การสมรสเป็นปัจจัยสำคัญอย่างเดียวที่นำไปสู่ความสุขไหม?
“นางก็มีอิสระจะแต่งงานกับชายใดก็ได้ตามใจ แต่ต้องแต่งงานกับผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า. แต่ . . . ถ้านางจะอยู่คนเดียวจะเป็นสุขกว่า.”—1 โกรินโธ 7:39, 40, ฉบับแปลใหม่.
1. พระคัมภีร์พรรณนาถึงพระยะโฮวาไว้อย่างไร และพระองค์ได้ทรงกระทำอะไรบ้างเพื่อสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง?
พระยะโฮวาทรงเป็น “พระเจ้าแห่งความสุข.” (1 ติโมเธียว 1:11) ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงจัดให้มี “ของประทานอันดีทุกอย่างและของประทานอันสมบูรณ์ทุกอย่าง” อย่างเหลือล้น พระองค์ทรงประทานให้สิ่งมีชีวิตที่มีเชาวน์ปัญญาทุกชีวิต—ทั้งมนุษย์และทูตสวรรค์—ได้รับสมกับความต้องการเพื่อจะมีความสุขในงานรับใช้พระองค์. (ยาโกโบ 1:17, ล.ม.) ยิ่งกว่านั้น นกที่ชอบเปล่งเสียงร้องเพลง, ลูกสุนัขที่ชอบหยอกล้อ, และโลมาช่างเล่น ทั้งหมดนี้ต่างยืนยันว่าพระยะโฮวาทรงสร้างสัตว์ต่าง ๆ ให้เพลิดเพลินกับชีวิตในถิ่นที่อยู่ของมันเอง. ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญถึงกับกล่าวไว้เป็นบทกวีดังนี้: “ต้นไม้ของพระยะโฮวาอิ่มชุ่มชื่น คือต้นสนที่ภูเขาละบาโนนที่พระองค์ทรงปลูกไว้.”—บทเพลงสรรเสริญ 104:16.
2. (ก) อะไรแสดงว่าพระเยซูทรงมีความสุขในการทำตามพระทัยประสงค์ของพระบิดาของพระองค์? (ข) เหล่าสาวกของพระเยซูมีเหตุผลอะไรสำหรับความสุข?
2 พระเยซูคริสต์ทรงเป็น ‘แบบพระฉายของพระเจ้านั้นเองทีเดียว.’ (เฮ็บราย 1:3) ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่พระเยซูสมควรถูกเรียกว่า “ผู้ประกอบด้วยบรมสุขพระองค์เดียว.” (1 ติโมเธียว 6:15) พระองค์ทรงวางตัวอย่างอันยอดเยี่ยมไว้แก่เราในเรื่องวิธีที่การกระทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวานั้นสามารถทำให้เราอิ่มใจพอใจยิ่งกว่าอาหาร ก่อความปีติยินดีเต็มขนาด. นอกจากนั้น พระเยซูยังทรงแสดงให้เราเห็นว่าเราสามารถมีความเพลิดเพลินได้เมื่อแสดงความเกรงกลัวพระเจ้า นั่นคือ ด้วยความเคารพยำเกรงอย่างลึกซึ้งและด้วยความกลัวอย่างถูกต้องว่าจะทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย. (บทเพลงสรรเสริญ 40:8; ยะซายา 11:3; โยฮัน 4:34) เมื่อสาวก 70 คนกลับมา “ด้วยความปีติยินดี” หลังจากการเดินทางประกาศเรื่องราชอาณาจักร พระเยซูเองก็ “ทรงมีความสุขเกษมในพระวิญญาณบริสุทธิ์.” หลังการแสดงความชื่นชมยินดีต่อพระบิดาในคำอธิษฐาน พระองค์ทรงหันมาตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ตาทั้งหลายที่ได้เห็นการณ์ซึ่งพวกท่านได้เห็นก็เป็นสุข. เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ศาสดาพยากรณ์หลายคนและกษัตริย์หลายองค์ได้ปรารถนาใคร่เห็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้เห็น แต่เขามิได้เห็น และได้ปรารถนาใคร่ได้ยินสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้ยิน แต่เขามิได้ยิน.”—ลูกา 10:17-24.
เหตุผลที่จะมีความสุข
3. มีเหตุผลอะไรบ้างสำหรับการมีความสุข?
3 ตาของเรา น่าจะมีความสุขมิใช่หรือที่ได้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เราเห็นในความสำเร็จเป็นจริงของพระคำและพระประสงค์ของพระยะโฮวาในสมัยสุดท้ายนี้? เราน่าจะปีติยินดีมิใช่หรือที่ได้เข้าใจคำพยากรณ์ต่าง ๆ ซึ่งเหล่าผู้พยากรณ์และกษัตริย์ที่ซื่อสัตย์ในสมัยโบราณ เช่น ยะซายา, ดานิเอล, และดาวิดไม่อาจเข้าใจได้? เรายินดีมิใช่หรือที่ได้รับใช้พระยะโฮวา พระเจ้าแห่งความสุข ภายใต้การทรงนำของพระเยซูคริสต์พระมหากษัตริย์ของเรา ผู้ประกอบด้วยบรมสุข? แน่นอน เรามีความสุข!
4, 5. (ก) เพื่อคงความสุขในงานรับใช้พระยะโฮวา เราต้องหลีกเลี่ยงอะไร? (ข) อะไรคือบางสิ่งที่ส่งเสริมความสุข และสิ่งนี้ก่อให้มีคำถามอะไรขึ้นมา?
4 อย่างไรก็ตาม หากเราปรารถนาจะคงความสุขในการรับใช้พระเจ้าเอาไว้ เราต้องไม่ตั้งเงื่อนไขของเราสำหรับความสุขไว้บนแนวความคิดแบบโลก. แนวความคิดเหล่านั้นอาจครอบงำความคิดของเราได้ง่าย ๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นรวมถึงความมั่งคั่งทางวัตถุ แนวชีวิตที่ชอบอวดความหรูหรา และอื่น ๆ ในประเภทเดียวกันนี้. “ความสุข” ใด ๆ ที่ตั้งอยู่บนสิ่งเหล่านี้จะมีอยู่ชั่วประเดี๋ยวเดียว เพราะโลกนี้กำลังจะผ่านพ้นไป.—1 โยฮัน 2:15-17.
5 ผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแล้วของพระยะโฮวาส่วนมากตระหนักว่า การบรรลุเป้าหมายแบบโลกไม่ได้นำมาซึ่งความสุขแท้. เฉพาะแต่พระบิดาฝ่ายสวรรค์ของเราเท่านั้นที่ทรงจัดให้มีสิ่งฝ่ายวิญญาณและสิ่งฝ่ายวัตถุที่ส่งเสริมความสุขที่แท้จริงของผู้รับใช้ของพระองค์. เรารู้สึกขอบพระคุณจริง ๆ สำหรับอาหารฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงประทานแก่เราโดยทาง “บ่าวสัตย์ซื่อและสุขุมรอบคอบ”! (มัดธาย 24:45-47) เราขอบพระคุณด้วยเช่นกันสำหรับอาหารฝ่ายร่างกายและสิ่งฝ่ายวัตถุต่าง ๆ ที่เราได้รับจากพระหัตถ์อันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า. อนึ่ง ยังมีของประทานอันยอดเยี่ยมเช่นกันในเรื่องการสมรสและความสุขแห่งชีวิตครอบครัวซึ่งเกี่ยวเนื่องอยู่ด้วย. จึงไม่น่าประหลาดใจที่ความปรารถนาอย่างจริงใจซึ่งนาอะมีมีต่อลูกสะใภ้ของเธอได้มีการแสดงออกด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้: “ขอพระยะโฮวาทรงโปรดแก่เจ้าให้ต่างคนต่างมีที่อยู่ในเรือนของสามี.” (รูธ 1:9) ดังนั้น การสมรสจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถเปิดหนทางสู่ความสุขมากมาย. แต่การสมรสเป็นปัจจัยสำคัญเพียงอย่างเดียวเท่านั้นไหมที่เปิดประตูสู่ชีวิตที่มีความสุข? จำเป็นที่คนหนุ่มสาวโดยเฉพาะจะตรวจสอบอย่างจริงจังว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่.
6. ตามพระธรรมเยเนซิศ อะไรคือวัตถุประสงค์อันดับแรกในการจัดเตรียมการสมรสขึ้น?
6 เมื่อกล่าวถึงต้นกำเนิดแห่งการสมรส คัมภีร์ไบเบิลแถลงว่า “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบฉายาของพระองค์ และตามแบบฉายาของพระองค์นั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง. พระเจ้าได้ทรงอวยพระพรแก่มนุษย์นั้น ตรัสแก่เขาว่า ‘จงบังเกิดทวีมากขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน.’” (เยเนซิศ 1:27, 28) โดยการที่พระยะโฮวาทรงจัดตั้งการสมรสขึ้น อาดามจึงถูกใช้ทำให้มีมนุษย์มากขึ้น ด้วยวิธีนี้ จึงเป็นการแผ่ขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์. แต่ยังมีอีกมากนักที่เกี่ยวข้องกับการสมรส.
“เฉพาะผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า”
7. ข้อเรียกร้องอะไรในการสมรสที่บรรพบุรุษผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่งได้ทำตามอย่างเคร่งครัด?
7 เนื่องจากพระเจ้ายะโฮวาทรงเป็นผู้ริเริ่มการสมรส เราคงคาดหมายว่าพระองค์คงตั้งมาตรฐานสำหรับการสมรสซึ่งจะยังผลด้วยความสุขแก่ผู้รับใช้ของพระองค์. ในสมัยบุรุษต้นตระกูล การสมรสกับคนที่ไม่ใช่ผู้นมัสการแท้ของพระยะโฮวาถูกขัดขวางอย่างหนักแน่น. อับราฮามได้ให้เอลิอาซารคนต้นเรือนของท่านสาบานโดยออกพระนามพระยะโฮวาว่าเขาจะไม่หาภรรยาให้บุตรชายของท่านจากชาวคะนาอัน. เอลิอาซารจึงได้เดินทางไกลและปฏิบัติตามคำสั่งของอับราฮามอย่างเคร่งครัดเพื่อเสาะหา ‘หญิงที่พระยะโฮวาทรงหมายไว้สำหรับบุตรชายของนายของเขา.’ (เยเนซิศ 24:3, 44) ดังนั้น ยิศฮาคจึงแต่งงานกับริบะคา. เมื่อเอซาวบุตรชายของเขาเลือกภรรยามาจากท่ามกลางคนนอกรีตชาติเฮธ หญิงเหล่านั้นได้ “ทำให้ยิศฮาคกับริบะคามีใจโศกเศร้านัก.”—เยเนซิศ 26:34, 35; 27:46; 28:1, 8.
8. พระบัญญัติแห่งคำสัญญาไมตรีได้วางข้อจำกัดอะไรไว้เกี่ยวกับการสมรส และเพราะเหตุใด?
8 ภายใต้พระบัญญัติแห่งคำสัญญาไมตรี มีข้อห้ามการสมรสกับชายหรือหญิงเป็นชาติคะนาอันบางชาติโดยเฉพาะ. พระยะโฮวาทรงสั่งไพร่พลของพระองค์ดังนี้: “อย่าได้กระทำงานบ่าวสาวด้วยกันกับเขา. คือบุตรหญิงของเจ้า อย่ายกให้กับบุตรชายของเขา และบุตรหญิงของเขา อย่ารับมาเป็นภรรยาบุตรชายของเจ้าเลย. ด้วยว่าจะให้บุตรชายของเจ้าหันหวนเสียจากเราไปปฏิบัติพระอื่น ๆ พระยะโฮวาจึงจะทรงพิโรธต่อเจ้า และจะทำลายเจ้าทั้งหลายเสียโดยเร็วพลัน.”—พระบัญญัติ 7:3, 4.
9. คัมภีร์ไบเบิลให้คำแนะนำอะไรแก่คริสเตียนในเรื่องการสมรส?
9 จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจที่ข้อจำกัดคล้ายกันในเรื่องการสมรสกับผู้ที่ไม่นมัสการพระยะโฮวานั้นควรนำมาใช้ภายในประชาคมคริสเตียนด้วย. อัครสาวกเปาโลเตือนเพื่อนร่วมความเชื่อของท่านว่า “อย่าเข้าเทียมแอกกับคนไม่มีความเชื่อ. เพราะความชอบธรรมจะเป็นมิตรอย่างไรกับการละเลยกฎหมาย? หรือความสว่างมีหุ้นส่วนอะไรกับความมืด? นอกจากนั้น พระคริสต์กับเบลิอาลจะประสานกันได้อย่างไร? หรือบุคคลซื่อสัตย์จะมีส่วนอะไรกับคนไม่มีความเชื่อ?” (2 โกรินโธ 6:14, 15, ล.ม.) คำแนะนำนี้ใช้ได้ในหลายวิถีทาง และแน่นอนใช้ได้ในเรื่องการสมรสด้วย. คำสั่งสอนที่ตรงไปตรงมาของเปาโลที่ให้แก่ผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแล้วทุกคนของพระยะโฮวาคือว่า พวกเขาควรพิจารณาการสมรสกับผู้หนึ่งผู้ใด “เฉพาะต่อเมื่อเขาร่วมสามัคคีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น.”—1 โกรินโธ 7:39, เชิงอรรถพระคัมภีร์ฉบับแปลโลกใหม่ ฉบับมีข้ออ้างอิง.
ไม่สามารถสมรสกับ “ผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า”
10. คริสเตียนที่ไม่ได้สมรสจำนวนมากกำลังทำอะไร และเกิดมีคำถามอะไร?
10 คริสเตียนโสดหลายคนได้เลือกทำตามตัวอย่างของพระเยซูคริสต์โดยการรักษาของประทานแห่งความเป็นโสดเอาไว้. อีกประการหนึ่ง เนื่องจากไม่สามารถจะหาคู่ที่เกรงกลัวพระเจ้าได้ในขณะนี้และจึงสมรสกับ “ผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า” คริสเตียนที่ซื่อสัตย์หลายคนจึงมอบความวางใจในพระยะโฮวาและได้คงความเป็นโสดไว้แทนที่จะสมรสกับผู้ไม่เชื่อถือ. พระวิญญาณของพระเจ้าทรงก่อผลเช่น ความยินดี, สันติสุข, ความเชื่อ, และการรู้จักบังคับตนขึ้นภายในตัวเขา ทำให้เขาสามารถรักษาความเป็นโสดอันบริสุทธิ์ไว้ได้. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) ในท่ามกลางคนเหล่านั้นที่เผชิญการทดสอบการอุทิศตนแด่พระเจ้าอย่างเป็นผลสำเร็จเช่นนั้นเป็นพี่น้องคริสเตียนฝ่ายหญิงจำนวนมากทีเดียว ซึ่งเรามีความนับถือพวกเธออย่างยิ่ง. ในหลายประเทศ พวกเธอมีจำนวนมากกว่าพี่น้องชายและดังนั้นจึงมีส่วนในงานประกาศสั่งสอนเสียเป็นส่วนใหญ่. เป็นความจริงทีเดียว “พระยะโฮวาเองทรงประทานคำพูด; พวกสตรีที่ประกาศข่าวดีเป็นกองกำลังใหญ่โต.” (บทเพลงสรรเสริญ 68:11, ล.ม.) ที่จริง ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ยังไม่สมรสทั้งชายหญิงต่างรักษาไว้ซึ่งความภักดีเพราะพวกเขา ‘วางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดหัวใจ และพระองค์ทรงกระทำให้ทางของพวกเขาตรงไป.’ (สุภาษิต 3:5, 6) แต่คนเหล่านั้นซึ่งในขณะนี้ไม่สามารถสมรสกับ “ผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า” จะขาดความสุขอย่างแน่นอนหรือ?
11. คริสเตียนซึ่งยังคงความเป็นโสดเนื่องจากความนับถือหลักการในคัมภีร์ไบเบิลสามารถมั่นใจในเรื่องใด?
11 ขอจำไว้ว่าเราเป็นพยานของพระยะโฮวา พระเจ้าแห่งความสุข รับใช้อยู่ภายใต้พระเยซูคริสต์ พระมหากษัตริย์ผู้ประกอบด้วยความสุข. เพราะฉะนั้น หากการที่เรานับถือต่อข้อจำกัดอันชัดแจ้งที่วางไว้ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นกระตุ้นเราให้รักษาความเป็นโสดไว้เพราะไม่สามารถพบคู่สมรส “ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า” เป็นการสมเหตุสมผลไหมที่จะคิดว่า พระเจ้าและพระเยซูคริสต์จะทรงละเราให้ปราศจากความสุข? ไม่แน่ ๆ. ฉะนั้น เราต้องลงความเห็นว่าเป็นไปได้ที่จะมีความสุขในฐานะคริสเตียนโสด. พระยะโฮวาทรงสามารถทำให้เรามีความสุขแท้ได้ไม่ว่าเราจะเป็นคนที่สมรสแล้วหรือเป็นโสด.
ปัจจัยสำคัญสู่ความสุขแท้
12. กรณีของพวกทูตสวรรค์ที่ไม่เชื่อฟังนั้นบ่งชี้ถึงอะไรในเรื่องการสมรส?
12 การสมรสไม่ใช่ปัจจัยเพียงอย่างเดียวที่นำสู่ความสุขสำหรับผู้รับใช้ทุกคนของพระเจ้า. ยกตัวอย่างเช่น ทูตสวรรค์. ก่อนน้ำท่วมโลก ทูตสวรรค์บางตนได้เพาะความปรารถนาอันผิดธรรมชาติสำหรับสิ่งมีชีวิตที่เป็นกายวิญญาณขึ้น เกิดความไม่พอใจที่พวกตนไม่อาจสมรสได้ และได้แปลงกายเป็นกายเนื้อหนังเพื่อจะรับเอาผู้หญิงเป็นภรรยา. เนื่องจาก “ทูตสวรรค์เหล่านั้นได้ละทิ้งสถานที่อยู่อันควรของตน” พระเจ้าจึง “ได้ทรงจองจำ [พวกเขา] ไว้ด้วยเครื่องพันธนาการอันถาวร ภายใต้ความมืดทึบสำหรับการพิพากษาแห่งวันใหญ่.” (ยูดา 6; เยเนซิศ 6:1, 2) เป็นที่ชัดเจนว่าพระเจ้าไม่เคยจัดเตรียมให้ทูตสวรรค์ทำการสมรส. ฉะนั้น การสมรสจึงไม่อาจเป็นปัจจัยนำไปสู่ความสุขของพวกเขาจริง ๆ.
13. เหตุใดทูตสวรรค์บริสุทธิ์จึงมีความสุข และสิ่งนี้บ่งชี้ถึงสิ่งใดสำหรับผู้รับใช้ทั้งหลายของพระเจ้า?
13 กระนั้น ทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ก็มีความสุข. พระยะโฮวาได้ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก “ขณะเมื่อหมู่ดาวประจำรุ่งพร้อมกันชื่นชมยินดี และเหล่าบุตร [ทูตสวรรค์] ของพระเจ้าพร้อมเพรียงกันโห่ร้องสรรเสริญ.” (โยบ 38:7, เดอะ นิว เจรูซาเลม ไบเบิล) เหตุใดเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์จึงมีความยินดี? ก็เพราะเหล่าทูตสวรรค์ปรนนิบัติพระยะโฮวาตลอดเวลา “คอยฟังพระสุรเสียงของพระองค์” เพื่อจะปฏิบัติตามทันที. พวกเขายินดีใน “การปฏิบัติตามพระทัยพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 103:20, 21, พระคัมภีร์ฉบับมีข้ออ้างอิง, เชิงอรรถ) ถูกแล้ว ความสุขของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์เกิดจากการรับใช้พระยะโฮวาด้วยความซื่อสัตย์. นั่นคือปัจจัยสำคัญสู่ความสุขแท้สำหรับมนุษย์ด้วยเช่นกัน. นอกจากนั้น คริสเตียนผู้ถูกเจิมซึ่งสมรสแล้วที่รับใช้พระเจ้าด้วยความสุขอยู่ในขณะนี้จะไม่สมรสเมื่อถูกปลุกขึ้นจากตายสู่ชีวิตทางภาคสวรรค์ แต่พวกเขาจะมีความสุขในฐานะเป็นผู้มีชีวิตกายวิญญาณที่กระทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. ดังนั้น ไม่ว่าจะสมรสหรือเป็นโสด ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีทุกคนของพระยะโฮวาก็สามารถมีความสุขได้เพราะว่าพื้นฐานที่แท้จริงสำหรับความสุขก็คือ การรับใช้พระผู้สร้างด้วยความซื่อสัตย์.
”สิ่งที่ประเสริฐกว่าบุตรชายหญิง”
14. คำสัญญาเชิงพยากรณ์อะไรที่ได้ให้แก่พวกขันทีที่เลื่อมใสในพระเจ้าในยิศราเอลโบราณ และทำไมเรื่องนี้อาจฟังดูแปลก?
14 แม้หากว่าคริสเตียนผู้ซื่อสัตย์จะไม่สมรสเลย พระเจ้าก็ทรงรับรองว่าคนนั้นมีความสุข. อาจได้การหนุนกำลังใจจากถ้อยคำเชิงพยากรณ์นี้ซึ่งได้แถลงแก่ขันทีในสมัยยิศราเอลโบราณที่ว่า “เพราะว่าพระยะโฮวาได้ตรัสดังนี้ว่า ‘พวกขันทีที่ถือรักษาวันซะบาโตของเราและเขาได้เลือกเอาในสิ่งที่เราพออกพอใจ และได้ถือมั่นตามสันถวไมตรีของเรานั้น เราจะให้มีอนุสาวรีย์ไว้และขนานนามให้แก่เขาเหล่านั้นขึ้นไว้ภายในเรือนของเราและภายใต้กำแพงของเราให้ดีกว่าบุตรชายบุตรหญิง. เราจะขนานนามให้แก่เขาเป็นนามถาวร เป็นชื่อที่ถูกลบไม่ออกเลย.’” (ยะซายา 56:4, 5) คนเราอาจคาดว่าจะมีการสัญญาให้พวกเขามีภรรยาและบุตรเพื่อดำรงชื่อเขาไว้. แต่พวกเขาได้รับคำสัญญาใน “สิ่งที่ดีกว่าบุตรชายและบุตรหญิง” นั่นคือนามถาวรในเรือนของพระยะโฮวา.
15. อาจกล่าวได้อย่างไรเกี่ยวกับความสำเร็จของยะซายา 56:4, 5?
15 หากขันทีเหล่านั้นเป็นภาพพยากรณ์ถึง “ยิศราเอลของพระเจ้า” ละก็ พวกเขาก็จะหมายถึงผู้ถูกเจิมซึ่งได้รับที่อันถาวรในเรือน หรือพระวิหารฝ่ายวิญญาณของพระองค์. (ฆะลาเตีย 6:16) ไม่ต้องสงสัย คำพยากรณ์นี้จะมีการใช้ตามตัวอักษรกับขันทีที่เลื่อมใสพระเจ้าในพวกยิศราเอลโบราณด้วยซึ่งจะถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย. หากพวกเขายอมรับค่าไถ่ของพระคริสต์และเลือกเอาต่อไปในสิ่งที่พระยะโฮวาทรงพอพระทัย พวกเขาก็จะได้รับ “นามถาวร” ในโลกใหม่ของพระเจ้า. ข้อนี้คงใช้ได้ด้วยกับคนเหล่านั้นซึ่งอยู่ในจำพวก “แกะอื่น” ในสมัยสุดท้ายนี้ซึ่งละโอกาสจะสมรสและการเป็นบิดามารดาเพื่อจะอุทิศตัวอย่างเต็มที่ยิ่งขึ้นในงานรับใช้พระยะโฮวา. (โยฮัน 10:16) พวกเขาบางคนอาจเสียชีวิตไปโดยไม่ได้สมรสและไม่มีบุตร. แต่หากพวกเขาซื่อสัตย์ ในคราวการกลับเป็นขึ้นจากตายนั้นพวกเขาจะได้รับ “สิ่งที่ดีกว่าบุตรชายบุตรหญิง”—นั่นคือนาม “ที่ถูกลบไม่ออกเลย” ในระเบียบการใหม่.
การสมรสไม่ใช่ปัจจัยสู่ความสุขเพียงอย่างเดียว
16. เพราะเหตุใดจึงอาจกล่าวได้ว่าการสมรสไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป?
16 บางคนคิดว่าความสุขเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับการสมรสอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้. แต่ก็ต้องยอมรับว่าแม้แต่ในหมู่พยานพระยะโฮวาในทุกวันนี้ การสมรสไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป. การสมรสแก้ปัญหาบางอย่าง แต่ก็บ่อยครั้งก่อปัญหาอื่น ๆ ขึ้นมาซึ่งอาจจัดการได้ยากกว่าปัญหาที่คนโสดประสบ. เปาโลกล่าวว่าการสมรสนำมาซึ่ง ‘ความยุ่งยากลำบาก’ (1 โกรินโธ 7:28) มีหลายครั้งซึ่งคนที่สมรสแล้ว “สาละวน” และ “สองฝักสองฝ่าย.” เขาหรือเธอมักจะรู้สึกว่าเป็นการยากที่จะ “ปฏิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยปราศจากความกระวนกระวาย.”—1 โกรินโธ 7:33-35.
17, 18. (ก) ผู้ดูแลเดินทางบางคนได้รายงานอย่างไร? (ข) เปาโลให้คำแนะนำอะไร และเหตุใดจึงเป็นประโยชน์ที่จะทำตาม?
17 ทั้งการสมรสและการเป็นโสดล้วนเป็นของประทานจากพระเจ้า. (รูธ 1:9; มัดธาย 19:10-12) แต่เพื่อจะประสบความสำเร็จไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง การไตร่ตรองอย่างจริงจังเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง. ผู้ดูแลเดินทางรายงานว่า พยานฯหลายคนสมรสเมื่ออายุยังน้อยเกินไป มักกลายเป็นบิดามารดาก่อนที่พวกเขาพร้อมจะแบกภาระรับผิดชอบต่าง ๆ อันเป็นผลตามมา. การสมรสเช่นนั้นบางรายอับปาง. รายอื่น ๆ ก็รับมือกับปัญหาของพวกเขา แต่ชีวิตสมรสของพวกเขาไม่ได้นำมาซึ่งความสุข. ดังที่นักเขียนบทละครชาวอังกฤษ วิลเลียม คอนกรีฟ เขียนไว้ คนเหล่านั้นที่เร่งรีบสมรส “จะสำนึกเสียใจไปอีกนานในความหุนหันพลันแล่นของตน.”
18 ผู้ดูแลหมวดบางคนยังรายงานว่าพี่น้องหนุ่มบางคนระงับการสมัครเข้ารับใช้ในเบเธลหรือจากการสมัครเข้าโรงเรียนฝึกอบรมเพื่อการรับใช้เนื่องจากข้อเรียกร้องให้อยู่เป็นโสดระยะหนึ่ง. แต่เปาโลแนะนำไม่ให้สมรสก่อนที่คนเรา “เลยความเปล่งปลั่งแห่งวัยหนุ่มไปแล้ว” นั่นคือ ให้รอจนกระทั่งแรงปรารถนาทางเพศในระยะแรกสงบลง. (1 โกรินโธ 7:36-38) การอยู่เป็นโสดนานหลายปีทำให้คนเรามีประสบการณ์อันมีค่าและความหยั่งเห็นเข้าใจ ทำให้เขาหรือเธออยู่ในฐานะที่ดีกว่าในการเลือกคู่สมรสหรือพิจารณาตัดสินใจอย่างรอบคอบที่จะคงอยู่เป็นโสด.
19. เราน่าจะมองดูเรื่องนี้อย่างไรหากเราไม่มีความจำเป็นจริง ๆ ในเรื่องการสมรส?
19 พวกเราบางคนได้เลยความเปล่งปลั่งแห่งวัยหนุ่มสาวพร้อมด้วยแรงปรารถนาทางเพศไปแล้ว. บางครั้งเราอาจครุ่นคิดถึงข้อดีต่าง ๆ ของการสมรส แต่จริง ๆ แล้วมีของประทานแห่งความเป็นโสด. พระยะโฮวาคงเห็นว่าเรารับใช้พระองค์อย่างบังเกิดผลในสถานะเป็นโสดและไม่มีความจำเป็นจริง ๆ ในเรื่องการสมรส ซึ่งอาจเรียกร้องเราให้ละสิทธิพิเศษบางอย่างในงานรับใช้พระองค์. หากการสมรสไม่ใช้ความจำเป็นส่วนตัวและเราไม่ได้รับพระพรด้วยการมีคู่ พระเจ้าก็อาจมีสิ่งอื่น ๆ รอเราไว้. ฉะนั้น ขอให้เราแสดงความเชื่อว่าพระองค์จะทรงจัดให้เรามีสิ่งที่เราจำเป็นต้องมี. ความสุขอันมากยิ่งนั้นสืบเนื่องมาจากการยอมรับสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นพระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราด้วยความถ่อมใจ เช่นเดียวกับที่พี่น้องคริสเตียนชาวยิว ‘ได้ยอมรับในใจและสรรเสริญพระเจ้า’ เมื่อตระหนักว่าพระองค์ได้ทรงโปรดให้คนต่างชาติได้กลับใจเสียใหม่เพื่อพวกเขาอาจได้รับชีวิต.—กิจการ 11:1-18.
20. (ก) มีการให้คำแนะนำอะไรแก่คริสเตียนหนุ่มสาวเกี่ยวกับการเป็นโสด? (ข) จุดสำคัญอะไรที่เกี่ยวกับความสุขยังคงเป็นความจริงอยู่เสมอ?
20 ฉะนั้น การสมรสอาจเป็นปัจจัยสู่ความสุข กระนั้น การสมรสก็อาจเปิดทางสู่ปัญหาเช่นกัน. สิ่งหนึ่งที่แน่ ๆ ก็คือ: การสมรสไม่ใช่เป็นเพียงทางเดียว ที่จะพบความสุข. เมื่อพิจารณาทุกสิ่งแล้ว ก็คงเป็นการฉลาด โดยเฉพาะสำหรับคนหนุ่มสาว ที่จะพยายามให้มีช่วงเวลาเป็นโสดหลาย ๆ ปี. ช่วงเวลานี้สามารถใช้อย่างดีในการรับใช้พระยะโฮวาและก้าวหน้าทางฝ่ายวิญญาณ. อย่างไรก็ดี โดยไม่คำนึงถึงวัยหรือความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ จุดสำคัญนี้ยังคงเป็นความจริงเสมอสำหรับทุกคนที่ได้อุทิศตัวแด่พระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข: ความสุขแท้พบได้ในการรับใช้พระยะโฮวาด้วยความซื่อสัตย์.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ เพราะเหตุใดผู้รับใช้ของพระยะโฮวาจึงมีความสุข?
▫ ทำไมการสมรสจึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสุขที่สุด?
▫ ในการเลือกคู่สมรส อะไรเป็นข้อเรียกร้องสำหรับไพร่พลของพระยะโฮวา?
▫ เหตุใดจึงสมเหตุสมผลที่จะเชื่อว่าคริสเตียนซึ่งคงความเป็นโสดจะสามารถมีความสุขได้?
▫ จะต้องยอมรับเรื่องอะไรอันเกี่ยวกับการสมรสและความสุข?