การหลุดพ้นจากศาสนาเท็จ
“พระยะโฮวาตรัสว่า ‘เหตุฉะนั้น จงออกมาจากท่ามกลางพวกเขา . . . และเลิกแตะต้องสิ่งที่เป็นมลทิน’, ‘และเราจะรับเจ้าทั้งหลายไว้.’”—2 โกรินโธ 6: 17, ล.ม.
1. ซาตานพยายามดำเนินการเช่นไรกับพระเยซู และข้อเสนอนั้นสอนข้อเท็จจริงสองประการอะไรแก่เรา?
“ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน.” แม้นข้อเสนอนี้มีขึ้นภายหลังการเริ่มต้นของศาสนาเท็จผ่านไปหลายพันปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจว่าใครอยู่เบื้องหลังการนมัสการเท็จและอะไรคือจุดมุ่งหมายของการนมัสการเท็จนั้น. ในตอนท้ายของปีสากลศักราช 29 พญามารได้เสนออาณาจักรทั้งปวงในโลกแก่พระเยซูแลกกับการนมัสการครั้งเดียว. เรื่องนี้ทำให้เรารู้สองอย่าง: อาณาจักรทั้งสิ้นของโลกนี้เป็นของซาตานที่จะมอบให้ได้และเป้าหมายหลักของศาสนาเท็จคือการนมัสการพญามาร.—มัดธาย 4:8, 9, ฉบับแปลใหม่.
2. เราเรียนอะไรจากถ้อยคำของพระเยซูที่มัดธาย 4:10?
2 โดยการตอบของพระเยซู พระองค์ไม่เพียงแต่ปฏิเสธศาสนาเท็จแต่ทรงชี้ให้เห็นสิ่งที่รวมอยู่ในศาสนาแท้ด้วย. พระองค์ทรงแถลงดังนี้: “อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น! เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘พระยะโฮวาพระเจ้านั้นแหละที่เจ้าต้องนมัสการ และแด่พระองค์ผู้เดียวที่เจ้าต้องถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์.’” (มัดธาย 4:10, ล.ม.) เหตุฉะนั้น เป้าหมายของศาสนาแท้คือการนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว. ศาสนาแท้รวมถึงความเชื่อและการเชื่อฟัง การทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา.
ที่มาของศาสนาเท็จ
3. (ก) ศาสนาเท็จเริ่มขึ้นบนแผ่นดินโลกเมื่อไรและอย่างไร? (ข) การไม่ยอมผ่อนปรนด้านศาสนาตามบันทึกแรกทีเดียวได้แก่อะไร และตั้งแต่เวลานั้นมาการกดขี่ทางศาสนาได้ดำเนินต่อไปอย่างไร?
3 ศาสนาเท็จเริ่มขึ้นในโลกเมื่อมนุษย์คู่แรกไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้าแล้วรับเอาข้อเสนอของงูที่จะให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเองว่า “ไหนดีไหนชั่ว.” (เยเนซิศ 3:5) ด้วยการกระทำดังกล่าวเขาได้ปฏิเสธพระบรมเดชานุภาพที่ชอบธรรมของพระยะโฮวา และละทิ้งการนมัสการที่เหมาะสมคือศาสนาแท้. พวกเขาเป็นชนรุ่นแรก “ซึ่งได้เอาความจริงของพระเจ้ามาแลกเปลี่ยนกับความเท็จ และได้นมัสการปฏิบัติสิ่งที่ทรงสร้างไว้นั้นแทนที่จะปฏิบัติพระองค์ผู้ทรงสร้าง.” (โรม 1:25) ผู้ที่มนุษย์เลือกนมัสการโดยไม่รู้ตัวนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นซาตานพญามาร “งูตัวแรกเดิม.” (วิวรณ์ 12:9) คายินบุตรหัวปีของเขาไม่ยอมปฏิบัติตามคำแนะนำที่กรุณาของพระยะโฮวา ดังนั้น เขาจึงขัดขืนพระบรมเดชานุภาพของพระองค์. ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม คายินจึงกลายเป็น “ผู้ที่มาจากมาร” และเป็นผู้ปฏิบัตินมัสการพญามาร. คายินได้ฆ่าเฮเบลน้องชายตัวเองซึ่งปฏิบัติการนมัสการแท้ ศาสนาแท้. (1 โยฮัน 3:12; เยเนซิศ 4:3-8; เฮ็บราย 11:4) โลหิตของเฮเบลเป็นโลหิตแรกที่หลั่งออกเนื่องจากการไม่ยอมผ่อนปรนทางศาสนา. เป็นเรื่องเศร้า ศาสนาเท็จเป็นต้นเหตุทำให้โลหิตอันปราศจากผิดต้องตกอยู่เรื่อยมากระทั่งถึงปัจจุบัน.—ดูมัดธาย 23:29-35; 24:3, 9.
4. ในกรณีของโนฮา คัมภีร์ข้อไหนให้ตัวอย่างประกอบแสดงลักษณะศาสนาแท้?
4 ก่อนสมัยน้ำท่วมโลก ซาตานได้ชักนำมนุษย์ส่วนใหญ่ออกไปจากศาสนาแท้ได้สำเร็จ. แต่โนฮา “เป็นที่โปรดปรานในคลองพระเนตรพระยะโฮวา.” เพราะเหตุใด? เพราะท่าน “ได้ดำเนินกับพระเจ้า.” กล่าวอีกนัยหนึ่ง ท่านได้ปฏิบัติการนมัสการแท้. ศาสนาแท้ไม่ใช่พิธีกรรมหรือการประกอบพิธีทางศาสนา แต่เป็นแนวทางแห่งการดำเนินชีวิต. ศาสนาแท้เกี่ยวข้องกับการมีความเชื่อในพระยะโฮวาและปฏิบัติพระองค์ด้วยความอ่อนน้อมเชื่อฟัง ‘เดินไปกับพระองค์.’ โนฮาทำอย่างนั้น.—เยเนซิศ 6:8, 9, 22; 7:1; เฮ็บราย 11:6, 7.
5. (ก) พญามารพยายามก่อตั้งอะไรขึ้นภายหลังน้ำท่วมโลก และโดยวิธีใด? (ข) พระยะโฮวาได้ทรงขัดขวางแผนการของพญามารโดยวิธีใด และผลเป็นอย่างไร?
5 ไม่นานภายหลังน้ำท่วมโลก ปรากฏว่าพญามารได้ใช้นิมโรดบุรุษผู้โด่งดังเนื่องจาก ‘ต่อต้านขัดขวางพระยะโฮวา’ ด้วยความพยายามจะรวมมนุษยชาติเป็นหนึ่งเดียวกันในแบบแผนการนมัสการซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านพระยะโฮวาเช่นกัน. (เยเนซิศ 10:8, 9; 11:2-4) มันคงจะเป็นสหศาสนาเท็จรวมตัวเป็นหนึ่งและนมัสการพญามารเป็นเอกฉันท์ มีศูนย์กลางที่นครและหอสูงซึ่งพวกผู้นมัสการพญามารสร้างขึ้น. พระยะโฮวาได้ทรงขัดขวางแผนนี้โดยบันดาลให้ “ภาษาอย่างเดียวกัน” ซึ่งมนุษย์ทั้งโลกพูดกันในสมัยนั้นสับสนไป. (เยเนซิศ 11:5-9) ดังนั้น เมืองใหญ่และหอสูงแห่งนั้นมีชื่อเรียกว่าบาเบล และในเวลาต่อมาเรียกว่าบาบูโลน สองชื่อนี้หมายถึง “ความวุ่นวาย.” ความสับสนทางภาษาเช่นนี้เองเป็นเหตุให้มนุษยชาติกระจัดกระจายไปทั่วโลก.
6. (ก) แนวความคิดทางศาสนาแบบไหนได้ถูกปลูกฝังไว้ในจิตใจของผู้คนที่นมัสการซาตานที่บาบูโลนก่อนพวกเขากระจัดกระจายไป? (ข) ทำไมศาสนาต่าง ๆ ทั่วโลกมีคำสอนคล้าย ๆ กัน? (ค) บาบูโลนปฏิบัติเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายอะไรอันเป็นแบบซาตาน และเมืองเก่าแก่นั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใด?
6 แต่ดูเหมือนว่าโดยอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับเทพนิยายและศาสนา ก่อนพระยะโฮวาบันดาลให้มนุษย์กระจัดกระจายไปนั้น ซาตานได้เพาะหลักการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จเข้าไว้ในจิตใจของผู้คนที่นมัสการตัวเขา. หลักเหล่านี้รวมไปถึงความเข้าใจทางศาสนาที่ว่าหลังจากตายจิตวิญญาณยังมีชีวิตอยู่, การกลัวคนตาย, การมียมโลกที่น่าสยดสยอง, รวมทั้งการนมัสการเทพเจ้าและเทพธิดามากมายจนนับไม่ถ้วน, บ้างก็จัดกลุ่มเป็นคณะสามบุคคล. ความเชื่อถือดังกล่าวถูกนำไปทั่วทุกหัวระแหงโดยกลุ่มผู้พูดภาษาต่าง ๆ กัน. ครั้นกาลเวลาล่วงไป ความคิดเห็นพื้นฐานเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไป. แต่ส่วนใหญ่แล้ว ความคิดพื้นฐานเหล่านี้วางรูปองค์ประกอบศาสนาเท็จไว้ในทุกส่วนของโลก. ถึงแม้ความพยายามของซาตานจะสรรค์สร้างศาสนาเท็จให้เป็นหนึ่งเดียวพร้อมกับมีเมืองหลวงของโลกอยู่ที่บาบูโลนเช่นนั้นถูกขัดขวางไปแล้วก็ตาม ซาตานก็พอใจกับศาสนาเท็จในรูปแบบหลากหลาย ซึ่งได้รับแรงดลใจจากบาบูโลนและมีแบบแผนจะเบี่ยงเบนการนมัสการจากพระยะโฮวามาไว้ถึงตัวมันเอง. บาบูโลนยังคงเป็นศูนย์รวมอันมีอิทธิพลตลอดหลายศตวรรษทั้งในด้านบูชารูปเคารพ, เวทมนตร์, การทำเสน่ห์, และโหราศาสตร์—ล้วนแต่เป็นองค์ประกอบสำคัญของศาสนาเท็จทั้งสิ้น. ไม่น่าประหลาดใจ พระธรรมวิวรณ์ให้ภาพสัญลักษณ์จักรภพโลกแห่งศาสนาเท็จว่าเป็นหญิงแพศยาโสมม มีชื่อว่า บาบูโลนใหญ่.—วิวรณ์ 17:1-5.
ศาสนาแท้
7. (ก) ทำไมศาสนาแท้ไม่ได้รับผลกระทบจากความสับสนของภาษา? (ข) ใครเป็นที่รู้จักกันว่า “บิดาของคนทั้งปวงที่มีความเชื่อ” และทำไม?
7 ปรากฏชัดว่าศาสนาแท้ยังดำรงอยู่ไม่ถูกกระทบกระเทือนจากการที่พระยะโฮวาทรงบันดาลให้วิธีการพูดของมนุษยชาติที่หอบาเบลเกิดการสับสน. มีการปฏิบัติศาสนาแท้ก่อนน้ำท่วมโลกโดยมนุษย์ชายหญิงที่ซื่อสัตย์ เป็นต้นว่า เฮเบล, ฮะโนค, โนฮา, ภรรยาโนฮา, และบุตรชายพร้อมด้วยสะใภ้ของโนฮา. ภายหลังน้ำท่วมโลก การนมัสการแท้ได้รับการบำรุงรักษาไว้ในเชื้อวงศ์ของเซมบุตรชายโนฮา. อับราฮาม คนหนึ่งในเชื้อวงศ์ของเซมได้ปฏิบัติศาสนาแท้แล้วได้ชื่อว่าเป็น “บิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ.” (โรม 4:11) ความเชื่อของท่านมีการประพฤติเป็นหลักฐาน. (ยาโกโบ 2:21-23) ศาสนาที่ท่านยึดมั่นนั้นเป็นวิถีชีวิต.
8. (ก) ศาสนาแท้ได้ปะทะกับศาสนาเท็จอย่างไรในศตวรรษที่ 16 ก่อนสากลศักราช และผลเป็นอย่างไร? (ข) พระยะโฮวาทรงเริ่มจัดวิธีการใหม่อะไรขึ้นมาเกี่ยวกับการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระองค์?
8 การนมัสการแท้ยังคงปฏิบัติกันอยู่เรื่อยมาในเชื้อวงศ์ลูกหลานอับราฮาม ได้แก่ ยิศฮาค, ยาโคบ (หรือ, ยิศราเอล), และบุตรชายสิบสองคนของยาโคบ, ซึ่งยิศราเอลสิบสองตระกูลบังเกิดมาจากท่าน. จวนสิ้นศตวรรษที่ 16 ก่อนสากลศักราช ลูกหลานของอับราฮามซึ่งสืบเชื้อสายทางยิศฮาคได้พยายามจะธำรงศาสนาแท้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในแผ่นดินศัตรูชาวนอกรีตคืออียิปต์ ที่นั่นพวกเขาถูกลดฐานะลงเป็นทาส. พระยะโฮวาทรงใช้โมเซผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์จากตระกูลเลวีช่วยนำบรรดาผู้นมัสการของพระองค์พ้นแอกของอียิปต์ ดินแดนที่จมอยู่ในศาสนาเท็จ. พระยะโฮวาทรงตั้งคำสัญญาไมตรีกับชาติยิศราเอลผ่านโมเซ ทรงรับเขาเป็นชนชาติที่พระองค์เลือกสรรไว้. ครั้งนั้น พระยะโฮวาได้ทรงประทานระบบการนมัสการเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการจัดการนมัสการให้อยู่ชั่วคราวในขอบข่ายที่มีระบบปุโรหิตดำเนินงานด้านการถวายบูชายัญและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลักษณะวัตถุ ทีแรกเป็นพลับพลาแบบขนย้ายไปได้และในเวลาต่อมาเป็นวิหารในกรุงยะรูซาเลม.
9. (ก) การปฏิบัติการนมัสการแท้ได้ทำกันอย่างไรก่อนมีพระบัญญัติแห่งคำสัญญาไมตรี? (ข) พระเยซูทรงแสดงอย่างไรว่าลักษณะแห่งพระบัญญัติที่ใช้วัตถุนั้นจะไม่ยืนยงตลอดไป?
9 อย่างไรก็ดี ควรสังเกตว่า ลักษณะต่าง ๆ ที่ใช้วัตถุนั้นมิได้หมายจะให้เป็นส่วนประกอบถาวรของศาสนาแท้. พระบัญญัติเป็น “เงาของเหตุการณ์ซึ่งจะมีมาภายหลัง.” (โกโลซาย 2:17; เฮ็บราย 9:8-10; 10:1) ก่อนมีพระบัญญติของโมเซ สมัยที่ผู้อาวุโสปกครอง ปรากฏว่าประมุขของครอบครัวเป็นตัวแทนบุคคลในบ้านในการทำการถวายบูชายัญบนแท่นที่พวกเขาก่อขึ้น. (เยเนซิศ 12:8; 26:25; 35:2, 3; โยบ 1:5) แต่ไม่มีปุโรหิตที่รวบรวมกันเป็นองค์การหรือระบบที่จะถวายบูชาพร้อมกับมีพิธีกรรมหรือประเพณี. ยิ่งกว่านั้น พระเยซูเองได้ทรงชี้ให้เห็นว่าระบบการนมัสการที่มีประมวลกฎหมายมีศูนย์รวมอยู่ที่กรุงยะรูซาเล็มนั้นเป็นระบบชั่วคราวเมื่อพระเยซูตรัสกับหญิงชาวซะมาเรียว่า “เวลาจะมาถึงเมื่อพวกเจ้าจะมิได้นมัสการพระบิดาที่ภูเขานี้ [ฆะรีซีม, ซึ่งแต่ก่อนเป็นบริเวณที่ตั้งวิหารของชาวซะมาเรีย] หรือที่กรุงยะรูซาเลม. . . . เวลานั้นจะมาถึงและก็คือเดี๋ยวนี้แหละ เมื่อคนนมัสการแท้ทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและความจริง.” (โยฮัน 4:21-23, ล.ม.) พระเยซูทรงชี้แจงว่าศาสนาแท้ต้องมีการปฏิบัติ มิใช่ด้วยสิ่งต่าง ๆ อันเป็นวัตถุแต่ด้วยวิญญาณและความจริง.
ถูกจับเป็นเชลยแห่งบาบูโลน
10. (ก) เหตุใดพระยะโฮวาทรงยอมให้พลไพร่ของพระองค์ถูกต้อนเป็นเชลยที่บาบูโลน? (ข) พระยะโฮวาได้ทรงปลดปล่อยผู้ซื่อสัตย์แห่งชนที่เหลือในปี 537 ก่อนสากลศักราชด้วยสองวิธีอะไรบ้าง และอะไรคือจุดมุ่งหมายหลักของการที่เขากลับคืนสู่แผ่นดินยูดา?
10 นับตั้งแต่การกบฏในสวนเอเดนเป็นต้นมา การเป็นศัตรูกันระหว่างศาสนาแท้กับศาสนาเท็จมีอยู่เสมอ. พูดโดยนัยแล้ว บางครั้งผู้นมัสการแท้ถูกจับเป็นเชลยโดยศาสนาเท็จซึ่งมีบาบูโลนเป็นแบบฉบับตั้งแต่สมัยนิมโรด. ก่อนพระยะโฮวายอมให้พลไพร่ของพระองค์ถูกต้อนเป็นเชลยที่บาบูโลนในปี 617 และปี 607 ก่อนสากลศักราช พวกเขาเป็นเหยื่อศาสนาเท็จแห่งบาบูโลนอยู่แล้ว. (ยิระมะยา 2:13-23; 15:2; 20:6; ยะเอศเคล 12:10, 11) ในปี 537 ก่อนสากลศักราช ชนที่เหลือผู้ซื่อสัตย์ได้กลับคืนสู่แผ่นดินยูดา. (ยะซายา 10:21) พวกเขาเชื่อฟังเสียงเรียกเชิงพยากรณ์ที่ว่า “จงออกไปจากประเทศบาบูโลน!” (ยะซายา 48:20) นี้ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยให้รอดด้านร่างกาย แต่เป็นการช่วยให้รอดฝ่ายวิญญาณเช่นกันเพื่อจะหลุดพ้นจากสิ่งแวดล้อมทางศาสนาที่เป็นมลทิน ที่บูชารูปเคารพ. ด้วยเหตุนี้ ชนที่เหลือที่ซื่อสัตย์จึงรับคำสั่งดังนี้: “ไปซิ! ไปเสียเถอะ จงออกไปเสียจากที่นั่น จงออกไปเสียจากกลางเมืองนั้น เจ้าผู้ถือเครื่องภาชนะของพระยะโฮวา จงรักษาตัวไว้ให้สะอาดหมดจด.” (ยะซายา 52:11) วัตถุประสงค์ประการแรกของการกลับมายังแผ่นดินยูดาก็เพื่อฟื้นฟูการนมัสการอันบริสุทธิ์ ศาสนาแท้.
11. นอกจากจะบูรณะฟื้นฟูการนมัสการอันบริสุทธิ์ในแผ่นดินยูดาแล้ว การขยายตัวใหม่ ๆ ด้านศาสนามีอะไรบ้างที่อุบัติขึ้นในศตวรรษที่หกก่อนสากลศักราช?
11 เป็นเรื่องน่าสนใจ สมัยเดียวกันนั้นเองคือศตวรรษที่หกก่อนสากลศักราชได้เห็นการแตกกิ่งสาขาของศาสนาเท็จภายในบาบูโลนใหญ่. การกำเนิดศาสนาขงจื๊อ ศาสนาโซโรแอสเทอร์ และศาสนาเชน โดยไม่ต้องพูดถึงปรัชญากรีกซึ่งในเวลาต่อมามีอิทธิพลครอบงำคริสต์จักรต่าง ๆ ในคริสต์ศาสนจักร. ฉะนั้น ขณะที่มีการกู้บูรณะการนมัสการบริสุทธิ์ขึ้นในแผ่นดินยูดา ศัตรูตัวเอ้ของพระเจ้าก็จัดให้มีแนวทางเลือกตามใจชอบไว้อย่างกว้างขวางมากขึ้นในศาสนาเท็จ.
12. การช่วยให้หลุดพ้นจากสภาพเชลยแห่งบาบูโลนแบบไหนเกิดขึ้นในศตวรรษแรกแห่งสากลศักราช และเปาโลได้กล่าวเตือนอย่างไร?
12 ครั้นพระเยซูได้ทรงปรากฏในแผ่นดินยิศราเอล ชาวยิวส่วนใหญ่นับถือลัทธิยูดาที่แยกเป็นหลาย ๆ นิกาย รูปแบบการนมัสการที่รับเอาแนวคิดมากมายจากบาบูโลน. ลัทธินี้พาตัวเองไปผูกพันกับบาบูโลนใหญ่. พระคริสต์ทรงตำหนิศาสนานั้นและได้ช่วยสาวกของพระองค์ให้พ้นจากสภาพทาสแห่งบาบูโลน. (มัดธายบท 23; ลูกา 4:18) เพราะเหตุที่ศาสนาเท็จและปรัชญากรีกแพร่หลายอยู่ทั่วไปในแถบถิ่นที่อัครสาวกเปาโลประกาศสั่งสอน ท่านจึงได้ยกคำพยากรณ์ของยะซายาขึ้นมาชี้แจงแก่คริสเตียนซึ่งจำเป็นต้องแยกตัวให้พ้นจากอิทธิพลอันไม่สะอาดแห่งบาบูโลนใหญ่. ท่านเขียนไว้อย่างนี้: “วิหารของพระเจ้ามีข้อตกลงอะไรกับรูปเคารพ [แบบบาบูโลน]? ด้วยว่าพวกเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่; ดังที่พระเจ้าตรัสว่า ‘เราจะสถิตท่ามกลางเขาและจะดำเนินท่ามกลางเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นไพร่พลของเรา.’ ‘พระยะโฮวาตรัสว่า “เหตุฉะนั้น จงออกมาจากท่ามกลางพวกเขา และแยกตัวต่างหาก และเลิกแตะต้องสิ่งที่เป็นมลทิน และเราจะรับเจ้าทั้งหลายไว้.”’”—2 โกรินโธ 6:16, 17, ล.ม.
สลัดหลุดจากศาสนาเท็จในยุคสุดท้าย
13. ได้มีการระบุเรื่องอะไรในข่าวสารซึ่งพระคริสต์ส่งไปถึงเจ็ดประชาคมในเอเซียไมเนอร์ และเกิดอะไรขึ้นเป็นผลพวง?
13 ข่าวสารที่พระคริสต์ได้ทรงส่งไปถึงเจ็ดประชาคมในเอเซียไมเนอร์โดยวิวรณ์ที่ประทานแก่อัครสาวกโยฮัน แสดงชัดว่าตอนใกล้สิ้นศตวรรษที่หนึ่งนั้น กิจปฏิบัติทางศาสนาและทัศนะแบบบาบูโลนกำลังแผ่ซ่านเข้าไปถึงประชาคมคริสเตียน. (วิวรณ์บท 2 และ 3) การออกหากเติบโตโดยเฉพาะระหว่างศตวรรษที่สองถึงศตวรรษที่ห้าสากลศักราช ยังผลให้มีการลอกแบบศาสนาคริสเตียนที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างเหลวแหลก. คำสอนแบบบาบูโลน เช่นความเป็นอมตะแห่งจิตวิญญาณ, ไฟนรกไม่รู้ดับ, และตรีเอกานุภาพถูกนำเข้ามาปะปนอยู่ในหลักคำสอนคริสเตียนของพวกออกหาก. คริสต์จักรคาทอลิก คริสต์จักรออร์โธดอกซ์ และแล้วภายหลังคริสต์จักรโปรเตสแตนต์ล้วนแต่รับรองคำสอนเท็จเหล่านี้ ดังนั้น จึงได้กลายมาเป็นส่วนแห่งบาบูโลนใหญ่ จักรภพโลกแห่งศาสนาเท็จของพญามาร.
14, 15. (ก) อุทาหรณ์ของพระเยซูว่าด้วยข้าวดีและวัชพืชนั้นแสดงถึงอะไร? (ข) จวนสิ้นศตวรรษที่ 19 มีเหตุการณ์อะไร และพอถึงปี 1914 คริสเตียนแท้ได้ก้าวหน้าไปถึงไหนเรื่องหลักคำสอน?
14 ศาสนาแท้ยังไม่เคยถูกทำลายโดยตลอด. ตลอดยุคสมัยต่าง ๆ เคยมีผู้คนที่รักความจริง บางคนสละชีวิตเพราะเขาดำรงตนซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาและต่อคัมภีร์ไบเบิลพระวจนะของพระองค์. แต่ดังอุทาหรณ์ของพระเยซูเรื่องข่าวดีและวัชพืชระบุไว้ว่า ข้าวโดยนัยหรือบุตรแห่งราชอาณาจักรที่รับการเจิมจะถูกแยกออกจากวัชพืชหรือบุตรของผู้ชั่ว “ในช่วงอวสานแห่งระบบนี้.” (มัดธาย 13:24-30, 36–43) ขณะที่สมัยสุดท้าย—ยุคแห่งการแบ่งแยก—ใกล้เข้ามา นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่จริงใจในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้าได้เริ่มถอนตัวหลุดจากสภาพทาสของศาสนาเท็จ.
15 พอถึงปี 1914 คริสเตียนเหล่านี้ ซึ่งสมัยปัจจุบันรู้จักกันว่าพยานพระยะโฮวาได้พัฒนาความเชื่อที่แข็งแรงในเรื่องค่าไถ่. เขาทราบว่าการประทับของพระคริสต์จะต้องไม่เห็นประจักษ์. เขาเข้าใจว่าสมัยสุดท้ายจะเริ่มต้นในปี 1914. (ลูกา 21:24) และเขาเข้าใจชัดเจนเรื่องจิตวิญญาณและการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย. และเขาได้รับความรู้ถึงความผิดร้ายแรงในด้านหลักคำสอนของคริสต์จักรเรื่องไฟนรก และตรีเอกานุภาพ. นักศึกษาพระคัมภีร์เหล่านั้นได้เรียนรู้จักพระนามยะโฮวาและเริ่มต้นใช้พระนามนั้น ทั้งหยั่งเห็นข้อผิดพลาดแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการและการทรงเจ้าเข้าผี.
16. คริสเตียนผู้ถูกเจิมได้ตอบรับเสียงเรียกอะไรในปี 1919?
16 ได้มีการเริ่มต้นที่ดีในการสลัดพันธนาการแห่งศาสนาเท็จออกไป. และในปี 1919 บาบูโลนใหญ่ก็หมดอำนาจโดยสิ้นเชิงเหนือพลไพร่ของพระเจ้า. ชาวยิวที่เหลืออยู่ได้รับการปลดปล่อยจากบาบูโลนเมื่อปี 537 ก่อนสากลศักราชฉันใด คริสเตียนชนที่เหลือจำพวกผู้ถูกเจิมที่ธำรงความซื่อสัตย์ก็ได้ปฏิบัติตามเสียงเรียกให้ “ออกมาจากท่ามกลางคนเหล่านั้น [บาบูโลน]” ฉันนั้น.—ยะซายา 52:11.
17. (ก) ตั้งแต่ปี 1922 เป็นต้นมา ได้มีการก้าวหน้าขยายตัวในด้านใด และปรากฏว่าไพร่พลของพระเจ้าตระหนักถึงความจำเป็นในด้านใด? (ข) ได้มีการรับเอาจุดยืนที่เคร่งเกินเหตุอะไร และทำไมเรื่องนี้จึงพอเข้าใจกันได้?
17 นับจากปี 1922 เป็นต้นมา สัจธรรมอันหนักแน่นแห่งคัมภีร์ไบเบิลได้รับการพิมพ์จำหน่ายออกไปอย่างกว้างขวาง เป็นการเปิดโปงศาสนาเท็จแบบบาบูโลน โดยเฉพาะนิกายต่าง ๆ ในคริสต์ศาสนจักร. ได้มีการเข้าใจถึงความจำเป็นจะต้องให้ไพร่พลของพระเจ้าซึ่งถูกชำระแล้วได้รับการประทับใจว่า การสลัดทิ้งแบบแห่งการนมัสการทุกอย่างของศาสนาเท็จต้องเป็นไปอย่างถอนรากถอนโคน. ดังนั้น นานหลายปีทีเดียวแม้แต่คำ “ศาสนา” ก็งดใช้เมื่อพูดถึงการนมัสการอย่างบริสุทธิ์. คติพจน์เช่น “ศาสนาคือบ่วงแร้วและวิธีหลอกลวง” นั้นเคยถูกนำออกไปขณะเดินขบวนไปตามถนนของเมืองใหญ่หลายแห่ง. หนังสือต่าง ๆ อาทิการปกครอง (ปี 1928) และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ (1943) ชี้ชัดถึงความแตกต่างระหว่าง “คริสเตียนแท้” กับ “ศาสนา.” การแยกให้ไกลสุดขีดอย่างนี้ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ เนื่องจากการแยกตัวอย่างสะอาดหมดจดจากระบบศาสนาแห่งบาบูโลนใหญ่ซึ่งแผ่คลุมไปทั่วทุกหัวระแหงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง.
ศาสนาแท้และศาสนาเท็จ
18. เมื่อปี 1951 ไพร่พลของพระเจ้าได้รับความเข้าใจใหม่ในเรื่อง “ศาสนา” อย่างไร และมีการชี้แจงเรื่องนี้อย่างไรในหนังสือประจำปี 1975?
18 ครั้นแล้ว ในปี 1951 ก็ถึงเวลาอันควรที่พระยะโฮวาจะทรงโปรดให้ไพร่พลของพระองค์เข้าใจกระจ่างถึงความแตกต่างระหว่างศาสนาแท้กับศาสนาเท็จ. หนังสือประจำปีของพยานพระยะโฮวา ปี 1975 รายงานว่า: “ปี 1951 ผู้สนับสนุนการนมัสการแท้ได้เรียนรู้สิ่งสำคัญเกี่ยวกับคำ ‘ศาสนา.’ บางคนสามารถหวนระลึกได้ถึงปี 1938 เมื่อเขาเคยถือป้ายโฆษณากระตุ้นแนวคิดที่ว่า ‘ศาสนาคือบ่วงแร้วและวิธีการหลอกลวง.’ จากแง่คิดของพวกเขาในครั้งนั้นถือว่า ทุก ‘ศาสนา’ ไม่ใช่คริสเตียน แต่มาจากพญามาร. แต่วารสารวอชเทาเวอร์ วันที่ 15 มีนาคม 1951 เห็นชอบกับการเพิ่มคำคุณศัพท์ ‘แท้’ และ ‘เท็จ’ ขยายคำศาสนา. ยิ่งกว่านั้น หนังสือที่น่าสนใจชื่อ ศาสนาได้ทำอะไรเพื่อมนุษยชาติ? (พิมพ์จำหน่ายปี 1951 และนำออกครั้งแรกในระหว่างการประชุมใหญ่ ‘การนมัสการที่สะอาด’ ณ เว็มบลีย์สเตเดียม ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ) กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ‘ตามวิธีที่มีการใช้คำนี้ “ศาสนา” ด้วยคำจำกัดความที่ตรงและง่ายที่สุดก็หมายถึงระเบียบการนมัสการ, รูปแบบการนมัสการ, โดยไม่คำนึงถึงว่าเป็นการนมัสการแท้หรือเท็จ. ทั้งนี้สอดคล้องกับความหมายของคำภาษาฮีบรูที่ว่า อะโบห์ดาห์ ซึ่งตามตัวอักษรหมายถึง “งานรับใช้” ไม่ว่ารับใช้ใครก็ตาม.’ หลังจากนั้น การใช้คำ ‘ศาสนาเท็จ’ และ ‘ศาสนาแท้’ จึงกลายเป็นสิ่งธรรมดาในท่ามกลางเหล่าพยานพระยะโฮวา.”—หน้า 225.
19, 20. (ก) เหตุใดผู้นมัสการแท้ไม่ต้องคับข้องใจแต่อย่างใดโดยการใช้คำ “ศาสนา” กับการนมัสการอันบริสุทธิ์? (ข) ความเข้าใจใหม่เช่นนี้กลับส่งเสริมไพร่พลของพระยะโฮวาให้ทำอะไร?
19 การตอบปัญหาของผู้อ่าน วอชเทาเวอร์ ฉบับวันที่ 15 สิงหาคม ปี 1951 ว่าอย่างนี้: “ไม่ควรที่ใคร ๆ จะรู้สึกคับข้องใจโดยการใช้คำ ‘ศาสนา.’ เพราะเราใช้คำนี้ก็ใช่ว่าจะทำให้เราอยู่ในระดับศาสนาเท็จที่ผูกพันกับประเพณีนิยม ไม่ต่างอะไรกับการเรียกตัวเองว่าคริสเตียนก็ไม่ใช่ว่าเราถูกนับเข้ากับคริสเตียนกำมะลอแห่งคริสต์ศาสนจักร.”
20 แทนที่จะเป็นการประนีประนอม ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับคำ “ศาสนา” กลับส่งเสริมไพร่พลของพระยะโฮวาให้ยึดมั่นศาสนาแท้และอยู่ให้ไกลศาสนาเท็จมากขึ้น ดังเราจะทราบจากบทความถัดไป.
เพื่อทดสอบความเข้าใจของเรา
▫ ศาสนาเท็จเริ่มมีในแผ่นดินโลกเมื่อไรและอย่างไร?
▫ ซาตานพยายามก่อตั้งอะไรภายหลังน้ำท่วมโลก และแผนการของมันถูกขัดขวางโดยวิธีใด?
▫ บาบูโลนได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของอะไร?
▫ การช่วยให้รอดอะไรเกิดขึ้นเมื่อปี 537 ก่อนสากลศักราช, ในสมัยศตวรรษแรกสากลศักราช, และในปี 1919?
▫ ปี 1951 ได้มีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับคำ “ศาสนา” และทำไมจึงเป็นตอนนั้น?
[กรอบ/รูปภาพหน้า 11]
คำสอนเท็จที่เชื่อถือกันทั่วโลกนั้นมีเค้ามูลจากบาบูโลน:
▫ ตรีเอกานุภาพ หรือพระเจ้าสามองค์เป็นหนึ่งเดียว
▫ จิตวิญญาณมนุษย์ไม่ตาย
▫ การทรงเจ้าเข้าผี—สนทนากับ “คนตาย”
▫ การใช้รูปจำลองในการนมัสการ
▫ การใช้เวทมนตร์เพื่อเอาใจวิญญาณชั่ว
▫ การปกครองโดยนักเทศน์นักบวชที่วางอำนาจ