ครอบครัวคริสเตียนจัดสิ่งฝ่ายวิญญาณไว้ในอันดับแรก
“ท่านทั้งหลายทุกคน จงมีความคิดจิตใจอย่างเดียวกัน แสดงความเห็นอกเห็นใจ มีความรักชอบฉันพี่น้อง ความสงสารอย่างอ่อนละมุน จิตใจถ่อม.”—1 เปโตร 3:8, ล.ม.
1. พวกเราทุกคนมีทางเลือกอะไร และการเลือกของเราอาจจะมีผลกระทบอนาคตของเราอย่างไร?
ข้อคัมภีร์ข้างบนนี้นำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมจริง ๆ กับสถาบันเก่าแก่แห่งมนุษยชาติคือครอบครัว! และเป็นสิ่งสำคัญเพียงไรที่บิดามารดาพึงแสดงความเป็นผู้นำในเรื่องนี้! คุณลักษณะของเขาในทางบวกหรือในทางลบ ปกติแล้วจะแสดงออกมาที่บุตร. กระนั้น โอกาสจะตัดสินใจเลือกเอายังอยู่ที่สมาชิกแต่ละคนของครอบครัว. ในฐานะเป็นคริสเตียน เราจะเลือกเป็นคนฝ่ายวิญญาณหรือฝ่ายเนื้อหนังก็ย่อมได้. เราสามารถเลือกจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่พอพระทัยก็ได้. การตัดสินใจเช่นนั้นอาจนำมาซึ่งพระพร คือชีวิตนิรันดรและสันติสุข—หรือการสาปแช่ง คือความตายชั่วกัลปาวสาน.—เยเนซิศ 4:1, 2; โรม 8:5-8; ฆะลาเตีย 5:19-23.
2. (ก) เปโตรได้แสดงอย่างไรว่าท่านมีความห่วงใยในเรื่องครอบครัว? (ข) สภาพฝ่ายวิญญาณคืออะไร? (ดูเชิงอรรถ.)
2 ถ้อยคำของอัครสาวกที่ 2 เปโตรบท 3 ข้อ 8 ติดตามมาทันทีหลังจากท่านได้ให้คำแนะนำที่ดีสำหรับภรรยาและสามี. เปโตรให้ความสนใจอย่างจริงจังในสวัสดิภาพของครอบครัวคริสเตียน. ท่านรู้ว่าสภาพฝ่ายวิญญาณที่เข้มแข็งเป็นเคล็ดที่ทำให้สมาชิกในครัวเรือนสมานฉันท์รักกันและเอาใจใส่กัน. ฉะนั้น ท่านจึงแสดงนัยไว้ที่ข้อ 7 ว่า หากสามีเพิกเฉยต่อคำแนะนำ ผลสืบเนื่องคงจะเป็นสิ่งขวางกั้นทางฝ่ายวิญญาณระหว่างสามีกับพระยะโฮวา.a คำอธิษฐานของสามีอาจไม่บรรลุผลถ้าเขาละเลยไม่จัดหาปัจจัยที่จำเป็นให้ภรรยาหรือกระทำต่อภรรยาอย่างไร้ความปรานี.
พระคริสต์—ตัวอย่างที่ดีพร้อมเกี่ยวด้วยสภาพฝ่ายวิญญาณ
3. เปาโลชี้จุดเด่นแห่งตัวอย่างของพระคริสต์สำหรับบรรดาสามีนั้นอย่างไร?
3 สภาพฝ่ายวิญญาณของครอบครัวขึ้นอยู่กับตัวอย่างที่ดี. ในเมื่อสามีเป็นคริสเตียนที่เอาจริงเอาจัง เขาย่อมเป็นตัวอย่างในการแสดงคุณลักษณะต่าง ๆ ฝ่ายวิญญาณ. ถ้าสามีไม่เชื่อพระเจ้า ตามปกติมารดาจะแบกความรับผิดชอบนั้น. ไม่ว่าในกรณีใด พระเยซูคริสต์ทรงเป็นตัวอย่างสมบูรณ์แบบให้ติดตาม. การประพฤติของพระองค์, คำตรัส, และแนวคิดของพระองค์เป็นชนิดที่เสริมสร้างและยังความสดชื่นเสมอ. หลายครั้งหลายหนอัครสาวกเปาโลชี้แนะผู้อ่านให้ดูแบบอย่างอันเพียบด้วยความรักของพระคริสต์. เช่น ท่านกล่าวอย่างนี้: “สามีเป็นประมุขของภรรยาของตนเหมือนพระคริสต์เป็นประมุขของประชาคมด้วย โดยที่พระองค์เป็นผู้ทรงช่วยคณะนั้นให้รอด. สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาของตนต่อ ๆ ไปเช่นเดียวกับพระคริสต์ได้ทรงรักประชาคมและได้สละพระองค์เองเพื่อประชาคม.”—เอเฟโซ 5:23, 25, 29, ล.ม.; มัดธาย 11:28-30; โกโลซาย 3:19.
4. พระเยซูได้ทรงวางตัวอย่างอะไรเกี่ยวด้วยสภาพฝ่ายวิญญาณ?
4 พระเยซูทรงเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นเกี่ยวด้วยสภาพฝ่ายวิญญาณและความเป็นประมุขซึ่งได้สำแดงความรัก, ความกรุณา, และความเมตตาสงสารให้ปรากฏแจ้ง. พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่เสียสละ ไม่ทรงมุ่งแต่จะทำตามใจตนเอง. พระองค์ถวายเกียรติยศแด่พระบิดาและแสดงความนับถือต่อตำแหน่งการเป็นประมุขของพระองค์. พระคริสต์ทรงปฏิบัติตามการชี้นำของพระบิดา ดังนั้น พระองค์สามารถตรัสได้ว่า “เราจะกระทำสิ่งใดด้วยความริเริ่มของเราเองไม่ได้; เราได้ยินอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น; และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งที่จะทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่ตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา.” “เรามิได้ทำสิ่งใดจากความริเริ่มของเราเอง; แต่เราพูดสิ่งเหล่านี้ตามที่พระบิดาได้ทรงสอนเรา.”—โยฮัน 5:30; 8:28, ล.ม.; 1 โกรินโธ 11:3.
5. เมื่อได้ทรงจัดหาสิ่งต่าง ๆ สำหรับสาวกของพระองค์ พระเยซูทรงวางตัวอย่างอะไรสำหรับผู้เป็นสามี?
5 ทั้งหมดนี้หมายความอย่างไรสำหรับสามี? หมายความว่าสามีทั้งหลายพึงติดตามแบบอย่างของพระคริสต์ ผู้ทรงยอมตัวอยู่ในอำนาจพระบิดาของพระองค์ทุกเวลา. อาทิ พระยะโฮวาได้ทรงจัดเตรียมอาหารแก่สรรพสิ่งที่มีชีวิตบนแผ่นดินโลกฉันใด พระเยซูก็ทรงจัดหาอาหารสำหรับสาวกของพระองค์ฉันนั้น. พระองค์หาได้มองข้ามปัจจัยพื้นฐานอันจำเป็นต่อชีวิตของเขาไม่. การอัศจรรย์ที่พระองค์ได้ทรงเลี้ยงผู้คนถึง 5,000 และ 4,000 คนเป็นข้อยืนยันว่าพระองค์ทรงใฝ่พระทัยจะดูแล อีกทั้งทรงสำนึกในหน้าที่รับผิดชอบของพระองค์. (มาระโก 6:35-44; 8:1-9) ทุกวันนี้ก็เช่นกัน หัวหน้าครอบครัวที่รับผิดชอบก็เอาใจใส่ดูแลเพื่อคนในครัวเรือนของตนจะมีสิ่งจำเป็นทางด้านร่างกาย. แต่ความรับผิดชอบของเขาจบลงตรงนั้นไหม?—1 ติโมเธียว 5:8.
6. (ก) สิ่งจำเป็นต่าง ๆ ที่สำคัญของครอบครัวที่จำต้องดูแลนั้นมีอะไรบ้าง? (ข) สามีและบิดาจะสำแดงความเข้าใจได้โดยวิธีใด?
6 ครอบครัวมีความต้องการอื่น ๆ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ตามที่พระเยซูทรงแจ้งไว้. คนในครอบครัวมีความจำเป็นฝ่ายวิญญาณและทางอารมณ์ด้วย. (พระบัญญัติ 8:3; มัดธาย 4:4) พวกเราต่างก็มีผลกระทบถึงกัน ทั้งภายในครอบครัวและที่ประชาคม. เราจำต้องมีการชี้นำที่ดีเพื่อกระตุ้นเราให้เป็นผู้ที่เสริมสร้างขึ้น. ในเรื่องนี้สามีและบิดามีบทบาทสำคัญ—ยิ่งสำคัญมากขึ้นหากเขาเป็นผู้ปกครองหรือผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้ง. บิดามารดาที่ไร้คู่ต้องมีคุณลักษณะเช่นนั้นด้วยเมื่อช่วยบุตรของเขา. บิดามารดาต้องเข้าใจไม่เฉพาะสิ่งที่สมาชิกครอบครัวพูดออกมา แต่รวมเอาสิ่งที่ไม่ได้พูดด้วย. ทั้งนี้ต้องอาศัยการสังเกตเข้าใจ, การใช้เวลา, และความเพียร. นี้เป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่เปโตรสามารถพูดได้ว่าสามีควรเป็นคนเห็นอกเห็นใจและอยู่กินกับภรรยาของตนตามความรู้.—1 ติโมเธียว 3:4, 5, 12; 1 เปโตร 3:7.
อันตรายต่าง ๆ ที่พึงหลีกเลี่ยง
7, 8. (ก) ถ้าครอบครัวจะหลีกเลี่ยงความหายนะฝ่ายวิญญาณ อะไรเป็นสิ่งจำเป็น? (ข) นอกจากการเริ่มต้นที่ดีในแนวทางคริสเตียนแล้ว จะต้องมีอะไรอีก? (มัดธาย 24:13)
7 ทำไมการให้ความเอาใจใส่ฝ่ายวิญญาณแก่ครอบครัวจึงสำคัญมากจริง ๆ? เพื่อให้ตัวอย่างประกอบ เราอาจถามว่า ทำไมเป็นสิ่งสำคัญที่คนนำร่องต้องจดจ่ออยู่กับแผนที่ทะเลของเขาขณะนำเรือผ่านร่องน้ำตื้นซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย? เมื่อเดือนสิงหาคม 1992 เรือสำราญควีนเอลิซาเบ็ท 2 (QE2) แล่นผ่านบริเวณหนึ่งซึ่งมีโขดหินและสันดอนใต้น้ำ ซึ่งว่ากันว่าเป็นบริเวณที่มีการแล่นเรือชนโขดหินบ่อย. ผู้อยู่อาศัยคนหนึ่งในแถบนี้บอกว่า “นักเดินเรือหลายคนต้องถูกไล่ออกเพราะกระทำผิดฐานทำให้เกิดอุบัติภัยในบริเวณนั้น.” เรือQE2 ได้ชนแนวหินใต้ทะเล. ปรากฏว่าเป็นการผิดพลาดที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากทีเดียว. หนึ่งในสามของลำเรือได้รับความเสียหาย และต้องระงับการแล่นเรือนานหลายสัปดาห์เพื่อการซ่อมแซม.
8 ทำนองเดียวกัน ถ้า “คนนำร่อง” ครอบครัวไม่ตรวจดูแผนที่อย่างรอบคอบ อันได้แก่พระวจนะของพระเจ้า ครอบครัวของเขาอาจรับความเสียหายฝ่ายวิญญาณได้โดยง่าย. สำหรับผู้ปกครองหรือผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้ง ผลที่เกิดขึ้นก็อาจเป็นการสูญเสียสิทธิพิเศษภายในประชาคมและบางทีเป็นความเสียหายที่ร้ายแรงแก่สมาชิกอื่น ๆ ในครอบครัว. ด้วยเหตุนี้ คริสเตียนแต่ละคนควรระมัดระวังตัวที่จะไม่ถูกจู่โจมโดยความกระหยิ่มใจฝ่ายวิญญาณ โดยเพียงแต่วางใจว่าตนเคยมีนิสัยในการศึกษาที่ดีและเคยมีความกระตือรือร้นมาก่อน. ในแนวทางคริสเตียนของเรานั้น เพียงแต่มีการเริ่มต้นที่ดีเท่านั้นไม่พอ การเดินทางจำต้องบรรลุถึงที่หมายและประสบความสำเร็จ.—1 โกรินโธ 9:24-27; 1 ติโมเธียว 1:19.
9. (ก) การศึกษาเป็นส่วนตัวสำคัญอย่างไร? (ข) เราอาจถามตัวเองด้วยคำถามอะไรซึ่งตรงกับเรื่อง?
9 เพื่อจะหลีกเลี่ยงที่ตื้นเขิน, โขดหิน, และสันทรายใต้น้ำฝ่ายวิญญาณ เราจึงต้องตามให้ทัน “แผนที่ทะเล” ของเราอยู่เสมอ โดยการศึกษาพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำ. เราไม่อาจจะอาศัยการศึกษาขั้นมูลฐานซึ่งได้นำเรามาสู่ความจริง. ความมั่นคงฝ่ายวิญญาณของเราขึ้นอยู่กับการวางระเบียบสำหรับศึกษาและทำงานรับใช้ที่สม่ำเสมอและสมดุล. ยกตัวอย่าง ขณะที่เราเข้าร่วมในการศึกษาหอสังเกตการณ์ของประชาคมโดยใช้วารสารในมือฉบับนี้แหละ เราอาจถามตัวเองว่า ‘ฉัน หรือพวกเราในฐานะเป็นครอบครัว โดยแท้แล้วได้ศึกษาบทความนี้ ได้เปิดหาข้อคัมภีร์และไตร่ตรองจุดที่จะนำไปใช้ได้ไหม? หรือว่าเราเพียงแต่ขีดเส้นใต้คำตอบ? หรือบางทีเราไม่ได้อ่านบทเรียนนั้นก่อนมาร่วมประชุมด้วยซ้ำ?’ การตอบคำถามเหล่านี้จากใจจริงอาจปลุกเร้าความคิดของเราในเรื่องนิสัยการศึกษาของเรา และอาจเป็นชนวนให้เกิดความปรารถนาจะปรับปรุงก็ได้—หากมีความจำเป็น.—เฮ็บราย 5:12-14.
10. ทำไมการพิเคราะห์ตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ?
10 ทำไมการพิเคราะห์ตัวเองดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญ? เนื่องจากเราอยู่ในโลกซึ่งถูกครอบงำด้วยน้ำใจของซาตาน เป็นโลกซึ่งพยายามจะพลิกผันความเชื่อที่เรามีในพระเจ้าและคำสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์ด้วยวิธีอันแยบยล. เป็นโลกที่ต้องการให้เราวุ่นอยู่กับการงานจนไม่มีเวลาเอาใจใส่ต่อความจำเป็นฝ่ายวิญญาณ. ด้วยเหตุนี้ เราอาจถามตัวเองว่า ‘ครอบครัวของฉันมั่นคงแข็งแรงฝ่ายวิญญาณไหม? ในฐานะเป็นบิดาหรือมารดาฉันเข้มแข็งอย่างที่ควรจะเป็นไหม? พวกเราในฐานะครอบครัวได้เพาะพลังฝ่ายวิญญาณไหมเพื่อที่จะเป็นเครื่องกระตุ้นความคิดจิตใจซึ่งช่วยเราทำการตัดสินใจต่าง ๆ ที่อาศัยความชอบธรรมและความภักดีเป็นหลัก?’—เอเฟโซ 4:23, 24.
11. ทำไมการประชุมคริสเตียนเป็นประโยชน์แก่สภาพฝ่ายวิญญาณ? จงยกตัวอย่าง.
11 สภาพฝ่ายวิญญาณของเราควรรับการเสริมให้มั่นคงยิ่งขึ้นโดยการประชุมทุกนัดที่เราเข้าร่วม. เวลาอันมีค่าเหล่านั้น ณ หอประชุมราชอาณาจักรหรือที่กลุ่มการศึกษาหนังสือประจำประชาคมช่วยเราให้สดชื่นหลังจากเราได้ใช้เวลานานหลายชั่วโมงด้วยความพยายามให้รอดตายในโลกของซาตานที่เป็นศัตรูกับเรา. ตัวอย่างเช่น ช่างเป็นความสดชื่นเสียนี่กระไรที่เราได้ศึกษาหนังสือบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น! ทั้งนี้ช่วยเราให้ได้มาซึ่งความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับพระเยซู, ชีวิตของพระองค์, และงานสั่งสอนของพระองค์. เราได้อ่านข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่ยกขึ้นมาอ้าง ทั้งได้ค้นคว้าหาความรู้เป็นส่วนตัว และด้วยเหตุนี้ ได้เรียนรู้มากมายจากตัวอย่างที่พระเยซูทรงวางไว้.—เฮ็บราย 12:1-3; 1 เปโตร 2:21.
12. การออกไปประกาศตามบ้านทดสอบสภาพฝ่ายวิญญาณของเราอย่างไร?
12 การทดสอบที่ดีเพื่อจะทราบสภาพฝ่ายวิญญาณของเรานั้นคือการรับใช้ฝ่ายคริสเตียน. เพื่อที่จะขยันหมั่นเพียรอยู่ในงานให้คำพยานตามบ้านและเมื่อสบโอกาส บ่อยครั้งขณะที่เผชิญกับความไม่แยแสหรือการคัดค้านต่อต้าน เราต้องมีแรงกระตุ้นที่ถูกต้อง คือความรักต่อพระเจ้าและความรักต่อเพื่อนบ้าน. จริงอยู่ การถูกบอกปัดนั้นไม่มีใครชอบ และเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้ในงานประกาศตามบ้าน. แต่เราควรจำไว้เสมอว่าการบอกปัดนั้นไม่ใช่ตัวเรา แต่เขาบอกปัดข่าวดีต่างหาก. พระเยซูตรัสว่า “ถ้าโลกเกลียดชังเจ้าทั้งหลาย เจ้าก็รู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน. ถ้าเจ้าทั้งหลายเป็นส่วนของโลก โลกก็จะรักซึ่งเป็นของโลกเอง. บัดนี้เพราะเจ้ามิได้เป็นส่วนของโลก แต่เราได้เลือกเจ้าออกจากโลก ด้วยเหตุนี้โลกจึงเกลียดชังเจ้า . . . . แต่เขาจะกระทำสิ่งทั้งหมดเหล่านี้แก่เจ้าทั้งหลายเนื่องด้วยนามของเรา เพราะว่าเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา.”—โยฮัน 15:18-21, ล.ม.
การปฏิบัติส่งเสียงดังกว่าวาจา
13. คน ๆ เดียวจะบ่อนทำลายสภาพฝ่ายวิญญาณของครอบครัวได้อย่างไร?
13 จะเกิดอะไรขึ้นในครอบครัว ถ้าสมาชิกทุกคนต่างก็คำนึงถึงความสะอาดและความเรียบร้อยภายในบ้าน ยกเว้นคนเดียว? วันหนึ่งมีฝนตก ทุกคนระมัดระวังที่จะไม่ให้มีโคลนติดเข้ามาในบ้าน ยกเว้นคนขี้ลืมนั้น. รอยเท้าเปื้อนเปรอะไปทั่วเป็นหลักฐานแสดงความไม่ใส่ใจของคนนั้น ทำให้คนอื่นต้องทำงานเพิ่ม. สภาพฝ่ายวิญญาณก็เป็นในทำนองเดียวกัน. เพียงคนเดียวที่เห็นแก่ตัวหรือละเลยก็อาจทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวเป็นมลทินได้. ทุกคนในครอบครัว ไม่เฉพาะบิดามารดา ควรพยายามสะท้อนความคิดจิตใจของพระคริสต์. จะให้ความสดชื่นเพียงใดเมื่อทุกคนทำงานร่วมกันโดยคำนึงถึงชีวิตนิรันดรเป็นเป้าหมาย! ทัศนะของครอบครัวนั้นเป็นทางฝ่ายวิญญาณ (ไม่ใช่การถือตัวเองชอบธรรม). ร่องรอยแสดงถึงการละเลยฝ่ายวิญญาณแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ภายในครอบครัวดังกล่าว.—ท่านผู้ประกาศ 7:16; 1 เปโตร 4:1, 2.
14. ซาตานได้วางสิ่งล่อใจอะไรทางวัตถุไว้ต่อหน้าเรา?
14 พวกเราทุกคนมีความจำเป็นพื้นฐานทางวัตถุ ซึ่งก็ต้องได้รับการสนองเพื่อค้ำจุนชีวิตของเราแต่ละวันไป. (มัดธาย 6:11, 30-32) แต่บ่อยครั้งความจำเป็นของเราถูกความต้องการมาบดบังเสีย. ยกตัวอย่าง ระบบของซาตานนำเสนออุปกรณ์เครื่องใช้กระจุกกระจิกให้เรา. หากเราคิดว่าเราต้องมีทุกอย่างใหม่และทันสมัยเสมอ เราจะไม่มีวันอิ่มใจ เพราะสิ่งใหม่ล่าสุดในไม่ช้าก็ล้าสมัย และผลิตภัณฑ์แบบใหม่ ๆ ก็มีมาอีก. โลกการค้าได้จัดตั้งวงจรซึ่งไม่มีวันจบสิ้น. มันล่อใจเราให้หาเงินมาก ๆ ให้พอกับความอยากมีอยากได้ที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ. ข้อนี้แหละอาจนำเข้าสู่ “ความปรารถนาที่ไร้สาระ และที่ก่อความเสียหายมากมาย” หรือ ‘ความทะเยอทะยานอย่างโง่ ๆ และเป็นอันตราย.’ การล่อใจเช่นนี้อาจยังผลให้มีชีวิตที่ไม่สมดุลโดยให้เวลาสำหรับกิจกรรมฝ่ายวิญญาณน้อยลงทุกที.—1 ติโมเธียว 6:9, 10, ล.ม.
15. ตัวอย่างของประมุขครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญในทางใด?
15 อีกครั้งหนึ่ง ตัวอย่างที่วางไว้โดยประมุขครอบครัวคริสเตียนเป็นสิ่งสำคัญมาก. ทัศนะสมดุลของเขาต่อหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ ทั้งด้านงานอาชีพและฝ่ายวิญญาณน่าจะเป็นแรงบันดาลใจสมาชิกครอบครัวอื่น. คงจะเป็นความเสียหายแน่ ๆ ถ้าบิดาพูดให้คำแนะนำที่ดีเยี่ยม แต่แล้วไม่ได้ปฏิบัติตามที่พูด. ในไม่ช้าบุตรก็จะเห็นทะลุปรุโปร่งว่าเขาบอกให้คนอื่นทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ตัวเองหาได้ทำไม่. ในทำนองเดียวกัน ผู้ปกครองหรือผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้งซึ่งสนับสนุนคนอื่นออกไปในงานประกาศตามบ้าน แต่ก็ไม่ค่อยได้สมทบกับครอบครัวของตนทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ช้าเขาจะไม่ได้รับความเชื่อถือ ทั้งภายในครอบครัวและในประชาคม.—1 โกรินโธ 15:58; เทียบกับมัดธาย 23:3.
16. เราอาจจะถามตัวเองด้วยคำถามอะไร?
16 ดังนั้น จะเป็นประโยชน์หากเราตรวจสอบชีวิตของเรา. เราหมกมุ่นอยู่กับการที่จะบรรลุความสำเร็จในอาชีพการงาน แล้วไม่ได้ทำความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณไหม? เรากำลังก้าวหน้าในสาขาอาชีพทางโลกแต่ในประชาคมเราถอยหลังหรือเปล่า? จงระลึกถึงคำแนะนำของเปาโลที่ว่า “คำแถลงนี้เป็นคำสัตย์จริง. ถ้าชายคนใดเอื้อมแขนออกไปเพื่อจะได้ตำแหน่งผู้ดูแล เขาก็ปรารถนาการงานที่ดี.” (1 ติโมเธียว 3:1, ล.ม.) การสำนึกถึงหน้าที่รับผิดชอบในประชาคมเป็นข้อบ่งชี้สภาพฝ่ายวิญญาณของเรายิ่งเสียกว่าการเลื่อนตำแหน่งในงานอาชีพ. จำต้องคอยรักษาความสมดุลเพื่อนายจ้างจะไม่ถือสิทธิ์ใช้เราประหนึ่งว่าเราได้อุทิศตัวแก่เขา และหาได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาไม่.—มัดธาย 6:24
การสื่อความอย่างมีความหมายส่งเสริมสภาพฝ่ายวิญญาณ
17. อะไรเป็นส่วนส่งเสริมการปลูกฝังความรักแท้ในครอบครัว?
17 ทุกวันนี้บ้านนับล้าน ๆ หลังกลายเป็นที่พักนอนเท่านั้น. เป็นไปได้อย่างไรกัน? สมาชิกครอบครัวกลับบ้านเพื่อนอนหลับและกินเท่านั้น แล้วก็เร่งรีบออกไป. เขาไม่ค่อยได้นั่งล้อมวงร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน. ความรู้สึกใกล้ชิดฉันครอบครัวขาดไป. ผลเป็นอย่างไร? ไม่มีการสื่อความกัน ไม่มีการสนทนาปราศรัยเป็นกิจจะลักษณะ. และอาจยังผลการขาดความสนใจสมาชิกคนอื่นในครอบครัว บางทีอาจเป็นการขาดความห่วงใยอย่างแท้จริงต่อกัน. เมื่อคนเรารักกัน เราจะหาเวลาพูดคุยและรับฟังซึ่งกันและกัน. เราหนุนกำลังใจกัน และเราช่วยเหลือกัน. แง่นี้ในสภาพฝ่ายวิญญาณเกี่ยวข้องกับการสื่อความอย่างมีความหมายระหว่างคู่สมรสและระหว่างบิดามารดากับบุตร. ต้องจัดเวลาและมีการผ่อนหนักผ่อนเบาเพื่อที่เราจะทราบความในใจของกันและกันเพื่อร่วมรับรู้ความชื่นชมยินดี, ประสบการณ์, และปัญหาต่าง ๆ ของเรา.b—1 โกรินโธ 13:4-8; ยาโกโบ 1:19.
18. (ก) อะไรมักจะเป็นสิ่งกีดกั้นที่สำคัญของการสื่อความ? (ข) ความสัมพันธ์ที่มีความหมายนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยอะไร?
18 การสื่อความที่ดีต้องอาศัยเวลาและความพยายาม. ทั้งนี้หมายถึงการจัดเวลาไว้สำหรับการสนทนาและรับฟังซึ่งกันและกัน. สิ่งกีดกั้นใหญ่หลวงอย่างหนึ่งได้แก่โทรทัศน์ อุปกรณ์ที่ทำให้สิ้นเปลืองเวลามาก ซึ่งได้รับการยกย่องจากคนในครอบครัวหลายครอบครัว. เรื่องนี้เป็นการท้าทาย—ทีวีควบคุมคุณ, หรือคุณควบคุมทีวี? ที่จะควบคุมทีวีให้ได้ต้องมีความตั้งใจแน่วแน่—เข้มแข็งพอที่จะปิดสวิตช์. แต่การทำเช่นนั้นจะเปิดทางให้เราเข้าหากันในฐานะที่เป็นสมาชิกครอบครัว และยังเป็นพี่น้องกันทางฝ่ายวิญญาณด้วย. สัมพันธภาพที่มีความหมายย่อมต้องมีการสื่อความที่ดี มาเข้าใจซึ่งกันและกัน ทั้งความจำเป็นและความยินดีของเรา บอกกันและกันว่าเราหยั่งรู้ค่ามากปานใดสำหรับการกระทำด้วยความกรุณาทุกอย่างที่เราได้รับจากเขา. อีกนัยหนึ่ง การสื่อความที่มีความหมายเช่นนั้นเป็นเครื่องชี้บอกว่าเรารู้สึกขอบคุณและหยั่งรู้ค่าของเขา.—สุภาษิต 31:28, 29.
19, 20. หากเราอาทรต่อทุกคนในครอบครัว เราจะทำประการใด?
19 ด้วยเหตุนี้ ถ้าเรามีความรักชอบและเอื้ออาทรต่อกันภายในวงครอบครัว—หมายรวมถึงการการเอาใจใส่สมาชิกผู้ไม่มีความเชื่อด้วย—เราก็จะกระทำได้มากทีเดียวในทางเสริมสร้างและเป็นการรักษาสภาพฝ่ายวิญญาณของเราให้คงอยู่. ในวงครอบครัวเราก็จะปฏิบัติตามคำแนะนำของเปโตรที่ว่า “ในที่สุด ท่านทั้งหลายทุกคน จงมีความคิดจิตใจอย่างเดียวกัน แสดงความเห็นอกเห็นใจ มีความรักชอบฉันพี่น้อง ความสงสารอย่างอ่อนละมุน จิตใจถ่อม ไม่ตอบแทนการรังแกให้เสียหายด้วยการรังแกให้เสียหาย หรือตอบแทนคำด่าด้วยคำด่า แต่ตรงกันข้าม ให้พร เพราะท่านทั้งหลายถูกเรียกมาสู่แนวทางนี้ เพื่อท่านจะได้รับพระพรเป็นมรดก.”—1 เปโตร 3:8, 9, ล.ม.
20 พวกเราจะได้รับพระพรจากพระยะโฮวาเวลานี้ถ้าเราพยายามรักษาสภาพฝ่ายวิญญาณของเราไว้เสมอ และการทำเช่นนี้จะส่งผลให้เราได้รับพระพรจากพระองค์ในอนาคตเมื่อเราได้รับของประทานคือชีวิตนิรันดรบนแผ่นดินโลกอันเป็นอุทยาน. มีสิ่งอื่น ๆ อีกที่เราจะทำได้ในฐานะเป็นครอบครัว เพื่อเกื้อหนุนกันทางฝ่ายวิญญาณ. บทความต่อจากนี้จะอรรถาธิบายคุณประโยชน์ของการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกันในฐานะเป็นครอบครัว.—ลูกา 23:43; วิวรณ์ 21:1-4.
[เชิงอรรถ]
a สภาพฝ่ายวิญญาณได้รับการนิยามว่าเป็น “ความรู้สึกไวต่อหรือความผูกพันกับค่านิยมทางศาสนา: คุณลักษณะหรือสถานะของความสนใจในสิ่งฝ่ายวิญญาณ.” (พจนานุกรมนิว คอลลิจิเอต เล่มที่เก้าของเวบสเตอร์) บุคคลฝ่ายวิญญาณตรงกันข้ามกับบุคคลที่ฝักใฝ่ในเนื้อหนัง, เป็นอย่างเดียรัจฉาน.—1 โกรินโธ 2:13-16; ฆะลาเตีย 5:16, 25; ยาโกโบ 3:14, 15; ยูดา 19.
b เพื่อจะได้ข้อเสนอแนะมากขึ้นเกี่ยวด้วยการสื่อความภายในครอบครัว ดูวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 1 กันยายน 1991 หน้า 20-22.
คุณจำได้ไหม?
▫ สภาพฝ่ายวิญญาณคืออะไร?
▫ ประมุขครอบครัวสามารถเลียนแบบพระคริสต์ได้โดยวิธีใด?
▫ เราจะหลีกเลี่ยงการทำให้สภาพฝ่ายวิญญาณของเราตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร?
▫ อะไรอาจบ่อนทำลายสภาพฝ่ายวิญญาณของครอบครัว?
▫ เหตุใดการสื่อความอย่างมีความหมายเป็นสิ่งสำคัญ?
[รูปภาพหน้า 12]
การเข้าร่วมศึกษาหนังสือประจำประชาคมเสริมสร้างครอบครัวให้มั่นคงฝ่ายวิญญาณ