น. สิ่งต่าง ๆ ทำนองนี้เกิดขึ้นได้ในสมัยปัจจุบันเมื่อคริสเตียนสำแดงความกรุณารักใคร่ซึ่งกันและกัน.
12. การที่โอเนซิโฟโรแสดงความกรุณานั้นมีผลอะไรตามมา?
12 อนึ่ง ความกรุณาของโอเนซิโฟโรก่อผลดีเช่นกัน. เปาโลกล่าวอย่างนี้ “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดเมตตาครอบครัวของโอเนซิโฟโร เพราะเขากระทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจบ่อย ๆ และไม่ละอายเพราะโซ่ตรวนที่ล่ามข้าพเจ้าอยู่ แต่ขณะที่เขาอยู่ในกรุงโรม เขาอุตส่าห์สืบคนหาข้าพเจ้าจนพบ. ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้เขาได้ประสบความเมตตาจากพระยะโฮวาในวันนั้น. และพวกท่านทราบดีเรื่องการทุกอย่างซึ่งเขาได้ปฏิบัติข้าพเจ้าในเมืองเอเฟโซ.” (2 ติโมเธียว 1:16-18, ล.ม.) ถ้าเราทุ่มเทตัวเองแสดงความกรุณารักใคร่ต่อเพื่อนร่วมความเชื่อ เราจะประสบความสุขและจะเป็นกำลังเสริมสายสัมพันธ์แห่งความรักฉันพี่น้องภายในประชาคมคริสเตียนให้แน่นแฟ้น.
13, 14. ประชาคมที่เมืองฟิลิปปอยเป็นตัวอย่างเช่นไร และเปาโลตอบสนองความกรุณาของประชาคมที่นั่นโดยวิธีใด?
13 เมื่อใดทุกคนในประชาคมแสดงความกรุณารักใคร่ต่อเพื่อนผู้นมัสการด้วยกัน ก็เท่ากับเป็นการเสริมสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเองให้มั่นคง. ความสัมพันธ์อันแนบแน่นเช่นนั้นมีอยู่ระหว่างเปาโลกับประชาคมในเมืองฟิลิปปอย. ที่จริง เหตุผลประการหนึ่งที่ท่านเขียนจดหมายถึงชาวฟิลิปปอยก็เพื่อจะกล่าวขอบคุณพวกเขาที่แสดงความกรุณาและได้สงเคราะห์ท่านด้านวัตถุปัจจัย. ท่านเขียนว่า “แรกเริ่มการประกาศกิตติคุณนั้น เมื่อข้าพเจ้าได้ไปจากมณฑลมากะโดเนีย ไม่มีคริสต์จักร [ประชาคม] อื่นที่ได้เข้าส่วนร่วมมือกับข้าพเจ้าในการให้ทานและรับทานนั้นเว้นไว้พวกท่านพวกเดียว เพราะเมื่อข้าพเจ้าขัดสนอยู่ในเมืองเธซะโลนิเก พวกท่านได้ฝากของมาช่วยมากกว่าหนึ่งครั้ง. . . . ข้าพเจ้ามีของสารพัดและบริบูรณ์อยู่แล้ว. ข้าพเจ้าก็อิ่มอยู่เพราะได้รับของซึ่งเอปาฟะโรดีโตได้นำมาจากพวกท่าน เป็นสุคนธรสอันหอมหวาน เป็นเครื่องบูชาที่ทรงโปรดและพอพระทัยของพระเจ้า.”—ฟิลิปปอย 4:15-18.
14 ไม่น่าประหลาดใจเลยที่เปาโลระลึกถึงชาวฟิลิปปอยผู้มีใจกรุณานั้นในคำอธิษฐานของท่าน! ท่านว่าอย่างนี้: “ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงท่านเมื่อใด ก็ได้ขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อนั้นทุกครั้ง และทุกเวลาที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ทูลขอด้วยใจยินดี เพราะเหตุที่ท่านทั้งหลายได้เข้ารับส่วนในกิตติคุณด้วยกันตั้งแต่วันแรกนั้นมาจนถึงเวลาบัดนี้.” (ฟิลิปปอย 1:3-5) การสนับสนุนงานประกาศราชอาณาจักรด้วยน้ำใจเมตตากรุณาและเผื่อแผ่จะไม่ทำให้ประชาคมขัดสน. หลังจากชาวฟิลิปปอยได้แสดงความกรุณาอย่างสุดกำลังแล้ว เปาโลให้คำรับรองแก่เขาว่า “และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดตามที่พวกท่านต้องการนั้นจากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์. (ฟิลิปปอย 4:19) ถูกแล้ว พระเจ้าทรงตอบแทนความกรุณาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่. พระคำของพระองค์ว่าดังนี้: “แต่ละคน ถ้ากระทำดีประการใด เขาย่อมได้รับบำเหน็จอย่างนั้นจากพระยะโฮวา.”—เอเฟโซ 6:8, ล.ม.
เมื่อสตรีแสดงความกรุณา
15, 16. (ก) ความกรุณาของนางโดระกาได้รับการระลึกถึงอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นเมื่อนางสิ้นชีวิต? (ข) ทุกวันนี้สตรีคริสเตียนผู้มีน้ำใจกรุณาบริบูรณ์ด้วยการงานที่ดีอย่างไร?
15 ความกรุณารักใคร่ของสาวกคนหนึ่งชื่อโดระกา (ตะบีธา) ที่เมืองยบเป ก็ใช่ว่าสูญเปล่าโดยไม่มีบำเหน็จ. “หญิงคนนี้เคยประกอบการคุณและการให้ทานมาแล้ว” และเมื่อเธอล้มป่วยจนถึงแก่ความตาย “พวกสาวกจึงได้ส่งคนไปเชิญเปโตรซึ่งอยู่ที่เมืองลุดา. เมื่อท่านมาถึง “เขาพาท่านขึ้นไปในห้องชั้นบน และบรรดาหญิงม่ายที่ยืนอยู่กับท่านพากันร้องไห้และได้ชี้ให้ท่านดูเสื้อผ้าต่าง ๆ ซึ่งโดระกาได้ทำให้เขาเมื่อยังมีชีวิตอยู่.” นึกภาพตอนนั้น: ผู้คนเศร้าโศก หญิงม่ายร้องไห้รำพันกับอัครสาวกถึงความใจดีของโดระกาและนำเอาเสื้อผ้ามาให้ท่านดูเป็นหลักฐานแสดงความรักและความกรุณาของนาง. เมื่อเปโตรสั่งคนเหล่านั้นออกไปข้างนอกท่านได้คุกเข่าลงอธิษฐานและหันหน้ามาทางศพ. ฟังซิ! ท่านพูดว่า “ตะบีธาเอ๋ย จงลุกขึ้น!” ดูแน่ะ! “ตะบีธาก็ลืมตา เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง. ฝ่ายเปโตรยื่นมือออกพยุงขึ้น จึงได้เรียกสิทธชนทั้งหลายกับพวกแม่ม่ายเข้ามา แล้วมอบหญิงที่เป็นขึ้นนั้นให้กับเขาทั้งหลาย.” (กิจการ 9:36-41) ช่างเป็นพระพรมาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง!
16 รายนี้เป็นการปลุกขึ้นจากตายครั้งแรกโดยอัครสาวกคนหนึ่งของพระเยซูคริสต์เท่าที่มีบันทึกไว้. และสภาพการณ์อันนำไปถึงการอัศจรรย์ครั้งนี้ก็เนื่องมาจากความกรุณา. ใครหรือจะบอกได้ว่าโดระกาจะได้รับการปลุกขึ้นมาจากตายหากเธอไม่ได้กระทำการคุณมากมายและให้ทาน—หากเธอไม่ได้แสดงความกรุณารักใคร่อย่างเหลือล้น? มิใช่เพียงโดระกากับพวกหญิงม่ายเหล่านั้นได้รับพระพร แต่การอัศจรรย์ซึ่งได้ทำให้เธอถูกปลุกขึ้นจากตาย เปิดโอกาสให้มีการกล่าวคำพยากรณ์ถึงสง่าราศีของพระเจ้า. ใช่แล้ว “เหตุการณ์นั้นได้ลือไปตลอดเมืองยบเป คนเป็นอันมากได้พากันมาเชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า.” (กิจการ 9:42) สมัยนี้ สตรีคริสเตียนที่มีใจกรุณากระทำการดีมากมายเช่นกัน—อาจเป็นการเย็บเสื้อผ้าสำหรับเพื่อนร่วมความเชื่อ ตระเตรียมทำอาหารสำหรับคนสูงอายุที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา มีใจกว้างเผื่อแผ่ถึงคนอื่น. (1 ติโมเธียว 5:9, 10) นับว่าเป็นคำพยานที่ดีอะไรเช่นนั้นแก่ผู้ที่ได้สังเกตดู! สำคัญยิ่งก็คือพวกเราทุกคนชื่นใจยินดีที่ความเลื่อมใสในพระเจ้าและความกรุณารักใคร่เป็นพลังกระตุ้น ‘สตรีหมู่ใหญ่ให้ประกาศข่าวดี’ เทิดพระเกียรติพระยะโฮวาพระเจ้าของเรา!—บทเพลงสรรเสริญ 68:11.
จงติดตามความกรุณารักใคร่ต่อ ๆ ไป
17. มีคำกล่าวเช่นไรที่สุภาษิต 21:21 และถ้อยคำเหล่านี้ใช้เป็นประโยชน์อย่างไรต่อทุกคนที่เลื่อมใสในพระเจ้า?
17 ทุกคนผู้ซึ่งปรารถนาได้รับความพอพระทัยของพระเจ้าพึงติดตามความกรุณารักใคร่. “คนที่ติดตามความชอบธรรมและความกรุณารักใคร่จะพบชีวิต ความชอบธรรมและสง่าราศี” นี้คือภาษิตอันคมคาย. (สุภาษิต 21:21, ล.ม.) บุคคลผู้รักคุณธรรมย่อมขะมักเขม้นติดตามความชอบธรรมของพระเจ้า โดยอาศัยมาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดไว้เป็นเครื่องชี้นำ. (มัดธาย 6:33) เขาแสดงความรักภักดีหรือความกรุณารักใคร่ต่อผู้อื่นอยู่เรื่อยไป ทั้งด้านวัตถุปัจจัยและด้านวิญญาณเป็นพิเศษ. ดังนั้น เขาประสบความชอบธรรม เพราะพระวิญญาณของพระยะโฮวาช่วยให้เขาอยู่ในทางที่ชอบธรรม. ที่จริง ‘ความชอบธรรมได้หุ้มห่อเขาไว้’ ดังที่เคยเป็นมาแล้วกับโยบผู้ยำเกรงพระเจ้า. (โยบ 29:14) คนประเภทนี้ไม่แสวงสง่าราศีให้ตัวเอง. (สุภาษิต 25:27) ตรงกันข้าม เขาได้รับสง่าราศีตามพระยะโฮวาทรงยอมให้ อาจมาในรูปของความนับถือจากเพื่อนมนุษย์ซึ่งพระเจ้าทรงดลใจให้แสดงความกรุณาตอบแทน เนื่องจากเขาเองได้แสดงน้ำใจกรุณารักใคร่คนเหล่านั้น. ยิ่งกว่านั้น คนเหล่านั้นที่กระทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าด้วยความซื่อสัตย์ภักดีจะพบชีวิต—ไม่ใช่ชีวิตอยู่เพียงไม่กี่ปีแล้วล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ตลอดกาลนาน.
18. ทำไมเราควรติดตามความกรุณารักใคร่?
18 เหตุฉะนั้น จงให้ทุกคนที่รักพระเจ้ายะโฮวาติดตามความกรุณารักใคร่ต่อ ๆ ไป. คุณลักษณะประการนี้จะทำให้เราเป็นที่รักของพระเจ้าและของคนอื่น ๆ. ความกรุณารักใคร่ส่งเสริมการมีน้ำใจรับรองแขกและทำให้เราคำนึงถึงผู้อื่น. ความกรุณาเป็นพลังเสริมสายสัมพันธ์ภายในครอบครัวและประชาคมคริสเตียน. สตรีผู้แสดงความกรุณารักใคร่ย่อมได้รับการหยั่งรู้ค่าและความนับถืออย่างสูง. และทุกคนที่ติดตามคุณลักษณะอันดีเลิศนี้ย่อมถวายเกียรติแด่พระยะโฮวาพระเจ้าผู้ประกอบด้วยความกรุณารักใคร่.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ อับราฮามเป็นตัวอย่างในการแสดงความกรุณาอย่างไร?
▫ กรณีของราฮาบให้บทเรียนอะไรแก่เราในเรื่องการตอบแทนความกรุณา?
▫ ประชาคมฟิลิปปอยแสดงความกรุณาโดยวิธีใด?
▫ ทุกวันนี้สตรีคริสเตียนมีใจกรุณาบริบูรณ์ด้วยการดีอย่างไร?
▫ เหตุใดเราควรติดตามความกรุณารักใคร่?