จงให้พระพาหุถาวรของพระยะโฮวาประคองคุณไว้
“พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ เป็นที่อาศัยของเจ้า และพระหัตถ์อันถาวรเป็นนิตย์ของพระองค์ก็รับรองเจ้าอยู่.”—พระบัญญัติ 33:27.
1, 2. เหตุใดไพร่พลของพระยะโฮวาจะมั่นใจได้ในการสงเคราะห์ของพระองค์?
พระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัยในไพร่พลของพระองค์. เช่นในระหว่างที่พวกยิศราเอลประสบความทุกข์เดือดร้อนทุกครั้ง “พระองค์ทรงทุกข์พระทัย”! ด้วยความรักและความเมตตาสงสาร พระองค์ “ทรงยกเขาขึ้นและหอบเขาไป.” (ยะซายา 63:7-9, ฉบับแปลใหม่) ฉะนั้น ถ้าเราสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เราย่อมมั่นใจได้ในเรื่องการสงเคราะห์จากพระองค์.
2 ผู้พยากรณ์โมเซกล่าวว่า “พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์เป็นที่อาศัยของเจ้า และพระหัตถ์อันถาวรเป็นนิตย์ของพระองค์ก็รับรองเจ้าอยู่.” (พระบัญญัติ 33:27) ฉบับแปลอีกเล่มหนึ่งบอกอย่างนี้ “พระเจ้าผู้ดำรงเป็นนิตย์ เป็นที่อาศัยของท่าน และพระกรนิรันดร์รับรองท่านอยู่.” (ฉบับแปลใหม่) ทว่า พระหัตถ์ [แขน] ของพระเจ้าประคองผู้รับใช้ของพระองค์โดยวิธีใด?
ไฉนจึงมีความทุกข์ลำบากมากมาย?
3. มนุษยชาติที่เชื่อฟังจะได้รับ “เสรีภาพอันรุ่งโรจน์แห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า” อย่างเต็มที่นั้นเมื่อไร?
3 การรับใช้พระยะโฮวาหาได้ปกป้องเราให้พ้นจากความยากลำบากอันเป็นสิ่งปกติสำหรับมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ไม่. โยบผู้รับใช้ของพระเจ้าบอกว่า “อันมนุษย์ซึ่งเกิดจากเพศหญิงย่อมมีแต่วันเวลาน้อยนัก และประกอบไปด้วยความทุกข์ลำบาก.” (โยบ 14:1) เกี่ยวกับ “ชั่วอายุของข้าพเจ้า” ท่านผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญกล่าวว่า “กำลังที่อวดนั้นย่อมประกอบได้ด้วยการลำบากและความทุกข์.” (บทเพลงสรรเสริญ 90:10) ชีวิตจะเป็นแบบนั้นกระทั่ง ‘สรรพสิ่งของรอดพ้นจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลายและเข้าในเสรีภาพอันรุ่งโรจน์แห่งเหล่าบุตรของพระเจ้า.’ (โรม 8:19-22) สิ่งนี้จะบังเกิดขึ้นในรัชสมัยพันปีของพระคริสต์. ตอนนั้น มนุษย์ภายใต้อำนาจปกครองแห่งราชอาณาจักรจะประสบการช่วยให้รอดพ้นบาปและความตายโดยอาศัยเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซู. พอสิ้นรัชสมัยพันปี พระคริสต์และพวกกษัตริย์-ปุโรหิตซึ่งสมทบกับพระองค์ จะได้ช่วยมนุษยชาติที่เชื่อฟังบรรลุความสมบูรณ์ และคนเหล่านั้นที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าตลอดช่วงทดลองครั้งสุดท้ายโดยซาตานกับพวกปีศาจบริวารนั้น ก็จะมีชื่อของเขาบันทึกไว้อย่างถาวรในม้วนหนังสือแห่งชีวิต. (วิวรณ์ 20:12-15) ครั้นแล้ว เขาจะได้รับเสรีภาพอันรุ่งโรจน์แห่งบุตรของพระเจ้าอย่างเต็มที่.
4. แทนการคร่ำครวญเรื่องความเป็นไปของชีวิต เราน่าจะทำประการใด?
4 ในระหว่างเวลานั้น แทนการพร่ำบ่นถึงสภาพแวดล้อมและความเป็นไปในชีวิตของเรา ขอให้เราวางใจในพระยะโฮวา. (1 ซามูเอล 12:22; ยูดา 16) อนึ่ง ขอให้เราขอบพระคุณพระเยซูคริสต์มหาปุโรหิตผู้ซึ่งเปิดทางให้เราสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ “เพื่อเราจะได้รับความเมตตาและประสบพระกรุณาอันไม่พึงได้รับมาช่วยในเวลาอันควร.” (เฮ็บราย 4:14-16, ล.ม.) อย่าให้เราเป็นเหมือนอาดาม. ตามจริงแล้ว อาดามกล่าวโทษพระยะโฮวาว่าได้ประทานภรรยาไม่ดีแก่ตน ดังนี้: “หญิงที่พระองค์ ประทานให้อยู่กินกับข้าพเจ้านั้นส่งผลไม้นั้นให้ข้าพเจ้า ๆ จึงรับประทาน.” (เยเนซิศ 3:12) พระเจ้าประทานแต่สิ่งดี ๆ และไม่ได้นำความลำบากมาสู่เราแต่ประการใด. (มัดธาย 5:45; ยาโกโบ 1:17) ความลำบากยากแค้นมักจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากตัวเราเองขาดสติปัญญาหรือเป็นเพราะความผิดพลาดของคนอื่น. ความลำบากอาจตกอยู่กับเราเพราะเราเป็นคนมีบาป และอยู่ในโลกซึ่งทอดตัวอยู่ในอำนาจของซาตาน. (สุภาษิต 19:3; 1 โยฮัน 5:19) กระนั้น แขนถาวรเป็นนิตย์ของพระยะโฮวาก็ทรงประคองผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์อยู่เสมอ ผู้ซึ่งวางใจในพระองค์พร้อมด้วยการอธิษฐานและโดยส่วนตัวปฏิบัติตามคำแนะนำจากพระวจนะของพระองค์.—บทเพลงสรรเสริญ 37:5; 119:105.
ได้รับการค้ำจุนในยามเจ็บป่วย
5. คนเจ็บป่วยจะรับการชูใจอย่างไรจากบทเพลงสรรเสริญ 41:1-3?
5 ความเจ็บป่วยเป็นเหตุให้พวกเราส่วนใหญ่เป็นทุกข์บางครั้งบางคราว. กระนั้น ดาวิดกล่าวว่า “ผู้ใดที่ใส่ใจในพวกคนจนก็เป็นสุข พระยะโฮวาจะทรงช่วยผู้นั้นพ้นในวันร้าย. พระยะโฮวาจะทรงรักษาเขาไว้ให้เขาคงชีพอยู่. เขาจะยอมรับพรบนแผ่นดิน และขอพระองค์อย่าทรงมอบเขาไว้ตามใจพวกศัตรู. เมื่อเป็นไข้นอนอยู่บนเตียง พระยะโฮวาจะทรงอุปถัมภ์เขาไว้ เมื่อเขาป่วยอยู่นั้นพระองค์จะทรงจัดเตียงนอนของเขา.”—บทเพลงสรรเสริญ 41:1-3.
6, 7. โดยวิธีใดพระเจ้าทรงช่วยดาวิดเมื่อท่านนอนป่วย และเรื่องนี้อาจชูใจผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในทุกวันนี้ได้อย่างไร?
6 คนที่คำนึงถึงผู้อื่นย่อมช่วยคนขัดสน. “วันร้าย” อาจเป็นสภาพใด ๆ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ร้ายกาจชั่วคราว หรืออาจเป็นความลำบากที่ยืดเยื้อซึ่งทำให้คนเราอ่อนเปลี้ยอิดโรย. เขาวางใจในพระเจ้าที่จะคุ้มครองเขาระหว่างนอนเจ็บ และคนอื่น ๆ ‘จะเรียกเขาว่า ผู้ได้รับพระพรบนแผ่นดิน’ โดยการแพร่ข่าวที่พระยะโฮวาทรงมีเมตตาคุณกับเขา. พระเจ้าทรงให้การค้ำจุนแก่ดาวิด “เมื่อเป็นไข้นอนอยู่บนเตียง” บางทีอาจอยู่ในช่วงที่ถูกกดดันเมื่ออับซาโลมราชบุตรของดาวิดพยายามชิงบัลลังก์แก่ยิศราเอล.—2 ซามูเอล 15:1-6.
7 เนื่องจากดาวิดเคยแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้ต่ำต้อย ท่านจึงสำนึกว่า พระเจ้าคงจะค้ำจุนท่านขณะนอนป่วยไม่มีเรี่ยวแรง. (บทเพลงสรรเสริญ 18:24-26) แม้อาการหนักถึงเป็นถึงตาย ท่านก็มั่นใจว่าพระเจ้า ‘จะทรงจัดเตียงนอนของท่าน’ ไม่ใช่โดยการอัศจรรย์จะทำให้หายป่วย แต่โดยการเสริมกำลังให้เข้มแข็งด้วยความนึกคิดที่ปลอบประโลมใจ. เสมือนหนึ่งพระยะโฮวาทรงสับเปลี่ยนเตียงที่ท่านนอนป่วยอยู่ให้กลายเป็นเตียงพักฟื้น. ในทำนองคล้าย ๆ กัน ถ้าเราในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้าเจ็บป่วย แขนอันถาวรเป็นนิตย์ของพระยะโฮวาจะทรงประคองเราไว้.
ความปลอบโยนแก่คนซึมเศร้า
8. คริสเตียนคนหนึ่งซึ่งนอนป่วยได้แสดงให้เห็นอย่างไรว่าเขาหมายพึ่งพระเจ้า?
8 ความเจ็บป่วยอาจก่อให้เกิดความซึมเศร้า. ชายคริสเตียนที่ป่วยหนัก ผู้ซึ่งบางครั้งอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะอ่านหนังสือเสียด้วยซ้ำ เล่าว่า “สิ่งนี้ทำให้ผมประสบกับอารมณ์ซึมเศร้า, ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า และถึงกับร้องไห้มากมาย.” โดยรู้อยู่ว่าซาตานต้องการบดขยี้เขาด้วยความรู้สึกท้อแท้ เขาจึงต่อสู้โดยสำนึกว่าด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาเขาจะอดทนได้. (ยาโกโบ 4:7) ผู้ชายคนนี้เป็นแหล่งให้การหนุนใจแก่ผู้อื่นซึ่งรู้ว่าเขาวางใจในพระเจ้า. (บทเพลงสรรเสริญ 29:11) แม้ในตอนที่เข้านอนป่วยในโรงพยาบาล เขายังโทรศัพท์คุยกับคนที่เจ็บป่วย และคนอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างคนเหล่านั้นทางด้านวิญญาณ. ตัวเขาเองก็รับการเสริมสร้างเช่นกันโดยการฟังเพลงราชอาณาจักรและบทความต่าง ๆ ที่พิมพ์ในวารสารนี้และวารสารตื่นเถิด จากแถบบันทึกเสียง รวมทั้งการติดต่อคบหากับเพื่อนคริสเตียนด้วยกัน. พี่น้องคนนี้พูดว่า “ผมสนทนาเป็นประจำกับพระยะโฮวาด้วยการอธิษฐาน ทูลขอพระองค์ประทานกำลังแก่ผม ทั้งการชี้นำ คำปลอบโยนและการช่วยเหลือให้อดทนได้.” ถ้าคุณเป็นคริสเตียนที่กำลังประสบปัญหารุนแรงด้านสุขภาพ จงวางใจในพระยะโฮวาเสมอและพึ่งแขนอันถาวรของพระยะโฮวาที่จะประคองคุณไว้.
9. ตัวอย่างอะไรแสดงว่าบางครั้งคนที่เกรงกลัวพระเจ้าประสบกับความซึมเศร้า?
9 ความซึมเศร้าเป็นปัญหาเก่าแก่. ขณะที่โยบตกอยู่ภายใต้การทดลอง ท่านพูดเหมือนคนที่รู้สึกถูกพระเจ้าทอดทิ้ง. (โยบ 29:2-5) นะเฮมยารู้สึกเศร้าหมองเนื่องจากห่วงใยสภาพเริศร้างหักพังของกรุงยะรูซาเลมและกำแพงเมือง และเปโตรก็รู้สึกหดหู่ใจเมื่อได้ปฏิเสธพระคริสต์ถึงขนาดท่านร้องไห้ด้วยความขมขื่นใจ. (นะเฮมยา 2:1-8; ลูกา 22:62) เอปาฟะโรดีโตก็ระทมทุกข์เพราะพี่น้องคริสเตียนในเมืองฟิลิปปอยได้ยินข่าวการล้มป่วยของเขา. (ฟิลิปปอย 2:25, 26) ความซึมเศร้าเคยเกิดขึ้นกับคริสเตียนบางคนในเมืองเธซะโลนิเก เพราะเปาโลได้เตือนพี่น้องที่นั่นให้ “หนุนน้ำใจผู้ที่ท้อใจ.” (1 เธซะโลนิเก 5:14) ฉะนั้น พระเจ้าทรงสงเคราะห์บุคคลดังกล่าวโดยวิธีใด?
10. อะไรอาจจะช่วยได้เมื่อพยายามสู้กับความซึมเศร้า?
10 จะต้องตัดสินใจเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับวิธีการบำบัดรักษาโรคซึมเศร้าชนิดรุนแรง.a (ฆะลาเตีย 6:5) การพักผ่อนให้พอเพียงและการทำกิจกรรมที่สมดุลอาจช่วยได้. แทนที่จะมองปัญหาหลาย ๆ อย่างพร้อมกันเสมือนว่าเป็นปัญหาใหญ่ ผู้ที่หดหู่ใจอาจประสบว่าเป็นประโยชน์ที่จะพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านั้นทีละเปลาะ. การปลอบโยนจากพวกผู้ปกครองในประชาคมอาจเป็นประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าปัญหาทางอารมณ์ที่กล่าวมานี้มีผลกระทบต่อสภาพฝ่ายวิญญาณ. (ยาโกโบ 5:13-15) ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่พึงวางใจหมายพึ่งพระยะโฮวา ‘ฝากความกระวนกระวายทุกอย่างไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงห่วงใยพวกเรา.’ การอธิษฐานอย่างไม่ลดละและจากใจจริงย่อมนำมาซึ่ง ‘สันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งจะคุ้มครองหัวใจและความสามารถในการคิดโดยพระเยซูคริสต์.’—1 เปโตร 5:6-11; ฟิลิปปอย 4:6, 7, ล.ม.
พระยะโฮวาทรงช่วยเราทนทานความเศร้าโศก
11-13. อะไรสามารถจะช่วยผ่อนคลายความโศกเศร้าได้เมื่อคนที่เรารักเสียชีวิต?
11 ประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งอันเป็นสาเหตุของใจห่อเหี่ยวนั้นได้แก่การเสียชีวิตของบุคคลที่เรารัก. อับราฮามเศร้าโศกในการตายของซาราผู้เป็นภรรยา. (เยเนซิศ 23:2) คราวที่อับซาโลมราชบุตรสิ้นชีพ ดาวิดทรงเป็นทุกข์โทมนัสมาก. (2 ซามูเอล 18:33) แม้พระเยซูมนุษย์สมบูรณ์ก็ยัง “ทรงกันแสง” เมื่อลาซะโรสหายของพระองค์ตายไป! (โยฮัน 11:35) ดังนั้น จึงมีความเศร้าเสียใจในยามที่ความตายเกิดแก่บุคคลอันเป็นที่รัก. แต่อะไรล่ะจะช่วยบรรเทาความเศร้าเสียใจดังกล่าว?
12 พระเจ้าทรงช่วยไพร่พลของพระองค์ทนทานความโศกเศร้าอย่างสุดประมาณสืบเนื่องจากการตาย. พระวจนะของพระองค์บอกว่าจะมีการปลุกขึ้นจากตาย. ดังนั้น เราจึงไม่ “เป็นทุกข์โศกเศร้าเหมือนอย่างคนอื่นที่ไม่มีหวัง.” (1 เธซะโลนิเก 4:13; กิจการ 24:15) พระวิญญาณของพระยะโฮวาช่วยเราให้มีสันติสุขและความเชื่อ ทั้งจะคิดรำพึงถึงอนาคตอันวิเศษดังสัญญาไว้ในพระวจนะของพระองค์ เพื่อการคิดถึงคนรักซึ่งตายจากไปอันทำให้เศร้าใจนั้นไม่ทำให้มือไม้อ่อนไปหมด. อนึ่ง คำปลอบใจย่อมได้มาจากการอ่านพระคัมภีร์และการอธิษฐานขอจาก “พระเจ้าผู้ทรงชูใจทุกอย่าง.”—2 โกรินโธ 1:3, 4; บทเพลงสรรเสริญ 68:4-6.
13 พวกเราสามารถได้รับการปลอบประโลมจากความหวังว่าด้วยการเป็นขึ้นจากตาย เช่นเดียวกันกับโยบซึ่งเปล่งเสียงว่า “โอ้หากว่าพระองค์ [ยะโฮวา] จะทรงซ่อนข้าฯ ไว้ในหลุมฝังศพ จะทรงเก็บข้าฯ ไว้ในที่เร้นลับจนกว่าพระพิโรธของพระองค์จะหมดสิ้นไป โดยทรงมีเวลากำหนดไว้สำหรับข้าฯ แล้วจะทรงระลึกถึงข้าฯ อีกทีก็จะดี! ถ้ามนุษย์ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาอีกหรือ? ถ้าเป็นได้ข้าฯ สมัครใจคอยตลอดเวลากำหนด จนกว่าจะทรงปล่อยข้าฯ ออกมา. พระองค์จะทรงเรียก และข้าฯ จะทูลตอบ และพระองค์จะทรงพอพระทัยในหัตถกรรมของพระองค์.” (โยบ 14:13-15) ความเศร้าโศกนักหนาเช่นนั้นปกติแล้วไม่ค่อยจะเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนเกลอเดินทางไป เพราะเราคาดหมายจะพบเขาอีก. ความเศร้าโศกอันลึกซึ้งซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการตายของผู้เป็นที่รักอาจลดน้อยลงถ้าเราถือว่าการตายของคริสเตียนผู้ซื่อสัตย์เป็นในทำนองนั้น. ถ้าเขามีความหวังจะอยู่บนแผ่นดินโลก เขาจะถูกปลุกขึ้นจากตายและอยู่บนแผ่นดินในช่วงรัชกาลพันปีแห่งการปกครองของพระคริสต์. (โยฮัน 5:28, 29; วิวรณ์ 20:11-13) และถ้าเราหวังจะอยู่บนแผ่นดินโลกตลอดไป เราอาจจะอยู่ต้อนรับบุคคลที่เรารักซึ่งได้รับการปลุกขึ้นจากตาย.
14. คริสเตียนแม่ม่ายสองคนรับมือกับการตายของสามีโดยวิธีใด?
14 หลังจากสามีของเธอตาย พี่น้องหญิงคนหนึ่งทราบดีว่าเธอต้องใช้ชีวิตทำงานรับใช้พระเจ้าต่อ ๆ ไป. นอกจากหมกมุ่นกับการงาน ‘ขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา’ แล้ว เธอได้นำเอาเศษผ้า 800 ชิ้นมาเย็บต่อกันทำเป็นผ้าห่ม. (1 โกรินโธ 15:58) เธอพูดว่า “งานนี้เป็นโครงการที่ดี เพราะตลอดเวลาที่ดิฉันทำงานชิ้นนี้ ดิฉันได้ฟังเพลงราชอาณาจักร และฟังเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์ไบเบิลจากแถบบันทึกเสียง ซึ่งทำให้ความคิดจิตใจไม่ว่างเปล่า.” เธอคิดทบทวนอย่างพอใจถึงการเยี่ยมของผู้ปกครองกับภรรยาซึ่งผ่านประสบการณ์มามาก. ผู้ปกครองได้ชี้ให้เธอเห็นจากพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าทรงเอาใจใส่แม่ม่าย. (ยาโกโบ 1:27) สตรีคริสเตียนอีกคนหนึ่งไม่ได้คิดสงสารตัวเองเมื่อสามีของเธอตายจากไป. เธอหยั่งรู้ค่าการเกื้อหนุนจากบรรดามิตรสหายและเธอให้ความสนใจต่อผู้อื่นมากยิ่งขึ้น. เธอบอกว่า “ดิฉันอธิษฐานบ่อย ๆ กว่าแต่ก่อน และได้พัฒนาสัมพันธภาพอันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับพระยะโฮวา.” นับว่าเป็นพระพรเสียจริง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากแขนอันถาวรของพระเจ้า!
ความช่วยเหลือเมื่อเราพลาดพลั้ง
15. อะไรคือแก่นสารแห่งถ้อยคำของดาวิดในบทเพลงสรรเสริญ 19:7-13?
15 ถึงแม้เรารักกฎหมายของพระยะโฮวา แต่เราพลาดพลั้งเป็นครั้งคราว. ไม่สงสัยว่าการเช่นนี้ทำให้เราเป็นทุกข์เช่นกับที่เกิดขึ้นกับดาวิด ผู้ซึ่งถือว่ากฎหมาย ข้อเตือนใจ คำสั่ง และการพิจารณาตัดสินของพระเจ้าล้วนเป็นสิ่งน่าปรารถนายิ่งกว่าทองคำ. ท่านกล่าวดังนี้: “ข้อความเหล่านั้นเป็นที่ตักเตือนผู้รับใช้ของพระองค์ การรักษาข้อความเหล่านั้นไว้จะมีบำเหน็จเป็นอันมาก. ความผิดพลั้งของตน ใครอาจจะรู้ได้? ขอพระองค์ทรงโปรดชำระข้าพเจ้าให้พ้นจากความผิดอันลับลี้. อนึ่ง ขอทรงยึดหน่วงผู้ทาสของพระองค์ไว้ให้พ้นจากการผิดโดยประมาท [โดยพลการ, ล.ม.] อย่าให้ความผิดนั้นครอบงำข้าพเจ้าไว้เลย. ข้าพเจ้าจึงจะปราศจากบาป และพ้นจากการล่วงละเมิดอันใหญ่.” (บทเพลงสรรเสริญ 19:7-13) ขอให้เราวิเคราะห์ถ้อยคำเหล่านี้.
16. ทำไมเราจึงควรหลีกเลี่ยงการกระทำโดยพลการ?
16 การกระทำโดยพลการเป็นความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าการพลาดพลั้ง. ซาอูลถูกทอดทิ้งและถูกถอดจากตำแหน่งกษัตริย์เพราะการบังอาจถวายเครื่องบูชาโดยพลการและได้ไว้ชีวิตอะฆาฆ กษัตริย์ชาติอะมาเล็ค และเก็บทรัพย์เชลยที่เป็นของวิเศษไว้ ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าทรงบัญชาสั่งแล้วว่าต้องทำลายชาวอะมาเล็คทั้งสิ้น. (1 ซามูเอล 13:8-14; 15:8-19) กษัตริย์อุซียาต้องกลายเป็นคนโรคเรื้อนก็เพราะได้ล่วงเกินหน้าที่ปุโรหิตโดยพลการ. (2 โครนิกา 26:16-21) เมื่อหีบแห่งคำสัญญาไมตรีถูกนำไปยังกรุงยะรูซาเลม และโคที่ลากเกวียนเกือบทำให้หีบนั้นพลิกคว่ำ พระยะโฮวาได้สังหารอุซาเพราะเขาได้เอื้อมมือจับหีบเพื่อให้อยู่คงที่อย่างขาดความเคารพ. (2 ซามูเอล 6:6, 7) ฉะนั้น ถ้าเราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรหรือไม่รู้ว่าเรามีสิทธิ์ให้ทำบางอย่างหรือไม่ เราควรแสดงความถ่อมและควรปรึกษาขอคำแนะนำจากบุคคลที่มีความเข้าใจ. (สุภาษิต 11:2; 13:10) แน่ละ ถ้าเราเคยเป็นคนอวดดี เราควรอธิษฐานขอรับการอภัยและทูลขอพระเจ้าช่วยเราระมัดระวังไม่ให้ทำอะไรโดยพลการในวันข้างหน้า.
17. คนที่ปกปิดบาปของตนได้รับผลกระทบอย่างไร แต่จะรับการให้อภัยและการบรรเทาโดยวิธีใด?
17 บาปที่ถูกปกปิดไว้อาจทำให้เป็นทุกข์ได้. ตามที่กล่าวในบทเพลงสรรเสริญ 32:1-5 ดาวิดพยายามปกปิดบาปของตน แต่ท่านบอกว่า “ครั้นข้าพเจ้านิ่งอยู่ กระดูกก็เหี่ยวแห้งไปโดยข้าพเจ้าครางอยู่ตลอดวัน. พระหัตถ์ของพระองค์ทรงพาดลงถ่วงข้าพเจ้าทั้งกลางวันกลางคืน. อาโปธาตุของข้าพเจ้าแห้งไปดุจหน้าแล้งในฤดูร้อน.” ความพยายามเก็บกดสติรู้สึกผิดชอบที่ผิดกลับทำให้ดาวิดละเหี่ยใจ และความวิตกกังวลได้ทำให้กำลังวังชาของท่านอ่อนล้าไปเหมือนต้นไม้ขาดน้ำหล่อเลี้ยงในยามแห้งแล้งหรือสภาวะอากาศที่ร้อนระอุแห่งฤดูร้อน. ดูเหมือนว่าท่านรับผลร้ายทั้งทางจิตใจ และทางกาย และสูญเสียความยินดีเนื่องจากไม่ได้สารภาพผิด. เฉพาะการสารภาพผิดต่อพระเจ้าเท่านั้นจะนำมาซึ่งการอภัยบาปและการปลดเปลื้อง. ดาวิดกล่าวว่า “ความสุขย่อมมีแก่ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดยกการล่วงละเมิดและได้ทรงกลบเกลื่อนความบาปของเขาไว้แล้ว. . . . บาปของข้าพเจ้า ๆ ทูลรับสารภาพต่อพระองค์ และไม่ได้ปิดบังซ่อนการอสัตย์อธรรมของข้าพเจ้าไว้. ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ‘การล่วงละเมิดนั้นข้าพเจ้าจะรับสารภาพต่อพระยะโฮวา.’ และพระองค์ได้ทรงโปรดยกความอสัตย์อธรรมของข้าพเจ้าเสีย.” การช่วยเหลือด้วยความรักจากคริสเตียนผู้ปกครองสามารถช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวฝ่ายวิญญาณได้.—สุภาษิต 28:13; ยาโกโบ 5:13-20.
18. มีหลักฐานอะไรแสดงว่าผลกระทบของบาปนั้นอาจยืนนานหลายปี แต่อะไรอาจเป็นแหล่งให้การปลอบโยนภายใต้สภาพการณ์ดังกล่าว?
18 บาปอาจมีผลกระทบระยะยาว. เคยเป็นเช่นนั้นกับดาวิดผู้ซึ่งกระทำผิดประเวณีกับนางบัธเซบะ แล้ววางอุบายสังหารสามีของนาง และได้สมรสกับแม่ม่ายที่ตั้งครรภ์. (2 ซามูเอล 11:1-27) ถึงแม้นพระเจ้าทรงแสดงความเมตตาเนื่องด้วยคำสัญญาไมตรีเกี่ยวกับราชอาณาจักร การสำนึกผิดกลับใจของดาวิด และการที่ท่านปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา กระนั้น ดาวิดยังได้ประสบ ‘ความชั่วร้ายจากวงศ์ของตนเอง.’ (2 ซามูเอล 12:1-12) ทารกที่เกิดจากการผิดประเวณีได้ตายไป. อำโนนราชบุตรของดาวิดได้ข่มขืนธามาร์น้องสาวต่างมารดาแล้วถูกฆ่าตามบัญชาของอับซาโลมพระเชษฐาของเธอ. (2 ซามูเอล 12:15-23; 13:1-33) อับซาโลมทำให้ดาวิดอับอายอดสู โดยที่เขาร่วมประเวณีกับพระสนมของดาวิด. อับซาโลมพยายามแย่งราชสมบัติแต่ก็ต้องถูกปลงพระชนม์. (2 ซามูเอล 15:1-18:33) บาปมีผลติดตามมา. ตัวอย่างเช่น ผู้กระทำผิดที่ถูกตัดสัมพันธ์อาจกลับใจและถูกรับเข้ามาในประชาคมอีก แต่ก็อาจต้องใช้เวลานานหลายปีที่จะกู้ชื่อเสียงที่ด่างพร้อยและรักษาแผลทางใจอันเนื่องจากบาป. ในระหว่างเวลานั้น เป็นการปลอบโยนเพียงใดที่ทราบว่าพระยะโฮวาทรงโปรดอภัยและทรงประคองพวกเราไว้ด้วยพระพาหุถาวรของพระองค์!
รับการช่วยให้รอดพ้นจากแรงกดดันที่ทับถมพวกเรา
19. พระวิญญาณของพระเจ้าอาจช่วยได้อย่างไรเมื่อเราถูกทดลองอย่างหนักหน่วง?
19 เมื่อเราถูกทดลองอย่างหนักหน่วง เราอาจขาดสติปัญญาและความเข้มแข็งพอที่จะตัดสินใจและปฏิบัติตามที่ได้ตัดสินใจ. ถ้าเป็นเช่นนี้พระวิญญาณของพระเจ้า “ทรงช่วยเราในส่วนที่เราอ่อนกำลังด้วย เพราะว่าเราทั้งหลายไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณจะทรงช่วยขอแทนเราด้วยความคร่ำครวญซึ่งเหลือที่จะอธิบายได้.” (โรม 8:26) ถ้าพระยะโฮวาจะบันดาลให้สภาพการณ์แปรเปลี่ยนไป เราก็น่าจะสำนึกในพระคุณของพระองค์. กระนั้น พระพาหุของพระองค์ก็อาจช่วยเราให้หลุดพ้นด้วยวิธีอื่น. ถ้าเราทูลขอสติปัญญา พระยะโฮวาคงจะแสดงให้เราทราบโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ถึงสิ่งที่พึงกระทำ ทั้งจะทรงประทานกำลังแก่เราที่จะทำอย่างนั้น. (ยาโกโบ 1:5-8) ด้วยการสงเคราะห์ของพระองค์ เราสามารถจะทนได้เมื่อ “ได้รับความทุกข์โศกด้วยการทดลองหลายอย่าง” และผ่านพ้นได้พร้อมกับความเชื่อที่ถูกทดลองแล้ว และเป็นความเชื่อที่รับการเสริมให้เข้มแข็ง.—1 เปโตร 1:6-8, ล.ม.
20. เราจะได้รับอะไรถ้าเรายอมให้แขนอันถาวรของพระยะโฮวาประคองเราไว้?
20 ขอให้พวกเราอย่าเลื่อยล้าในการเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน. กษัตริย์ดาวิดตรัสดังนี้: “ตาของข้าพเจ้าเพ่งดูพระยะโฮวาเสมอ เพราะพระองค์จะทรงนำเท้าของข้าพเจ้าออกจากบ่วงแร้ว. ขอพระองค์ทรงโปรดหันกลับมา ทรงพระเมตตาเถิด ด้วยข้าพเจ้าว้าเหว่และเป็นทุกข์อยู่. ความทุกข์ในใจของข้าพเจ้าทวีมากขึ้นแล้ว ขอพระองค์ทรงโปรดพาข้าพเจ้าออกจากความทุกข์ยากของข้าพเจ้า. ขอทรงพิจารณาดูความทุกข์ยากและความลำบากตรากตรำของข้าพเจ้าและโปรดยกบาปของข้าพเจ้าทั้งสิ้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 25:15-18) พวกเราก็เช่นเดียวกันกับดาวิด เราจะได้รับการช่วยให้รอดพ้น รับความโปรดปราน และการอภัยโทษจากพระเจ้า ถ้าเรายอมให้พระพาหุอันถาวรเป็นนิตย์ของพระยะโฮวาประคองเราไว้.
[เชิงอรรถ]
a ดูบทความว่าด้วยความซึมเศร้าในตื่นเถิด ฉบับ 8 พฤศจิกายน 1987 หน้า 2-20 และ 8 ธันวาคม 1987 หน้า 12-18.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ โดยวิธีใดพระยะโฮวาทรงช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งเจ็บป่วย?
▫ อะไรอาจเป็นประโยชน์เมื่อเราพยายามรับมือกับความซึมเศร้า?
▫ อะไรจะช่วยได้เพื่อบรรเทาความเศร้าโศกเนื่องจากการเสียชีวิตของคนที่เรารัก?
▫ คนที่ปกปิดการบาปของตนจะได้รับการบรรเทาโดยวิธีใด?
▫ มีการช่วยเหลืออะไรเมื่อไพร่พลของพระยะโฮวาได้รับการทดลองอย่างหนักหน่วง?
[รูปภาพหน้า 16, 17]
เราอาจได้รับการปลอบโยนจากความหวังเกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตายอย่างโยบผู้เกรงกลัวพระเจ้าเคยได้รับ