อุทาหรณ์—เคล็ดลับที่จะเข้าถึงหัวใจ
ดาวิดได้หนีไปเพื่อเอาชีวิตรอด. ศัตรูของท่านคือซาอูล กษัตริย์ผู้ถูกเจิมแห่งยิศราเอล. อย่างไรก็ดี ซาอูลเป็นบุรุษที่เพียบด้วยความจงเกลียดจงชังต่อดาวิด เต็มไปด้วยความริษยา. ในการตามล่าเอาชีวิต ตอนนี้กษัตริย์ได้พาทหารไปด้วย 3,000 คน. เพราะมีจำนวนที่เป็นรองกว่ามาก ดาวิดกับพรรคพวกของท่านจึงได้หลบซ่อนอยู่ภายในถ้ำลึกในถิ่นทุรกันดาร.
ขณะที่ดาวิดกับพรรคพวกเบียดเสียดกันอยู่ในความมืดนั้น เหตุการณ์อันน่าตกตะลึงได้เกิดขึ้น. กษัตริย์ซาอูลทรงดำเนินเข้าไปในถ้ำนี้ทีเดียวเพื่อปลดทุกข์. ดาวิดตามศัตรูที่ช่วยตัวเองไม่ได้นั้นไปอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับอาวุธในมือ. แต่ยังความประหลาดใจแก่พรรคพวกของดาวิด ท่านมิได้สังหารกษัตริย์. ท่านเพียงแต่ตัดชายเสื้อของซาอูล. เพราะเสียใจในการทำเช่นนี้ด้วยซ้ำ ดาวิดกล่าวว่า “ขอพระยะโฮวาทรงห้าม อย่าให้ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ต่อเจ้านายของตนผู้ที่พระยะโฮวาทรงชโลมไว้ คือเหยียดมือออกต่อสู้ท่าน ซึ่งเป็นผู้ที่พระยะโฮวาทรงชโลมไว้.”—1 ซามูเอล 24:1-6.
เรื่องราวในพระคัมภีร์ตอนนี้สอนบทเรียนอันลึกซึ้งในเรื่องความนับถือต่ออำนาจที่พระเจ้าทรงแต่งตั้ง. บทเรียนนั้นเข้าถึงหัวใจ บางทีมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าคำแนะนำที่ตรงไปตรงมาเสียด้วยซ้ำ. พลังแห่งเรื่องราวที่บันทึกไว้ในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อการแนะนำสั่งสอนพวกเรามีมากถึงขนาดนั้น!—โรม 15:4.
เพราะฉะนั้น พยานพระยะโฮวาพยายามที่จะทำมากกว่าบอกข้อเท็จจริงเมื่อพวกเขาประกาศข่าวดี, นำการศึกษาพระคัมภีร์ตามบ้าน, เสนอคำบรรยายตามหลักพระคัมภีร์, หรือให้คำพยานแบบไม่เป็นทางการ. พวกเขาพยายามที่จะเข้าถึงหัวใจโดยการเล่าประสบการณ์และใช้อุทาหรณ์ต่าง ๆ. หนังสือ คู่มือโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้า ชี้แจงว่า “ตัวอย่างต่าง ๆ ย่อมเร้าความสนใจ และทำให้แนวความคิดสำคัญ ๆ เด่นชัด. ตัวอย่างกระตุ้นกระบวนวิธีดำเนินการคิด และช่วยให้เข้าใจความคิดใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น. ตัวอย่างที่เลือกเฟ้นเป็นอย่างดีย่อมเป็นที่น่าพอใจ . . . ทั้งยังผลเป็นความประทับใจทางด้านอารมณ์ด้วย. ในบางโอกาส อาจจะใช้ตัวอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากความลำเอียง.”a—หน้า 270.
ในหนังสือปัจจัยสำคัญของการพูดในที่สาธารณะ วอร์เรน ดูบอยส์ ได้ให้อรรถาธิบายไว้ว่า “ขอให้นักเขียนหรือนักพูดแสดงความคิดของตนออกมาโดยการกระทำหรือคำพูดของมนุษย์ และหัวเรื่องจืดชืดที่สุดก็จะมีชีวิตชีวาและสีสัน.” ด้วยเหตุนี้ การเพิ่มชีวิตชีวาและสีสันให้กับข่าวสารที่ให้ชีวิตและมีพลังอยู่แล้วนั้นจะช่วยผู้รับใช้คริสเตียนให้เข้าถึงหัวใจจริง ๆ.
อุทาหรณ์ต่าง ๆ ที่สั่งสอน
อุทาหรณ์ชนิดใดใช้การได้ดีที่สุด? ตามปกติแล้ว อุทาหรณ์ที่อาศัยอะไรบางอย่างซึ่งผู้ฟังรู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับเขา. พระเยซูคริสต์ทรงวางตัวอย่างที่ดีไว้ในเรื่องนี้. ในคำเทศน์ของพระองค์บนภูเขา พระเยซูตรัสถึงสิ่งธรรมดา ๆ อย่างเช่น เกลือ ตะเกียงและนก. (มัดธาย 5:1–7:29) อาทิเช่น ทุกคนย่อมรู้จักคุ้นเคยกับตะเกียงที่จุดด้วยน้ำมันมะกอก และบางครั้งตั้งไว้บนเชิงตะเกียง. เพราะฉะนั้น พวกสาวกของพระเยซูคงต้องสำนึกว่าพวกเขาควรเป็นผู้ถือความสว่างฝ่ายวิญญาณเมื่อพระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “เมื่อเขาจุดตะเกียงแล้วมิได้เอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้ที่เชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น. ให้ความสว่างของท่านส่องไปต่อหน้าคนทั้งปวงอย่างนั้น เพื่อเขาจะได้เห็นการดีของท่าน แล้วจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์.” (มัดธาย 5:15, 16) อุทาหรณ์ที่ไม่ซับซ้อนซึ่งเหมาะกับหัวเรื่องจะช่วยผู้รับใช้คริสเตียนให้อธิบายความคิดและคำสอนในพระคัมภีร์ได้อย่างแจ่มแจ้ง.
อุทาหรณ์อันมีผลกระทบมากที่สุดของพระเยซูดูเหมือนจะรวมจุดอยู่ที่คน. จงพิจารณาดูตัวอย่างเหล่านั้นที่บันทึกอยู่ในลูกาบท 15 และ 16. พวกอาลักษณ์และฟาริซายได้ติเตียนพระเยซูในการต้อนรับคนบาปและคนเก็บภาษี. ในการตอบสนอง พระองค์ทรงเล่าเรื่องที่เร้าใจเกี่ยวกับผู้คน. พระองค์ตรัสถึงผู้เลี้ยงแกะซึ่งพบแกะที่หลงหายไป หญิงที่ได้เหรียญซึ่งหายไปนั้นคืนมา บุตรผู้สุรุ่ยสุร่ายซึ่งกลับบ้าน และคนต้นเรือนอธรรม.
อุทาหรณ์ที่ตรงกับสภาพจริง และประสบการณ์ชีวิตจริงอาจเป็นประโยชน์ทีเดียวสำหรับผู้รับใช้คริสเตียน. ตัวอย่างเช่น ขอสังเกตวิธีที่อเล็กซานเดอร์ เอ็ช. แมคมิลลัน ผู้ซึ่งได้เดินทางอย่างกว้างขวางฐานะผู้บรรยายสาธารณะเป็นเวลา 60 ปี ได้อธิบายความจริงในพระคัมภีร์เกี่ยวกับคนตาย. ไม่นานก่อนความตายของบิดาของเขาซึ่งเชื่อว่าจิตวิญญาณไม่ตายเลย แมคมิลลันมีการสนทนาต่อไปนี้กับเขา:
“คุณพ่อได้ถามผมตรง ๆ ว่า ‘ลูกเอ๋ย พ่อจะเหงาอยู่ในหลุมฝังศพไหมระหว่างที่พ่อรอคอยราชอาณาจักรที่จะเริ่มดำเนินงานในการทำให้แผ่นดินโลกเต็มด้วยสภาพความสมบูรณ์พร้อม?’
“นั่นเป็นคำถามที่ชายหนุ่มจะตอบง่าย ๆ ไม่ได้เพื่อให้จุใจคนสูงอายุซึ่งไม่เคยคิดในแนวนั้นเลย.
“ในการตอบผมถามท่านว่า ‘คุณพ่อครับ เมื่อคืนนี้คุณพ่อหลับสบายไหมครับ?’
“ท่านตอบว่า ‘หลับสบายลูก พ่อหลับดีหลังจากที่หมอให้ยานอนหลับบางอย่างแก่พ่อ.’
“‘คุณพ่อเหงาไหมครับระหว่างนอนหลับ?’
“‘ไม่ พ่อไม่เหงา. พ่ออยากให้หลับได้ตลอดเวลา เพราะในตอนนั้นพ่อไม่รู้สึกเจ็บปวด.’”
จากนั้น เอ. เอ็ช. แมคมิลลันก็อ่านโยบ 14:13-15 และ 3:17-19 ให้พ่อฟัง แล้วพูดว่า “ดังนั้น คุณพ่อก็เห็นแล้วว่า คนตายก็อยู่ในสภาพนอนหลับสนิทและไม่รู้อะไรระหว่างอยู่ในสภาพเช่นนั้น ดังนั้นเขาจะเหงาได้อย่างไร?”
ช่างเป็นการสอนที่มีประสิทธิภาพอะไรเช่นนี้! หากคุณเป็นคนหนึ่งในพวกพยานพระยะโฮวา คุณก็อาจใช้ข้อคัมภีร์และอุทาหรณ์ต่าง ๆ เพื่อดึงดูดจิตใจและหัวใจได้เช่นกัน.
การหาอุทาหรณ์
แต่คุณจะพบอุทาหรณ์ที่บังเกิดผลหรือประสบการณ์ชีวิตจริงได้ที่ไหน? หลายเรื่องนำมาจากคลังแห่งประสบการณ์ส่วนตัวของคุณ. อาทิเช่น คุณอยากแสดงให้เห็นพระพรต่าง ๆ ของความเชื่อ พลังแห่งการอธิษฐาน หรือความยินดีในการรับใช้ไหม? หากคุณเป็นคริสเตียนที่อุทิศตัวแล้ว ก็ดูเหมือนว่าคุณจะเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของคุณเองได้. คุณอาจได้ยินประสบการณ์ดี ๆ ณ การประชุมของประชาคม หรือเมื่อพูดคุยกับเพื่อนคริสเตียน. หรือมิฉะนั้น คุณอาจได้อ่านประสบการณ์ที่หนุนกำลังใจในหนังสือประจำปีแห่งพยานพระยะโฮวา. ที่จริง สารบัญสรรพหนังสือวอชเทาเวอร์ จัดเตรียมช่องทางเพื่อได้ประสบการณ์ที่มีการพิมพ์ไว้จากทั่วโลก.
คุณเล่าประสบการณ์อย่างบังเกิดผลได้อย่างไร? ประการแรก การสร้างการคาดหมายล่วงหน้าไว้บ้าง ช่วยคุณให้จับความสนใจของผู้ฟังไว้. คุณอาจเริ่มประสบการณ์โดยกล่าวว่า “ไพโอเนียร์คนหนึ่งเรียนรู้โดยตรงถึงวิธีที่พระยะโฮวาอวยพระพรคนเหล่านั้นที่ไว้วางใจในพระองค์ทีเดียว.” ผู้ฟังของคุณก็อยากจะรู้ทันทีว่าผู้ประกาศราชอาณาจักรเต็มเวลาได้รับพระพรอะไรบ้าง. จงทำให้แน่ใจที่จะบอกถึงพระพรเหล่านั้น.
พยายามเล่าประสบการณ์ด้วยคำพูดของคุณเอง. จัดให้มีรายละเอียดต่าง ๆ เพราะการทำเช่นนั้นเพิ่มความประทับใจให้กับเรื่องราว. โดยการพรรณนาภาพชัดเจนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องด้วย คุณก็จะกระตุ้นผู้ฟังของคุณได้ง่ายขึ้น. แต่ทำให้แน่ใจว่าคุณมิได้เข้าไปหมกมุ่นในการเล่าเรื่องถึงขนาดที่เขาไม่เข้าใจเหตุผลที่คุณเล่าประสบการณ์นั้น. นอกจากนี้ จงหลีกเลี่ยงการพูดเกินความจริง เพราะถึงแม้นี้อาจทำให้เรื่องน่าสนใจมากขึ้นก็ตาม นั่นอาจบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของคุณได้. ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน จงยับยั้งจากการกระพือข่าวลือ หรือเล่าประสบการณ์ที่คุณพิสูจน์ยืนยันไม่ได้.
การทำให้พระคัมภีร์มีชีวิตชีวา
ประสบการณ์ที่ให้ความรู้มากที่สุดนั้นพบได้ในพระคัมภีร์นั้นเอง. ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคุณอยากแสดงให้นักศึกษาพระคัมภีร์หรือผู้ฟังเห็นว่าเด็ก ๆ สามารถยืนหยัดอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาพระเจ้าได้. คุณอาจตัดสินใจที่จะใช้เรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหญิงนิรนามซึ่งพูดกับภรรยาของนามานถึงเรื่องอะลีซาผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวา. ทีแรก จงอ่านเรื่องราวที่ 2 กษัตริย์ 5:1-5. ครั้นแล้วคุณอาจถามว่า “คุณคิดว่ายากเพียงไรสำหรับเด็กหญิงคนนี้ที่จะรักษาไว้ซึ่งความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้าในดินแดนของการนมัสการเท็จ? เธอต้องมีความกล้าหาญ มิใช่หรือที่จะพูดด้วยความมั่นใจในเรื่องพระยะโฮวาและผู้พยากรณ์ของพระองค์?”
การค้นคว้าก่อนอาจช่วยคุณในการทำให้เรื่องราวมีชีวิตชีวา. คุณอาจพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ภายใต้หัวข้อนามาน, ซีเรีย, และอะลีซา ในสารบัญสรรพหนังสือของวอชเทาเวอร์. ข้ออ้างอิงถึงกันในพระคัมภีร์ฉบับโลกใหม่อาจนำคุณจากเรื่องราวใน 2 กษัตริย์ มาสู่บทเพลงสรรเสริญ 148:12, 13 ที่เราอ่านว่า “ชายหนุ่มและหญิงสาวพรหมจารี คนแก่กับฝูงเด็ก พากันสรรเสริญพระนามของพระยะโฮวา เพราะมีพระนามของพระองค์แต่พระนามเดียวควรถูกยกย่องสูงสุด. พระรัศมีของพระองค์ดำรงอยู่เหนือแผ่นดินโลกและเหนือฟ้าสวรรค์.” ช่างเป็นการหนุนกำลังใจจริง ๆ สำหรับเยาวชนที่จะกล่าวคำของพระเจ้าด้วยใจกล้า!—กิจการ 4:29-31.
หากคุณเป็นผู้รับใช้คริสเตียน ‘จงเอาใจใส่ตัวคุณและคำสอนของคุณอยู่เสมอ’ ในเรื่องนี้. (1 ติโมเธียว 4:16, ล.ม.) อย่าเพียงแต่บอกความจริง—จงยกตัวอย่างเกี่ยวกับความจริงนั้น. จงทำให้เรื่องราวในพระคัมภีร์มีชีวิตชีวาและเต็มด้วยความหมาย. จงใช้ประสบการณ์และอุทาหรณ์ที่เหมาะสม. สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีเข้าถึงหัวใจ.
[เชิงอรรถ]
a พิมพ์โดยสมาคมวอชเทาเวอร์ไบเบิลแอนด์แทรกท์แห่งนิวยอร์ก.
[รูปภาพหน้า 29]
เช่นเดียวกับพระเยซู ผู้รับใช้คริสเตียนสมัยปัจจุบันอาจใช้อุทาหรณ์ที่มีชีวิตชีวาเพื่อถ่ายทอดข่าวสารของพวกเขาและเข้าถึงหัวใจ