ขอบพระคุณพระยะโฮวาที่ทรงเกื้อหนุนมิได้ขาด
เล่าโดยแชรอน แกสคินส์
อุทยานบนแผ่นดินโลก! ดิฉันเห็นตนเองวิ่งไปมาบนทุ่งหญ้า, วิ่งไล่ผีเสื้อ, เล่นกับลูกสิงโต. ดีอะไรเช่นนี้! แต่มีข้อสงสัย. บ่อยครั้งเหลือเกินที่ความหวังของดิฉันลงเอยด้วยความสิ้นหวัง!
เท่าที่จำความได้ เก้าอี้เข็นเป็นเพื่อนคู่ชีพของดิฉันมาตลอด. ตั้งแต่เกิด ความพิการทางสมองได้ปล้นเอาความเพลิดเพลินที่วัยเด็กควรจะมีไปจากดิฉัน. เด็กอื่น ๆ เล่นสเกตและขี่จักรยานกันอย่างสนุกสนาน แต่ดิฉันนั่งอยู่เดียวดาย ไม่สามารถแม้แต่จะเดิน. ดังนั้น เมื่อคุณแม่พาดิฉันไปหาผู้ที่รักษาโรคโดยความเชื่อคนแล้วคนเล่า เรามีความหวังเหลือเกินว่าจะมีการอัศจรรย์. กระนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่า คุณแม่ได้แต่เข็นดิฉันออกมา. สร้างความผิดหวังให้แก่ดิฉันจริง ๆ แต่น่าเศร้าใจสำหรับคุณแม่สักเพียงไร!
เนื่องจากร่ำหาความหวังแท้ คุณแม่จึงเริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับพยานพระยะโฮวาตอนต้นปี 1964. ตอนนั้น ดิฉันอายุประมาณหกขวบครึ่ง.
เป็นสิ่งวิเศษที่ได้เรียนรู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีอุทยานที่สวยงามบนแผ่นดินโลกนี้. แต่น่าเศร้า อาดาม มนุษย์คนแรก ได้ทำให้อุทยานนั้นสูญเสียไป แต่ดิฉันปรารถนาความใกล้ชิดกับพระเจ้าดังที่ครั้งหนึ่งอาดามเคยมี. การมีสัมพันธภาพเป็นพิเศษกับพระเจ้าจะเป็นอย่างไร? หรือมีชีวิตอยู่ในตอนที่พระบุตรของพระองค์ทรงดำเนินอยู่บนโลกนี้? การฝันกลางวันพาดิฉันไปถึงอุทยานในอนาคต. แม้อายุยังน้อย แต่ก็แจ่มชัดสำหรับดิฉันว่าเราได้พบความจริงแล้ว.
คุณแม่เริ่มพาครอบครัวไปยังหอประชุมราชอาณาจักรของพยานพระยะโฮวา. การประชุมของพวกเขาช่างแตกต่างจากสิ่งที่เราได้เห็นในคริสต์จักร! ผู้คนและบรรยากาศทำให้ดิฉันซาบซึ้งใจมาก.
การพาพวกเราไปยังหอประชุมเป็นเรื่องลำบากยากเข็ญทีเดียวสำหรับคุณแม่. นอกจากดิฉันแล้ว ยังมีน้อง ๆ อีกสามคน และเราไม่มีรถยนต์. เรานั่งรถแท็กซี่เมื่อคุณแม่มีเงินพอ. ดิฉันยังจำได้ว่าคุณแม่พยายามมากเพียงไรในวันอาทิตย์หนึ่ง. ไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาเลย. แล้วจู่ ๆ ชายคนหนึ่งก็ขับรถบรรทุกมาและให้เราโดยสารรถไปด้วย. เราไปประชุมสาย แต่เราก็ได้ไป. เรารู้สึกขอบพระคุณพระยะโฮวาสักเพียงไร!
ในไม่ช้า พี่น้องฝ่ายวิญญาณชายหญิงที่รักของเราซึ่งมีรถยนต์ ก็ผลัดกันมารับส่งเรา. การหนุนใจของคุณแม่ที่ไม่ให้ขาดการประชุมนอกเสียจากว่าเราป่วยจริง ๆ นั้นฝังใจดิฉันตั้งแต่เด็กถึงความสำคัญของการ ‘ประชุมกันนั้น.’ (เฮ็บราย 10:24, 25) เนื่องจากได้รับการกระตุ้นใจจากสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ คุณแม่จึงอุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวา และรับบัพติสมาในปี 1965.
ถึงเวลานั้น ดิฉันก็โตพอจะเห็นคุณค่าของการประชุมมากขึ้น. ในประชาคมไซเพรสฮิลล์สในบรุกลิน นิวยอร์ก มีคนยุโรป, คนผิวดำ, คนลาตินอเมริกัน, และคนอื่น ๆ ซึ่งนมัสการเคียงข้างกัน. เป็นสิ่งถูกต้องทีเดียวที่พลไพร่ที่กลัวเกรงพระเจ้าดำเนินชีวิตเช่นนี้ คือมีภราดรภาพอย่างแท้จริง.—บทเพลงสรรเสริญ 133:1.
คุณแม่สอนดิฉันถึงวิธีเตรียมตัวสำหรับการประชุม. สิ่งนี้ไม่เป็นปัญหาในด้านความคิดจิตใจ แต่ทางกายภาพแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง. ความพิการทางสมองนั้นทำให้งานง่าย ๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่. เป็นไปไม่ได้ที่ดิฉันจะขีดเส้นตรงเพื่อหมายคำตอบในคู่มือศึกษาพระคัมภีร์ของเราในเวลานั้น และเวลานี้ก็ยังทำไม่ได้. อย่างไรก็ตาม ด้วยการฝึกฝน ดิฉันขีดเส้นใต้ได้ดีขึ้น.
ใจของดิฉันเปี่ยมไปด้วยสิ่งที่จะพูด. แต่เมื่อพูดออกมา คำพูดต่าง ๆ กลับกลายเป็นสับสนปนเปกันไปหมด. การผ่อนคลายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตึง. นอกจากนั้น ดิฉันยังต้องตั้งอกตั้งใจออกเสียงแต่ละคำให้ชัดเจนเท่าที่จะเป็นไปได้. ความข้องขัดใจจะพลุ่งขึ้นถ้าคำอธิบายไม่ได้ออกมาดังที่ควรจะเป็น หรือเมื่อดิฉันทราบว่าผู้คนไม่เข้าใจคำพูดของดิฉัน. ถึงกระนั้น เมื่อพี่น้องชายหญิงในประชาคมรู้จักดิฉัน พวกเขาสามารถเข้าใจคำพูดของดิฉันดีขึ้น. อย่างไรก็ตาม ดิฉันยังต้องเผชิญกับปัญหานี้อยู่บางวันก็มาก บางวันก็น้อย.
หกเดือนที่แสนทรมาน
ตอนอายุแปดขวบ ดิฉันมีประสบการณ์หกเดือนที่ก่อผลกระทบต่อดิฉันจนถึงทุกวันนี้. แม้ว่าดิฉันได้รับกายภาพบำบัด, อาชีวบำบัด, และการรักษาทางด้านการพูดมาหมดแล้ว แต่แพทย์ก็ยังส่งดิฉันไปยังโรงพยาบาลฟื้นฟูสมรรถภาพในเวสต์ฮาเวอร์สตรอว์ นิวยอร์ก. คุณแม่และดิฉันต่างหัวใจแทบสลาย. หลายปีก่อนหน้านี้ เมื่อแพทย์วินิจฉัยผิดว่าดิฉันปัญญาอ่อน เธอบอกแพทย์ว่าเธอจะไม่มีวันส่งดิฉันให้อยู่ห่างจากเธอ. ฉะนั้น แม้จะเป็นการแยกจากกันชั่วคราว ก็เป็นการยากสำหรับเธอ. อย่างไรก็ตาม เธอเห็นว่าการที่ดิฉันจะดำเนินชีวิตที่บังเกิดผลโดยไม่ต้องพึ่งพาเธอและคุณพ่อนั้นหมายถึงการพึ่งพาตนเองทางกายภาพให้ได้มากเท่าที่เป็นไปได้.
สถานที่นั้นน่าอยู่ แต่ดิฉันรู้สึกถูกทอดทิ้ง. เสียงร้องสุดฤทธิ์และการมีอารมณ์เสีย แสดงอย่างเด่นชัดถึงความรู้สึกของดิฉันต่อสถานที่นั้น. คุณพ่อคุณแม่ได้เดินทางมาเยี่ยมดิฉันไม่บ่อยเท่าไรนัก โดยเฉพาะเนื่องจากคุณแม่มีน้องคนที่ห้าอยู่ในท้อง. เมื่อท่านทั้งสองต้องจากไป ทำให้ดิฉันว้าวุ่นใจมาก จนแพทย์บอกว่าการเยี่ยมต้องถี่น้อยกว่านี้. ดิฉันได้รับอนุญาตให้กลับบ้านเพียงสองครั้ง.
ผู้ที่ให้การบำบัดสอนวิธีเดินแก่ดิฉัน โดยมีปลอกเหล็กสวมที่ขาและไม้ยันรักแร้ที่มีตะกั่วถ่วงน้ำหนักไว้. ดูเหมือนว่าไม้นั้นหนักเหลือเกิน. อย่างไรก็ตาม น้ำหนักนั้นช่วยให้ดิฉันทรงตัวอยู่ได้ และไม่หกล้มลงไป. นับเป็นขั้นแรกในการเดินเองโดยไม่มีปลอกเหล็ก.
การหั่นอาหาร, การติดกระดุม—งานอะไรก็ตามที่ต้องใช้นิ้ว—เคยเป็นสิ่งยากเสมอสำหรับดิฉัน แทบเป็นไปไม่ได้เสียเลย. แต่ในระดับหนึ่ง ดิฉันหัดตักอาหารเข้าปากและแต่งตัวได้เอง. ต่อมาสิ่งนี้ช่วยดิฉันในงานรับใช้พระเจ้า.
เมื่อการฝึกอบรมเสร็จสิ้นลง จึงได้กลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง. คุณแม่ใช้ดิฉันทำงานทันที โดยให้ใช้ทักษะใหม่ ๆ ที่ฝึกมา. การทำเช่นนั้นเป็นการต่อสู้ทางอารมณ์ เพราะว่าแม้ดิฉันอยากทำสิ่งต่าง ๆ ให้ตัวเอง แต่การทำสิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จเป็นเรื่องที่น่าข้องขัดใจ, ต้องใช้เวลา, และทำให้หมดเรี่ยวแรง. การแต่งตัวไปประชุมเป็นงานใหญ่ที่กินเวลาถึงสองชั่วโมง!
เมื่อเราย้ายมาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหอประชุม ดิฉันเดินไปด้วยตนเองจริง ๆ. นับว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่!
วันที่ดิฉันมีความสุขที่สุดในชีวิต
คุณแม่ทำให้แน่ใจว่าครอบครัวมีอาหารฝ่ายวิญญาณที่สมดุล. เธอศึกษากับดิฉัน และต้องการให้ดิฉันอ่านวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด ของเราทุกฉบับ. มีการประชุมต่าง ๆ ที่จะต้องเตรียมตัวและเข้าร่วม. แม้ว่าจิตใจและหัวใจของดิฉันกระตือรือร้นที่จะรับเอาความรู้นี้ แต่ความคิดจริงจังในการอุทิศชีวิตของดิฉันแด่พระยะโฮวาและแสดงสัญลักษณ์ของการอุทิศตัวโดยการรับบัพติสมาในน้ำนั้นยังอยู่ห่างไกล. คุณแม่ช่วยให้ดิฉันเห็นว่า ถึงแม้ดิฉันจะพิการ แต่พระเจ้าทรงถือว่าดิฉันต้องรับผิดชอบฝ่ายวิญญาณสำหรับตัวเอง. ดิฉันไม่อาจคาดหวังที่จะเข้าโลกใหม่ด้วยคุณความดีของท่าน ไม่อาจเกาะท่านเข้าไปในโลกใหม่.
ดิฉันรักพระเจ้า แต่สภาพการณ์ของดิฉันทำให้ดิฉันต่างไปจากคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นความคิดที่เจ็บปวดสำหรับคนที่อยู่ในวัยรุ่น. เป็นการยากที่จะยอมรับข้อจำกัดของดิฉัน. ความโกรธมักเข้าครอบงำดิฉัน และต้องมีการควบคุมสิ่งนี้ก่อนที่จะรับบัพติสมา. (ฆะลาเตีย 5:19, 20) และผลจะเป็นอย่างไร หากดิฉันไม่สามารถดำเนินชีวิตให้สมกับที่ดิฉันอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา?
ด้วยการขอร้องจากคุณแม่ ผู้ปกครองคนหนึ่งในประชาคมพูดกับดิฉัน. เขายกคำถามของผู้พยากรณ์เอลียาที่ถามชนยิศราเอลว่า “ท่านทั้งหลายจะรวมกันอยู่ท่ามกลางลัทธิทั้งสองฝ่ายนานสักเท่าใด?” (1 กษัตริย์ 18:21) เห็นได้ชัดว่าพระยะโฮวาไม่พอพระทัยที่ดิฉันไม่ทำการตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป.
ดิฉันตื่นจากหลับฝ่ายวิญญาณและอธิษฐานอย่างจริงจังขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาและขอความตั้งใจแน่วแน่ที่จะอุทิศชีวิตของดิฉันแด่พระองค์. พี่น้องฝ่ายหญิงคนหนึ่งในประชาคมศึกษากับดิฉัน. เธออ่อนวัยกว่าดิฉันและกำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก. ถึงกระนั้น เธอได้อุทิศตัวแด่พระเจ้าในขณะที่อายุยังน้อย.
เมื่ออายุ 17 ปี ดิฉันตัดสินใจแน่วแน่. ดิฉันต้องการรับใช้พระยะโฮวาสุดความสามารถของดิฉัน. วันที่ 9 สิงหาคม 1974 วันที่ดิฉันรับบัพติสมา เป็นวันที่ดิฉันมีความสุขที่สุดในชีวิต.
ความยินดีในงานรับใช้
การมีส่วนในงานรับใช้ฐานะพยานพระยะโฮวามีอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง. สิ่งที่ท้าทายที่สุดก็คือการทำให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูด. ดิฉันจะพูดให้ชัดเจนเท่าที่จะเป็นได้. และเมื่อถึงคราวจำเป็น คู่ที่ดิฉันไปประกาศด้วยจะกล่าวซ้ำคำพูดของดิฉันกับเจ้าของบ้าน. บางคนมีปฏิกิริยาในทางลบ มองดูดิฉันว่าเป็นเหยื่อที่ถูกพวกพยานฯใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์. แต่การประกาศเป็นสิทธิและเป็นความปรารถนาจากใจจริงของดิฉัน.
การเดินไปตามบ้านเพียงช่วงตึกแถวเดียวก็ทำให้เหนื่อยมาก. หลายบ้านในเขตประกาศมีบันได ทำให้ดิฉันเข้าไม่ถึง. ในฤดูหนาว ถนนที่มีน้ำแข็งปกคลุมทำให้การประกาศตามบ้านเกือบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับดิฉัน. (กิจการ 20:20) อย่างไรก็ตาม พี่น้องฝ่ายวิญญาณช่วยมากมาย และเวลานี้พระยะโฮวาทรงอวยพระพรให้ดิฉันมีเก้าอี้เข็นติดเครื่องยนต์ ซึ่งทำให้งานรับใช้ง่ายขึ้นมาก.
ด้วยความปรารถนาที่จะเป็นผู้ประกาศราชอาณาจักรที่ขยันขันแข็ง ดิฉันเริ่มให้คำพยานทางจดหมาย. การเขียนจดหมายด้วยมือคงจะใช้ไม่ได้เพราะคนส่วนใหญ่อ่านลายมือของดิฉันไม่ออก. ดังนั้น เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้ากลายเป็นเสมียนของดิฉัน. การพิมพ์ดีดของดิฉันช้ามากเพราะการประสานงานของมือมีประสิทธิภาพน้อยมาก. ประมาณครึ่งหนึ่งของเวลา ดิฉันเล็งไปที่ตัวอักษรหนึ่ง แต่เคาะอีกตัวหนึ่ง. อาจใช้เวลาชั่วโมงหนึ่งหรือกว่านั้นในการพิมพ์เพียงหน้าเดียว.
ทั้ง ๆ ที่ขาดกำลังวังชา เป็นครั้งคราวดิฉันรับใช้ในฐานะไพโอเนียร์สมทบ อุทิศ 60 ชั่วโมงหรือกว่านั้นในงานรับใช้ต่อเดือน. สิ่งนี้เรียกร้องให้มีตารางเวลาที่ดี, ความพยายามเป็นพิเศษ, และการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมความเชื่อ. น้ำใจไพโอเนียร์ของพวกเขาหนุนกำลังใจดิฉัน. คุณแม่ก็วางแบบอย่างที่ดีเช่นกัน โดยรับใช้เป็นไพโอเนียร์ประจำหรือไพโอเนียร์สมทบในขณะที่เผชิญความยากลำบาก, สุขภาพทรุดโทรม, และข้อท้าทายในการเลี้ยงดูลูกเจ็ดคนในบ้านที่แบ่งแยกกันทางศาสนา.
อยู่ด้วยตัวเอง
พออายุ 24 ปี ดิฉันตัดสินใจย้ายออกมาอยู่ด้วยตัวเอง. การที่ดิฉันย้ายไปที่เขตเบนสันเฮิสต์ในบรุกลินนั้นปรากฏว่าเป็นพระพร. ประชาคมมาร์ลบอโรเป็นเหมือนครอบครัวที่สนิทสนมกลมเกลียวกัน. ช่างเป็นการเสริมสร้างความเชื่อให้เข้มแข็งสักเพียงไรที่ได้อยู่กับพี่น้องที่นั่น! แม้ว่าจะมีรถยนต์เพียงสองหรือสามคันในประชาคม แต่พี่น้องฝ่ายวิญญาณยังคงพาดิฉันไปยังทุกการประชุม. กระนั้น ดิฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นนาน.
โดยที่รู้สึกล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ดิฉันกลับบ้านมาอยู่กับครอบครัว และจมเข้าสู่ความซึมเศร้าอย่างหนักเป็นเวลาสามปี. ความโกรธหวนกลับมาอีก. จากนั้นก็เกิดความคิดอยากฆ่าตัวตาย และพยายามสองสามครั้ง. ความตายเป็นความคาดหมายที่น่ากลัวอยู่ตลอดเวลา. แต่ดิฉันเริ่มหมายพึ่งพระเจ้ามากขึ้น และสัญญาว่าจะแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อชีวิตอันเป็นของประทานจากพระองค์. คำปลอบประโลมและคำแนะนำด้วยความรักมาจากผู้ปกครอง. สิ่งนี้ พร้อมด้วยการอธิษฐาน, การศึกษาส่วนตัว, ความอดทนในส่วนของครอบครัวดิฉัน, และความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ปรับความคิดที่สับสนของดิฉันให้ถูกต้อง.
โดยทางวารสารหอสังเกตการณ์ ด้วยความรัก พระยะโฮวาทรงประทานความหยั่งเห็นเข้าใจในเรื่องความซึมเศร้าอย่างรุนแรง. ใช่แล้ว พระองค์ทรงใฝ่พระทัยในพลไพร่ของพระองค์ และทรงเข้าใจความรู้สึกของเรา. (1 เปโตร 5:6, 7) ในที่สุด ความซึมเศร้าอย่างหนักก็ทุเลาลง. สิบปีต่อมา พระยะโฮวายังคงช่วยดิฉันให้รับมือกับความข้องขัดใจและความซึมเศร้า. บางครั้ง ความรู้สึกไร้ค่าเกือบจะทำให้ดิฉันยอมแพ้. กระนั้น การอธิษฐาน, การศึกษาพระคัมภีร์, และครอบครัวฝ่ายวิญญาณของดิฉันเป็นเครื่องช่วยชีวิตที่วิเศษยอดเยี่ยม.
หลังจากที่ไม่ประสบผลสำเร็จในการหาห้องชุดอีกแห่งหนึ่ง ดิฉันตกลงใจอย่างไม่สู้เต็มใจนักที่จะอยู่กับครอบครัวไปตลอดชีวิต. และแล้วพระยะโฮวาทรงตอบคำอธิษฐานของดิฉัน. มีห้องชุดหนึ่งว่างในเขตเบดฟอร์ด สไตวิซันต์ในบรุกลิน. ตอนปลายฤดูร้อนของปี 1984 ดิฉันย้ายเข้าไปอยู่ และได้อยู่ที่นั่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา.
สมาชิกของประชาคมลาฟาเยตต์ที่เปี่ยมไปด้วยความรักได้กรุณาพาดิฉันไปยังการประชุมต่าง ๆ. ที่ยังจำได้แม่นก็คือการศึกษาหนังสือปกแข็งประจำประชาคมครั้งแรกที่ดิฉันเข้าร่วม ซึ่งได้จัดขึ้นที่ชั้นสี่—และไม่มีลิฟต์! ด้วยความช่วยเหลือของพระยะโฮวาเท่านั้นที่ทำให้ดิฉันขึ้นลงบันไดเหล่านั้นได้สำเร็จ. ในที่สุด มีการจัดสถานที่ที่ไปได้ง่ายขึ้น. และเวลานี้ พระยะโฮวาทรงอวยพระพรให้ดิฉันได้รับสิทธิพิเศษที่มีการศึกษาหนังสือปกแข็งประจำประชาคมขึ้นที่บ้านของดิฉันเอง.
น้ำใจไพโอเนียร์ที่วิเศษยอดเยี่ยมแผ่ไปทั่วประชาคมนี้. ตอนที่ดิฉันมามีไพโอเนียร์ประมาณ 30 คนซึ่งวางแบบอย่างที่ดี และบางคนให้ความดูแลเอาใจใส่ดิฉัน. บรรยากาศที่กระตือรือร้นกระตุ้นให้ดิฉันเป็นไพโอเนียร์สมทบบ่อยครั้งขึ้น.
ในเดือนเมษายน 1990 ประชาคมลาฟาเยตต์และแพรตต์สร้างหอประชุมใหม่บนถนนเดียวกับห้องชุดที่ดิฉันอยู่. ช่างทันเวลาพอดีเพราะเนื่องจากร่างกายทรุดโทรมลง การเดินจึงกลายเป็นปัญหาขึ้นมาอีก. อย่างไรก็ตาม ดิฉันมีรถจักรยานยนต์และมีพี่น้องชายหญิงให้ความช่วยเหลือ การเดินทางไปและกลับจากการประชุมจึงมีความเพลิดเพลิน. ดิฉันหยั่งรู้ค่าอย่างสุดซึ้งเสียนี่กระไร ในความช่วยเหลือที่เปี่ยมด้วยความรัก!
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงค้ำจุน
แม้ว่าขาของดิฉันจะไม่มั่นคง แต่หัวใจของดิฉันมั่นคงแน่วแน่. การศึกษาที่ดีช่วยให้การดำเนินชีวิตง่ายขึ้นบ้าง กระนั้น พระเจ้าและคำสั่งสอนของพระองค์ค้ำจุนดิฉันไว้. บางครั้ง ดิฉันไม่ทราบว่าอาหารมื้อถัดไปจะได้มาจากที่ไหน แต่พระยะโฮวาได้ค้ำจุนดิฉันและเป็นผู้จัดหาสิ่งจำเป็นที่ซื่อสัตย์เสมอมา. สิ่งที่มีค่าสำหรับดิฉันเป็นพิเศษก็คือคำกล่าวของดาวิดที่ว่า “ตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่ม, จนบัดนี้เป็นคนชราแล้ว; ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยเห็นคนสัตย์ธรรมต้องถูกละทิ้งเสีย, ไม่เคยเห็นพงศ์พันธุ์ของเขาขอทาน.”—บทเพลงสรรเสริญ 37:23-25.
หลายครั้ง พระยะโฮวาทรงช่วยให้ดิฉันยืนหยัดตามหลักพระคัมภีร์ได้ โดยช่วยดิฉันไม่ยอมรับเลือดระหว่างการผ่าตัด. (กิจการ 15:28, 29) ไม่นานมานี้ คุณพ่อเสียชีวิต. การสูญเสียใครสักคนที่ใกล้ชิดเป็นเรื่องทุกข์ใจจริง ๆ. ความเข้มแข็งจากพระยะโฮวาเท่านั้นที่ทำให้ดิฉันผ่านพ้นสิ่งนี้และการทดลองอื่น ๆ มาได้.
สุขภาพของดิฉันอาจจะทรุดลงไปเรื่อย ๆ แต่ความวางใจของดิฉันในพระยะโฮวาและสัมพันธภาพกับพระองค์ยังคงเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตของดิฉันไว้. ช่างเป็นความสุขอะไรเช่นนี้ ที่ดิฉันได้อยู่ท่ามกลางพลไพร่ของพระยะโฮวาและได้รับการเกื้อหนุนมิได้ขาดจากพระองค์!