จงเกรงกลัวพระยะโฮวาและถวายเกียรติแด่พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
“ใครเล่าจะไม่เกรงกลัวพระองค์ และจะไม่ถวายเกียรติแด่พระนามพระองค์ เพราะพระองค์แต่ผู้เดียวทรงไว้ซึ่งความภักดี?”—วิวรณ์ 15:4, ล.ม.
1, 2. (ก) พระยะโฮวาได้เปิดบัญชรฟ้าสวรรค์ระหว่างปี 1991 โดยวิธีใด? (ข) ประสบการณ์อะไรในชีวิตทำให้มิชชันนารีที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งแนะนำว่า “จงเกรงกลัวพระยะโฮวา”? (โปรดดูจากหนังสือประจำปี 1991 หน้า 187-189 ด้วย.)
พระยะโฮวา ‘ได้เปิดบัญชรท้องฟ้าและจริง ๆ แล้วได้เทพรให้จนเกินความต้องการ.’ ถ้อยคำเหล่านี้อาจนำมาใช้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่ากับพยานพระยะโฮวาในปีหลัง ๆ นี้. (มาลาคี 3:10) ยกตัวอย่าง ความกระตือรือร้นของพยานฯต่างถิ่นที่มาเยือนรวมทั้งคนในท้องถิ่นที่ร่วมประชุมนั้นปรากฏให้เห็นอย่างท่วมท้นท่ามกลางคริสเตียนที่สมาคมคบหากัน ณ การประชุมพิเศษตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก—จากการประชุมภาค “ภาษาบริสุทธิ์” ที่บูเอโนสไอเรสในอเมริกาใต้ และมะนิลา, ไทเป, และกรุงเทพฯทางซีกโลกตะวันออก, มาถึงการประชุมภาค “ชนผู้รักเสรีภาพ” ณ บูดาเปสต์, ปราก, และซาเกร็บ (16-18 สิงหาคม 1991) ในยุโรปตะวันออก.
2 ช่างเป็นความชื่นชมอะไรเช่นนั้นสำหรับแขกชาวต่างประเทศที่ได้พบปะกับพยานฯที่รับใช้อย่างซื่อสัตย์มานานปีในดินแดนเหล่านั้น! เช่นที่กรุงเทพฯแฟรงค์ ดัวร์—สมัยหนึ่งเป็นผู้ประกาศราชอาณาจักรเพียงคนเดียวในประเทศไทย—ได้เล่าถึงชีวิตในงานมิชชันนารีนาน 58 ปี. กิจกรรมที่เขาได้ทำเริ่มแต่หมู่เกาะในแปซิฟิกถึงแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ กระทั่งเข้าไปในประเทศจีนด้วยซ้ำ. เขาประสบภัยเรือแตก, สัตว์ร้ายในป่า, โรคเมืองร้อน, และการปกครองอย่างโหดเหี้ยมของเหล่าขุนศึกญี่ปุ่น. เมื่อถามเขาว่าจะให้คำแนะนำอะไรแก่ผู้ร่วมประชุม คำตอบของเขาฟังเข้าใจง่ายคือ “จงเกรงกลัวพระยะโฮวา!”
3. ทำไมเราควรแสดงความเกรงกลัวอย่างเลื่อมใสในพระเจ้า?
3 “จงเกรงกลัวพระยะโฮวา!” เป็นเรื่องสำคัญเพียงใดสำหรับพวกเราทุกคนจะพึงพัฒนาความกลัวอย่างที่มีประโยชน์! “ความเกรงกลัวพระยะโฮวาเป็นต้นเหตุให้เกิดสติปัญญา.” (บทเพลงสรรเสริญ 111:10) ความกลัวประเภทนี้ไม่ใช่ว่ากลัวพระยะโฮวาอย่างหวั่นหวาด. แต่ทว่าเป็นความเคารพอย่างลึกซึ้งต่อความใหญ่ยิ่งน่าเกรงขามและคุณลักษณะอันน่าเลื่อมใสของพระเจ้า โดยอาศัยการหยั่งเห็นจากการที่เราศึกษาพระวจนะของพระเจ้า. ที่พระธรรมวิวรณ์ 15:3, 4, (ล.ม.) บทเพลงของโมเซและของพระเมษโปดกแถลงดังนี้: “พระยะโฮวาพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ พระราชกิจของพระองค์ใหญ่ยิ่งมหัศจรรย์. พระมหากษัตริย์แห่งทุกยุค ทางทั้งหลายของพระองค์ทรงเป็นทางชอบธรรมและสัตย์จริง. โอ้ พระยะโฮวา ใคร่เล่าจะไม่เกรงกลัวพระองค์ และจะไม่ถวายเกียรติแด่พระนามพระองค์ เพราะพระองค์แต่ผู้เดียวทรงไว้ซึ่งความภักดี?” ด้วยความภักดีที่มีต่อผู้นมัสการของพระองค์ พระยะโฮวาทรงมี “หนังสือบันทึกความจำ มีนามคนทั้งหลายที่ได้ยำเกรงพระยะโฮวาและที่ได้ระลึกถึงพระนามของพระองค์นั้นบันทึกลงต่อพักตรพระองค์.” บุคคลเหล่านี้ย่อมได้รับชีวิตนิรันดรเป็นบำเหน็จ.—มาลาคี 3:16; วิวรณ์ 20:12, 15.
การเกรงกลัวพระเจ้าด้วยใจเลื่อมใสมีชัย
4. การช่วยให้รอดคราวโบราณในเหตุการณ์อะไรน่าจะสนับสนุนพวกเราให้เกรงกลัวพระยะโฮวา?
4 เมื่อชาวยิศราเอลได้เดินทางออกจากแผ่นดินอียิปต์ของฟาโรห์ โมเซแสดงให้เห็นชัด ๆ ว่าท่านกลัวพระยะโฮวาองค์เดียวเท่านั้น. ไม่นานหลังจากนั้น พวกยิศราเอลติดอยู่ตรงกลางระหว่างทะเลแดงกับกองรถรบที่เข้มแข็งของอียิปต์. พวกเขาจะทำอย่างไรได้? “โมเซจึงเตือนพลไพร่นั้นว่า ‘อย่ากลัวเลย จงยืนอยู่นิ่ง ๆ จะได้เห็นความรอดมาแต่พระยะโฮวา ซึ่งพระองค์จะทรงประทานแก่เจ้าทั้งหลายในวันนี้. ด้วยชาวอายฆุบโตซึ่งเจ้าทั้งหลายได้เห็นในวันนี้ ตั้งแต่นี้ต่อไปจะไม่ได้เห็นอีกเลย. พระยะโฮวาจะทรงรบแทนเจ้าทั้งหลาย เจ้าทั้งหลายจงสงบอยู่เถิด.’” พระยะโฮวาทรงสำแดงการอัศจรรย์โดยได้แยกน้ำทะเลออกเป็นช่อง. พวกยิศราเอลเดินไปตามทางแห้งกลางท้องทะเลจนถึงฝั่ง. ครั้นแล้วกำแพงน้ำก็พังทลายท่วมกองทัพของฟาโรห์จมหายไป. พระยะโฮวาทรงช่วยชีวิตชนชาตินั้นที่เกรงกลัวพระเจ้า ในเวลาเดียวกันก็ได้พิพากษาลงโทษชาติอียิปต์ที่หลู่เกียรติยศพระเจ้า. สมัยนี้ก็เช่นกัน พระเจ้าจะสำแดงความภักดีของพระองค์ด้วยการช่วยเหล่าพยานฯที่เกรงกลัวพระเจ้าให้รอดจากโลกของซาตาน.—เอ็กโซโด 14:13, 14; โรม 15:4.
5, 6. เหตุการณ์อะไรในสมัยยะโฮซูอะแสดงให้เห็นว่าเราควรกลัวพระยะโฮวาแทนที่จะกลัวมนุษย์?
5 หลังจากที่อพยพออกจากอียิปต์แล้ว โมเซได้ส่งผู้สอดแนมสิบสองคนเข้าไปในแผ่นดินแห่งคำสัญญา. สิบคนเกิดความกลัวเมื่อได้เห็นชาวเมืองนั้นมีรูปร่างใหญ่โตปานยักษ์และพยายามห้ามปรามชาวยิศราเอลไม่ให้เข้าไปในแผ่นดินนั้น. แต่อีกสองคนคือยะโฮซูอะกับคาเล็บกลับมารายงานว่า “แผ่นดินที่เราสืบดูทั่วตลอดนั้นเป็นประเทศดียิ่งที่สุด. ถ้าพระยะโฮวาชอบพระทัยในพวกเรา พระองค์ก็จะพาเราทั้งหลายไปถึงประเทศนั้น ยกประเทศนั้นให้พวกเรา เป็นประเทศซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์. แต่อย่าให้พวกเรามีใจกบฏต่อพระยะโฮวา และอย่าให้มีใจกลัวประเทศนั้นเพราะเขาทั้งหลายเป็นอาหารของเรา. และร่มฤทธิ์ของเขาก็สูญไปแล้ว พระยะโฮวาก็อยู่ฝ่ายเรา. อย่ากลัวเขาเลย.”—อาฤธโม 14:7-9.
6 แต่ชาวยิศราเอลเหล่านั้นถูกโน้มน้าวให้กลัวหน้ามนุษย์. ผลที่ตามมาคือ เขาไปไม่ถึงแผ่นดินแห่งคำสัญญา. แต่ยะโฮซูอะกับคาเล็บ พร้อมกับคนรุ่นใหม่ในชาติยิศราเอลมีโอกาสและสิทธิพิเศษได้เข้าไปในแผ่นดินที่ดีเยี่ยมนั้น และได้เพาะปลูกทำสวนองุ่นและสวนมะกอก. ในคราวที่ยะโฮซูอะกล่าวคำอำลาชาวยิศราเอลที่ร่วมชุมนุมกันอยู่ ท่านได้แนะนำดังนี้: “จงเกรงกลัวพระยะโฮวาและปฏิบัติพระองค์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต.” แล้วยะโฮซูอะก็กล่าวเพิ่มเติมว่า “แต่ฝ่ายเราทั้งครอบครัวจะปฏิบัติพระยะโฮวา.” (ยะโฮซูอะ 24:14, 15) ช่างเป็นคำพูดที่หนุนใจอะไรเช่นนั้นสำหรับประมุขครอบครัวและสำหรับคนอื่น ๆ ทุกคนพึงเกรงกลัวพระยะโฮวาขณะที่เราเตรียมผ่านเข้าไปในโลกใหม่อันชอบธรรมของพระเจ้า!
7. ดาวิดได้เน้นความสำคัญเรื่องการเกรงกลัวพระเจ้าไว้อย่างไร?
7 ดาวิดครั้งเป็นเด็กเลี้ยงแกะก็แสดงความเกรงกลัวพระยะโฮวาอันเป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อท่านท้ารบกับฆาละยัธในพระนามของพระเจ้า. (1 ซามูเอล 17:45, 47) ตอนที่ท่านนอนป่วยก่อนสิ้นใจ ดาวิดสามารถกล่าวดังนี้: “พระวิญญาณของพระยะโฮวาทรงตรัสแก่ข้าพเจ้า และพระดำรัสของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า. พระเจ้าของพวกยิศราเอลตรัสว่า ‘เมื่อผู้ที่ปกครองมนุษย์เป็นคนชอบธรรม ปกครองด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า แล้วเป็นดุจแสงอาทิตย์ขึ้นเวลาเช้าตรู่ เวลาเช้าที่ปราศจากเมฆ.’” (2 ซามูเอล 23:2-4) การเกรงกลัวพระเจ้าอย่างนี้ไม่มีเสียเลยในท่ามกลางผู้ปกครองของโลก และเกิดผลเศร้าสลดเพียงใด! จะต่างกันมากเพียงใดเมื่อพระเยซู “บุตรดาวิด” ปกครองแผ่นดินโลกด้วยการเกรงกลัวพระยะโฮวา!—มัดธาย 21:9.
การปฏิบัติด้วยความเกรงกลัวพระยะโฮวา
8. แผ่นดินยูดาเจริญรุ่งเรืองสมัยกษัตริย์ยะโฮซาฟาดเพราะเหตุใด แสดงถึงอะไรในปัจจุบัน?
8 ประมาณหนึ่งร้อยปีหลังจากดาวิดวายชนม์แล้ว ยะโฮซาฟาดได้ขึ้นครองราชย์ในแผ่นดินยูดา. นี่ก็เป็นอีกวาระหนึ่งที่มีกษัตริย์ปฏิบัติพระยะโฮวาด้วยความเกรงกลัว. ท่านได้ฟื้นฟูระเบียบในแผ่นดินยูดาตามระบอบการปกครองของพระเจ้า แต่งตั้งผู้พิพากษาขึ้นทั่วประเทศ และทรงรับสั่งแนะนำบรรดาผู้พิพากษาดังนี้: “การพิพากษาตัดสินนั้นไม่ใช่สำหรับมนุษย์ แต่สำหรับพระยะโฮวา และพระองค์สถิตอยู่ด้วยในการพิพากษานั้น. เหตุฉะนั้น จงให้ความกลัวเกรงพระยะโฮวาสวมทับท่านไว้. จงกระทำโดยระวังอย่างดี เหตุว่าฝ่ายพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเราซึ่งคดโกงหรือซึ่งจะเห็นแก่หน้าบุคคล หรือรับสินบนนั้นไม่มีเป็นอันขาด. . . . จงจัดการนี้ด้วยความกลัวเกรงพระยะโฮวาและด้วยความสัตย์ซื่อ ด้วยใจอันสุจริต.” (2 โครนิกา 19:6-9) ด้วยเหตุนี้ แผ่นดินยูดาจึงรุ่งเรืองเนื่องด้วยความกลัวเกรงพระยะโฮวา เช่นเดียวกับไพร่พลของพระเจ้าสมัยนี้ได้รับประโยชน์จากผู้ดูแลที่ปฏิบัติงานด้วยความเห็นอกเห็นใจ.
9, 10. ยะโฮซาฟาดได้ชัยชนะอย่างไรเนื่องด้วยการเกรงกลัวพระยะโฮวา?
9 อย่างไรก็ดี แผ่นดินยูดาได้มีศัตรู. ศัตรูเหล่านั้นตั้งใจกำจัดชนชาติของพระเจ้าให้หมดไป. กำลังทหารของชาติอัมโมน ชาติโมอาบ และชาวภูเขาเซอีรรวมกันบุกเข้าไปในเขตแดนยูดา และข่มขู่กรุงยะรูซาเลม. เป็นกองทัพใหญ่มาก. ยะโฮซาฟาดได้ทูลอธิษฐานต่อพระยะโฮวาขณะที่ “บรรดาพวกยูดาได้ยืนเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา ทั้งลูกเล็กเด็กน้อยกับภรรยา.” ครั้นแล้ว เพื่อตอบคำอธิษฐาน พระวิญญาณของพระยะโฮวาได้สวมทับยะฮะซีเอ็ลแห่งตระกูลเลวี ซึ่งกล่าวว่า “จงฟังเถิด พระยะโฮวาทรงตรัสแก่ท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ‘อย่ากลัว อย่าตกใจเพราะเหตุหมู่คนคณะใหญ่นั้น เพราะการสู้รบครั้งนี้มิใช่พนักงานของพวกท่าน แต่เป็นกิจธุระของพระเจ้า. พรุ่งนี้ท่านทั้งหลายจงลงไปหาพวกนั้น. . . . ในการนี้ท่านทั้งหลายไม่ต้องสู้รบ. แต่จงยืนนิ่งอยู่กับที่. แล้วท่านทั้งหลายคงจะได้เห็นความสงเคราะห์ช่วยเหลือของพระยะโฮวาซึ่งทรงสถิตอยู่ด้วย. โอ้พวกยูดาและชาวกรุงยะรูซาเลมเอ๋ย อย่ากลัว อย่าตกใจเลย. พรุ่งนี้จงพากันออกไปสู้พวกนั้นเถิด เพราะพระยะโฮวาจะทรงสถิตอยู่ด้วย.’”—2 โครนิกา 20:5-17.
10 เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้ชายชาวยูดาตื่นนอนแต่เช้าตรู่. ขณะที่เขาได้เชื่อฟังพากันออกไปเผชิญศัตรู ยะโฮซาฟาดก็ยืนขึ้นตรัสดังนี้: “ชาวยูดาและชาวกรุงยะรูซาเลมทั้งปวงจงฟังเราเถิด! จงเชื่อพึ่งพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าทั้งหลายจึงจะยั่นยืนอยู่ได้. จงเชื่อผู้พยากรณ์ของพระองค์ พวกเจ้าจึงจะมีความเจริญ.” เมื่อเดินนำหน้าเหล่านักรบ พวกนักร้องหมู่ได้ร้องเพลงถวายพระยะโฮวา: “ขอบพระเดชพระคุณพระยะโฮวา เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์.” พระยะโฮวาทรงสำแดงความกรุณารักใคร่โดยทรงจัดกองซุ่มก่อความสับสนจนพวกศัตรูต่างก็ฆ่าฟันล้างผลาญกันเอง. เมื่อชาวยูดาได้มาถึงหอคอยในป่ากันดาร ก็เห็นแต่คนตายเป็นศพเกลื่อนอยู่ตามพื้นดิน.—2 โครนิกา 20:20-24.
11. เกี่ยวกับความกลัว ชาติอื่น ๆ ต่างกันอย่างไรกับไพร่พลของพระเจ้า?
11 ครั้นชาติใกล้เคียงได้ทราบข่าวการช่วยให้รอดอย่างอัศจรรย์เช่นนี้ “ความเกรงกลัวแห่งพระเจ้า” ก็เกิดขึ้นกับเขา. อีกฝ่ายหนึ่งคือ ชาติที่ได้เชื่อฟังด้วยความเกรงกลัวพระยะโฮวาถึงตอนนั้นก็ “มีความสงบเงียบ.” (2 โครนิกา 20:29, 30) ในทำนองเดียวกัน เมื่อพระยะโฮวาจะสำเร็จโทษในวันสงครามอาร์มาเก็ดดอน ชาติทั้งหลายจะกลัวพระเจ้าและพระบุตรเยซูคริสต์ผู้สำเร็จโทษที่พระเจ้าทรงตั้งขึ้นและเขายืนหยัดไม่ได้ในวันใหญ่แห่งพระพิโรธของพระเจ้า.—วิวรณ์ 6:15-17.
12. การเกรงกลัวพระยะโฮวาได้รับบำเหน็จอย่างไรในสมัยก่อน?
12 ความเกรงกลัวพระยะโฮวาในทางที่เป็นประโยชน์ย่อมมีบำเหน็จมาก. โนฮา “มีใจเกรงกลัวจัดแจงต่อนาวาซึ่งเป็นที่ให้ครอบครัวของตนรอดได้.” (เฮ็บราย 11:7) และเกี่ยวกับพวกคริสเตียนในศตวรรษแรกมีรายงานว่า หลังจากช่วงแห่งการกดขี่ข่มเหงประชาคม “มีความสงบสุขและเจริญขึ้น และได้ประพฤติด้วยใจยำเกรงพระเจ้า และได้รับความหนุนใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสต์สมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น”—คล้ายคลึงกันกับที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออกในปัจจุบัน.—กิจการ 9:31.
รักสิ่งดี เกลียดสิ่งชั่ว
13. เราจะได้รับพระพรจากพระยะโฮวาโดยวิธีใดเท่านั้น?
13 พระยะโฮวาเป็นองค์ประเสริฐด้วยประการทั้งปวง. ดังนั้น “ความยำเกรงพระยะโฮวาคือการชังความชั่ว.” (สุภาษิต 8:13) มีคำเขียนกล่าวถึงพระเยซูดังนี้: “พระองค์ได้ทรงรักความชอบธรรม และได้ทรงเกลียดชังการอธรรม. เหตุฉะนั้น พระเจ้าของพระองค์ได้ทรงเจิมพระองค์ไว้ด้วยน้ำมันแห่งความยินดี.” (เฮ็บราย 1:9) ถ้าเราเหมือนพระเยซู ปรารถนาพระพรจากพระยะโฮวา เราก็ต้องเกลียดความชั่ว, การผิดศีลธรรม, ความรุนแรง, และความโลภมักได้แห่งโลกของซาตาน. (เทียบสุภาษิต 6:16-19.) เราต้องรักสิ่งที่พระยะโฮวาทรงรัก และเกลียดสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด. เราต้องกลัวที่จะทำสิ่งใด ๆ ซึ่งขัดพระทัยพระยะโฮวา. “โดยความยำเกรงพระยะโฮวา มนุษย์จึงจะพ้นจากความชั่ว.”—สุภาษิต 16:6.
14. พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างสำหรับเราโดยวิธีใด?
14 พระเยซูทรงวางตัวอย่างซึ่งเราพึงเจริญรอยตามพระองค์อย่างใกล้ชิด. “เมื่อพระองค์ถูกด่า พระองค์ก็ไม่ทรงด่าตอบ เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน พระองค์มิได้ขู่เข็ญ แต่ทรงมอบตัวไว้กับพระองค์ผู้ทรงพิพากษาด้วยความชอบธรรมนั้นต่อ ๆ ไป.” (1 เปโตร 2:21-23, ล.ม.) ด้วยความเกรงกลัวพระยะโฮวา พวกเราก็สามารถทนรับการเหยียดหยาม การเยาะเย้ย การข่มเหงซึ่งโลกของซาตานทับถมกับพวกเรา.
15. ทำไมเราควรกลัวพระยะโฮวายิ่งเสียกว่ากลัวคนที่ฆ่าร่างกายได้?
15 ที่มัดธาย 10:28 (ล.ม.) พระเยซูเตือนเราดังนี้: “อย่ากลัวคนเหล่านั้นที่ฆ่าร่างกาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวท่านผู้นั้นที่สามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและร่างกายได้ในเกเฮนนา.” แม้นคนที่เกรงกลัวพระยะโฮวาอาจจะถูกพวกศัตรูฆ่า แต่อำนาจแห่งความตายครอบงำมีแค่ระยะสั้น ๆ. (โฮเซอา 13:14) ครั้นถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ผู้นั้นสามารถจะพูดได้ดังนี้: “โอ้ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน? โอความตาย เหล็กไนของเจ้าอยู่ที่ไหน?”—1 โกรินโธ 15:55.
16. พระเยซูแสดงความเกรงกลัวพระยะโฮวาและถวายเกียรติพระองค์อย่างไร?
16 พระเยซูเองทรงเป็นตัวอย่างดีเยี่ยมสำหรับทุกคนซึ่งรักความชอบธรรมของพระยะโฮวาและเกลียดสิ่งชั่ว. ความยำเกรงที่พระองค์ทรงมีต่อพระยะโฮวานั้นเห็นได้จากคำตรัสอำลาของพระองค์แก่สาวกทั้งหลายซึ่งปรากฏที่โยฮัน 16:33 (ล.ม.): “เราได้บอกสิ่งเหล่านี้แก่เจ้าทั้งหลาย เพื่อเจ้าจะมีสันติสุขโดยเรา. ในโลกนี้เจ้ามีความทุกข์ลำบาก แต่จงกล้าหาญเถิด เราชนะโลกแล้ว.” โยฮันรายงานต่อไปว่า “พระเยซูตรัสอย่างนี้แล้วก็ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นดูฟ้าสวรรค์ ตรัสว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า เวลามาถึงแล้ว ขอทรงโปรดให้พระบุตรของพระองค์ได้รับสง่าราศี เพื่อพระบุตรจะได้ถวายสง่าราศีแด่พระองค์ . . . ข้าพเจ้าได้สำแดงพระนามของพระองค์แก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงประทานแก่ข้าพเจ้าจากโลก.’”—โยฮัน 17:1-6, ล.ม.
จงเกรงกลัวพระยะโฮวาและสรรเสริญพระองค์
17. เราสามารถเลียนแบบพระเยซูได้ในทางใด?
17 พวกเราในทุกวันนี้จะเลียนแบบความกล้าหาญของพระเยซูได้ไหม? ด้วยความเกรงกลัวพระยะโฮวาเราทำได้แน่นอน! พระเยซูได้ทรงแจ้งให้เราทราบแล้วถึงพระนามอันโด่งดังและคุณลักษณะเด่น ๆ ของพระยะโฮวา. การเกรงกลัวพระยะโฮวาในฐานะเป็นพระเจ้าของเราผู้ทรงเดชานุภาพใหญ่ยิ่ง เรายกย่องเทิดทูนพระองค์เหนือพระเจ้าอื่นทั้งปวง รวมทั้งพระตรีเอกานุภาพ พระเจ้านิรนามและลึกลับของคริสต์ศาสนจักร. พระเยซูทรงปฏิบัติพระยะโฮวาด้วยความเกรงกลัวอย่างมีเหตุผล ปฏิเสธที่จะตกหลุมพรางแห่งความกลัวมนุษย์ที่ตายได้. “คราวเมื่อพระองค์ดำรงอยู่ในเนื้อหนัง พระคริสต์ได้ถวายคำวิงวอนและคำขอร้องด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตรไหลถึงพระองค์ผู้ซึ่งสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตาย และพระองค์ได้รับการสดับด้วยความพอพระทัย เนื่องด้วยพระองค์เกรงกลัวพระเจ้า.” เช่นเดียวกับพระเยซู จงให้พวกเราเกรงกลัวพระเจ้าขณะที่เรายังคงเรียนการเชื่อฟังจากสิ่งต่าง ๆ ที่เราทนรับ—โดยคำนึงถึงความรอดนิรันดร์เป็นเป้าหมายของเราเสมอ.—เฮ็บราย 5:7-9.
18. โดยวิธีใดเราอาจถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์แด่พระเจ้าด้วยความเกรงกลัวสืบเนื่องจากใจเลื่อมใสในพระเจ้า?
18 ตอนท้ายจดหมายที่มีไปถึงคริสเตียนชาวฮีบรูนั้น เปาโลกล่าวตักเตือนคริสเตียนผู้ถูกเจิมดังนี้: “เมื่อเห็นว่าเราจะได้ราชอาณาจักรซึ่งหวั่นไหวไม่ได้ ขอให้เรารับเอาความกรุณาอันไม่พึงได้รับนั้นต่อ ๆ ไป เพื่อโดยทางนั้นเราจะถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์แด่พระเจ้าอย่างที่ยอมรับด้วยความกลัวและเกรงขามพระองค์.” เวลานี้ “ชนฝูงใหญ่” เข้าร่วมทำงานรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์. และงานศักดิ์สิทธิ์นี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง? หลังจากพิจารณาพระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระยะโฮวาที่ได้ทรงจัดเตรียมพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์เป็นเครื่องบูชา เปาโลกล่าวว่า “โดยพระองค์นั้น จงให้เราถวายคำสรรเสริญแด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาเสมอ กล่าวคือผลแห่งริมฝีปากที่ประกาศพระนามของพระองค์อย่างเปิดเผย.” (เฮ็บราย 12:28; 13:12, 15) ด้วยการหยั่งรู้ค่าพระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระยะโฮวา เราควรต้องการจะสละเวลาทุกชั่วโมงเท่าที่ทำได้รับใช้งานอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์. ในฐานะเป็นสหายที่ซื่อสัตย์ของคริสเตียนผู้ถูกเจิมซึ่งยังเหลืออยู่ในโลก ชนฝูงใหญ่ทำส่วนใหญ่ของงานรับใช้นั้น. เขาขอบพระคุณพระเจ้าและพระคริสต์สำหรับความรอด ขณะที่เขายืนอยู่ด้วยความหมายโดยนัยต่อหน้าพระที่นั่งของพระเจ้า “ถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์แด่พระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน.”—วิวรณ์ 7:9, 10, 15.
ถวายเกียรติแด่พระยะโฮวาชั่วนิรันดร์
19, 20. ความกลัวสองชนิดอะไรบ้างจะปรากฏชัดใน “วันของพระยะโฮวา”?
19 วันรุ่งโรจน์แห่งการชันสูตรเชิดชูพระยะโฮวาใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว! “พระยะโฮวาจอมพลโยธาตรัสว่า ‘นี่แน่ะ วันซึ่งจะมีการเผาให้ไหม้ดุจเผาในเตาไฟก็จะมาถึง บรรดาคนจองหองทั้งหลายและมวลคนชั่วทั้งปวงจะเป็นเหมือนดังแกลบ. และวันที่มาถึงนั้นก็จะเกิดการไหม้พวกเขาทั้งมวล.’” กาลวิบัติร้ายแรงเช่นนี้เป็น “วันใหญ่ของพระยะโฮวาอันเป็นวันที่น่าสะพรึงกลัว.” (มาลาคี 4:1, 5) จะเป็นวันกระหน่ำ “ความกลัว” เข้าสู่หัวใจคนชั่ว และคนเหล่านี้ “จะหนีให้พ้นไม่ได้.”—ยิระมะยา 8:15; 1 เธซะโลนิเก 5:3.
20 อย่างไรก็ดี ไพร่พลของพระยะโฮวาได้รับแรงบันดาลใจจากความกลัวอีกแบบหนึ่ง. ทูตสวรรค์ผู้รับมอบหน้าที่ให้นำ “กิตติคุณอันเจริญเป็นนิตย์” ออกไปจึงประกาศแก่ชาวโลกด้วยเสียงดังว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้าและถวายเกียรติยศแก่พระองค์ เพราะว่าเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษานั้นมาถึงแล้ว.” (วิวรณ์ 14:6, 7) พวกเราจะยืนอยู่ด้วยความเกรงขามเนื่องด้วยการพิพากษานั้นขณะที่ความร้อนแรงแห่งไฟอาร์มาเก็ดดอนเผาผลาญโลกของซาตาน. การเกรงกลัวพระยะโฮวาอย่างมีเหตุผลจะถูกตราตรึงอยู่ในหัวใจของเราอย่างไม่มีวันลบเลือนไปได้. วันนั้นขอให้เราเป็นที่โปรดปรานของพระองค์เพื่อว่าเราจะได้อยู่ท่ามกลาง ‘คนที่รอดพ้น ผู้ซึ่งได้ร้องออกพระนามยะโฮวา’!—โยเอล 2:31, 32; โรม 10:13.
21. การเกรงกลัวพระยะโฮวานำไปสู่พระพรอะไร?
21 ครั้นแล้วพระพรต่าง ๆ ที่น่าพิศวงจะตามมา ทั้ง “ปีเดือนแห่งชีวิต” จะยาวนานตลอดนิรันดร์กาล! (สุภาษิต 9:11; บทเพลงสรรเสริญ 37:9-11, 29) ดังนั้น ไม่ว่าความหวังของเราคือที่จะอยู่ในราชอาณาจักรหรือรับใช้ใต้ราชอาณาจักรบนแผ่นดินโลก จงให้เราถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์แด่พระเจ้าเสียแต่บัดนี้ด้วยความเกรงกลัวและเกรงขามสืบเนื่องจากมีใจเลื่อมใสในพระเจ้า. จงให้เราถวายเกียรติแด่พระนามบริสุทธิ์ของพระองค์อยู่เรื่อยไป. และจะได้รับผลน่าชื่นใจอะไร? ความรู้สึกขอบคุณชั่วนิรันดรที่ได้ใส่ใจในคำแนะนำอันสุขุมที่ให้เกรงกลัวพระยะโฮวา เสมอ!
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ “ความเกรงกลัวพระยะโฮวา” หมายถึงอะไร?
▫ การเกรงกลัวพระเจ้าเป็นผลดีอย่างไรต่อไพร่พลของพระองค์ในคราวโบราณ?
▫ พระเยซูทรงวางแบบอย่างอะไรสำหรับพวกเราเกี่ยวกับความเกรงกลัวด้วยใจเลื่อมใสในพระเจ้า?
▫ โดยวิธีใดเราจะรักษาความภักดีด้วยความเกรงกลัวพระยะโฮวา?
[รูปภาพหน้า 18]
ที่พระธรรมวิวรณ์โยฮันได้เห็นพวกน้องของพระเยซูร้อง “เพลงของโมเซ” บทเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา
[รูปภาพหน้า 20]
กองทัพฝ่ายยะโฮซาฟาดได้ชัยชนะเพราะเกรงกลัวพระยะโฮวา
[รูปภาพหน้า 23]
เดือนปีแห่งชีวิตที่ยืนยาวตลอดนิรันดร์กาลนั้นย่อมเป็นรางวัลสำหรับคนที่เกรงกลัวพระยะโฮวา