จงเปลี่ยนแปลงจิตใจและรับความสว่างไว้ในหัวใจ
“ด้วยเหตุนั้น ในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจึงบอกและเป็นพยานแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ดำเนินอย่างนานาชาติอีกต่อไป.”—เอเฟโซ 4:17, ล.ม.
1. จิตใจและหัวใจทำอะไรให้เรา?
จิตใจและหัวใจเป็นสองสิ่งที่มีความสามารถอันน่าพิศวงอย่างยิ่งที่มนุษย์เป็นเจ้าของ. แม้สองสิ่งนี้มีบทบาทมากมายนับไม่ถ้วน แต่ทั้งสองอย่างก็มีความโดดเด่นเฉพาะสำหรับแต่ละคน. บุคลิกลักษณะ, การพูด, การประพฤติ, อารมณ์, และค่านิยมของเรา ทุกอย่างได้รับผลกระทบอย่างลึกซึ้งจากการดำเนินงานของจิตใจและหัวใจของเราทั้งสิ้น.
2, 3. (ก) พระคัมภีร์ใช้คำ “หัวใจ” และ “จิตใจ” อย่างไร? (ข) ทำไมเราต้องให้ความสนใจต่อทั้งหัวใจและจิตใจ?
2 ในพระคัมภีร์ ปกติแล้วคำ “หัวใจ” พาดพิงถึงแรงกระตุ้น, อารมณ์, และความรู้สึกภายใน; ส่วนคำ “จิตใจ” มักจะใช้กับภูมิปัญญาและความสามารถในการคิด. กระนั้น หัวใจและจิตใจก็ไม่ใช่ว่าไม่เกี่ยวข้องกัน. ยกตัวอย่าง โมเซกล่าวตักเตือนชาวยิศราเอลดังนี้: “จงรู้ . . . และตรองดูในใจ [หัวใจ, ล.ม., เชิงอรรถ, “ตรองดูในจิตใจ”] เจ้าว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้า.” (พระบัญญัติ 4:39) พระเยซูได้ตรัสแก่พวกอาลักษณ์ซึ่งวางอุบายต่อต้านพระองค์ว่า “เหตุไฉนท่านทั้งหลายคิดความชั่วในใจ [หัวใจ, ล.ม.] เล่า?”—มัดธาย 9:4; มาระโก 2:6, 7.
3 ข้อนี้แสดงว่าจิตใจและหัวใจสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด. แต่ละอย่างมีปฏิกิริยาต่อกันและกัน บางครั้งเสริมซึ่งกันและกันที่จะทำงานประสานกัน แต่กระนั้น บ่อยครั้งก็ต่อสู้กันเพื่อจะมีอำนาจเหนือกว่า. (มัดธาย 22:37; เทียบกับโรม 7:23.) ด้วยเหตุผลนี้เอง เพื่อจะได้รับความโปรดปรานจากพระยะโฮวา เราจำต้องไม่เพียงแต่แน่ใจในสภาพแห่งความคิดและหัวใจของเรา แต่เราจะต้องฝึกทั้งสองอย่างให้ทำงานประสานกลมเกลียวกัน ดึงไปทางเดียวกัน. เราต้องเปลี่ยนแปลงจิตใจและรับเอาความสว่างไว้ในหัวใจ.—บทเพลงสรรเสริญ 119:34; สุภาษิต 3:1.
‘แนวทางที่นานาชาติดำเนินอยู่’
4. ซาตานใช้อำนาจชักจูงจิตใจและหัวใจของมนุษย์โดยวิธีใด และผลเป็นอย่างไร?
4 ซาตานเป็นผู้เชี่ยวชาญในการหลอกลวงและใช้เล่ห์กล. มันรู้ว่าที่จะควบคุมมนุษย์ได้ก็ต้องเล็งเป้าไปที่จิตใจและหัวใจ. นับแต่แรกเริ่มประวัติศาสตร์มนุษย์ มันได้ใช้อุบายล่อไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งให้สำเร็จตามเป้าหมาย. ผลก็คือ “โลกทั้งสิ้นทอดตัวจมอยู่ในมารร้าย.” (1 โยฮัน 5:19) อันที่จริง ซาตานใช้อิทธิพลชักนำหัวใจและจิตใจของผู้คนในโลกสำเร็จถึงขนาดที่พระคัมภีร์พรรณนาคนเหล่านั้นว่าเป็น “คนชาติคดโกงและดื้อด้าน.” (ฟิลิปปอย 2:15) อัครสาวกเปาโลพรรณนาภาพชัดเจนเกี่ยวด้วยสภาพหัวใจและจิตใจผู้คนที่คดโกงและดื้อด้านในยุคนั้น และคำพูดของท่านเป็นข้อเตือนสติเราทั้งหลายในทุกวันนี้. เพื่อเป็นตัวอย่าง โปรดอ่านเอเฟโซ 4:17-19 และเทียบกับคำกล่าวของเปาโลที่โรม 1:21-24.
5. เหตุใดเปาโลจึงได้เขียนกำชับชาวเอเฟโซอย่างจริงจัง?
5 เราสามารถจะหยั่งเห็นเหตุผลที่เปาโลได้เขียนเตือนคริสเตียนในเอเฟโซอย่างจริงจัง เมื่อเราจำได้ว่าเมืองนั้นขึ้นชื่อในด้านการประพฤติเสื่อมทรามทางศีลธรรมและการบูชารูปเคารพของพวกนอกรีต. แม้นชาวกรีกมีนักคิดและนักปราชญ์ที่เลื่องชื่อในท่ามกลางพวกเขาก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าการศึกษาแบบกรีกทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยมีช่องทางประกอบการชั่วมากขึ้น และวัฒนธรรมของเขาก็ยิ่งกล่อมเกลาให้ไปในทางชั่วได้มาก. เปาโลเป็นห่วงเพื่อนคริสเตียนเหล่านั้นอย่างสุดซึ้งที่อยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าว. ท่านทราบดีว่ามีหลายคนซึ่งแต่ก่อนก็เป็นชาวโลกและเคย “ประพฤติในการบาปนั้นตามอย่างโลก.” แต่มาบัดนี้เขาได้รับรองเอาความจริง. จิตใจของเขาได้รับการแก้ไข ทั้งหัวใจของเขาก็ได้รับความสว่างแล้ว. ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เปาโลปรารถนาให้เขา “ประพฤติสมกับที่ . . . ทรงถูกเรียกแล้วนั้น.”—เอเฟโซ 2:2; 4:1.
6. เหตุใดพวกเราควรสนใจถ้อยคำของเปาโล?
6 สภาพการณ์คล้ายคลึงกันในสมัยนี้. พวกเราก็เช่นกันอยู่ในโลกที่มีค่านิยมถูกบิดเบือน, ศีลธรรมเสื่อม, และกิจปฏิบัติทางศาสนาไม่ถูกต้อง. หลายคนท่ามกลางพวกเราครั้งหนึ่งได้ดำเนินชีวิตตามระบบแห่งสิ่งต่าง ๆ ของโลกนี้. หลายคนในพวกเราต้องทำงานด้วยกันกับชาวโลกแทบทุกวัน. บางคนอยู่ในครอบครัวซึ่งครอบงำด้วยน้ำใจแบบโลก. ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นเฉพาะหน้าทีเดียวที่เราพึงเข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำของเปาโลและรับประโยชน์จากคำแนะนำของท่าน.
ความคิดอันไร้ประโยชน์และมืดมน
7. เปาโลหมายความอย่างไรเมื่อท่านใช้ถ้อยคำ “ความคิดอันไร้ประโยชน์”?
7 เพื่อจะให้คำตักเตือนของท่านมีน้ำหนักที่ว่าคริสเตียน “ไม่ดำเนินอย่างนานาชาติอีกต่อไป” ก่อนอื่นเปาโลได้กล่าวถึง “ความคิดอันไร้ประโยชน์ [ภาษากรีก, “ความไร้ประโยชน์แห่งจิตใจของเขา.”]” (เอเฟโซ 4:17, ล.ม.) ข้อนี้หมายถึงอะไร? ดิแองคอร์ไบเบิล ชี้แจงว่า คำที่นำมาแปลว่า “ความไร้ประโยชน์” “หมายถึง ความว่างเปล่า, ความไร้ประโยชน์, ไร้แก่นสาร, ความโง่เขลา, ความไร้จุดมุ่งหมาย, และความข้องขัดใจ.” ดังนั้น เปาโลได้ชี้ชัดว่าชื่อเสียงและความรุ่งเรืองอย่างโลกสมัยกรีกและโรมันอาจดูน่าประทับใจ แต่การมุ่งติดตามสิ่งเหล่านั้นที่แท้แล้วก็ไร้ประโยชน์, โง่เขลา, และไร้จุดมุ่งหมาย. คนที่ตั้งอกตั้งใจแสวงชื่อเสียงและเกียรติยศในที่สุดก็ไม่ได้อะไรนอกจากความข้องขัดใจและความผิดหวัง. หลักการอย่างเดียวกันนี้ยังคงเป็นจริงกับโลกสมัยนี้.
8. ความพยายามของโลกเป็นการไร้ประโยชน์ในทางใด?
8 โลกนี้มีปัญญาชนและชนชั้นสูงซึ่งผู้คนหมายพึ่งขอคำตอบในเรื่องปัญหาลึกซึ้งต่าง ๆ เช่น ที่มาของชีวิตและจุดมุ่งหมายของชีวิตและเบื้องปลายของมนุษยชาติ. แต่คนเหล่านั้นสามารถเสนอความหยั่งเห็นหรือเครื่องนำทางอะไร? ลัทธิอเทวนิยม, อไนยนิยม, วิวัฒนาการ, และความคิดเห็นและทฤษฎีต่าง ๆ ซึ่งสับสนและขัดแย้งกันอีกมามาย ซึ่งไม่ได้ให้ความสว่างแต่อย่างใดพอ ๆ กันกับพิธีรีตองและการเชื่อถือโชคลางสมัยอดีต. นอกจากนั้น การติดตามสิ่งที่เกี่ยวกับทางโลกีย์ดูเหมือนว่าจะให้ความพอใจและความสำเร็จอยู่บ้าง. ผู้คนพูดเรื่องการประสบความสำเร็จทางด้านวิทยาศาสตร์, ศิลปะ, ดนตรี, กีฬา, การเมือง, และอื่น ๆ. พวกเขาชื่นชมในเกียรติยศที่ได้รับชั่วประเดี๋ยวเดียว. แต่กระนั้น บันทึกทางประวัติศาสตร์ และหนังสือบันทึกรายชื่อบุคคลสำคัญซึ่งเคยประสบความสำเร็จมาแล้วเต็มไปด้วยวีรบุรุษที่โลกลืมแล้ว. ทั้งหมดนี้ก็คือความว่างเปล่า, ความไร้ประโยชน์, ความไร้แก่นสาร, ความโง่เขลา, ความไร้จุดมุ่งหมาย, และความข้องขัดใจ.
9. คนเป็นอันมากหันไปแสวงการอันไร้ประโยชน์อะไรบ้าง?
9 เมื่อมีการรับรู้ถึงความไร้ประโยชน์ของความพยายามดังกล่าว หลายคนจึงหันไปทางวัตถุนิยม—สะสมเงินทองและซื้อข้าวของรวบรวมไว้—และจัดเอาการแสวงหาสิ่งดังกล่าวเป็นเป้าหมายในชีวิตของตน. เขาเชื่อมั่นว่าความสุขมาจากทรัพย์, สมบัติพัสถาน, และมาจากความสนุกเพลิดเพลิน. เขาไม่เพียงเอาใจจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้ แต่เขาพร้อมจะสละทุกสิ่ง—สุขภาพ, ครอบครัว, กระทั่งสติรู้สึกผิดชอบ. ผลเป็นอย่างไร? แทนที่จะได้รับความอิ่มใจพอใจ “ความทุกข์เป็นอันมากจึงทิ่มแทงตัวของเขาเอง.” (1 ติโมเธียว 6:10) ไม่แปลกที่เปาโลกระตุ้นเตือนเพื่อนคริสเตียนทั้งหลายให้เลิกประพฤติอย่างชนนานาชาติ เนื่องจากความไร้ประโยชน์แห่งแนวคิดเช่นนั้น.
10. ผู้คนในโลกอยู่ “ในความมืดทางจิตใจ” นั้นอย่างไร?
10 เพื่อจะให้เห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะน่าอิจฉา หรือเลียนแบบแม้แต่น้อย เปาโลได้กล่าวต่อไปว่า “เขาอยู่ในความมืดทางจิตใจ.” (เอเฟโซ 4:18, ล.ม.) จริง โลกนี้มีคนฉลาดปราดเปรื่องและคนมีความรู้ในแทบทุกสาขาอาชีพ. กระนั้น เปาโลบอกว่าคนเหล่านั้นอยู่ในความมืดทางจิตใจ. ทำไม? คำพูดของท่านไม่ได้เกี่ยวกับความรู้ความชำนาญหรือสมรรถนะทางด้านจิตใจของเขา. คำ “จิตใจ” อาจพาดพิงถึงจุดรวมของการสังเกต, แหล่งแห่งความเข้าใจ, มนุษย์ภายใน. เขาอยู่ในความมืดเพราะเขาไม่มีแสงสว่างนำหรือการสำนึกถึงทิศทางในความมุ่งพยายามของตน. ทั้งนี้เห็นได้จากความรู้สึกอันงุนงงของเขาเกี่ยวกับสิ่งถูกสิ่งผิด. ผู้คนอาจคิดว่าจิตภาพในสมัยปัจจุบัน ซึ่งไม่มีการตัดสินชี้ขาด, ไม่ว่าใครจะพูดหรือทำอะไรใช้ได้ทั้งนั้น เป็นจิตภาพที่ได้รับความสว่างแล้ว แต่ดังที่เปาโลกล่าวว่า จริง ๆ แล้วเป็นจิตภาพที่มืดมัว. ทางด้านวิญญาณ พวกเขากำลังคลำหาทางอยู่ในความมืดทึบโดยสิ้นเชิง.—โยบ 12:25; 17:12; ยะซายา 5:20; 59:6-10; 60:2; เทียบกับเอเฟโซ 1:17, 18.
11. อะไรคือสาเหตุของความมืดทางจิตใจในโลกนี้?
11 ทำไมผู้คนที่อาจมีเชาวน์ปัญญา กระทั่งเปรื่องปราดเสียด้วยซ้ำในหลาย ๆ อย่าง กระนั้น อยู่ในความมืดฝ่ายวิญญาณ? ที่ 2 โกรินโธ 4:4 (ล.ม.) เปาโลให้คำตอบอย่างนี้: “พระเจ้าของระบบนี้ได้ทำให้จิตใจของคนที่ไม่เชื่อให้มืดไป เพื่อแสงสว่างแห่งข่าวดีอันรุ่งโรจน์เรื่องพระคริสต์ ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้าจะไม่ส่องทะลุ.” นับว่าเป็นพระพรประเสริฐเพียงใดที่คนเหล่านั้นซึ่งรับเอาข่าวดีอันรุ่งโรจน์ได้รับความช่วยเหลือให้เปลี่ยนแปลงจิตใจและรับความสว่างไว้ในหัวใจ!
หัวใจโง่และปราศจากความรู้สึก
12. โลก “เหินห่างจากชีวิตที่มาจากพระเจ้า” ในทางใด?
12 เพื่อช่วยให้เรามองเห็นขั้นต่อไปว่าทำไมเราต้องเปลี่ยนแปลงจิตใจและรับความสว่างไว้ในหัวใจ เปาโลให้เรามุ่งความสนใจไปยังความจริงที่ว่าวิถีทางของโลก “เหินห่างไปจากชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า.” (เอเฟโซ 4:18, ล.ม.) มิใช่ว่าผู้คนไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว หรือเขาอยู่อย่างคนไม่มีพระเจ้า. นักเขียนคอลัมน์ประจำหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งให้ความเห็นอย่างนี้: “แทนที่จะอยู่อย่างคนไม่มีพระเจ้า ให้เราบัญญัติคำใหม่ขึ้นมา: พระเจ้า-เรื่องเล็ก. ผู้คนที่ถือว่าพระเจ้าเรื่องเล็กต้องการเป็นที่ยอมรับว่าเขาเชื่อในพระเจ้า ในขณะเดียวกันเขาเก็บรักษาพระของเขาไว้ในกล่อง ปล่อยให้พระองค์นั้นออกมาตอนเช้าวันอาทิตย์ และไม่เคยยอมให้พระองค์กระทบแง่คิดทางการเมืองหรือชีวิตส่วนตัวของเขาในวันอื่น ๆ เลย [เขา] เชื่อว่ามีพระเจ้าแต่คิดว่าพระองค์ไม่มีอะไรต้องพูดเกี่ยวกับสังคมปัจจุบัน.” เปาโลกล่าวอย่างนี้ในจดหมายของท่านถึงชาวโรมันว่า “เพราะว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว, เขายังไม่ได้ถวายเกียรติยศแก่พระองค์อย่างสมควรที่เขาจะกระทำแด่พระเจ้า, และหาได้ขอบพระคุณไม่.” (โรม 1:21) ทุกวันเราเห็นผู้คนดำเนินชีวิตโดยไม่คำนึงถึงพระเจ้าเลย แน่นอน เขาหาได้ถวายเกียรติยศแด่พระองค์หรือขอบพระคุณพระองค์ไม่.
13. “ชีวิตที่มาจากพระเจ้า” ได้แก่อะไร?
13 ถ้อยคำที่ว่า “ชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า” เป็นนัยสำคัญ. ข้อนี้แสดงให้เห็นว่าความมืดทางจิตใจและมืดฝ่ายวิญญาณทำให้การสำนึกของผู้คนในด้านค่านิยมนั้นสับสนไปอย่างไร. คำภาษากรีกที่แปลว่า “ชีวิต” ในที่นี้ไม่ใช่ biʹos (เป็นที่มาของคำภาษาอังกฤษ “biology,” “biography”) ซึ่งหมายถึงแนวชีวิต, หรือรูปแบบชีวิต. ทว่ามาจากคำ zoeʹ (เป็นที่มาของคำภาษาอังกฤษ “zoo” หรือ “zoology”). คำนี้หมายถึง “ชีวิตในแง่นามธรรม, ชีวิตในแง่ความหมายที่ไม่จำกัด, ชีวิตดังที่พระเจ้ามี . . . มนุษย์ได้ห่างเหินไปจากชีวิตนี้ก็เพราะเขาได้ถลำเข้าสู่บาป” ตามคำชี้แจงจากพจนานุกรมอธิบายศัพท์คัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ของไวน์ส (ภาษาอังกฤษ). ดังนั้น เปาโลจึงบอกพวกเราว่าความมืดทางจิตใจและฝ่ายวิญญาณไม่เพียงแต่ทำให้มนุษย์ในโลกเสื่อมเสียด้านร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาอยู่ห่างจากความหวังในเรื่องชีวิตนิรันดร์ซึ่งพระเจ้าทรงหยิบยื่นให้อีกด้วย. (ฆะลาเตีย 6:8) ทำไมเป็นเช่นนั้น? เปาโลให้เหตุผลแก่เราโดยคำกล่าวต่อไป.
14. อะไรคือเหตุผลประการหนึ่งว่าโลกเหินห่างจากชีวิตที่มาจากพระเจ้า?
14 ก่อนอื่น ท่านบอกว่าที่เป็นเช่นนั้น “เนื่องด้วยความโง่เขลาซึ่งมีอยู่ในตัวเขา.” (เอเฟโซ 4:18, ล.ม.) วลี “ซึ่งมีอยู่ในตัวเขา” ตอกย้ำว่าความโง่เขลานั้นไม่ใช่เนื่องจากขาดโอกาส แต่สืบเนื่องจากการจงใจไม่ยอมรับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า. คัมภีร์ฉบับอื่นแปลวลีนี้ว่า “พวกเขาปฏิเสธพระเจ้าโดยสันดาน” (ดิแองคอร์ไบเบิล); “ไม่มีความรู้เพราะเขาได้ปิดหัวใจไม่ยอมรับ” (เจรูซาเลมไบเบิล). เพราะว่าพวกเขาปฏิเสธหรือเจตนาบอกปัดความรู้ถ่องแท้เรื่องพระเจ้า เขาจึงไม่มีพื้นฐานสำหรับการได้รับชีวิตอย่างที่พระเจ้ายื่นเสนอแก่คนเหล่านั้นที่สำแดงความเชื่อในพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงกล่าวว่า “นี่แหละหมายถึงชีวิตนิรันดร์ คือการที่เขารับเอาความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา คือพระเยซูคริสต์.”—โยฮัน 17:3, (ล.ม.); 1 ติโมเธียว 6:19.
15. อะไรเป็นส่วนที่ทำให้โลกนี้เหินห่างจากชีวิตที่มาจากพระเจ้า?
15 เปาโลให้เหตุผลอีกประการหนึ่งว่าโลกโดยทั่วไปห่างเหินจากชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า กล่าวคือ “การขาดสติไม่รู้จักเหตุผลอันมีอยู่ในหัวใจของเขาทั้งหลายนั้น.” (เอเฟโซ 4:18, ล.ม.) คำ “การขาดสติไม่รู้จักเหตุผล” ณ ที่นี้โดยพื้นฐานแล้วหมายถึงการทำให้แข็งขึ้น ประหนึ่งถูกปิดคลุมด้วยผิวหนังที่ด้าน. พวกเราทุกคนรู้ว่าผิวหนังที่ด้านเป็นมาอย่างไร. ทีแรกผิวอาจนุ่มและรู้สึกไวต่อการสัมผัส แต่ถ้าผิวส่วนนั้นได้รับแรงกดหรือการเสียดสีอยู่เรื่อย ๆ ก็จะแข็งด้านและหนา กลายเป็นผิวหนังที่ด้าน. แล้วก็จะไม่รู้สึกคันหรือระคายอีกต่อไป. ทำนองเดียวกัน ผู้คนก็ใช่ว่าเกิดมาพร้อมกับหัวใจแข็งกระด้างจนถึงกับปราศจากความรู้สึกไม่ประสีประสาเรื่องพระเจ้าเสียเลย. แต่เพราะเราอยู่ในโลกและต้องเผชิญกับน้ำใจของโลก หากไม่ได้รับการป้องกัน ไม่นานเท่าไรหัวใจจะเริ่มแข็งกระด้างขึ้น. นี่แหละคือเหตุผลที่เปาโลได้เตือนไว้ว่า “จงระวังให้ดี . . . เกรงว่าในพวกท่านจะมีคนหนึ่งคนใดถูกอุบายของความบาปทำให้ใจแข็งกระด้างไป.” (เฮ็บราย 3:7-13; บทเพลงสรรเสริญ 95:8-10) เหตุฉะนั้น เป็นสิ่งเร่งด่วนเพียงไรที่เราจะยังคงเปลี่ยนแปลงจิตใจและทำให้หัวใจสว่างกระจ่างขึ้นเสมอ.
“ถึงขั้นปราศจากความสำนึกด้านศีลธรรม”
16. อะไรคือผลอันเนื่องมาจากความมืดทางจิตใจและการเหินห่างจากชีวิตที่มาจากพระเจ้า?
16 ผลเนื่องมาแต่ความมืดและการห่างเหินดังกล่าวได้สรุปลงด้วยคำพูดของเปาโลที่ว่า “เมื่อเขามาถึงขั้นปราศจากความสำนึกด้านศีลธรรม เขาปล่อยตัวประพฤติหละหลวม กระทำกิจอันไม่สะอาดทุกอย่างด้วยความละโมบ.” (เอเฟโซ 4:19, ล.ม.) คำพูดที่ว่า “เมื่อเขามาถึงขั้นปราศจากความสำนึกด้านศีลธรรม” ตามตัวอักษรหมายถึง “มาถึงขั้นไม่เจ็บปวด” ปวดร้าวด้านศีลธรรม. นั่นคือสภาพของหัวใจแข็งกระด้าง. ครั้นหัวใจไม่รู้สึกถึงการทิ่มแทงของสติรู้สึกผิดชอบและความรู้สึกที่ว่าต้องให้การต่อพระเจ้า ก็ไม่มีการเหนี่ยวรั้งใด ๆ อีกแล้ว. ดังนั้น เปาโลได้กล่าวว่า “เขาปล่อยตัว” ให้กับการประพฤติหละหลวมและไม่สะอาด. นับเป็นขั้นตอนที่ทำโดยเจตนาแน่วแน่. “การประพฤติหละหลวม” ตามที่ใช้ในพระคัมภีร์บ่งชี้ถึงทัศนะที่หน้าด้าน, ไร้ยางอาย, ดูหมิ่นกฎหมายและผู้มีอำนาจ. ทำนองเดียวกัน “ความไม่สะอาดทุกอย่าง” ไม่เป็นแต่เพียงความวิปริตทางเพศเท่านั้นแต่รวมไปถึงการชั่วต่าง ๆ ที่กระทำในนามศาสนา เช่น การประกอบพิธีกรรมการกำเนิดพันธุ์ภายในวิหารของพระอะระเตมีในเมืองเอเฟโซ ซึ่งผู้ที่อ่านเรื่องราวที่เปาโลบันทึกไว้รู้เป็นอย่างดี.—กิจการ 19:27, 35.
17. เหตุใดเปาโลจึงพูดว่าคนที่มาถึงขั้นปราศจากความสำนึกด้านศีลธรรมกระทำบาป “ด้วยความละโมบ”?
17 ราวกับว่าการหมกมุ่นอยู่ในการประพฤติหละหลวมและการโสโครกทุกชนิดอย่างไม่มีการเหนี่ยวรั้งยังไม่เลวทรามเพียงพอ เปาโลจึงเสริมว่าคนแบบนั้นประพฤติด้วย “การละโมบ.” เมื่อคนที่ยังมีความสำนึกถึงศีลธรรมอยู่บ้างได้กระทำบาป อย่างน้อยเขาอาจรู้สึกเสียใจและพยายามอย่างแข็งขันจะไม่กระทำผิดซ้ำอีก. แต่ผู้ที่ “มาถึงขั้นปราศจากความสำนึกด้านศีลธรรม” ทำบาป “ด้วยความละโมบ” (“และยังขอเอาอีก” ตามฉบับ ดิแองคอร์ไบเบิล). เขาเร่งรีบเข้าสู่ทางที่โน้มนำไปในการชั่วร้าย กระทั่งเขาจมลึกอยู่กับพฤติกรรมอันเหลวแหลก—และคิดว่าเป็นเรื่องปกติ. ช่างเป็นการบรรยายภาพ “น้ำใจของนานาชาติ” ได้ถูกต้องเสียจริง ๆ!—1 เปโตร 4:3, 4, ล.ม.
18. เพื่อสรุปเรื่อง เปาโลได้ให้ภาพเช่นไรเกี่ยวด้วยความมืดทางจิตใจและฝ่ายวิญญาณ?
18 เพียงสามข้อในเอเฟโซ 4:17-19 เปาโลเปิดเผยสภาพแท้ฝ่ายศีลธรรมและฝ่ายวิญญาณของโลก. ท่านชี้ให้เห็นว่าแนวความคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ที่ได้รับการส่งเสริมจากนักคิดชาวโลกรวมทั้งการแสวงหาความมั่งคั่งความสนุกสนานล้วนไม่เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น. ท่านชี้ชัดว่าเนื่องจากความมืดทางจิตใจและทางวิญญาณ โลกนี้จึงอยู่ในสภาพเสื่อมทรามทางศีลธรรมและทรุดหนักลงไปเรื่อย ๆ. ในที่สุด เพราะหลงพอใจที่จะโง่เขลาและปราศจากความสำนึก โลกจึงหมดโอกาสจะได้รับชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า. แน่นอน เรามีเหตุผลอันดีที่จะไม่ดำเนินต่อไปอย่างนานาชาติเดินอยู่!
19. คำถามสำคัญอะไรบ้างยังจะต้องมีการพิจารณาต่อไป?
19 เพราะความมืดที่อยู่ในจิตใจและหัวใจนี้เองซึ่งทำให้โลกนี้เหินห่างไปจากพระเจ้ายะโฮวา แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อขจัดความมืดออกไปจากจิตใจและหัวใจของเรา? เราพึงทำประการใดเพื่อเราจะดำเนินต่อไปอย่างลูกของความสว่างและคงอยู่ในความโปรดปรานของพระเจ้า? เรื่องนี้จะมีการพิจารณากันในบทความต่อไป.
คุณจะอธิบายได้ไหม?
▫ อะไรกระตุ้นเปาโลให้คำตักเตือนอย่างจริงจังดังปรากฏที่เอเฟโซ 4:17-19?
▫ เหตุใดแนวทางของโลกจึงไร้ประโยชน์และอยู่ในความมืด?
▫ ถ้อยคำที่ว่า “เหินห่างจากชีวิตที่มาจากพระเจ้า” นั้นหมายความถึงอะไร?
▫ อะไรคือผลสืบเนื่องจากจิตใจที่มืดและหัวใจที่ขาดสติและไร้เหตุผล?
[รูปภาพหน้า 9]
เมืองเอเฟโซเลื่องชื่อในด้านความเสื่อมทรามทางศีลธรรมและการบูชารูปเคารพ
1. นักดาบโรมันที่เมืองเอเฟโซ
2. ซากปรักหักพังของวิหารอาร์เตมิส
3. โรงละครเมืองเอเฟโซ
4. อาร์เตมิสแห่งเมืองเอเฟโซ เทพธิดาแห่งการแพร่พันธุ์
[รูปภาพหน้า 10]
คนชั้นสูงของโลกมีความหยั่งเห็นเข้าใจชนิดไหนที่จะเสนอ?
เนโร
[ที่มาของภาพ]
Musei Capitolini, Roma