“ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ทรงใช้ข้าพเจ้าเถิด”
เล่าโดยวิลเฟรด จอห์น
ทหารรักษาการณ์ชาวพม่าซึ่งมีอาวุธครบมือเข้าจู่โจมเราจากทั้งสองฟากแม่น้ำ. โดยมีดาบปลายปืนและปืนยาวเล็งมา พวกเขาลุยน้ำซึ่งลึกถึงบั้นเอว และโอบล้อมเราไว้ใต้สะพานทางหลวง.
เพื่อนกับผมตกใจกลัวไปหมด. นี่มันเรื่องอะไรกัน? แม้ว่าเราไม่เข้าใจภาษา ในไม่ช้าเราก็เข้าใจ—เราถูกจับ. เราถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้เคียงโดยไม่มีการไต่ถามอะไร. โดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวของเราไว้ และถูกสอบปากคำโดยเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาอังกฤษ.
นั่นเป็นปี 1941 ซึ่งอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และเราถูกสงสัยว่าเป็นผู้ก่อวินาศกรรม. หลังจากที่อธิบายถึงงานประกาศแบบคริสเตียนของเราจนเจ้าหน้าที่คนนั้นพอใจแล้ว เขาบอกเราว่าเราโชคดีที่มีชีวิตรอดจากการเผชิญหน้ากันมาได้. เขาบอกว่าผู้ต้องสงสัยส่วนใหญ่ถูกยิงโดยไม่มีการไต่ถาม. เราขอบคุณพระยะโฮวา และรับคำแนะนำของเจ้าหน้าที่คนนั้นไว้ที่ว่าวันหลังจะไม่เตร่อยู่แถวสะพานอีก.
ผมเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นในประเทศพม่าได้อย่างไร? ขอให้ผมอธิบายและบอกถึงภูมิหลังบางอย่างเกี่ยวกับตัวผมเอง.
ทำการเลือกในวัยหนุ่ม
ผมเกิดที่เวลส์ในปี 1917 และตอนอายุหกขวบก็อพยพไปที่นิวซีแลนด์พร้อมกับคุณพ่อคุณแม่และน้องชาย และที่นั่นผมเติบโตขึ้นในฟาร์มโคนมของคุณพ่อ. วันหนึ่ง คุณพ่อเอาหนังสือเก่ากองหนึ่งซึ่งซื้อจากร้านขายของใช้แล้วกลับบ้าน. ที่รวมอยู่ในหนังสือกองนั้นด้วยก็คือหนังสือสองเล่มจากชุดคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ ซึ่งพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแอนด์แทร็กต์. หนังสือเหล่านี้กลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าของคุณแม่ และเช่นเดียวกับนางยูนิเก มารดาของติโมเธียว ท่านปลูกฝังความปรารถนาไว้ในตัวผมที่จะใช้ความหนุ่มแน่นในการรับใช้เพื่อผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรของพระยะโฮวา.—2 ติโมเธียว 1:5.
ในปี 1937 ผมต้องเผชิญกับทางเลือกสองอย่าง นั่นคือจะรับช่วงงานฟาร์มโคนมต่อจากคุณพ่อ หรือจะบอกกับพระยะโฮวาอย่างที่ยะซายาผู้พยากรณ์ของพระเจ้าบอก ที่ว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่; ทรงใช้ข้าพเจ้าเถิด.” (ยะซายา 6:8) ผมยังหนุ่ม, แข็งแรง, และไม่มีภาระรับผิดชอบอะไร. ผมได้ลองลิ้มรสชาติของชีวิตในฟาร์มและชอบ. แต่ผมไม่เคยมีประสบการณ์ในฐานะผู้รับใช้เต็มเวลาหรือไพโอเนียร์. ผมควรจะเลือกทางไหน—ทำงานในฟาร์มหรือรับใช้ในฐานะไพโอเนียร์?
ผู้บรรยายจากสำนักงานสาขาประเทศออสเตรเลียของพยานพระยะโฮวาเป็นแหล่งแห่งการหนุนใจ. พวกเขามาเยี่ยมทางแถบของเราในนิวซีแลนด์ และสนับสนุนให้ผมใช้วัยหนุ่มแน่นอันมีค่าของผมในการรับใช้พระเจ้า. (ท่านผู้ประกาศ 12:1) ผมปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่ และท่านเห็นด้วยว่าเป็นการสุขุมที่จะเอาพระทัยประสงค์ของพระเจ้าอยู่ในอันดับแรก. ผมใคร่ครวญถึงคำตรัสของพระเยซูคริสต์ในคำเทศน์บนภูเขาด้วย ที่ว่า “จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป แล้ว [พระองค์] จะทรงเพิ่มเติมสิ่งอื่นเหล่านี้ทั้งหมดแก่ท่าน.”—มัดธาย 6:33, ล.ม.
ผมตัดสินใจแล้ว! เนื่องจากในตอนนั้นยังไม่มีสาขาของพยานพระยะโฮวาในนิวซีแลนด์ ผมได้รับเชิญให้ไปรับใช้ที่สาขาประเทศออสเตรเลียในกรุงซิดนีย์. ดังนั้น ในปี 1937 ผมจึงลงเรือไปออสเตรเลียเพื่อเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาของพระเจ้ายะโฮวา.
ผมอยากรู้ว่า ‘ผมจะได้รับงานมอบหมายอะไร?’ แต่จะสลักสำคัญอะไร? ที่จริง ผมได้บอกกับพระยะโฮวาในทำนองนี้ว่า ‘ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่. ทรงใช้ข้าพเจ้าไปที่ใดตามแต่พระองค์ทรงประสงค์เถิด.’ เป็นเวลาสองปีที่ผมช่วยในการทำเครื่องเล่นจานเสียงที่พยานพระยะโฮวาใช้กันในสมัยนั้น เพื่อเปิดคำบรรยายที่บันทึกไว้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ให้เจ้าของบ้านฟัง. อย่างไรก็ตาม งานหลักที่เข้ารับการอบรมของผมที่สาขาก็คืองานที่เกี่ยวกับคลังหนังสือ.
ถูกส่งต่อไปยังสิงคโปร์
ในปี 1939 ผมได้รับมอบหมายให้ไปตะวันออกไกล เพื่อรับใช้ที่คลังหนังสือของสมาคมในสิงคโปร์. คลังหนังสือนั้นถือเป็นศูนย์กลางสำหรับการรับและส่งสรรพหนังสือจากออสเตรเลีย, อังกฤษ, และสหรัฐไปยังหลายประเทศในทวีปเอเชีย.
สิงคโปร์เป็นเมืองที่ใช้หลายภาษา ซึ่งมีวัฒนธรรมทางตะวันออกและยุโรปปะปนกัน. ภาษามาเลย์เป็นภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารทั่วไป และเพื่อที่จะประกาศตามบ้านได้ เราซึ่งเป็นชาวต่างชาติต้องเรียนภาษานี้. เรามีบัตรให้คำพยานเป็นหลาย ๆ ภาษา. บัตรเหล่านี้มีข้อความสั้น ๆ ซึ่งบอกถึงข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรพิมพ์อยู่.
เพื่อเป็นการเริ่มต้น ผมท่องจำบัตรให้คำพยานภาษามาเลย์ แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มคำศัพท์ในภาษานั้น. แต่เราก็เอาหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาอื่น ๆ ติดตัวไปด้วยหลายภาษา. ยกตัวอย่าง เช่น สำหรับคนอินเดีย เรามีหนังสือเป็นภาษาเบงกาลี, กูจาราตี, ฮินดี, มาลายาลัม, ทมิฬ, และอูรดู. การได้พบผู้คนที่มีหลายภาษาเช่นนี้เป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับผม.
ผมจำได้ดีถึงคำประกาศที่น่าตกใจกลัวในเดือนกันยายน ปี 1939 นั่นคือการประกาศสงครามในยุโรป. เราสงสัยว่า ‘มันจะทวีความรุนแรงขึ้น และพัวพันถึงตะวันออกไกลด้วยหรือไม่?’ สำหรับผมแล้ว สงครามนี้ดูเหมือนเป็นการเปิดฉากสำหรับอาร์มาเก็ดดอน ซึ่งในตอนนั้นผมคิดว่าช่างเป็นเวลาที่เหมาะเจาะอะไรเช่นนี้! ผมรู้สึกพึงพอใจที่ผมกำลังใช้ความหนุ่มแน่นของผมอย่างเต็มที่และเหมาะสม.
นอกจากงานที่คลังหนังสือแล้ว ผมยังมีส่วนอย่างเต็มที่ในการประชุมประชาคมและงานประกาศตามบ้าน. ผมนำการศึกษาพระคัมภีร์หลายราย และบางรายก็ตอบรับและถึงขั้นรับบัพติสมาในน้ำ. พวกเขาถูกพาไปที่ชายหาดใกล้ ๆ แล้วถูกจุ่มตัวลงไปในน้ำอุ่น ๆ ของท่าเรือสิงคโปร์. เราถึงกับตัดสินใจจัดการประชุมพิเศษ มีการเวียนคำเชิญออกไปอย่างเงียบ ๆ ในหมู่คนที่สนใจ. ยังความยินดีแก่เรา มีประมาณ 25 คนมายังการประชุมพิเศษซึ่งตอนนั้นเราเชื่อว่าเป็นการประชุมพิเศษครั้งสุดท้ายของเราก่อนอาร์มาเก็ดดอนจะมา.
การติดต่อระหว่างสาขาต่าง ๆ ของสมาคมมีอุปสรรคมากเนื่องจากสงคราม. ยกตัวอย่าง เช่น คลังหนังสือของเราที่สิงคโปร์ได้รับคำแจ้งสั้น ๆ มาว่าไพโอเนียร์ชาวเยอรมันสามคนมีกำหนดจะถึงสิงคโปร์เวลาใดเวลาหนึ่งด้วยเรือที่ไม่ทราบชื่อ ซึ่งอยู่ระหว่างทางที่จะไปยังงานมอบหมายที่ไม่ได้ระบุ. สองสามสัปดาห์ต่อมา พวกเขาก็มาถึงและใช้เวลาสิบชั่วโมงที่น่าตื่นเต้นกับเรา. แม้ว่าภาษาเป็นอุปสรรค แต่เราก็เข้าใจได้ว่าจุดหมายปลายทางที่ได้รับมอบหมายของพวกเขาคือเซี่ยงไฮ้.
งานมอบหมายของผมในเซี่ยงไฮ้
หนึ่งปีต่อมา ผมก็ได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้ในเซี่ยงไฮ้เช่นกัน. ผมไม่มีที่อยู่ที่บอกชื่อถนน มีเพียงหมายเลขตู้ไปรษณีย์. หลังจากที่ถูกซักไซ้ไล่เลียงอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่ไปรษณีย์ ผมสามารถทำให้เขาแน่ใจในฐานะของผม จึงได้ที่อยู่ของสมาคมมา. อย่างไรก็ตาม คนจีนที่อาศัยอยู่ตามที่อยู่นั้นบอกผมว่า สาขาย้ายไปแล้ว และเขาไม่ทราบที่อยู่ใหม่.
ผมถามตัวเองว่า ‘แล้วผมจะทำอย่างไรดีล่ะตอนนี้?’ ผมทูลอธิษฐานขอการชี้นำอยู่ในใจ. เมื่อเงยหน้าขึ้น ผมเห็นชายสามคน ซึ่งสูงกว่าคนทั่ว ๆ ไปที่เดินไปมาเล็กน้อยและมีท่าทางที่ผิดแผกออกไปอยู่บ้าง. พวกเขาต้องเป็นชาวเยอรมันสามคนซึ่งแวะที่สิงคโปร์เป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมงแน่ ๆ. ผมรีบก้าวออกไปขวางทางที่พวกเขาเดินมา.
“ขอโทษครับ” ผมพูดตะกุกตะกักด้วยความตื่นเต้น. พวกเขาหยุดนิ่งและจ้องผมอย่างหวั่น ๆ ด้วยสายตาที่พินิจพิเคราะห์. “สิงคโปร์. พยานพระยะโฮวา. จำผมได้ไหม?” ผมถาม.
ชั่วอึดใจ พวกเขาก็ตอบว่า “ยา! ยา! ยา!” เราสวมกอดกัน และน้ำตาแห่งความปีติยินดีก็ไหลนองใบหน้าของผม. จากคนนับล้าน เป็นไปได้อย่างไรที่ชายสามคนนั้นบังเอิญผ่านมาตรงจุดนั้นในเวลานั้นพอดี? ผมได้แต่บอกว่า “ขอบคุณพระยะโฮวา.” เฉพาะคนจีนสามครอบครัว, ชาวเยอรมันสามคน, และผม เป็นพยานฯที่มีอยู่ในตอนนั้นในเซี่ยงไฮ้.
ฮ่องกงและจากนั้นก็พม่า
หลังจากที่รับใช้ในเซี่ยงไฮ้ไม่กี่เดือน ผมได้รับมอบหมายให้ไปฮ่องกง. เมื่อไพโอเนียร์จากออสเตรเลียที่จะมาทำงานคู่กับผมนั้นมาไม่ได้ จึงเป็นอันว่าผมต้องอยู่แต่ลำพัง เป็นพยานฯเพียงคนเดียวในอาณานิคมนั้น. อีกครั้งหนึ่ง ผมต้องเตือนตนเองว่า ผมได้ทูลต่อพระยะโฮวาแล้วว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่; ทรงใช้ข้าพเจ้าเถิด.”
การงานของผมมุ่งไปที่คนจีนซึ่งพูดภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ กระนั้น ผมพบว่าเป็นการยากที่จะผ่านประตูบ้านพักเข้าไปได้ เนื่องจากคนรับใช้ซึ่งประจำอยู่ที่นั่นก็พูดแต่ภาษาจีน. ดังนั้น ผมจึงหัดพูดภาษาจีนไว้บ้าง เป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้มากที่สุดสองภาษา. ปรากฏว่าใช้ได้ผล! ผมจะเข้าหาคนรับใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตู, ยื่นนามบัตรของผมให้, พูดภาษาจีนสองสามคำ, แล้วมักได้รับเชิญให้เข้าไปข้างใน.
คราวหนึ่งเมื่อไปเยี่ยมที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ผมทำตามขั้นตอนนี้เพื่อจะได้พูดกับครูใหญ่. ครูคนหนึ่งพบผมที่ห้องโถง. ผมเดินตามเธอซึ่งเดินผ่านห้องเรียนสองสามห้อง, รับการคำนับจากพวกเด็กนักเรียน, และเตรียมที่จะได้รับการแนะนำตัวแก่ครูใหญ่. ครูคนนั้นเคาะประตู, เปิดประตู, ยืนหลบ, และผายมือเชิญผมให้เข้าไป. สิ่งที่ยังความประหลาดใจแกมขุ่นเคืองให้แก่ผมก็คือ เธอพาผมมาที่ห้องส้วมอย่างสุภาพอ่อนน้อม! ดูเหมือนว่าเธอเข้าใจภาษาจีนของผมผิด และเข้าใจว่าผมเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจระบบท่อและน้ำทิ้ง ดังที่ครูใหญ่บอกผมในภายหลัง.
หลังจากปฏิบัติงานอยู่สี่เดือน ผมได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจของฮ่องกงว่า มีการสั่งห้ามงานประกาศของเรา และผมจะต้องเลิกประกาศ มิฉะนั้น จะถูกเนรเทศ. ผมเลือกที่จะถูกขับออกนอกประเทศเนื่องจากโอกาสที่จะประกาศต่อไปยังเปิดอยู่ในที่อื่น. ขณะที่อยู่ในฮ่องกง ผมจำหน่ายหนังสือปกแข็งได้ 462 เล่มและได้ช่วยอีกสองคนให้เข้าส่วนในงานเผยแพร่.
จากฮ่องกง ผมได้รับมอบหมายให้ไปพม่า. ที่นั่น ผมเป็นไพโอเนียร์และช่วยงานที่คลังหนังสือในเมืองร่างกุ้ง (ปัจจุบันเรียกย่างกุ้ง). ประสบการณ์ที่น่าสนใจมากที่สุดอย่างหนึ่งคือการประกาศในเมืองและหมู่บ้าน ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามเส้นทางหลักจากเมืองร่างกุ้งไปถึงเมืองมัณฑะเลย์ และเลยไปถึงเมืองลาโชซึ่งอยู่ติดกับชายแดนจีน. ผมและคู่ไพโอเนียร์ของผมมุ่งความสนใจไปที่ชุมชนที่พูดภาษาอังกฤษ ได้รายบอกรับวารสาร Consolation (ปัจจุบันคือวารสารตื่นเถิด) หลายร้อยราย. อนึ่ง ถนนหลักจากเมืองย่างกุ้งไปจนถึงเมืองมัณฑะเลย์สายนี้กลายเป็นที่รู้จักกันว่าถนนพม่า ซึ่งเป็นเส้นทางที่เคยมีการส่งกำลังอาวุธของอเมริกาเข้าไปในประเทศจีน.
การเดินลุยฝุ่นซึ่งลึกถึงข้อเท้ามักทำให้เรารู้สึกอยากอาบน้ำ. สิ่งนี้เองนำเราเข้าสู่เหตุการณ์ที่เล่าในตอนเริ่มเรื่อง ที่เราถูกจับขณะอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำใต้สะพาน. หลังจากนั้นไม่นาน การปฏิบัติการทางทหารและความเจ็บไข้ได้ป่วยทำให้เราต้องกลับเมืองร่างกุ้ง. ผมอยู่ในประเทศพม่าได้จนกระทั่งปี 1943 เมื่อการสู้รบซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นทำให้ผมต้องกลับออสเตรเลีย.
กลับไปอยู่ออสเตรเลีย
ในระหว่างนั้น กิจการงานของพยานพระยะโฮวาถูกสั่งห้ามในออสเตรเลีย. อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าการสั่งห้ามนั้นก็ถูกยกเลิก และในที่สุดผมก็ได้รับเชิญอีกครั้งหนึ่งให้ไปทำงานที่สำนักงานสาขา. ต่อมาในปี 1947 ผมแต่งงานกับเบ็ตตี มอสส์ ซึ่งทำงานที่สาขาของสมาคมในออสเตรเลียอยู่ก่อนแล้ว. คุณพ่อคุณแม่ของเบ็ตตีเป็นไพโอเนียร์ และสนับสนุนทั้งเธอและบิลล์พี่ชายของเธอให้ทำงานไพโอเนียร์เป็นงานประจำชีพ. เบ็ตตีเริ่มงานไพโอเนียร์ในวันที่เธอออกจากโรงเรียน ซึ่งตอนนั้นเธอมีอายุ 14 ปี. ผมคิดว่าเราน่าจะเข้ากันได้ดี เพราะที่จริงแล้ว เธอก็เช่นกันที่ได้ทูลต่อพระยะโฮวาในทำนองนี้ว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่; ทรงใช้ข้าพเจ้าเถิด.”
หลังจากที่เราแต่งงานกันได้ปีหนึ่ง ผมได้รับเชิญให้ทำงานดูแลหมวด คือให้เยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ของพยานพระยะโฮวา. การทำงานในชนบทของออสเตรเลียนั้นเป็นการท้าทายจริง ๆ. น้ำท่วมฉับพลันมักก่อให้เกิดปัญหาในการเดินทาง โดยเฉพาะบนถนนที่ลื่นซึ่งมีแต่ดินเลน. ในฤดูร้อนอุณหภูมิในร่มขึ้นสูงถึง 43 องศาเซลเซียส. โดยอาศัยอยู่ในกระโจมผ้าใบ เราพบว่าฤดูร้อนที่แผดเผานั้นร้อนจนแทบจะทนไม่ได้ ส่วนฤดูหนาวก็หนาวเหน็บ.
เป็นความชื่นชมยินดีที่ได้รับใช้เป็นผู้ดูแลภาคในตอนที่มีเพียงสองภาคในออสเตรเลีย. โดนัลด์ แม็กเลนรับใช้ภาคหนึ่ง ส่วนผมก็อีกภาคหนึ่ง. แล้วเราก็จะสลับภาคกัน. เป็นเรื่องตื่นเต้นที่ได้อ่านเกี่ยวกับประชาคมต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีในท้องที่ที่เราเคยรับใช้. เมล็ดแห่งความจริงในคัมภีร์ไบเบิลได้งอกและออกผลอย่างไม่ต้องสงสัย!
กลับไปยังจุดเริ่มต้น
ในปี 1961 ผมได้รับสิทธิพิเศษที่จะเข้าชั้นเรียนแรกของโรงเรียนกิเลียดสำหรับมิชชันนารีหลังจากที่โรงเรียนได้ย้ายไปบรุกลินในนครนิวยอร์ก. ก่อนหน้านี้ ผมได้รับเชิญให้ไปที่โรงเรียนนี้หลายครั้ง แต่ไม่สามารถไปได้เนื่องจากเหตุผลทางสุขภาพ. ในตอนสิ้นสุดของการเรียนสิบเดือน ผมได้รับเชิญให้รับนิวซีแลนด์เป็นงานมอบหมายของผม.
ดังนั้น นับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 1962 เบ็ตตีและผมอยู่ที่นิวซีแลนด์ ดินแดนหนึ่งทางซีกโลกใต้. มักมีการกล่าวถึงดินแดนนี้ว่าเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งแห่งแปซิฟิก. ตามระบอบของพระเจ้าแล้ว เป็นความชื่นชมยินดีที่ได้รับใช้ทั้งในงานดูแลหมวดและงานดูแลภาค. ช่วง 14 ปีที่ผ่านไป นับตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 1979 เราทำงานที่สำนักงานสาขาประเทศนิวซีแลนด์.
เวลานี้ ทั้งเบ็ตตีและผมมีอายุราว 75 ปี และเมื่อรวมกันแล้ว เรามีอายุในงานรับใช้เต็มเวลาเพื่อราชอาณาจักร 116 ปีโดยไม่ขาดช่วง. เบ็ตตีเริ่มงานไพโอเนียร์ในเดือนมกราคม ปี 1933 ส่วนผมเริ่มในเดือนเมษายน ปี 1937. เรามีความชื่นชมยินดีหลายอย่างขณะที่เราเฝ้าดูลูกหลานฝ่ายวิญญาณของเราทำในสิ่งที่เราเคยทำเมื่อเรายังหนุ่มแน่น นั่นคือ เชื่อฟังคำแนะนำที่ท่านผู้ประกาศ 12:1 ที่ว่า “ในปฐมวัยของเจ้าจงระลึกถึงพระองค์ผู้ได้ทรงสร้างตัวเจ้านั้น.”
ช่างเป็นสิทธิพิเศษอะไรเช่นนี้ที่ได้ใช้เวลาเกือบตลอดชีวิตของเราในการประกาศข่าวดีแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าและทำให้คนเป็นสาวก ดังที่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงบัญชาไว้! (มัดธาย 24:14; 28:19, 20) เราเป็นสุขยิ่งที่ได้ตอบรับคำเชิญของพระเจ้า ดังที่ผู้พยากรณ์ยะซายาได้กระทำนานมาแล้ว ที่ว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่; ทรงใช้ข้าพเจ้าเถิด.”