คุณทำอย่างไรในการวิ่งแข่งเพื่อชีวิต?
“ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีแต่คนเดียว? เหตุฉะนั้น จงวิ่งเอารางวัลให้ได้.”—1 โกรินโธ 9:24.
1. คัมภีร์ไบเบิลเปรียบวิถีทางของคริสเตียนเหมือนอะไร?
คัมภีร์ไบเบิลเปรียบการแสวงหาของเราเพื่อชีวิตนิรันดรเหมือนการวิ่งแข่ง. ใกล้เวลาที่ท่านจะสิ้นชีวิต อัครสาวกเปาโลได้กล่าวถึงตัวเองว่า “ข้าพเจ้าได้เข้าในการปล้ำสู้อย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งแข่งถึงที่สุดปลายทางแล้ว ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อนั้นไว้ได้แล้ว.” ท่านได้กล่าวปลุกใจเพื่อนคริสเตียนทั้งหลายให้ทำอย่างเดียวกันเมื่อท่านพูดว่า “จงให้เราทิ้งของหนักทุกสิ่ง และบาปที่เรามักง่ายกระทำนั้นด้วย และการวิ่งแข่งซึ่งกำหนดไว้สำหรับพวกเรานั้น ให้เราวิ่งด้วยความอดทน.”—2 ติโมเธียว 4:7; เฮ็บราย 12:1.
2. เราเห็นการเริ่มแบบไหนอันเป็นสิ่งชูใจให้วิ่งแข่งเพื่อชีวิต?
2 การเปรียบเทียบอย่างนี้เหมาะ เพราะการวิ่งแข่งประกอบด้วยจุดเริ่มต้น, เส้นทางที่กำหนดไว้, และเส้นชัยหรือเป้าหมาย. เป็นเช่นนั้นกับการทำความก้าวหน้าของเราฝ่ายวิญญาณเพื่อบรรลุชีวิต. ดังที่เราได้ทราบ ทุกปีมีคนนับแสนเริ่มต้นวิ่งแข่งเพื่อชีวิต. อย่างเช่น ระหว่างห้าปีที่แล้ว มี 1,336,429 คนได้เริ่มเข้าสู่การวิ่งตามระเบียบโดยได้อุทิศตัวและรับบัพติสมาในน้ำ. การเริ่มต้นอย่างแข็งขันเช่นนั้นเป็นการให้กำลังใจได้ดียิ่ง. แต่สิ่งสำคัญคือ ทนวิ่งจนกว่าจะถึงปลายทาง. คุณกำลังทำอยู่หรือเปล่า?
การวิ่งแข่งเพื่อชีวิต
3, 4. (ก) โดยวิธีใดเปาโลได้ชี้ถึงความสำคัญในเรื่องการรักษาฝีเท้าให้ทัน? (ข) บางคนไม่ได้เชื่อฟังคำแนะนำของเปาโลอย่างไร?
3 เพื่อตอกย้ำความสำคัญเกี่ยวกับการวิ่งอย่างไม่ละลดอยู่เรื่อยไปเปาโลได้แนะนำดังนี้: “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีแต่คนเดียว? เหตุฉะนั้น จงวิ่งเอารางวัลให้ได้.”—1 โกรินโธ 9:24.
4 จริง กีฬาวิ่งแข่งในสมัยโบราณ ผู้รับรางวัลมีเพียงคนเดียว. แต่ในการวิ่งแข่งเพื่อชีวิต ทุกคน มีสิทธิได้รางวัล. สำคัญเพียงอย่างเดียวคือต้องอยู่ในการวิ่งแข่งกระทั่งถึงเส้นชัย! เป็นที่น่ายินดี หลายคนได้อดทนวิ่งไม่หยุดยั้งตราบจนสิ้นชีวิต เช่นเดียวกับอัครสาวกเปาโล. และหลายล้านคนยังคงวิ่งอยู่เรื่อย ๆ. แต่บางคนไม่ได้มุ่งมั่นไปข้างหน้าหรือไม่ทำความก้าวหน้าเพื่อให้ถึงเป้าหมาย. เขาปล่อยให้สิ่งอื่นเป็นอุปสรรคขัดขวางจนกระทั่งเขาต้องออกจากการวิ่งหรือได้ละเมิดกติกาข้อใดข้อหนึ่ง. (ฆะลาเตีย 5:7) ทั้งนี้น่าจะเป็นเหตุให้พวกเราทุกคนตรวจสอบว่าเราทำกันอย่างไรในการวิ่งเพื่อชีวิต.
5. เปาโลเปรียบเทียบการวิ่งเพื่อชีวิตกับการกีฬาที่ชิงชัยกันหรือเปล่า? จงอธิบาย.
5 อาจตั้งคำถามว่า เปาโลนึกถึงอะไรเมื่อท่านกล่าวว่า “คนที่รับรางวัลมีแต่คนเดียว”? ดังที่ได้สังเกตตอนต้น ท่านไม่หมายความว่าในบรรดาคนเหล่านั้นที่ลงวิ่งเพื่อชีวิต มีแต่คนเดียวจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นรางวัล. คงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหลายครั้งหลายคราว ท่านชี้ให้เห็นกระจ่างว่าพระเจ้ามีพระทัยประสงค์จะให้คนทุกชนิดได้รอด. (โรม 5:18; 1 ติโมเธียว 2:3, 4; 4:10; ติโต 2:11) ท่านไม่ได้บอกว่าการวิ่งเพื่อชีวิตเป็นการแข่งขันซึ่งผู้ร่วมแข่งทุกคนพยายามวิ่งให้ชนะคนอื่น. ชาวโกรินโธรู้ดีว่าน้ำใจประชันขันแข่งมีอยู่ท่ามกลางผู้ร่วมในกีฬาอิสท์เมียน กล่าวกันว่า สมัยนั้นการแข่งกีฬาที่นี่โด่งดังยิ่งกว่ากีฬาโอลิมปิกเสียอีก. เช่นนั้นแล้ว เปาโลคำนึงถึงอะไร?
6. ท้องเรื่องเผยถึงอะไรเกี่ยวกับคำชี้แจงของเปาโลว่าด้วยนักวิ่งและการวิ่งแข่ง?
6 ในการให้ภาพประกอบเกี่ยวกับนักวิ่งแข่ง แรกทีเดียว เปาโลแจงถึงเรื่องความหวังในความรอดสำหรับตัวเอง. ในข้ออื่น ๆ ก่อนหน้านั้น ท่านพรรณนาว่าท่านทำงานหนักและบากบั่นทำหลายวิธีมาแล้วเพียงใด. (1 โกรินโธ 9:19-22) ครั้นแล้ว ที่ข้อ 23 ท่านพูดว่า “ข้าพเจ้าทำอย่างนี้เพราะเห็นแก่กิตติคุณ เพื่อข้าพเจ้าจะได้เข้าส่วนกับท่านทั้งหลายในกิตติคุณนั้น.” ท่านตระหนักว่าหลักค้ำประกันความรอดสำหรับตัวเองนั้นหาใช่เพราะท่านได้ถูกเลือกเป็นอัครสาวกไม่ หรือไม่ใช่ด้วยเหตุที่ท่านเคยประกาศสั่งสอนคนทั้งหลายมานานหลายปี. เพื่อจะร่วมรับพระพรแห่งกิตติคุณ ท่านก็ต้องทำทุกอย่างต่อไปเต็มกำลังและความสามารถที่มีอยู่เพื่อเห็นแก่กิตติคุณ. ท่านต้องวิ่งพร้อมกับมีความตั้งใจจะชนะให้ได้ ใช้ความพยายามเต็มที่ประหนึ่งตัวท่านเองวิ่งอยู่ในสนามแข่งกีฬาอิสท์เมียนนั้นทีเดียว ซึ่ง “คนที่ได้รับรางวัลมีแต่คนเดียว.”—1 โกรินโธ 9:24ก.
7. อะไรเป็นสิ่งจำเป็นที่จะ “วิ่งเอารางวัลให้ได้”?
7 มีหลายอย่างที่เราจะเรียนได้จากเรื่องนี้. ถึงแม้ทุกคนที่สมทบในการแข่งต้องการชนะก็ตาม เฉพาะผู้ที่ตั้งใจอย่างแท้จริงว่าจะชนะจึงมีความหวังจะทำได้. ดังนั้น เราไม่ควรรู้สึกกระหยิ่มใจเพราะเราอยู่ในการแข่งขัน. เราไม่ควรคิดว่าทุกสิ่งจะเรียบร้อยดี เนื่องจากเราอยู่ ‘ในความจริง.’ เราอาจมีชื่อเรียกว่าคริสเตียน แต่มีหลักฐานพิสูจน์ไหมว่าเราเป็นคริสเตียน? เช่น เราทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเรารู้ว่าคริสเตียนพึงกระทำ เป็นต้นว่า การร่วมประชุมของคริสเตียน, การมีส่วนในงานประกาศสั่งสอนตามบ้าน, และอื่น ๆ อีก. ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าชมเชย และเราน่าจะอุตส่าห์ผดุงนิสัยที่ดีเยี่ยมนั้นไว้เสมอ. กระนั้น เป็นไปได้ไหมที่เราจะได้ประโยชน์มากขึ้นจากสิ่งที่เราทำ? อย่างเช่น เราเตรียมส่วนเพื่อสนับสนุนการประชุมเสมอไหม? เราพยายามนำเอาความรู้ที่เรียนมาใช้เป็นประโยชน์กับการดำเนินชีวิตส่วนตัวไหม? เราเอาใจใส่ปรับปรุงทักษะของเราไหมเพื่อเราจะสามารถให้คำพยานอย่างทั่วถึง แม้นเราประสบการขัดขวางขณะออกทำงานประกาศตามบ้าน? เรายินดีรับการท้าทายไหมด้วยการกลับเยี่ยมคนสนใจและนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล? เปาโลกล่าวปลุกใจดังนี้: “จงวิ่งเอารางวัลให้ได้.”—1 โกรินโธ 9:24ข.
แสดงการรู้จักบังคับตนในทุกสิ่ง
8. อะไรอาจเป็นสาเหตุให้เปาโลเตือนเพื่อนคริสเตียนของท่านให้ ‘แสดงการรู้จักบังคับตนในทุกสิ่ง’?
8 ในชั่วชีวิตของท่าน เปาโลได้เห็นหลายคนช้าลง, บ้างก็ปล่อยปละละเลย, หรือเลิกวิ่งเพื่อชีวิต. (1 ติโมเธียว 1:19, 20; เฮ็บราย 2:1) นั้นแหละคือสาเหตุที่ท่านเตือนเพื่อนคริสเตียนครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพวกเขาอยู่ในการวิ่งแข่งอันยากลำบากและต่อเนื่อง. (เอเฟโซ 6:12; 1 ติโมเธียว 6:12) ท่านได้ยกอุทธาหรณ์เกี่ยวกับนักวิ่งขึ้นมาพูดอีกขั้นหนึ่งว่า “ฝ่ายทุกคนที่วิ่งแข่งขันกันเพื่อเอาชนะ ก็ระวังรักษาตัวทุกอย่าง [แสดงการรู้จักบังคับตนในทุกสิ่ง, ล.ม.].” (1 โกรินโธ 9:25ก) ด้วยการพูดเช่นนี้ เปาโลพาดพิงถึงบางสิ่งซึ่งคริสเตียนชาวโกรินโธรู้จักคุ้นเคยดี คือการฝึกอย่างเข้มงวดของนักวิ่งแข่งชิงรางวัลที่กีฬาอิสท์เมียน.
9, 10. (ก) ข้อเขียนจากแหล่งหนึ่งพรรณนาอย่างไรเรื่องผู้แข่งขันชิงรางวัลที่กีฬาอิสท์เมียน? (ข) สิ่งที่ควรแก่การสังเกตโดยเฉพาะเกี่ยวด้วยคำพรรณนานี้คืออะไร?
9 ต่อไปนี้คือคำพรรณนาที่ให้ภาพชัดเจนของผู้รับการฝึกเพื่อชิงรางวัล:
“ด้วยความอิ่มเอิบใจและไม่มีการบ่นพึมพำ เขายอมตัวต่อกฎข้อบังคับต่าง ๆ ตลอดระยะการฝึกสิบเดือน หากฝึกไม่ครบ เขาลงแข่งขันไม่ได้. . . . เขาภูมิใจในการยากลำบากเล็ก ๆ น้อย ๆ, ความอ่อนเพลีย, และการเสียสละ, และถือว่าเป็นเกียรติหากต้องงดเว้นสิ่งใด ๆ อันอาจทำลายโอกาสที่เขาจะชนะ. เขามองเห็นคนอื่นมุ่งสนใจแต่จะกินอาหาร พักผ่อนอย่างสบายในขณะที่เขาเหนื่อยหอบเนื่องจากการโหมฝึกออกกำลังกาย แถมนอนแช่ตัวในอ่างอาบน้ำอย่างสุขารมณ์ มีชีวิตสนุกสนาน แต่เขาไม่คิดอิจฉาแม้แต่น้อยเพราะเขาจดจ่ออยู่ที่รางวัล และการฝึกอย่างเข้มงวดเป็นสิ่งจำเป็น. เขารู้ว่าจะพลาดโอกาสเป็นแน่ หากจุดไหนหรือยามใดเขาหย่อนการเข้มงวดกวดขันทางวินัย.”—คำอธิบายเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล เล่มห้า หน้า 674.
10 เรื่องน่าสนใจเป็นพิเศษได้แก่การสังเกตเห็นผู้รับการฝึกนี้ “ถือว่าเป็นเกียรติ” ที่จะปฏิบัติตนเป็นกิจวัตรอันเข็มงวดที่ว่าด้วยการเสียสละ. ที่จริง เขา “ไม่คิดอิจฉาแม้แต่น้อย” เมื่อเห็นคนอื่นชื่นชมอยู่กับความสะดวกสบาย. เราจะเรียนบางอย่างจากเรื่องนี้ได้ไหม? ได้แน่นอน.
11. ขณะที่เราเข้าอยู่ในการวิ่งเพื่อชีวิต เราต้องระวังอย่าได้มีทัศนะอะไรซึ่งไม่ถูกต้อง?
11 ขอให้นึกถึงคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “ประตูใหญ่และทางกว้างนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตูคับและทางแคบซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็มีผู้พบปะน้อย.” (มัดธาย 7:13, 14) ขณะที่คุณบากบั่นจะเดิน ‘ในทางแคบ’ คุณอิจฉาคนเหล่านั้นที่อยู่บนเส้นทางซึ่งดูเหมือนว่ามีเสรีภาพและสะดวกสบายไหม? คุณคิดว่าคุณพลาดอะไรบางอย่างไหมที่คนอื่นทำกันอยู่ ซึ่งดู ๆ ก็ไม่เลวร้ายอะไรนัก? มันง่ายที่เราจะมีความรู้สึกเช่นนี้ถ้าเราไม่จำใส่ใจว่าทำไมเราจึงรับแนวทางนั้น. เปาโลกล่าวว่า “ฝ่ายเขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ที่จะร่วงโรยเสียได้ แต่เราจะได้มงกุฎที่ไม่รู้ร่วงโรย.”—1 โกรินโธ 9:25ข.
12. เหตุใดจึงกล่าวได้ว่าสง่าราศีและชื่อเสียงซึ่งผู้คนใฝ่หานั้น เหมือนกับมงกุฎที่ร่วงโรยได้ ซึ่งมอบเป็นรางวัลผู้ชนะการวิ่งแข่ง ณ กีฬาอิสท์เมียน?
12 ผู้ชนะการวิ่งแข่งที่กีฬาอิสท์เมียนนั้นได้รับมาลัยใบสนหรือใบไม้ประเภทดังกล่าวจากแถบถิ่นนั้น ซึ่งคงเหี่ยวเฉาภายในวันสองวันหรือหนึ่งหรือสองสัปดาห์. จริงอยู่ นักกีฬาคงไม่วิ่งแข่งเพื่อมาลัยที่เหี่ยวแห้งได้ แต่เขาวิ่งแข่งเพื่อสง่าราศี, เกียรติ, และชื่อเสียงที่มาพร้อมกับชัยชนะ. แหล่งหนึ่งกล่าวพาดพิงเรื่องนี้ว่าเมื่อผู้ชนะกลับบ้าน เขาได้รับการต้อนรับอย่างวีรชน. บ่อยครั้งมีการรื้อกำแพงเมืองเปิดทางให้ขบวนแห่ผ่าน และมีการสร้างอนุสาวรีย์เทิดทูนเป็นเกียรติแก่เขา. แต่ทั้งที่กระทำสิ่งเหล่านี้ก็ตาม สง่าราศีของเขาก็ยังเสื่อมสลายลง. ทุกวันนี้ มีไม่กี่คนรู้จักวีรชนเหล่านั้นที่กำชัยชนะ และคนส่วนใหญ่ไม่สนใจ. คนเหล่านั้นที่สละเวลา, พลังกาย, สุขภาพ, กระทั่งความสุขในครอบครัวเพื่อจะได้อำนาจ, ชื่อเสียง, และความร่ำรวยในโลก แต่ไม่มั่งมีจำเพาะพระเจ้า ก็จะพบว่า “มงกุฎ” ของเขาทางด้านวัตถุ เหมือนชีวิตของเขา ก็ล่วงผ่านไปเท่านั้น.—มัดธาย 6:19, 20; ลูกา 12:16-21.
13. วิถีชีวิตของคนที่วิ่งเพื่อชีวิตต่างกันอย่างไรกับนักกีฬาที่แข่งขันกัน?
13 ในการกีฬา ผู้ลงแข่งชิงรางวัลอาจเต็มใจยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องด้วยการฝึกซ้อมอันเข้มงวด ดังกล่าวแล้วข้างต้น แต่ก็เป็นช่วงเวลาจำกัดเท่านั้น. ครั้นการแข่งขันสิ้นสุดแล้ว คนเหล่านี้กลับไปดำเนินชีวิตตามปกติ. เขาอาจฝึกฝนเป็นครั้งคราวเพื่อคงความช่ำชอง ทว่าเขาไม่ปฏิบัติในแนวเดิมด้วยการคอยควบคุมตัวเองอย่างเข้มงวดอยู่เรื่อยไป อย่างน้อยก็จนกว่าถึงเวลาการแข่งขันคราวต่อไป. ไม่เป็นเช่นนั้นกับคนที่อยู่ในการวิ่งเพื่อชีวิต. สำหรับพวกเขาแล้วการฝึกฝนและปฏิเสธตัวเองต้องเป็นวิถีชีวิตทีเดียว.—1 ติโมเธียว 6:6-8.
14, 15. ทำไมผู้ชิงรางวัลในการวิ่งเพื่อชีวิตจึงต้องแสดงการรู้จักบังคับตนอยู่เสมอ?
14 พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกและคนที่ร่วมชุมนุมกันว่า “ถ้าผู้ใดใคร่จะตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง (หรือ, “เขาต้องห้ามตัวเอง” ตามฉบับแปลของ ชาร์ลส์ บี. วิเลียมส์) แล้วรับกางเขนของตน [หลักทรมาน, ล.ม.] แบกตามเรามา.” (มาระโก 8:34) เมื่อเรารับคำเชิญนี้แล้ว เราจำต้องเตรียมตัวเพื่อทำเช่นนั้น “ต่อ ๆ ไป” ไม่ใช่เพราะมีคุณความดีบางอย่างเป็นพิเศษในการควบคุมตัวเอง แต่เพราะการอันไม่สมควรเพียงชั่วขณะหนึ่ง, การพลาดในการวินิจฉัยที่ดีไปนิดเดียวก็อาจลบล้างทุกอย่างซึ่งได้สร้างเสริมขึ้นมา กระทั่งเป็นอันตรายแก่สวัสดิภาพถาวรของเราด้วยซ้ำ. ความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณมักจะดำเนินไปอย่างค่อนข้างช้า แต่มันจะถูกลบล้างได้อย่างรวดเร็วเพียงไรหากเราไม่เฝ้าระวังอยู่เรื่อย ๆ!
15 ยิ่งกว่านั้น เปาโลได้เตือนว่าเราต้องรู้จักบังคับตน “ในทุกสิ่ง” นั้นคือเราต้องทำเช่นนั้นอยู่เสมอในทุกแง่มุมของชีวิต. ทั้งนี้นับว่ามีเหตุผลดี เพราะถ้าคนที่กำลังรับการฝึกปล่อยตัวหรือดำเนินชีวิตอย่างเสเพล จะเป็นประโยชน์อันใดเล่าในการที่เขายอมเหนื่อยยากและสู้ทนอาการเจ็บปวดด้านร่างกายทุกอย่าง? ทำนองเดียวกันกับการวิ่งของเราเพื่อชีวิต เราต้องรู้จักบังคับตนในทุกสิ่ง. คนเราอาจควบคุมตัวเองได้ในหลายสิ่ง เช่น ไม่ดื่มจนเมามายหรือไม่ผิดศีลธรรมทางเพศ แต่คุณค่าของการรู้จักบังคับตนของเขาจะน้อยลงหากเขายโสและชอบโต้เถียง. หรือจะเป็นอย่างไรถ้าเขาเป็นคนอดกลั้นและมีความกรุณาต่อผู้อื่น แต่ปิดบังอำพรางการบาปบางอย่างที่ตนแอบทำในชีวิตส่วนตัว? เพื่อจะให้การรู้จักบังคับตนเป็นประโยชน์เต็มที่ ก็จำเป็นต้องแสดงให้ปรากฏ “ในทุกสิ่ง.”—เทียบกับยาโกโบ 2:10, 11.
วิ่ง “โดยหวังชนะเป็นแน่”
16. ที่จะวิ่ง “ใช่ว่าไม่แน่นอน” หมายความว่าอย่างไร?
16 เมื่อเห็นว่าความบากบั่นอย่างทรหดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวิ่งเพื่อชีวิตจะสำเร็จผล เปาโลจึงกล่าวสืบไปดังนี้: “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งแข่งโดยหวังชนะเป็นแน่ [ใช่ว่าไม่แน่นอน, ล.ม.]; ข้าพเจ้าต่อสู้ไม่เหมือนนักมวยที่ชกลม.” (1 โกรินโธ 9:26) คำ “ไม่แน่นอน” ตามตัวอักษรหมายถึง “ไม่มีหลักฐาน, สังเกตไม่ได้, ไม่มีหมายสำคัญ.” ดังนั้น ที่จะวิ่ง “ใช่ว่าไม่แน่นอน” หมายความว่าปรากฏชัดแก่ผู้สังเกตการณ์ทุกคนว่านักวิ่งมุ่งหน้าไปทิศทางใด. คัมภีร์ฉบับแปล ดิ แองคอร์ ไบเบิล ถอดความตอนนี้ว่า “ไม่คดเคี้ยวไปมา.” ถ้าคุณเห็นรอยเท้าเป็นทางคดเคี้ยววกวนและบางทีส่อร่องรอยเดินถอยหลังด้วยซ้ำ คุณรู้ว่าคนนั้นไม่ได้วิ่งเป็นแน่ อย่าว่าแต่เขาคิดจะไปทางไหน. แต่ถ้าคุณเห็นรอยเท้าเป็นแนวยาวเหยียดแต่ละรอยแสดงฝีเท้าก้าวสืบกันเป็นระยะสม่ำเสมอ คุณจะสรุปได้ว่านั้นคือรอยเท้าของคนที่แน่ใจว่าเขาจะไปที่ไหน.
17. (ก) เปาโลแสดงให้เห็นอย่างไรว่าท่านได้วิ่ง “ใช่ว่าไม่แน่นอน”? (ข) พวกเราสามารถเอาอย่างเปาโลในเรื่องนี้โดยวิธีใด?
17 ชีวิตของเปาโลแจ้งชัดว่าท่านวิ่ง “ใช่ว่าไม่แน่นอน.” ท่านมีหลักฐานมากมายยืนยันได้ว่าท่านเป็นคริสเตียนทำการประกาศสั่งสอนและเป็นอัครสาวก. ท่านมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว และท่านก็พยายามบากบั่นอย่างไม่ย่อท้อตลอดชีวิตของท่านเพื่อเอาให้ได้. ท่านไม่เคยยอมให้ชื่อเสียง, อำนาจ, ความร่ำรวย, หรือความสะดวกสบายล่อท่านให้หลงไปกับสิ่งดังกล่าว แม้ท่านสามารถจะได้ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็ตาม. (กิจการ 20:24; 1 โกรินโธ 9:2; 2 โกรินโธ 3:2, 3; ฟิลิปปอย 3:8, 13, 14) เมื่อคุณมองย้อนการดำเนินชีวิตของตัวเอง คุณเห็นร่องรอยทางเดินแบบไหน? รอยทางเดินที่ตรงแน่วชี้ถึงทิศทางที่ชัดเจน หรือร่องรอยแสดงว่าขาดจุดหมาย? มีหลักฐานแสดงให้เห็นไหมว่าคุณเข้าส่วนในการวิ่งเพื่อชีวิต? จำไว้ว่า พวกเราอยู่ในการวิ่งแข่งประเภทนี้ ไม่ใช่เพียงแต่ปล่อยไปตามเรื่องตามราว แต่เพื่อให้ลุถึงหลักชัย.
18. (ก) ในส่วนของเราอะไรที่เปรียบเหมือนการ “ชกลม”? (ข) เหตุใดการติดตามแนวทางเช่นนั้นเป็นอันตราย?
18 ในการให้ภาพคล้ายกันเกี่ยวกับกีฬาอีกประเภทหนึ่ง เปาโลได้พูดต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้าต่อสู้ไม่เหมือนนักมวยที่ชกลม.” (1 โกรินโธ 9:26ข) ในการวิ่งแข่งเพื่อชีวิต เรามีศัตรูหลายรูปแบบต่างกัน รวมทั้งซาตาน, โลก,และความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง. เช่นเดียวกับนักมวยสมัยโบราณ เราต้องสามารถคว่ำศัตรูได้โดยหมัดเด็ดตรงเป้าหมาย. น่ายินดี พระเจ้ายะโฮวาทรงฝึกพวกเราและสนับสนุนเราในการต่อสู้. พระองค์ทรงจัดเตรียมคำแนะนำต่าง ๆ ไว้ในพระวจนะของพระองค์ ในสรรพหนังสือคู่มือศึกษาพระคัมภีร์ และ ณ การประชุมฝ่ายคริสเตียน. อย่างไรก็ตาม ถ้าเราอ่านคัมภีรไบเบิลและสรรพหนังสือ และไปร่วมประชุม แต่ไม่ปฏิบัติตามความรู้ที่เรียนมา เราเปลืองความพยายามของเราไปเปล่า ๆ มิใช่หรือ คือ “ชกลม”? การทำเช่นนั้นนำเราเข้าสู่อันตรายร้ายแรง. เราคิดว่าเรากำลังต่อสู้ และเราก็ตระหนักอย่างผิด ๆ ว่าปลอดภัย แต่เราไม่เอาชนะศัตรู. ด้วยเหตุนี้ สาวกยาโกโบจึงแนะนำว่า “จงเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามพระคำ และไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น โดยหลอกตัวเองด้วยการคิดหาเหตุผลผิด ๆ.” เช่นเดียวกันกับการ “ชกลม” ไม่ทำให้ศัตรูของเราพิการฉันใด การเป็น “แต่เพียงผู้ฟัง” ก็ไม่เป็นที่รับรองได้ว่าเรากระทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าฉันนั้น.—ยาโกโบ 1:22; 1 ซามูเอล 15:22; มัดธาย 7:24, 25.
19. เราจะให้แน่ใจได้อย่างไรว่าเราไม่กลายเป็นคนที่พระเจ้าไม่พอพระทัยในทางหนึ่งทางใด?
19 ประการสุดท้าย เปาโลบอกเคล็ดลับความสำเร็จแก่เรา: “แต่ข้าพเจ้าทุบตีร่างกายของข้าพเจ้า และจูงมันเยี่ยงทาส เพื่อว่าหลังจากข้าพเจ้าได้ประกาศแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะไม่กลายเป็นคนที่ไม่เป็นที่พอพระทัยในทางใดทางหนึ่ง.” (1 โกรินโธ 9:27, ล.ม.) เช่นเดียวกันกับเปาโล เราจะต้องเอาชนะเนื้อหนังอันไม่สมบูรณ์ของเรา แทนที่จะปล่อยให้มันเป็นนายของเรา. เราจำเป็นต้องถอนรากแนวโน้มต่าง ๆ, ความใคร่, และความปรารถนาอันเป็นการของเนื้อหนัง. (โรม 8:5-8; ยาโกโบ 1:14, 15) การทำเช่นนั้นอาจเจ็บปวดก็ได้ เนื่องจากคำที่แปลว่า “ทุบตี” ตามตัวอักษรหมายถึง ‘ชกใต้ตา’ (คิงดอม อินเทอร์ลิเนีย). แต่จะดีกว่าไหมหากตาฟกช้ำแต่มีชีวิตอยู่แทนที่จะยอมแพ้แก่ความปรารถนาของเนื้อหนังที่ผิดบาปและต้องเสียชีวิต?—เทียบกับมัดธาย 5:28, 29; 18:9; 1 โยฮัน 2:15-17.
20. ทำไมที่จะตรวจสอบตัวเองว่าเราทำอย่างไรในการวิ่งเพื่อชีวิตจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนโดยเฉพาะในเวลานี้?
20 ทุกวันนี้ พวกเรากำลังใกล้จะถึงหลักชัยอยู่แล้ว. เวลาที่จะรับรางวัลก็อยู่แค่เอื้อม. สำหรับคริสเตียนผู้ถูกเจิม นั่นหมายถึง “รางวัลซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ขึ้นไปโดยทางพระเยซูคริสต์.” (ฟิลิปปอย 3:14) สำหรับคนทั้งหลายจำพวกชนฝูงใหญ่ รางวัลนั้นคือชีวิตนิรันดรบนแผ่นดินโลกในสภาพอุทยาน. ในเมื่อตกอยู่ในสภาพหมิ่นเหม่ต่ออันตราย จงให้เราตั้งใจ อย่างอัครสาวกเปาโล ว่าเราจะ “ไม่เป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้การไม่ได้.” ขอให้พวกเราทุกคนรับเอาคำสั่งนี้ใส่ใจไว้: “จงวิ่งเอารางวัลให้ได้.”—1 โกรินโธ 9:24, 27.
คุณจำได้ไหม?
▫ เหตุใดการเปรียบชีวิตคริสเตียนเหมือนการวิ่งนับว่าเหมาะสม?
▫ การวิ่งแข่งเพื่อชีวิตแตกต่างกับกีฬาวิ่งแข่งอย่างไร?
▫ ทำไมเราจึงต้องแสดงการรู้จักบังคับตนอยู่เสมอ และ“ในทุกสิ่ง”?
▫ คนเราวิ่ง “ใช่ว่าไม่แน่นอน” นั้นอย่างไร?
▫ ทำไมจึงเป็นอันตรายหากเพียงแต่ “ชกลม”?
[รูปภาพหน้า 16]
มาลัยสำหรับผู้ชนะเลิศพร้อมด้วยสง่าราศี และเกียรติยศเป็นสิ่งที่เลือนหายไปได้