อย่าให้ใคร ๆ ทำให้นิสัยดีของคุณเสียไป
“อย่าให้ผู้ใดลวงท่าน. การคบหาสมาคมที่ไม่ดีย่อมทำให้นิสัยดีเสียไป.”—1 โกรินโธ 15:33, ล.ม.
1, 2. (ก) อัครสาวกเปาโลมีความรู้สึกเช่นไรต่อคริสเตียนชาวโกรินโธ และเพราะเหตุใด? (ข) เราจะพิจารณาคำแนะนำอะไรโดยเฉพาะ?
ความรักของบิดามารดาช่างเป็นความรู้สึกดีวิเศษจริง ๆ! ความรู้สึกนี้เองกระตุ้นบิดามารดาให้เสียสละเพื่อบุตรของตน สั่งสอนและให้คำแนะนำแก่เขา. อัครสาวกเปาโลอาจไม่ใช่บิดาผู้ให้กำเนิดบุตรก็จริง แต่ท่านได้เขียนถึงคริสเตียนในเมืองโกรินโธดังนี้: “ด้วยว่าแม้ท่านมีครูสักหมื่นคนสอนถึงเรื่องพระคริสต์, แต่ท่านจะมีบิดาหลายคนก็หามิได้ เพราะว่าข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดแก่ท่านทั้งหลายด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์โดยกิตติคุณ.”—1 โกรินโธ 4:15.
2 ก่อนหน้านั้น เปาโลได้เดินทางไปเมืองโกรินโธ ได้สั่งสอนทั้งชาวยิวและชาวกรีกที่นั่น. ท่านได้ช่วยก่อตั้งประชาคมที่โกรินโธ. ในจดหมายอีกฉบับหนึ่ง เปาโลเปรียบการเอาใจใส่ดูแลของท่านเหมือนแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมของตนเอง แต่ท่านก็เป็นเหมือนบิดาของชาวโกรินโธ. (1 เธซะโลนิเก 2:7) เฉกเช่นบิดาผู้ให้กำเนิดที่เปี่ยมด้วยความรัก เปาโลก็ได้เตือนสอนบุตรฝ่ายวิญญาณของท่านเช่นกัน. คุณสามารถรับประโยชน์จากการเตือนสอนคริสเตียนที่โกรินโธเยี่ยงบิดาทำต่อบุตรที่ว่า “อย่าให้ผู้ใดลวงท่าน. การคบหาสมาคมที่ไม่ดีย่อมทำให้นิสัยดีเสียไป.” (1 โกรินโธ 15:33, ล.ม.) เพราะอะไรเปาโลเขียนอย่างนั้นถึงชาวโกรินโธ? พวกเราจะนำเอาคำแนะนำมาใช้อย่างไร?
คำแนะนำสำหรับพวกเขาและสำหรับเรา
3, 4. เรารู้อะไรเกี่ยวกับเมืองโกรินโธในศตวรรษแรกและประชากรของเมืองนี้?
3 ในศตวรรษแรก สตราโบ นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกเขียนไว้ว่า “เมืองโกรินโธได้ชื่อเป็นเมืองที่ ‘มั่งคั่ง’ เพราะการพาณิชย์ เนื่องจากตั้งอยู่ตรงคอคอดอิสธ์มัสและเป็นเมืองท่าคุมท่าเรือสองแห่ง ท่าเรือหนึ่งมีเส้นทางไปเอเชีย, และอีกเส้นทางหนึ่งไปอิตาลี และทำให้การแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศทั้งสองเป็นไปโดยง่าย.” ทุก ๆ สองปีกีฬาอิสท์เมียนอันลือชื่อเป็นสื่อชักนำฝูงชนมากมายไปที่เมืองโกรินโธ.
4 ผู้คนเป็นเช่นไรในเมืองนี้ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเหล่าผู้มีอำนาจทางการปกครอง อีกทั้งการนมัสการเทพธิดาแอพโรไดติที่เร้าราคะ? ศาสตราจารย์ ที. เอส. อีแวนส์ ชี้แจงว่า “มีจำนวนประชากรประมาณ 400,000 คน. สังคมแสดงถึงวัฒนธรรมที่สูงส่ง, ทว่าหละหลวมทางศีลธรรม, ถึงขีดหยาบช้าเสียด้วยซ้ำ . . . . คนเชื้อสายกรีกที่อาศัยอยู่ในอะคายะเป็นที่รู้จักโดยสืบเสาะหาความรู้ไม่หยุดหย่อนและเป็นพวกที่เร่งร้อนจะยึดติดกับเรื่องใหม่ ๆ . . . คตินิยมของพวกเขาเป็นเหมือนเชื้อเพลิงพร้อมจะก่อให้เกิดลัทธินิกายต่าง ๆ ขึ้นมา.”
5. พวกพี่น้องชาวโกรินโธเผชิญอันตรายอะไร?
5 ต่อมา แม้แต่ประชาคมก็เกิดแตกแยก เพราะบางคนที่ยังเอนเอียงเข้าหาการคาดคะเนอย่างยโส. (1 โกรินโธ 1:10-31; 3:2-9) ปัญหาใหญ่ได้แก่บางคนบอกว่า “การเป็นขึ้นมาจากตายไม่มี.” (1 โกรินโธ 15:12; 2 ติโมเธียว 2:16-18) ไม่ว่าความเชื่อของพวกเขาเป็นเช่นไรก็ตาม (หรือเชื่ออย่างผิด ๆ) เปาโลต้องแก้ไขพวกเขาด้วยข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าพระคริสต์ได้ “ทรงคืนพระชนม์แล้ว.” ฉะนั้น คริสเตียนสามารถวางใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงประทาน “ชัยชนะ . . . โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” แก่พวกเขา. (1 โกรินโธ 15:20, 51-57) หากคุณอยู่ในสมัยนั้น คุณจะตกอยู่ในอันตรายไหม?
6. คำแนะนำของเปาโลที่ 1 โกรินโธ 15:33 หมายถึงพวกไหนโดยเฉพาะ?
6 เมื่อดำเนินเรื่องเพื่อพิสูจน์หลักฐานให้แน่นหนาว่าคนตายจะได้รับการปลุกขึ้นมาอีก เปาโลกำชับพวกเขาดังนี้ “อย่าให้ผู้ใดลวงท่าน. การคบหาสมาคมที่ไม่ดีย่อมทำให้นิสัยดีเสียไป.” ประเด็นของคำแนะนำนี้เกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นที่คบหากับประชาคมซึ่งไม่เห็นพ้องกับคำสอนเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย. พวกเขาเพียงแต่ไม่แน่ใจในจุดที่เขาไม่เข้าใจเช่นนั้นไหม? (เทียบกับลูกา 24:38.) ไม่ใช่อย่างนั้น. เปาโลเขียนว่า “บางคนในพวกท่านยังกล่าวว่า การเป็นขึ้นจากตายไม่มี” ดังนั้น คนเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องจึงแสดงออกด้วยการไม่เห็นด้วย มีใจโอนเอนไปทางการออกหาก. เปาโลตระหนักอย่างถ่องแท้ว่าพวกเขาจะทำให้นิสัยและแนวคิดที่ดีของคนอื่นเสียไป.—กิจการ 20:30; 2 เปโตร 2:1.
7. อะไรเป็นสภาพการณ์อย่างหนึ่งที่เราสามารถนำ 1 โกรินโธ 15:33 ไปใช้ได้?
7 เราจะใช้คำเตือนของเปาโลเรื่องการคบหาสมาคมให้เป็นประโยชน์อย่างไร? ท่านไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรช่วยเหลือบางคนในประชาคม ซึ่งรู้สึกว่าตนไม่ค่อยเข้าใจถ้อยคำและคำสอนในคัมภีร์ไบเบิล. อันที่จริง ยูดา 22, 23 กระตุ้นเราให้การช่วยเหลือด้วยเมตตาจิตแก่คนที่จริงใจซึ่งมีข้อคลางแคลงใจดังกล่าว. (ยาโกโบ 5:19, 20) อย่างไรก็ดี คำแนะนำของเปาโลฉันบิดาเช่นนั้นน่าจะใช้ได้ผล ถ้าบางคนพร่ำพูดไม่เห็นด้วยกับสิ่งซึ่งเรารู้ว่าเป็นความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิล หรือยังคงให้ความคิดเห็นอยู่ร่ำไปเกี่ยวกับนิสัยเคลือบแคลงสงสัยหรือคิดในทางลบ. เราควรระวังตัวไม่คบคนแบบนั้น. แน่นอน หากบางคนได้กลายเป็นคนออกหากแล้วอย่างสิ้นเชิง บรรดาผู้บำรุงเลี้ยงฝ่ายวิญญาณจะต้องลงมือปฏิบัติเพื่อป้องกันฝูงแกะ.—2 ติโมเธียว 2:16-18; ติโต 3:10, 11.
8. เราอาจปฏิบัติด้วยการสังเกตเข้าใจอย่างไรเมื่อมีบางคนไม่เห็นพ้องกับคำสอนแห่งคัมภีร์ไบเบิล?
8 อนึ่ง เราสามารถนำถ้อยคำฉันบิดาของเปาโลที่ 1 โกรินโธ 15:33 ไปใช้ปฏิบัติได้เมื่อเกี่ยวข้องกับคนนอกประชาคมผู้ซึ่งส่งเสริมคำสอนเท็จ. เราจะถูกชักนำเข้าสู่การคบหากับคนเหล่านี้ได้อย่างไร? อาจเกิดขึ้นได้หากเราไม่แยกแยะระหว่างพวกที่อาจได้รับการช่วยให้เรียนความจริงกับพวกที่เพียงแต่ตั้งประเด็นขึ้นมาขัดแย้งเพื่อจะส่งเสริมคำสอนเท็จ. อาทิ เมื่อเราประกาศให้คำพยาน เราอาจพบกับคนที่ไม่เห็นด้วยในบางจุด แต่ดูท่าว่าเต็มใจจะถกกันในประเด็นนั้นต่อ. (กิจการ 17:32-34) เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหา เพราะเราเองก็ยินดีชี้แจงความจริงในคัมภีร์ไบเบิลแก่ใครก็ตามที่ต้องการรู้จริง ๆ กระทั่งกลับไปเสนอหลักฐานที่เชื่อได้เสียด้วยซ้ำ. (1 เปโตร 3:15) ถึงกระนั้น บางคนอาจไม่สนใจอย่างแท้จริงที่จะรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิล.
9. เราพึงมีปฏิกิริยาเช่นไรต่อการท้าทายความเชื่อของเรา?
9 หลายคนจะโต้คารมนานเป็นชั่วโมง ๆ สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า แต่มิใช่เพราะเขาเสาะหาความจริง. พวกเขาต้องการเพียงแต่จะบ่อนทำลายความเชื่อของอีกฝ่ายหนึ่ง ในขณะที่พูดโอ้อวดการศึกษาสมมุติของตัวเองในทางภาษาฮีบรู, กรีก, หรือวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยวิวัฒนาการ. เมื่อพบกับคนแบบนี้ พยานฯบางคนรู้สึกว่าถูกท้าทาย และจึงลงเอยด้วยการเสียเวลาพูดคุยซึ่งรวมจุดอยู่ที่ความเชื่อทางศาสนาเท็จ, ปรัชญา, หรือข้อผิดพลาดทางวิทยาศาสตร์. เป็นสิ่งน่าสังเกตที่พระเยซูไม่ทรงปล่อยให้สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นกับพระองค์ แม้นพระองค์สามารถจะตอบโต้ชนะผู้นำศาสนาซึ่งเคยร่ำเรียนทางภาษาฮีบรูหรือกรีกมาแล้วก็ตาม. ครั้นถูกท้าทาย พระเยซูตรัสตอบอย่างรวบรัดแล้วทรงหันไปฝักใฝ่พระทัยกับผู้มีใจถ่อมอีก ซึ่งเป็นเยี่ยงแกะอย่างแท้จริง.—มัดธาย 22:41-46; 1 โกรินโธ 1:23–2:2.
10. เหตุใดการเตือนให้ระมัดระวังจึงเป็นสิ่งเหมาะสมสำหรับคริสเตียนที่มีคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถจะต่อรับข้อมูลได้จากสื่ออิเล็กทรอนิก?
10 คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ได้เปิดช่องทางอื่นให้แก่การสมาคมคบหาที่ไม่ดี. บางบริษัทเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่เป็นสมาชิกใช้คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ส่งข้อมูลข่าวสารเข้าในโปรแกรมบริการข่าวและสามารถเอาข้อมูลออกมาได้ทางคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ ด้วยเหตุนี้ คนหนึ่งสามารถส่งข้อมูลเข้าโปรแกรมบริการข่าวให้แก่สมาชิกทุกคน. สิ่งนี้นำไปสู่การถกกันแบบอิเล็กทรอนิกในประเด็นต่าง ๆ ทางศาสนา คริสเตียนอาจถูกชักนำเข้าสู่การโต้คารมดังกล่าวและอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงกับคนที่คิดอย่างคนออกหากหรือกับคนที่ประชาคมตัดสัมพันธ์ไปแล้ว. คำชี้แนะที่ 2 โยฮัน 9-11 เน้นคำแนะนำของเปาโลฉันบิดาที่ให้หลีกเลี่ยงการคบหาที่ไม่ดี.a
หลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวง
11. สภาพการณ์ทางการค้าในเมืองโกรินโธได้เปิดช่องทางให้ทำอะไรได้?
11 ดังที่ทราบมาแล้ว เมืองโกรินโธเป็นศูนย์กลางการค้าขาย พรั่งพร้อมด้วยห้างร้านและธุรกิจมากมาย. (1 โกรินโธ 10:25) ผู้คนมากมายที่มาชมกีฬาอิสท์เมียนจะพักอาศัยในเต็นท์ และระหว่างที่งานยังไม่เลิกรา พวกพ่อค้าจะขายของบนแผงลอยที่ยกไปตั้งที่ไหนก็ได้ หรือคอกที่มีหลังคา. (เทียบกับกิจการ 18:1-3.) ทั้งนี้จึงเป็นไปได้ที่เปาโลมีช่องทางจะทำเต็นท์. และท่านสามารถใช้สถานที่ทำงานเผยแพร่ข่าวดี. ศาสตราจารย์ เจ. เมอร์ฟี-โอคอนนอร์เขียนว่า “จากร้านหนึ่งในย่านผู้คนจอแจ . . . หันหน้าสู่ถนนที่ผู้คนไปมาขวักไขว่ เปาโลเข้าถึงไม่เพียงเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าเท่านั้น แต่ผู้คนข้างนอกด้วย. บางครั้งในช่วงที่การซื้อขายซาลงบ้าง ท่านคงได้ยืนอยู่ที่ทางผ่านประตูและชวนคนเหล่านั้นคุยซึ่งท่านคิดว่าเขาอาจจะฟัง . . . เป็นการยากที่จะนึกภาพว่าบุคลิกของท่านที่เป็นคนกระฉับกระเฉงและมีความมั่นใจอย่างยิ่งเช่นนั้น จะไม่ทำให้ท่านเป็น ‘คนเด่น’ ขึ้นมาอย่างรวดเร็วในละแวกใกล้เคียง และข้อนี้คงดึงดูดไม่เฉพาะพวกที่อยู่เฉย ๆ แต่คนเหล่านั้นที่แสวงหาความรู้อย่างแท้จริงด้วย . . . . พวกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วพร้อมด้วยคนรับใช้ซึ่งเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับท่านก็อาจแวะเข้าไปโดยแสร้งทำเหมือนกับว่ามาซื้อของ. บางครั้งที่มีความกดดัน ในยามถูกข่มเหงหรือเพียงแต่มีเรื่องกวนใจ ผู้มีความเชื่อสามารถเข้าพบท่านในฐานะที่เป็นลูกค้า. นอกจากนี้ ที่ทำงานทำให้ท่านได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่บริหารส่วนท้องถิ่นด้วย.”
12, 13. พระธรรม 1 โกรินโธ 15:33 ใช้ได้อย่างเหมาะเจาะอย่างไร ณ ที่ทำงาน?
12 ถึงกระนั้น เปาโลคงได้ตระหนักถึงโอกาสที่จะมี “การคบหาสมาคมที่ไม่ดี” ที่แอบแฝงอยู่ ณ ที่ทำงาน. พวกเราก็ควรตระหนักเช่นกัน. น่าสนใจที่เปาโลได้ยกเอาท่าทีซึ่งมีแพร่หลายในท่ามกลางบางคนขึ้นมาพูดว่า “ให้เรากินและดื่มเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตาย.” (1 โกรินโธ 15:32) ทันทีทันใด ท่านก็ได้ให้คำแนะนำฉันบิดาต่อจากข้อความนี้ว่า “อย่าให้ผู้ใดลวงท่าน. การคบหาสมาคมที่ไม่ดีย่อมทำให้นิสัยดีเสียไป.” อาจเป็นไปได้อย่างไรที่สถานที่ทำงานและการแสวงความเพลิดเพลินจะทำให้เกิดอันตรายที่แอบแฝงอยู่?
13 คริสเตียนต้องการจะมีอัธยาศัยไมตรีกับคนทำงานด้วยกัน และประสบการณ์หลายครั้งแสดงให้เห็นว่าการเช่นนั้นมีประสิทธิผลไม่น้อยในการเบิกทางสำหรับให้คำพยาน. อย่างไรก็ดี คนทำงานด้วยกันอาจแปลเจตนาการแสดงไมตรีจิตผิดไปก็ได้ เช่นการเชิญชวนเพื่อร่วมความสนุกสนานด้วยกัน. เขาหรือเธออาจเชิญรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน แวะพักผ่อนชั่วครู่หลังจากเลิกงานเพื่อดื่มเหล้า, หรือไปพักผ่อนหย่อนใจวันสุดสัปดาห์. บุคคลดังกล่าวอาจดูเหมือนจะเป็นคนใจดีและสะอาดสะอ้าน, และการเชิญชวนก็ดูเหมือนบริสุทธิ์ใจ. กระนั้น เปาโลแนะนำพวกเราดังนี้: “อย่าให้ผู้ใดลวงท่าน.”
14. คริสเตียนบางคนถูกชักนำไปในทางผิดโดยการสมาคมคบหานั้นอย่างไร?
14 คริสเตียนบางคนถูกลวง. เขาค่อย ๆ พัฒนาท่าทีในเชิงผ่อนคลายเมื่อคบหากับเพื่อนร่วมงาน. อาจเป็นได้ว่าท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากความสนใจเหมือน ๆ กันในกีฬาหรืองานอดิเรก. หรือคนทำงานที่เดียวกันซึ่งไม่ใช่คริสเตียนอาจเป็นคนใจดีและเอาอกเอาใจผิดปกติ ซึ่งก็อาจนำไปสู่การใช้เวลาขลุกอยู่กับบุคคลดังกล่าวมากขึ้น กระทั่งพอใจการคบหาแบบนั้นยิ่งเสียกว่ากับบางคนในประชาคม. ครั้นแล้วการสมาคมดังกล่าวอาจชักพาให้ขาดการประชุมไปหนึ่งครั้ง. การคบหาดังกล่าวอาจหมายถึงการกลับดึกแล้วเลยเสียนิสัยการออกประกาศในตอนเช้า. อาจยังผลด้วยการดูภาพยนตร์หรือวิดีโอประเภทที่คริสเตียนโดยปกติแล้วจะปฏิเสธ. เราอาจคิดอย่างนี้ ‘อ๋อ ฉันไม่มีวันจะเป็นแบบนั้นได้หรอก.’ แต่คนส่วนใหญ่ที่ถูกชักพาให้หลงไปนั้นอาจเคยพูดทำนองนี้. เราน่าจะถามตัวเองว่า ‘ฉันได้มุ่งมั่นจะปฏิบัติตามคำแนะนำของเปาโลถึงขีดไหน?’
15. ท่าทีอันสมดุลเช่นไรที่พวกเราพึงมีต่อเพื่อนบ้าน?
15 สิ่งที่พวกเราเพิ่งได้พิจารณาไปเกี่ยวกับที่ทำงานก็ใช้ได้กับการคบหาระหว่างเรากับเพื่อนบ้านเช่นกัน. คริสเตียนในเมืองโกรินโธโบราณย่อมมีเพื่อนบ้านแน่นอน. ในชุมชนบางแห่งถือว่าการมีมิตรจิตและให้การช่วยเหลือเพื่อนบ้านเป็นสิ่งปกติ. ในชนบท เพื่อนบ้านอาจพึ่งพาอาศัยกันเนื่องจากการอยู่ในที่โดดเดี่ยว. ในบางวัฒนธรรมความผูกพันในวงครอบครัวเหนียวแน่นมาก เป็นสาเหตุของการเชื้อเชิญไปร่วมรับประทานอาหาร. เห็นได้ชัดว่า ทัศนะที่สมดุลเป็นสิ่งสำคัญ ดังพระเยซูทรงสำแดงให้ประจักษ์. (ลูกา 8:20, 21; โยฮัน 2:12) เมื่อเราติดต่อเกี่ยวข้องกับเพื่อนบ้านและญาติ เรามีแนวโน้มจะประพฤติเหมือนก่อนที่เราเข้ามาเป็นคริสเตียนไหม? แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราน่าจะทบทวนดูการเกี่ยวข้องต่าง ๆ ดังกล่าวและตั้งใจแน่วแน่เพื่อกำหนดไว้ว่าข้อจำกัดไหนเป็นสิ่งเหมาะสมมิใช่หรือ?
16. เราควรเข้าใจคำตรัสของพระเยซูที่มัดธาย 13:3, 4 นั้นอย่างไร?
16 คราวหนึ่ง พระเยซูทรงเปรียบถ้อยคำแห่งราชอาณาจักรเสมือนเมล็ดพืชที่ “ตกอยู่ริมหนทางบ้าง, แล้วนกก็มากินเสีย.” (มัดธาย 13:3, 4, 19) สมัยนั้น ดินข้างทางเดินแน่นแข็งเพราะผู้คนเดินเหยียบไปมาไม่ขาดสาย. เป็นอย่างนั้นกับหลายต่อหลายคน. ชีวิตของเขาบริบูรณ์ไปด้วยเพื่อนบ้าน ญาติมิตร และคนอื่น ๆ ที่ไปมาหาสู่อยู่เสมอ ๆ. การนี้ประหนึ่งย่ำผิวดินแห่งหัวใจของเขา ทำให้ดินแข็งซึ่งยากแก่การที่เมล็ดแห่งความจริงจะแตกรากงอกขึ้นมาได้. อาการคล้ายคลึงกันอาจเกิดขึ้นได้กับผู้ซึ่งเป็นคริสเตียนอยู่แล้ว.
17. การสมาคมคบหากับเพื่อนบ้านและคนอื่นอาจมีผลกระทบพวกเราอย่างไร?
17 เพื่อนบ้านและญาติฝ่ายโลกอาจเป็นผู้มีอัธยาศัยดีและชอบช่วยเหลือ ถึงแม้คนเหล่านี้เคยแสดงให้เห็นว่าไม่สนใจต่อสิ่งฝ่ายวิญญาณหรือไม่รักความชอบธรรมด้วยซ้ำ. (มาระโก 10:21, 22; 2 โกรินโธ 6:14) การที่เราได้มาเป็นคริสเตียนมิใช่ว่าเราจะกลายเป็นคนไม่มีมิตรจิต, ไม่มีไมตรีต่อกัน. พระเยซูทรงแนะนำพวกเราให้แสดงความสนใจอย่างแท้จริงต่อผู้อื่น. (ลูกา 10:29-37) แต่คำแนะนำของเปาโลที่ได้รับการดลบันดาลและมีความสำคัญพอ ๆ กันบอกให้เราระวังในเรื่องการคบหาสมาคม. ขณะที่เราปฏิบัติตามคำแนะนำประการแรก เราก็ต้องไม่ละเลยประการหลัง. ถ้าเราไม่จดจำหลักการทั้งสองประการ อาจจะมีผลกระทบต่อนิสัยของเราก็ได้. นิสัยของคุณเป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับนิสัยเพื่อนบ้านหรือญาติในเรื่องความซื่อตรงหรือการเชื่อฟังกฎหมายของกายะซา? อย่างเช่น คนเหล่านั้นอาจจะคิดว่าเมื่อถึงเวลาเสียภาษี การแจ้งรายได้หรือกำไรจากธุรกิจต่ำกว่าที่เป็นจริงนั้นมีเหตุผลอันควร เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดด้วยซ้ำ. เขาอาจเผยแง่คิดของเขาขณะที่นั่งจิบกาแฟคุยกันหรือระหว่างช่วงการเยี่ยมสั้น ๆ. เรื่องนี้อาจกระทบความคิดนึกและนิสัยซื่อตรงของคุณอย่างไร? (มาระโก 12:17; โรม 12:2) “อย่าให้ผู้ใดลวงท่าน. การคบหาสมาคมที่ไม่ดีย่อมทำให้นิสัยดีเสียไป.”
นิสัยของหนุ่มสาวก็เช่นกัน
18. เพราะเหตุใด 1 โกรินโธ 15:33 จึงนำมาใช้ได้กับเยาวชนหนุ่มสาวเช่นกัน?
18 คนหนุ่มสาวได้รับผลกระทบเป็นพิเศษจากสิ่งที่เขาได้เห็นได้ยิน. คุณไม่สังเกตหรือว่าเด็กเล็กมักจะออกท่าทางหรือแสดงอากัปกิริยาเหมือนบิดามารดาหรือญาติใกล้ชิดของเขา? เช่นนั้นแล้ว เราก็ไม่ควรแปลกใจที่เด็กอาจได้รับอิทธิพลมากมายจากเพื่อนเล่นหรือเพื่อนนักเรียน. (เทียบกับมัดธาย 11:16, 17.) ถ้าลูกชายลูกสาวของคุณห้อมล้อมด้วยเด็กหนุ่มสาวที่พูดถึงบิดามารดาของตนอย่างขาดความเคารพ ทำไมจึงคิดว่านิสัยอย่างนั้นจะไม่กระทบกระเทือนลูกของคุณ? จะเป็นอย่างไรหากลูกได้ยินเด็กอื่น ๆ ใช้ภาษาหยาบคายอยู่บ่อย ๆ? ถ้าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันกับลูกที่โรงเรียนหรือเด็กเพื่อนบ้านพากันเห่อรองเท้าหรือแฟชั่นเครื่องประดับเพชรพลอยแบบใหม่ล่ะ? เราคิดไหมว่าเยาวชนคริสเตียนจะไม่ซึมซับอิทธิพลดังกล่าว? เปาโลได้พูดไหมว่า 1 โกรินโธ 15:33 จะมีผลกระทบเฉพาะแต่คนที่โตแล้ว?
19. บิดามารดาควรพยายามปลูกฝังทัศนะเช่นไรแก่บุตรของตน?
19 ถ้าคุณเป็นบิดาหรือมารดา คุณสำนึกถึงคำแนะนำข้อนั้นไหมขณะที่คุณหาเหตุผลเพื่อจะทำการตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกของคุณ? ที่อาจจะช่วยได้คือ ถ้าคุณยอมรับว่านี้ไม่ได้หมายความว่าหนุ่มสาวอื่น ๆ ทุกคนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกับลูกของคุณหรือที่โรงเรียนเป็นคนไม่ดี. บางคนอาจมีอัธยาศัยดีและสุภาพ เช่นเดียวกันกับเพื่อนบ้านบางคนของคุณ หรือญาติและเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน. จงพยายามช่วยบุตรของคุณให้มองเห็นจุดนี้และให้เข้าใจว่าคุณก็เป็นคนสมดุลเมื่อใช้คำแนะนำอันสุขุมอย่างบิดาที่เปาโลได้เตือนชาวโกรินโธ. ขณะที่ลูกแลเห็นคุณจัดทำสิ่งต่าง ๆ ให้สมดุล ก็อาจช่วยพวกเขาให้เลียนแบบคุณ.—ลูกา 6:40; 2 ติโมเธียว 2:22.
20. หนุ่มสาวทั้งหลาย พวกคุณเผชิญการท้าทายอะไร?
20 พวกคุณที่ยังหนุ่มแน่น จงพยายามเข้าใจวิธีที่จะนำคำแนะนำของเปาโลไปใช้ ด้วยรู้อยู่ว่าคำแนะนำนี้มีความสำคัญต่อคริสเตียนทุกคน ทั้งหนุ่มสาวและผู้ใหญ่. ที่จะทำเช่นนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักและความมุ่งมั่นตั้งใจ แต่คุณจะไม่เต็มใจรับการท้าทายเชียวหรือ? จงตระหนักว่าเพียงเพราะคุณเคยรู้จักหนุ่มสาวเหล่านั้นบางคนตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ไม่หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีผลกระทบนิสัยของคุณได้, หรือจะไม่สามารถทำให้นิสัยดีที่คุณกำลังหล่อหลอมในฐานะเยาวชนคริสเตียนเสียไปได้.—สุภาษิต 2:1,10-15.
ขั้นตอนต่าง ๆ ในทางก่อเพื่อป้องกันนิสัยของเรา
21. (ก) เรามีความจำเป็นอะไรในเรื่องการสมาคมคบหา? (ข) ทำไมเราจึงแน่ใจได้ว่าการคบหาบางรูปแบบเป็นอันตราย?
21 พวกเราทุกคนจำต้องมีการสมาคมคบหา. แต่เราต้องตื่นตัวต่อข้อเท็จจริงที่ว่าการสมาคมของเรานั้นมีผลกระทบตัวเรา ทางดีหรือทางเสีย. เรื่องนี้ปรากฏเป็นความจริงกับอาดามและกับทุกคนเรื่อยมาหลายศตวรรษ. ตัวอย่างเช่น ยะโฮซาฟาด กษัตริย์ที่ดีแห่งแผ่นดินยูดา ได้รับความโปรดปรานและพระพรของพระยะโฮวา. แต่เมื่อท่านยินยอมให้ราชโอรสอภิเษกกับธิดากษัตริย์อาฮาบแห่งยิศราเอล ยะโฮซาฟาดจึงเริ่มสมาคมคบหากับอาฮาบ. การสมาคมที่ไม่ดีเช่นนั้นเกือบทำให้ยะโฮซาฟาดต้องเสียชีวิต. (2 กษัตริย์ 8:16-18; 2 โครนิกา 18:1-3, 29-31) หากเราเลือกการคบหาสมาคมอย่างไม่รอบคอบ ก็อาจเป็นอันตรายเช่นเดียวกัน.
22. พวกเราควรใส่ใจต่อคำแนะนำอะไร และทำไม?
22 ฉะนั้น จงให้พวกเราใส่ใจต่อคำแนะนำที่แสดงถึงความรัก ซึ่งเปาโลกล่าวไว้ที่ 1 โกรินโธ 15:33. ข้อความนั้นหาใช่เป็นเพียงถ้อยคำที่เราเคยได้ยินบ่อย ๆ จนสามารถจำขึ้นใจได้. ถ้อยคำเหล่านั้นสะท้อนถึงความรักฉันบิดาที่เปาโลแสดงต่อพี่น้องชายหญิงของท่านที่เมืองโกรินโธ และขยายขอบเขตมาถึงพวกเราด้วย. และโดยไม่สงสัย ข้อความนี้เป็นคำแนะนำที่จัดเตรียมโดยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ เพราะพระองค์ทรงประสงค์จะให้ความบากบั่นของเราสัมฤทธิ์ผล.—1 โกรินโธ 15:58.
[เชิงอรรถ]
a อันตรายอีกอย่างหนึ่งของระบบแจ้งข้อมูลข่าวสารดังกล่าวคือการล่อใจที่จะเก็บโปรแกรมหรือสำเนาสิ่งพิมพ์ไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวโดยไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของหรือผู้แต่ง ซึ่งจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์.—โรม 13:1.
คุณจำได้ไหม?
▫ เปาโลเขียน 1 โกรินโธ 15:33 เพื่อเหตุผลอะไรโดยเฉพาะ?
▫ เราจะนำคำแนะนำของเปาโลไปใช้ ณ ที่ทำงานได้โดยวิธีใด?
▫ เราพึงมีทัศนะสมดุลเช่นไรในเรื่องเพื่อนบ้าน?
▫ เหตุใดคำแนะนำที่ 1 โกรินโธ 15:33 จึงเหมาะสมเป็นพิเศษสำหรับหนุ่มสาว?
[รูปภาพหน้า 17]
เปาโลได้ใช้สถานที่ทำงานเผยแพร่ข่าวดี
[รูปภาพหน้า 18]
หนุ่มสาวคนอื่นอาจทำให้นิสัยแบบคริสเตียนของคุณเสียไปได้