จงบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ
“จงบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าในความอารักขาของท่านทั้งหลาย มิใช่เพราะถูกบังคับ แต่ด้วยความเต็มใจ.”—1 เปโตร 5:2, ล.ม.
1. ทำไมเราควรคาดหมายผู้ปกครองคริสเตียนจะ ‘บำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้า’ ด้วยความเต็มใจ?
พระยะโฮวาทรงบำรุงเลี้ยงไพร่พลของพระองค์อย่างเต็มพระทัย. (บทเพลงสรรเสริญ 23:1-4) พระเยซูคริสต์ “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี” ได้ทรงสละชีวิตสมบูรณ์ของพระองค์อย่างเต็มพระทัยเพื่อชนเยี่ยงแกะ. (โยฮัน 10:11-15) ด้วยเหตุนั้น อัครสาวกเปโตรจึงได้ตักเตือนผู้ปกครองคริสเตียนให้ ‘เลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ.’—1 เปโตร 5:2.
2. เกี่ยวกับกิจกรรมของผู้ปกครองคริสเตียนด้านการบำรุงเลี้ยง มีคำถามอะไรบ้างที่ควรพิจารณา?
2 ความเต็มใจเป็นเครื่องหมายแสดงตัวผู้รับใช้ของพระเจ้า. (บทเพลงสรรเสริญ 110:3) แต่ในการแต่งตั้งผู้ดูแล หรือรองผู้บำรุงเลี้ยงมีข้อเรียกร้องมากยิ่งกว่าการเป็นชายคริสเตียนที่เต็มใจ. ใครล่ะมีคุณสมบัติเป็นผู้บำรุงเลี้ยงแบบนั้น? การบำรุงเลี้ยงของเขาหมายรวมถึงอะไร? งานนี้จะบรรลุผลได้ดีที่สุดโดยวิธีใด?
ปกครองครอบครัว
3. ทำไมจึงกล่าวได้ว่าวิธีที่ผู้ชายคริสเตียนดูแลครอบครัวของเขาเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าเขามีคุณสมบัติพร้อมหรือไม่ในการบำรุงเลี้ยงประชาคม?
3 ก่อนที่ชายคนใดรับการแต่งตั้งใน “ตำแหน่งผู้ดูแล” เขาต้องบรรลุข้อเรียกร้องต่าง ๆ ตามหลักคัมภีร์ไบเบิล. (1 ติโมเธียว 3:1-7, ล.ม.; ติโต 1:5-9) ข้อหนึ่ง อัครสาวกเปาโลกล่าวว่าผู้ดูแลควร “เป็นคนที่ปกครองครอบครัวของตนเองอย่างดีงาม ให้ลูก ๆ อยู่ใต้อำนาจด้วยความจริงจังทุกอย่าง.” นับว่ามีเหตุผลที่ดีสำหรับเรื่องนี้ เพราะเปาโลได้บอกว่า “ถ้าชายคนใดไม่รู้จักวิธีปกครองครอบครัวของตนเองแล้ว เขาจะเอาใจใส่ดูแลประชาคมของพระเจ้าอย่างไรได้?” (1 ติโมเธียว 3:4, 5, ล.ม.) ในคราวที่แต่งตั้งผู้ปกครองในประชาคมบนเกาะเกรเต [เกาะครีต] ติโตได้รับคำสั่งให้มองหา “ชายคนใดปราศจากข้อกล่าวหา เป็นสามีของภรรยาคนเดียว มีบุตรที่เชื่อถือซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อกล่าวหาในเรื่องความเสเพลหรือเกเร.” (ติโต 1:6, ล.ม.) ใช่แล้ว จำต้องพิจารณาวิธีที่ชายคริสเตียนเอาใจใส่ครอบครัวของตน เพื่อตัดสินได้ว่าเขามีคุณวุฒิเหมาะกับหน้าที่รับผิดชอบที่หนักกว่าในการบำรุงเลี้ยงประชาคมหรือไม่.
4. นอกเหนือจากการจัดการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและอธิษฐานเป็นประจำแล้ว บิดามารดาคริสเตียนแสดงความรักต่อครอบครัวของตนโดยวิธีใด?
4 ผู้ชายซึ่งปกครองครอบครัวของเขาในแนวทางที่ดีคงทำมากกว่าการอธิษฐานและศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับครอบครัวของตนเป็นกิจวัตร. พวกเขาย่อมพร้อมเสมอที่จะช่วยคนที่เขารัก. สำหรับผู้ที่เป็นบิดามารดา สิ่งนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ลูกเกิดมาทีเดียว. บิดามารดาคริสเตียนรู้ว่ายิ่งเขาได้ยึดมั่นกับกิจวัตรอันเกี่ยวเนื่องกับทางของพระเจ้ามากเท่าใด ลูกน้อยของตนก็ยิ่งปรับตัวให้เข้ากับตารางเวลาการทำกิจกรรมฝ่ายคริสเตียนในชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้นเท่านั้น. บิดาคริสเตียนปกครองดูแลได้ดีเพียงใดในสภาพการณ์เช่นนี้ก็ย่อมสะท้อนถึงคุณสมบัติของเขาในฐานะเป็นผู้ปกครอง.—เอเฟโซ 5:15, 16; ฟิลิปปอย 3:16.
5. โดยวิธีใดบิดาคริสเตียนเลี้ยงดูบุตรของตน “ด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา”?
5 ในการปกครองครอบครัวของเขา บิดาคริสเตียนผู้สำนึกในบทบาทของตนย่อมเชื่อฟังคำแนะนำของเปาโลที่ว่า “อย่ายั่วบุตรของท่านให้ขัดเคืองใจ แต่จงอบรมเขาด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา.” (เอเฟโซ 6:4, ล.ม.) การศึกษากับครอบครัว คือกับภรรยาและบุตรอย่างสม่ำเสมอ ทำให้มีโอกาสที่จะให้คำแนะนำที่เปี่ยมด้วยความรัก. ด้วยวิธีนี้บุตรได้รับ “การตีสอน” หรือคำแนะนำในเชิงแก้ไขปรับปรุง. ครั้นแล้ว “การปรับความคิดจิตใจ” ก็จะมีขึ้นซึ่งช่วยเด็กแต่ละคนเข้ามารู้จักทัศนะของพระยะโฮวาในเรื่องต่าง ๆ. (พระบัญญัติ 4:9; 6:6, 7; สุภาษิต 3:11; 22:6) ในบรรยากาศแบบผ่อนคลายของการพบกันพร้อมหน้าเพื่อพิจารณาสิ่งฝ่ายวิญญาณเช่นนี้ บิดาที่ดูแลเอาใจใส่ย่อมตั้งใจฟังลูกของเขาพูด. เขาจะตะล่อมถามนำเพื่อให้ลูกแสดงออกซึ่งความสนใจและท่าทีของเขาอย่างสุจริตใจ. บิดาคงไม่สันนิษฐานว่าตัวเองรู้ใจลูกน้อยไปเสียทุกอย่าง. เป็นจริงดังคำกล่าวในสุภาษิต 18:13 ว่า “ผู้ที่ให้คำตอบก่อนได้ยินเรื่อง, ก็เป็นการโฉดเขลาและเป็นความน่าอายแก่ตน.” สมัยนี้ บิดามารดาส่วนใหญ่พบว่าบุตรของตนเผชิญสภาพการณ์ต่าง ๆ ผิดแผกไปมากจากที่เขาเองเคยประสบครั้งเป็นเด็ก. ด้วยเหตุนี้ บิดาจะเพียรพยายามเรียนรู้ที่มาและรายละเอียดของปัญหาก่อนพูดถึงวิธีจัดการกับปัญหานั้น ๆ.—เทียบกับยาโกโบ 1:19.
6. ทำไมบิดาคริสเตียนควรแสวงคำแนะนำจากพระคำของพระเจ้าเมื่อช่วยเหลือครอบครัวของตน?
6 จะทำอย่างไรภายหลังได้รู้ถึงปัญหา, ความกังวลใจ, และท่าทีของบุตร? บิดาที่ปกครองด้วยแนวทางที่ดีจะค้นหาคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิล ซึ่ง “เป็นประโยชน์เพื่อการสั่งสอน เพื่อการว่ากล่าว เพื่อจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย เพื่อตีสอนด้วยความชอบธรรม.” เขาสั่งสอนบุตรให้รู้จักใช้เครื่องนำทางที่ได้รับการดลบันดาลจากคัมภีร์ไบเบิลให้เป็นประโยชน์. เมื่อทำอย่างนี้แล้ว ลูกเล็ก ๆ เหล่านั้นจะโตขึ้นเป็นผู้ที่ “มีคุณสมบัติครบถ้วน เตรียมพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง.”—2 ติโมเธียว 3:16, 17, ล.ม.; บทเพลงสรรเสริญ 78:1-4.
7. บิดาคริสเตียนควรวางตัวอย่างเช่นไรเกี่ยวกับการอธิษฐาน?
7 เยาวชนที่เลื่อมใสในพระเจ้าเผชิญกับความลำบากใจเมื่อต้องเกี่ยวข้องกับเพื่อนนักเรียนชาวโลก. ดังนั้น บิดาคริสเตียนจะระงับความกลัวของบุตรอย่างไร? วิธีหนึ่งคือโดยอธิษฐานร่วมกับบุตรและอธิษฐานเพื่อเขาเป็นประจำ. เมื่อเด็กวัยหนุ่มสาวเหล่านี้เจอสภาพที่ยากลำบาก พวกเขาก็คงจะเลียนแบบบิดามารดาด้วยการวางใจในพระเจ้าเช่นกัน. เด็กหญิงวัย 13 ปีคนหนึ่งถูกสัมภาษณ์ก่อนเธอได้รับบัพติสมาเป็นเครื่องหมายแสดงการอุทิศตัวของเธอแด่พระเจ้า เธอเล่าว่าได้ถูกพวกนักเรียนรุ่นเดียวกันเยาะเย้ยและทำร้ายร่างกาย. เมื่อเธอพูดป้องกันความเชื่อของเธอเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของเลือดซึ่งยึดคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก เด็กอื่น ๆ ได้ทุบตีและถ่มน้ำลายรดเธอ. (กิจการ 15:28, 29) เธอแก้เผ็ดไหม? เปล่าเลย เธอชี้แจงว่า “ดิฉันอธิษฐานมิได้ขาดขอพระยะโฮวาโปรดช่วยให้ฉันมีอารมณ์เยือกเย็น. อีกอย่างหนึ่ง ดิฉันระลึกอยู่เสมอที่คุณพ่อคุณแม่ได้สอนดิฉันเมื่อเรามีการศึกษาประจำครอบครัวถึงเรื่องความจำเป็นที่เราพึงหักห้ามใจตัวเองไม่ทำชั่ว.”—2 ติโมเธียว 2:24.
8. ผู้ปกครองที่ไม่มีบุตรจะปกครองคนในครอบครัวของตนในวิธีที่ดีงามได้อย่างไร?
8 ผู้ปกครองที่ไม่มีบุตรก็อาจจัดหาเผื่อคนเหล่านั้นในครัวเรือนของตนได้อย่างเพียงพอทั้งฝ่ายวิญญาณและฝ่ายวัตถุ. ทั้งนี้รวมเอาคู่สมรสและบางทีญาติที่เป็นคริสเตียนซึ่งมาพึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของเขา. (1 ติโมเธียว 5:8) การปกครองครอบครัวในแนวทางอันดีเช่นนั้นเป็นข้อเรียกร้องประการหนึ่งซึ่งผู้ชายที่รับการแต่งตั้งให้แบกความรับผิดชอบฐานะเป็นผู้ปกครองในประชาคมต้องบรรลุถึง. ทีนี้ ผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้งพึงมีทัศนะเช่นไรต่อความรับผิดชอบอันเป็นสิทธิพิเศษของเขาในประชาคม?
ปกครอง “ด้วยเอาใจใส่”
9. คริสเตียนผู้ปกครองควรมีทัศนะเช่นไรต่อหน้าที่มอบหมายของตน?
9 ในศตวรรษแรกแห่งสากลศักราช อัครสาวกเปาโลปฏิบัติหน้าที่เป็นคนต้นเรือนในครอบครัวของพระเจ้า คือประชาคมคริสเตียนภายใต้พระคริสต์ผู้เป็นประมุข. (เอเฟโซ 3:2, 7; 4:15) และเช่นกัน เปาโลได้เตือนเพื่อนร่วมความเชื่อของท่านที่โรมว่า “และเราทั้งหลายมีหน้าที่ต่างกันตามพระคุณซึ่งทรงประทานแก่เรา ถ้าเป็นการทำนายก็จงทำนายตามขนาดความเชื่อ หรือถ้าเป็นการปรนนิบัติก็จงปรนนิบัติ หรือถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน หรือถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการแจกทานก็จงให้โดยเต็มใจ ผู้ที่ครอบครองก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตาก็จงแสดงด้วยใจยินดี.”—โรม 12:6-8.
10. ในเรื่องการดูแลฝูงแกะของพระเจ้า เปาโลได้วางตัวอย่างอะไรสำหรับพวกผู้ปกครองสมัยนี้?
10 เปาโลเตือนใจชาวเธซะโลนิเกดังนี้: “เหมือนบิดาได้ปฏิบัติต่อลูกของตนฉันใด เราก็คอยตักเตือนทุกคนในพวกท่าน ทั้งปลอบใจและให้คำพยานแก่ท่านฉันนั้น เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะดำเนินคู่ควรกับพระเจ้าต่อไปผู้ทรงเรียกท่านเข้าสู่ราชอาณาจักรและสง่าราศีของพระองค์.” (1 เธซะโลนิเก 1:1; 2:11, 12, ล.ม.) การตักเตือนเป็นไปอย่างละมุนละไมและในแนวทางแสดงความรักซึ่งเปาโลสามารถเขียนได้ว่า “เราได้อยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลายโดยใจอ่อนสุภาพ เหมือนแม่ลูกอ่อนที่กำลังให้ลูกกินนมทะนุถนอมลูกของตน. ดังนั้น เนื่องจากเรามีความรักชอบอันอ่อนละมุนต่อท่าน เราจึงยินดีจะให้ท่านทั้งหลายไม่เพียงแต่ข่าวดีของพระเจ้าเท่านั้น แต่ให้ทั้งจิตวิญญาณของเราแก่ท่านด้วย เพราะว่าท่านเป็นที่รักของเรา.” (1 เธซะโลนิเก 2:7, 8, ล.ม.) สอดคล้องกับตัวอย่างของเปาโลที่เป็นเหมือนบิดา พวกผู้ปกครองที่ซื่อสัตย์ภักดีจึงมีความห่วงใยอย่างลึกซึ้งต่อทุกคนในประชาคม.
11. ผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้งจะแสดงการเอาใจใส่โดยวิธีใด?
11 ความอ่อนโยนผนวกกับการเอาใจใส่ต้องเป็นลักษณะเด่นของการดูแลด้วยความรักซึ่งคริสเตียนผู้บำรุงเลี้ยงที่ซื่อสัตย์ของเราแสดงออก. กิริยาอาการของเขาบ่งบอกหลายสิ่ง. เปโตรแนะนำพวกผู้ปกครองให้บำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้านั้น “มิใช่เพราะถูกบังคับ” หรือ “ไม่ใช่เพราะรักผลกำไรโดยมิชอบ.” (1 เปโตร 5:2, ล.ม.) ผู้คงแก่เรียนวิลเลียม บาร์กเลย์ ได้กล่าวเตือนในข้อนี้ว่า “มีวิธีที่จะยอมรับเอาหน้าที่และให้การบริหารประหนึ่งว่ามันเป็นหน้าที่อันน่ากลัวและไม่เพลิดเพลิน น่าเหน็ดเหนื่อย เสมือนเป็นภาระหนักที่พึงรังเกียจ. เป็นไปได้ที่ผู้ชายจะได้รับการขอร้องให้ทำบางสิ่ง และเขาทำ แต่ทำในแบบที่ขาดความกรุณาถึงขนาดที่ทำให้การกระทำทั้งสิ้นมีแต่ผลเสีย. . . . แต่ [เปโตร] พูดว่าคริสเตียนทุกคนควรกระตือรือร้นจนตัวสั่นเพื่อที่จะปฏิบัติงานเท่าที่ตนทำได้ แม้เขาตระหนักเต็มที่ว่าเขาไม่คู่ควรจะปฏิบัติงานเพียงไรก็ตาม.”
ผู้บำรุงเลี้ยงที่เต็มใจ
12. คริสเตียนผู้ปกครองจะแสดงความเต็มใจให้ปรากฏแจ้งอย่างไร?
12 อนึ่ง เปโตรได้เร่งเร้าว่า “จงบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าในความอารักขาของท่านทั้งหลาย . . . ด้วยความเต็มใจ.” คริสเตียนผู้ดูแลที่เอาใจใส่แกะย่อมทำเช่นนั้นอย่างเต็มใจ ด้วยเจตจำนงเสรีของตน, ภายใต้การชี้นำของพระเยซูคริสต์ ผู้เลี้ยงที่ดี. การรับใช้ด้วยเต็มใจยังหมายความอีกว่า คริสเตียนผู้บำรุงเลี้ยงยอมตัวให้แก่สิทธิอำนาจของพระยะโฮวา ‘ผู้บำรุงเลี้ยงและผู้ดูแลแห่งจิตวิญญาณของเรา.’ (1 เปโตร 2:25, ล.ม.) คริสเตียนรองผู้บำรุงเลี้ยงสำแดงความนับถืออย่างเต็มใจต่อการจัดเตรียมตามระบอบของพระเจ้า. เขากระทำเช่นนั้นเมื่อชี้แนะคนเหล่านั้นที่แสวงหาคำแนะนำไปยังคัมภีร์ไบเบิล, พระวจนะของพระเจ้า. แม้ว่าประสบการณ์จะช่วยผู้ดูแลในการสร้างคลังสะสมคำแนะนำต่าง ๆ ซึ่งอาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าผู้ปกครองมีทางแก้ปัญหาที่ใช้หลักคัมภีร์ไบเบิลได้ทุกเรื่องทันท่วงที. ถึงแม้เมื่อเขารู้คำตอบของคำถามแล้ว เขาอาจเห็นว่าเป็นการรอบคอบหากตัวเองพร้อมกับคนถามจะค้นหาคำแนะนำจากดรรชนีสรรพหนังสือว็อชเทาเวอร์ หรือจากดรรชนีอื่น ๆ ทำนองนั้น. โดยวิธีนี้ เขาสั่งสอนสองทางคือ: เขาสาธิตวิธีหาความรู้ที่เป็นประโยชน์ และแสดงความนับถือต่อพระยะโฮวาด้วยใจอ่อนน้อม โดยที่เขามุ่งให้ความสนใจต่อสิ่งที่องค์การของพระเจ้าได้จัดพิมพ์ออกมา.
13. ขั้นตอนอะไรสามารถช่วยผู้ปกครองให้คำแนะนำที่สุขุมได้?
13 ผู้ปกครองอาจจะทำประการใดถ้ายังไม่ได้จัดพิมพ์เรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเฉพาะอย่างลงไว้ในหนังสือของสมาคม? ไม่ต้องสงสัย ผู้ปกครองจะอธิษฐานขอเพื่อการหยั่งรู้และจะสืบค้นหาหลักการต่าง ๆ บางอย่างในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ. นอกจากนั้น เขาอาจเห็นว่าเป็นประโยชน์ที่จะแนะคนที่แสวงความช่วยเหลือให้นึกถึงตัวอย่างของพระเยซู. ผู้ปกครองอาจถามดังนี้: “ถ้าพระเยซู ครูผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในสภาพที่คุณประสบอยู่ คุณคิดว่าพระองค์จะทำอย่างไร?” (1 โกรินโธ 2:16) การหาเหตุผลดังกล่าวอาจช่วยให้คนถามตัดสินใจได้อย่างสุขุม. แต่ช่างเป็นความไม่สุขุมเพียงไรหากผู้ปกครองเสนอความคิดเห็นส่วนตัวของเขาเองเสมือนเป็นคำแนะนำหนักแน่นตามหลักคัมภีร์! ถ้าจะให้ดี พวกผู้ปกครองจะร่วมพิจารณาปัญหาต่าง ๆ ที่ยุ่งยากด้วยกัน. อาจถึงขั้นที่พวกเขาจะมอบเรื่องสำคัญให้กับคณะผู้ปกครองประชุมพิจารณากัน. (สุภาษิต 11:14) ผลการตัดสินจะส่งเสริมให้ทุกคนพูดสอดคล้องลงรอยกัน.—1 โกรินโธ 1:10.
ความอ่อนโยนเป็นสิ่งสำคัญ
14, 15. มีข้อเรียกร้องอะไรสำหรับพวกผู้ปกครองเมื่อต้องปรับความคิดของคริสเตียนเข้าที่ผู้ซึ่ง ‘ก้าวพลาดไปก่อนที่เขาจะรู้ตัว’?
14 ผู้ปกครองคริสเตียนจำเป็นต้องสำแดงความอ่อนโยนเมื่อสั่งสอนคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อให้คำแนะนำ. เปาโลแนะนำดังนี้: “พี่น้องทั้งหลาย ถ้าแม้นผู้ใดก้าวพลาดไปประการใดก่อนที่เขารู้ตัว ท่านทั้งหลายผู้มีคุณวุฒิทางฝ่ายวิญญาณจงพยายามปรับคนเช่นนั้นให้เข้าที่ด้วยน้ำใจอ่อนโยน.” (ฆะลาเตีย 6:1, ล.ม.) น่าสนใจ คำกรีกที่นำมาแปลว่า “ปรับให้เข้าที่” เกี่ยวข้องกับศัพท์ด้านศัลยกรรมที่ใช้พรรณนาการทำให้กระดูกเข้าที่ เพื่อป้องกันความพิการตลอดชีวิต. ดับเบิลยู. อี. ไวน์ ผู้เรียบเรียงปทานุกรมเชื่อมโยงการนี้กับการกอบกู้ “โดยคนเหล่านั้นที่เป็นฝ่ายวิญญาณ, ต่อคนที่หลงกระทำบาป, คนดังกล่าวเสมือนสมาชิกคนหนึ่งในคณะบุคคลฝ่ายวิญญาณที่ได้เคลื่อนไป.” การแปลอย่างอื่นอีกคือ “กู้เข้าสู่ตำแหน่งเหมาะสม; นำเข้าที่ให้อยู่ในแนวอันถูกต้อง.”
15 การปรับความคิดของคนเราให้อยู่ในสภาพที่ดีนั้นไม่ง่าย และอาจเป็นงานยากมากที่จะทำให้ความคิดของคนที่เขวไปกลับมาอยู่ในแนวทางอันเหมาะสม. แต่การให้ความช่วยเหลือด้วยน้ำใจอ่อนโยนก็มักได้รับการตอบสนองด้วยการขอบคุณ. ด้วยเหตุนี้ ผู้ปกครองคริสเตียนควรเชื่อฟังคำแนะนำของเปาโลที่ว่า “จงสวมตัวท่านด้วยความเอ็นดูอย่างลึกซึ้ง, ความกรุณา, ใจถ่อม, ความอ่อนโยนและความอดกลั้นไว้นาน.” (โกโลซาย 3:12, ล.ม.) ผู้ปกครองพึงทำประการใดเมื่อผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการปรับตัวให้เข้าที่นั้นมีท่าทีไม่ถูกต้อง? พวกเขาควร “ติดตาม . . . ความมีใจอ่อนโยน.”—1 ติโมเธียว 6:11, ล.ม.
การบำรุงเลี้ยงด้วยความรอบคอบ
16, 17. ผู้ปกครองพึงระวังอันตรายอะไรเมื่อให้คำแนะนำผู้อื่น?
16 ยังมีอีกมากเกี่ยวกับคำแนะนำของเปาโลที่ฆะลาเตีย 6:1. ท่านกระตุ้นพวกที่มีคุณวุฒิฝ่ายวิญญาณดังนี้: “จงพยายามปรับคนเช่นนั้นให้เข้าที่ด้วยน้ำใจอ่อนโยน ขณะที่ท่านแต่ละคนเฝ้าระวังตนเอง เกรงว่าท่านอาจถูกล่อใจด้วย.” ผลที่ตามมาช่างร้ายแรงเสียจริง ๆ หากไม่มีการเชื่อฟังคำแนะนำดังกล่าว! เมื่อถูกกระตุ้นโดยรายงานเกี่ยวกับการทำผิดประเวณีของนักเทศน์นิกายแองกลิกันกับสมาชิกโบสถ์สองคน นิตยสาร เดอะ ไทมส์ แห่งลอนดอนบอกว่า เรื่องนี้เป็น “สภาพการณ์ที่มีในทุกสมัย: ผู้ที่ทำตัวเหมือนเป็นบิดาหรือพี่ชายที่ให้คำปรึกษาแนะนำพ่ายแพ้ต่อการล่อใจเนื่องด้วยเขาเป็นที่ไว้วางใจ.” และสตรีนักเขียนข่าวประจำคอลัมน์อ้างถึงคำพูดของ ดร. ปีเตอร์ รัตเตอร์ที่ว่า “การฉวยประโยชน์ทางด้านชู้สาวระหว่างคนไข้กับชายผู้ให้คำปรึกษา—อาทิ แพทย์, นักกฎหมาย, บาทหลวงและนายจ้าง—ได้กลายเป็นโรคระบาด ที่ไม่มีใครยอมรับรู้ที่ก่อความเสื่อมเสียและน่าอับอายขายหน้าในสังคมของเราซึ่งยอมให้กับการผิดทางเพศอย่างเสรี.”
17 พวกเราไม่ควรคิดว่าไพร่พลของพระยะโฮวาพ้นอันตรายจากการล่อใจดังกล่าว. ผู้ปกครองที่ได้รับความนับถือคนหนึ่งซึ่งรับใช้อย่างซื่อสัตย์นานหลายปีได้พัวพันในการทำผิดศีลธรรม เนื่องจากเขาไปเยี่ยมเพื่อให้การบำรุงเลี้ยงพี่น้องหญิงที่แต่งงานแล้วในเวลาที่เธออยู่แต่ลำพัง. ถึงแม้ได้กลับใจแล้วก็ตาม พี่น้องชายผู้นี้ได้เสียสิทธิพิเศษทุกอย่างแห่งการรับใช้. (1 โกรินโธ 10:12) ทีนี้ ผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้งจะเยี่ยมเพื่อให้การบำรุงเลี้ยงได้อย่างไรเพื่อว่าเขาจะไม่พลาดท่าเข้าสู่การล่อใจ? เขาจะจัดการอย่างไรเพื่อที่จะพบปะกันได้ในสถานที่ที่เป็นส่วนตัวพอสมควร, เพื่อการอธิษฐาน และมีโอกาสจะค้นหาคำแนะนำจากพระวจนะของพระเจ้าและจากสรรพหนังสือคริสเตียน?
18. (ก) การใช้หลักการความเป็นประมุขจะช่วยพวกผู้ปกครองหลีกเลี่ยงสภาพการณ์ที่นำไปสู่การเสื่อมเสียได้อย่างไร? (ข) อาจจัดเตรียมการเช่นไรเพื่อเยี่ยมบำรุงเลี้ยงพี่น้องหญิง?
18 ปัจจัยหนึ่งที่ผู้ปกครองต้องคำนึงคือหลักการความเป็นประมุข. (1 โกรินโธ 11:3) หากคนหนุ่มแสวงหาการชี้นำ จงพยายามให้บิดามารดาของเขามีส่วนร่วมในการสนทนาโต้ตอบเมื่อเห็นสมควร. เมื่อพี่น้องหญิงที่แต่งงานแล้วขอร้องความช่วยเหลือฝ่ายวิญญาณ คุณจะจัดแจงให้สามีของเธอมาอยู่ด้วยระหว่างการเยี่ยมได้ไหม? หากเป็นไปไม่ได้หรือสามีไม่เลื่อมใสพระเจ้าและเคยทำร้ายเธอในทางใดทางหนึ่งล่ะจะทำอย่างไร? เมื่อเป็นเช่นนั้น จงจัดเตรียมการอย่างที่คุณพึงทำเมื่อเยี่ยมเพื่อการบำรุงเลี้ยงพี่น้องหญิงที่ยังไม่แต่งงาน. คงจะดีเมื่อพี่น้องชายที่มีคุณวุฒิฝ่ายวิญญาณสองคนไปเยี่ยมพี่น้องหญิงด้วยกัน. หากทำเช่นนี้ไม่ได้ก็อาจจัดเวลาให้เหมาะสมเพื่อที่พี่น้องชายสองคนจะสนทนากับเธอ ณ หอประชุมราชอาณาจักร และถ้าทำได้ก็ควรเป็นที่ซึ่งไม่มีคนพลุกพล่าน. เมื่อมีพี่น้องชายหญิงคนอื่นอยู่ในห้องประชุม แม้ไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะมองเห็นหรือได้ยินการสนทนาก็ตาม คงเป็นการหลีกเลี่ยงสาเหตุใด ๆ ซึ่งอาจทำให้สะดุดได้.—ฟิลิปปอย 1:9, 10.
19. การบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าด้วยความเต็มใจนำมาซึ่งผลดีประการใด และเราสำนึกบุญคุณของผู้ใดที่มีเหล่าผู้บำรุงเลี้ยงที่ทำงานอย่างเต็มใจ?
19 การบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าด้วยความเต็มใจย่อมบังเกิดผลดี—ฝูงแกะที่แข็งแรงฝ่ายวิญญาณ, ได้รับการชี้แนะเป็นอย่างดี. เช่นเดียวกับอัครสาวกเปาโล ผู้ปกครองคริสเตียนสมัยปัจจุบันมีความห่วงใยมากต่อเพื่อนร่วมความเชื่อ. (2 โกรินโธ 11:28) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าที่รับผิดชอบแห่งการบำรุงเลี้ยงไพร่พลของพระเจ้าหนักหน่วงในยุควิกฤตนี้. ด้วยเหตุนี้ พวกเรารู้สำนึกบุญคุณอย่างแท้จริงสำหรับการงานที่พี่น้องชายของเรากระทำที่รับใช้ในฐานะเป็นผู้ปกครอง. (1 ติโมเธียว 5:17) เนื่องจากพวกเราได้พระพร ‘ของประทานในลักษณะมนุษย์’ ผู้ซึ่งทำการบำรุงเลี้ยงด้วยความเต็มใจ เราจึงถวายคำสรรเสริญแด่พระยะโฮวาผู้บำรุงเลี้ยงของพวกเราที่สถิตในสวรรค์ ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก ผู้ให้ “ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันสมบูรณ์ทุกอย่าง.”—เอเฟโซ 4:8; ยาโกโบ 1:17, ล.ม.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ ผู้ชายจะปกครองคนในครอบครัวของตนด้วยวิธีอันดีงามได้อย่างไร?
▫ คุณสมบัติอะไรบ้างซึ่งผู้ปกครองคริสเตียนควรสำแดงในการปกครองดูแล?
▫ ผู้ปกครองอาจแสดงความถ่อมใจและความอ่อนโยนโดยวิธีใดเมื่อให้คำแนะนำ?
▫ อะไรจะช่วยให้การปรับให้เข้าที่ฝ่ายวิญญาณมีประสิทธิภาพ?
▫ ผู้ปกครองจะป้องกันสภาพการณ์อันจะนำไปสู่การเสื่อมเสียได้อย่างไรเมื่อให้การบำรุงเลี้ยงฝูงแกะ?
[รูปภาพหน้า 18]
คริสเตียนผู้ปกครองต้องปกครองคนในครอบครัวของตนด้วยวิธีที่ดีงาม
[รูปภาพหน้า 21]
การบำรุงเลี้ยงอย่างคริสเตียนควรกระทำด้วยความอ่อนโยนและด้วยวิจารณญาณอันดี