มรดกล้ำค่าสำหรับคริสเตียน
เล่าโดย บลอสซัม แบรนต์
มีหิมะตกในเมืองซานแอนโตนิโอ รัฐเท็กซัสเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1923 วันที่ดิฉันเกิด. ภายนอกอากาศหนาวเย็น แต่ดิฉันได้รับการต้อนรับเข้าสู่อ้อมแขนอันอบอุ่นของคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นคริสเตียนที่เปี่ยมด้วยความรัก คือ จัดจ์และเฮเลน นอร์ริส. ตั้งแต่ดิฉันจำความได้ ทุกสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่กระทำล้วนรวมจุดอยู่ที่การนมัสการพระเจ้ายะโฮวา.
ในปี 1910 เมื่อคุณแม่อายุแปดขวบ คุณตาคุณยายย้ายจากใกล้ ๆ เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพ็นซิลเวเนียไปยังฟาร์มแห่งหนึ่งนอกเมืองแอลวิน รัฐเท็กซัส. ที่นั่นคุณตาคุณยายดีใจที่ได้เรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลจากเพื่อนบ้านคนหนึ่ง. คุณแม่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดพยายามทำให้ผู้คนสนใจในความหวังเรื่องราชอาณาจักร. ท่านรับบัพติสมาในปี 1912 หลังจากที่ครอบครัวได้ย้ายไปเมืองฮูสตัน รัฐเท็กซัส.
คุณแม่และคุณตาคุณยายพบชาร์ลส์ ที. รัสเซลล์ นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแอนด์แทร็กต์ คนแรกเมื่อท่านเยี่ยมประชาคมในฮูสตัน. ครอบครัวมักรับรองผู้แทนเดินทางของสมาคมฯในบ้านของตน ผู้ซึ่งเวลานั้นเรียกว่าพิลกริม. สองสามปีต่อมา คุณแม่พร้อมด้วยคุณตาคุณยายได้ย้ายไปที่ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ และบราเดอร์รัสเซลล์เยี่ยมประชาคมที่นั่นเช่นกัน.
ในปี 1918 คุณยายเป็นไข้หวัดใหญ่สเปนและเนื่องจากสุขภาพอ่อนแอลง แพทย์หลายคนแนะนำให้เธออยู่ในที่ที่มีอากาศอบอุ่น. เนื่องจากคุณตาทำงานให้บริษัทรถไฟพูลล์แมน ในปี 1919 ท่านจึงถูกย้ายกลับไปเท็กซัส. ที่นั่นในซานแอนโตนิโอ คุณแม่พบสมาชิกหนุ่มที่กระตือรือร้นคนหนึ่งของประชาคม ชื่อจัดจ์ นอร์ริส. ทั้งสองต้องตาต้องใจกันทันที และในที่สุดก็แต่งงานกัน และจัดจ์ได้มาเป็นคุณพ่อของดิฉัน.
คุณพ่อเรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิล
จัดจ์ (ผู้พิพากษา) ได้รับชื่อที่แปลกนี้ตอนเกิด. เมื่อคุณปู่เห็นคุณพ่อครั้งแรก ท่านบอกว่า “เด็กทารกคนนี้เคร่งขรึมราวกับผู้พิพากษา” และนั่นจึงได้เป็นชื่อของท่าน. ในปี 1917 ตอนที่คุณพ่ออายุได้ 16 ปี ท่านได้รับแผ่นพับคนตายอยู่ที่ไหน? และจิตวิญญาณคืออะไร? พิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแอนด์แทร็กต์. คุณปู่เสียชีวิตไปแล้วก่อนหน้านี้สองปี และแผ่นพับให้คำตอบซึ่งคุณพ่อแสวงหาเกี่ยวกับสภาพของคนตาย. ไม่นานหลังจากนั้น ท่านเริ่มเข้าร่วมการประชุมกับนักศึกษาพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นชื่อที่รู้จักกันของพยานพระยะโฮวาในเวลานั้น.
คุณพ่อต้องการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของประชาคมทันที. ท่านได้รับเขตทำงานที่จะประกาศได้ และหลังเลิกเรียนท่านจะขี่จักรยานเพื่อแจกแผ่นพับ. ท่านหมกมุ่นอย่างจริงจังในงานแบ่งปันความหวังเรื่องราชอาณาจักร และในวันที่ 24 มีนาคม 1918 ท่านแสดงเครื่องหมายของการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาด้วยการรับบัพติสมาในน้ำ.
ในปีถัดมาเมื่อคุณแม่ย้ายไปที่ซานแอนโตนิโอ คุณพ่อถูกดึงดูดใจทันทีในสิ่งที่ท่านบอกว่าเป็น “รอยยิ้มแสนหวานและนัยน์ตาสีฟ้าสวยซึ้งที่สุด” เท่าที่ท่านเคยเห็นมา. ในไม่ช้า ท่านทั้งสองก็เปิดเผยให้เป็นที่รู้กันว่าท่านต้องการแต่งงานกัน แต่ต้องประสบกับความลำบากในการทำให้คุณตาคุณยายยินยอม. กระนั้น ในวันที่ 15 เมษายน 1921 การสมรสก็มีขึ้น. ท่านทั้งสองต่างมีงานเผยแพร่เต็มเวลาเป็นเป้าประสงค์.
เริ่มงานเผยแพร่ตั้งแต่เล็ก ๆ
ตอนที่คุณพ่อและคุณแม่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมการเพื่อเข้าร่วมการประชุมใหญ่ที่เมืองซีดาร์พอยต์ รัฐโอไฮโอในปี 1922 ท่านทั้งสองก็ทราบว่าคุณแม่กำลังมีดิฉันอยู่ในครรภ์. ไม่นานหลังจากที่ดิฉันเกิดมา เมื่อคุณพ่ออายุได้เพียง 22 ปี ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำการรับใช้ของประชาคม. ทั้งนี้หมายความว่าท่านเป็นคนจัดการทั้งหมดเกี่ยวกับงานประกาศ. ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากดิฉันเกิดมา คุณแม่ก็พาดิฉันออกไปในงานเผยแพร่ตามบ้าน. ที่จริง คุณตาคุณยายก็ชอบพาดิฉันออกไปประกาศกับท่านด้วย.
เมื่อดิฉันอายุได้เพียงสองขวบ คุณพ่อคุณแม่ก็ย้ายไปที่เมืองดัลลาส รัฐเท็กซัสและสามปีต่อมาเริ่มงานเผยแพร่เต็มเวลาในฐานะไพโอเนียร์. เวลากลางคืน ท่านจะนอนบนเตียงผ้าใบข้างถนนแล้วเอาดิฉันไว้ที่เบาะหลังของรถยนต์. แน่นอน ดิฉันคิดว่าการทำเช่นนั้นสนุกดี แต่ในไม่ช้าก็เห็นได้ชัดว่าท่านทั้งสองยังไม่พร้อมจริง ๆ สำหรับชีวิตไพโอเนียร์. ดังนั้น คุณพ่อจึงเริ่มทำธุรกิจอย่างหนึ่ง. ต่อมา ท่านต่อรถพ่วงนอนคันเล็ก ๆ เพื่อเตรียมเริ่มงานไพโอเนียร์อีกครั้งหนึ่ง.
ก่อนที่ดิฉันจะเข้าโรงเรียน คุณแม่สอนดิฉันให้อ่านและเขียน และดิฉันท่องสูตรคูณได้ถึงแม่สี่. สิ่งที่ท่านเพ่งเล็งเสมอก็คือการช่วยดิฉันให้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ. ท่านจะจับดิฉันยืนบนเก้าอี้ติดกับท่านเพื่อดิฉันจะเช็ดจานได้ขณะที่ท่านล้างจาน และท่านจะสอนดิฉันให้ท่องจำข้อคัมภีร์ต่าง ๆ และร้องเพลงราชอาณาจักรหรือเพลงสวด ตามที่เราเรียกกันในเวลานั้น.
รับใช้พระเจ้าร่วมกับคุณพ่อคุณแม่
ในปี 1931 พวกเราทุกคนได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่ที่น่าตื่นเต้นในเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอที่ซึ่งเราได้รับชื่อพยานพระยะโฮวา. แม้ว่าดิฉันอายุเพียงแปดขวบ ดิฉันคิดว่านั่นเป็นชื่อที่ไพเราะที่สุดเท่าที่ดิฉันได้ยินมา. ไม่นานหลังจากเรากลับบ้าน ธุรกิจของคุณพ่อถูกเพลิงไหม้จนราบเรียบ และคุณพ่อคุณแม่ถือว่าสิ่งนี้หมายความว่า เป็น “พระทัยประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า” คือที่ท่านทั้งสองจะเริ่มต้นเป็นไพโอเนียร์อีกครั้งหนึ่ง. ฉะนั้น นับตั้งแต่ฤดูร้อนของปี 1932 เราชื่นชมยินดีเป็นเวลาหลายปีในงานเผยแพร่เต็มเวลา.
คุณพ่อคุณแม่เป็นไพโอเนียร์อยู่ทางตอนกลางของเท็กซัส เพื่อจะได้อยู่ใกล้กับคุณตาคุณยายซึ่งยังคงอยู่ในซานแอนโตนิโอ. การย้ายจากเขตมอบหมายแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งหมายความว่าดิฉันต้องเปลี่ยนโรงเรียนบ่อยทีเดียว. เป็นครั้งคราว เพื่อนพยานฯที่ไม่มีความคิดจะพูดว่า “ทำไมไม่อยู่ให้เป็นหลักเป็นแหล่งและมีบ้านให้ลูกเสียที” ราวกับว่าดิฉันไม่ได้รับการเอาใจใส่อย่างเหมาะสมอย่างนั้นแหละ. แต่ดิฉันคิดว่าชีวิตของเราตื่นเต้นดีและคิดว่าดิฉันกำลังช่วยคุณพ่อคุณแม่ในงานเผยแพร่ของท่าน. ที่จริง ดิฉันได้รับการฝึกอบรมและเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่ต่อมาได้กลายเป็นรูปแบบชีวิตของดิฉันเอง.
เป็นเวลาหลายเดือนที่ดิฉันพร่ำบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าดิฉันอยากรับบัพติสมา และท่านมักคุยกับดิฉันในเรื่องนี้. ท่านต้องการทำให้แน่ใจว่าดิฉันรู้ว่าการตัดสินใจของดิฉันมีความสำคัญเพียงไร. วันที่ 31 ธันวาคม 1934 วันที่มีเหตุการณ์สำคัญในชีวิตก็มาถึง. อย่างไรก็ตาม ในคืนก่อนวันนั้น คุณพ่อทำให้แน่ใจว่าดิฉันได้อธิษฐานถึงพระยะโฮวาแล้ว. จากนั้นท่านได้ทำสิ่งหนึ่งที่ดีวิเศษ. ท่านให้พวกเราทุกคนคุกเข่า แล้วท่านอธิษฐาน. ท่านทูลพระยะโฮวาว่าท่านดีใจที่ลูกสาวตัวน้อย ๆ ของท่านตัดสินใจอุทิศชีวิตแด่พระองค์. คุณแน่ใจได้เลยไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ดิฉันจะไม่มีวันลืมคืนนั้นเลย!
รับการฝึกอบรมจากคุณตาคุณยาย
ระหว่างปี 1928 ถึง 1938 ดิฉันใช้เวลามากเยี่ยมคุณตาคุณยายในซานแอนโตนิโอ. กิจวัตรประจำวันที่อยู่กับท่านก็คล้ายคลึงกันมากกับที่อยู่กับคุณพ่อคุณแม่. คุณยายเคยเป็นคอลพอร์เทอร์ ซึ่งเป็นชื่อที่แต่ก่อนใช้เรียกไพโอเนียร์ และต่อจากนั้นเธอได้มาเป็นไพโอเนียร์ที่ทำบางเวลา. คุณตาได้รับแต่งตั้งให้เป็นไพโอเนียร์ในเดือนธันวาคม 1929 ดังนั้น งานประกาศจึงเป็นกิจวัตรของเรา.
ในตอนกลางคืนคุณตาจะอุ้มดิฉันไว้และสอนดิฉันให้รู้จักชื่อของดวงดาวต่าง ๆ. ท่านจะท่องกลอนให้ดิฉันฟัง. ดิฉันได้นั่งรถไฟพูลล์แมนไปกับท่านหลายเที่ยวตอนที่ท่านทำงานให้การรถไฟ. ท่านเป็นผู้ที่ดิฉันหันเข้าหาได้เสมอเมื่อมีปัญหา ท่านปลอบดิฉันและเช็ดน้ำตาให้. กระนั้น เมื่อดิฉันได้รับการตีสอนที่ประพฤติตัวไม่ดี และไปให้ท่านปลอบ ท่านจะเพียงแต่กล่าว (คำพูดซึ่งดิฉันไม่เข้าใจในเวลานั้น แต่น้ำเสียงนั้นชัดเจนมาก) ว่า “หลานรัก ทางของผู้ล่วงละเมิดก็ต้องทนทุกข์อย่างนี้.”
ปีแห่งการกดขี่ข่มเหง
ในปี 1939 สงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้น และไพร่พลของพระยะโฮวาประสบการกดขี่ข่มเหงและความรุนแรงจากฝูงชนที่ก่อความวุ่นวาย. ปลายปี 1939 คุณแม่ไม่สบายมากและในที่สุดต้องผ่าตัด ดังนั้น เราจึงย้ายกลับไปที่ซานแอนโตนิโอ.
ฝูงชนที่ก่อความวุ่นวายจะก่อตัวขึ้นขณะที่เราทำงานเสนอวารสารตามท้องถนนของซานแอนโตนิโอ. ทว่าแต่ละสัปดาห์เราทั้งครอบครัวอยู่ที่นั่น คนละมุมถนนตามที่ได้รับมอบหมาย. ดิฉันเห็นพวกเขาลากตัวคุณพ่อไปที่สถานีตำรวจบ่อย ๆ.
คุณพ่อพยายามเป็นไพโอเนียร์ต่อไปแม้ว่าคุณแม่ต้องหยุด. อย่างไรก็ตาม ท่านไม่สามารถหาเงินได้เพียงพอด้วยการทำงานเพียงบางเวลา ดังนั้น ท่านจึงต้องหยุดเช่นกัน. ดิฉันเรียนจบในปี 1939 แล้วดิฉันก็ทำงานด้วย.
ชื่อของคุณพ่อคือจัดจ์ (ผู้พิพากษา) ปรากฏว่ามีประโยชน์ในช่วงปีเหล่านั้น. ยกตัวอย่าง เพื่อนพยานฯกลุ่มหนึ่งไปให้คำพยานในเมืองซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปทางเหนือของซานแอนโตนิโอ และนายอำเภอจับพวกเขาทั้งหมดเข้าคุก. เขาจับได้ประมาณ 35 คนรวมทั้งคุณตาคุณยายด้วย. พวกเขาส่งข่าวมาให้คุณพ่อทราบ และคุณพ่อขับรถไปที่นั่น. ท่านเดินเข้าไปในสำนักงานของนายอำเภอและบอกว่า “ผมคือจัดจ์ นอร์ริสจากซานแอนโตนิโอ.”
“ขอรับ ท่านผู้พิพากษา จะให้ผมรับใช้อะไรขอรับ?” นายอำเภอถาม.
“ผมมาจัดการเรื่องเอาคนพวกนี้ออกจากคุก” คุณพ่อตอบ. เท่านั้นเองนายอำเภอปล่อยพวกเขาโดยไม่ต้องประกันตัว—และไม่มีการซักถามใด ๆ!
คุณพ่อชอบให้คำพยานในอาคารสำนักงานในเมือง และชอบเป็นพิเศษที่จะไปเยี่ยมผู้พิพากษาและทนายความ. ท่านจะบอกพนักงานต้อนรับว่า “ผมคือจัดจ์ นอร์ริส และผมมาหาผู้พิพากษาคนนั้น.”
แล้วเมื่อท่านพบผู้พิพากษา ท่านเริ่มกล่าวเสมอว่า “เอาล่ะ ก่อนที่ผมจะบอกถึงจุดประสงค์ในการมาเยี่ยมของผม ผมอยากชี้แจงว่าผมเป็นผู้พิพากษามานานกว่าคุณ. ผมเป็นมาตลอดชีวิต.” แล้วท่านจะอธิบายว่าท่านได้ชื่อนี้มาอย่างไร. สิ่งนี้ช่วยให้มีการเริ่มต้นอย่างเป็นมิตรและท่านสร้างสัมพันธภาพที่ดีมากมายกับผู้พิพากษาในสมัยนั้น.
ขอบคุณสำหรับการชี้นำของบิดามารดา
ดิฉันอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่แสนวุ่นวาย และทราบว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงอยู่หลายครั้งขณะที่ท่านเฝ้าดูและสงสัยว่าดิฉันจะทำอะไรต่อไป. อย่างที่เด็กทุกคนทำ ดิฉันทดสอบคุณพ่อคุณแม่หลายครั้ง โดยขอทำอะไรบางอย่างหรือไปไหนสักแห่งทั้ง ๆ ที่ทราบล่วงหน้าว่าคำตอบก็คือไม่ได้. บางครั้งก็ร้องไห้. ที่จริง ดิฉันคงจะไม่สบายใจมากหากท่านบอกว่า “เชิญ อยากทำอะไรก็ทำ. เราไม่สนใจ.”
การที่ทราบว่าดิฉันไม่มีทางบีบท่านให้เปลี่ยนมาตรฐานของท่านทำให้ดิฉันรู้สึกมั่นคง. ที่จริง สิ่งนี้ทำให้ง่ายขึ้นสำหรับดิฉันเมื่อเด็กหนุ่มสาวอื่น ๆ แนะนำการบันเทิงที่โง่เขลา เพราะดิฉันจะพูดว่า “คุณพ่อไม่ยอมให้ไปหรอก.” เมื่อดิฉันอายุ 16 ปี คุณพ่อต้องการให้แน่ใจว่าดิฉันเรียนขับรถยนต์ได้แล้วและได้ใบขับขี่. นอกจากนี้ ประมาณเวลาเดียวกันนี้ ท่านยังให้กุญแจบ้านแก่ดิฉันด้วย. ดิฉันรู้สึกประทับใจที่ท่านไว้ใจดิฉัน. ดิฉันรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่ และสิ่งนี้ส่งผลให้ดิฉันมีจิตสำนึกของความรับผิดชอบและความปรารถนาที่จะไม่ทรยศต่อความไว้วางใจของท่าน.
ในสมัยนั้น ไม่มีการให้คำแนะนำมากนักเกี่ยวกับการสมรส แต่คุณพ่อรู้พระคัมภีร์และสิ่งที่พระคัมภีร์บอกเกี่ยวกับการสมรส “กับผู้ที่เชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า” เท่านั้น. (1 โกรินโธ 7:39) ท่านทำให้ดิฉันเข้าใจชัดแจ้งว่าหากดิฉันพาเด็กหนุ่มชาวโลกมาที่บ้าน หรือแม้แต่คิดจะนัดพบเด็กหนุ่มชาวโลก ท่านจะรู้สึกผิดหวังมาก. ดิฉันทราบว่าท่านพูดถูก เพราะดิฉันได้เห็นความสุขและเอกภาพในชีวิตสมรสของท่านเนื่องจากท่านสมรส “กับผู้ที่เชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า.”
ในปี 1941 เมื่อดิฉันอายุ 18 ปี ดิฉันคิดว่าตนเองรักกับชายหนุ่มคนหนึ่งในประชาคม. เขาเป็นไพโอเนียร์และกำลังเรียนเป็นนักกฎหมาย. ดิฉันรู้สึกตื่นเต้น. เมื่อเราบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าเราอยากแต่งงานกัน แทนที่จะไม่เห็นด้วยหรือทำให้ท้อใจ ท่านเพียงแต่บอกว่า “พ่อกับแม่อยากจะขออะไรสักอย่าง บลอสซัม. พ่อกับแม่รู้สึกว่าลูกยังเด็กเกินไป และอยากให้ลูกรอไปปีหนึ่งก่อน. หากลูกรักกันจริง ๆ ปีเดียวก็คงจะไม่มีผลอะไร.”
ดิฉันรู้สึกดีใจที่ฟังคำแนะนำอันสุขุมนั้น. ภายในปีนั้น ดิฉันเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้างและเริ่มเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นไม่มีคุณลักษณะที่จะเป็นคู่สมรสที่ดีได้. ในที่สุด เขาออกจากองค์การ และดิฉันรอดพ้นจากสิ่งซึ่งอาจจะเป็นความหายนะในชีวิต. วิเศษอะไรเช่นนี้ที่มีบิดามารดาที่สุขุมซึ่งมีคำวินิจฉัยที่วางใจได้!
แต่งงานและงานที่ต้องเดินทาง
ในฤดูหนาวของปี 1946 หลังจากที่ดิฉันใช้เวลาหกปีเป็นไพโอเนียร์และทำงานบางเวลา ชายหนุ่มที่ดีที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยพบก็เดินเข้ามาในหอประชุมของเรา. จีน แบรนต์ได้รับมอบหมายให้ทำงานร่วมกับผู้รับใช้เดินทาง ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกผู้ดูแลหมวดในเวลานั้น. เราต่างต้องตาต้องใจกัน และในวันที่ 5 สิงหาคม 1947 เราแต่งงานกัน.
ไม่นาน คุณพ่อและจีนก็เปิดสำนักงานบัญชี. แต่คุณพ่อบอกจีนว่า “วันที่สำนักงานแห่งนี้กีดกันเราจากการประชุมหรืองานมอบหมายตามระบอบของพระเจ้า พ่อจะล็อกประตูและโยนกุญแจทิ้ง.” พระยะโฮวาทรงอวยพระพรความคิดฝ่ายวิญญาณเช่นนี้ และสำนักงานแห่งนี้จัดหาให้เรามีสิ่งจำเป็นฝ่ายวัตถุอย่างเพียงพอและให้มีเวลาเป็นไพโอเนียร์. คุณพ่อและจีนเป็นนักธุรกิจที่ดี และเราอาจร่ำรวยได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งนี้ไม่เคยเป็นเป้าประสงค์ของเขาทั้งสองคน.
ในปี 1954 จีนได้รับเชิญเข้าสู่งานดูแลหมวด ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเรา. คุณพ่อคุณแม่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร? อีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่ท่านห่วงไม่ใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าและสวัสดิภาพทางฝ่ายวิญญาณของลูก ๆ. ท่านไม่เคยพูดกับเราว่า “ทำไมไม่มีหลานให้พ่อกับแม่เสียที?” แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มักเป็นเช่นนี้เสมอ “จะให้พ่อกับแม่ช่วยอะไรลูกบ้างในงานรับใช้เต็มเวลา?”
ดังนั้น เมื่อวันที่เราต้องจากไปมาถึง มีแต่คำหนุนกำลังใจและยินดีในสิทธิพิเศษยิ่งของเรา. ท่านไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่ากำลังทิ้งท่าน แต่ท่านสนับสนุนเราเต็มที่เสมอ. หลังจากที่เราจากไปแล้ว ท่านง่วนอยู่ในงานไพโอเนียร์เป็นเวลาอีกสิบปี. คุณพ่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลเมืองซานแอนโตนิโอ ซึ่งท่านอยู่ในตำแหน่งนี้ถึง 30 ปี. ท่านปีติยินดีที่เห็นความเจริญเติบโตจากประชาคมเดียวในเมืองนี้ในช่วงทศวรรษของปี 1920 เป็น 71 ประชาคมก่อนท่านเสียชีวิตในปี 1991.
สำหรับจีนและดิฉัน ชีวิตเต็มไปด้วยความตื่นเต้น. เรามีความสุขมากที่ได้รับใช้พี่น้องชายหญิงในกว่า 31 รัฐและที่เด่นที่สุดก็เห็นจะเป็นสิทธิพิเศษที่ได้เรียนในชั้นเรียนที่ 29 ของโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดในปี 1957. หลังจากนั้น เราก็กลับไปทำงานที่ต้องเดินทางอีกครั้งหนึ่ง. ในปี 1984 หลังจาก 30 ปีในงานดูแลหมวดและภาค นับเป็นความกรุณาที่สมาคมฯให้งานมอบหมายจีนในการดูแลหมวดในซานแอนโตนิโอ เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่อยู่ในวัย 80 แล้วและสุขภาพไม่ดี.
ดูแลบิดามารดา
เพียงปีครึ่งหลังจากที่เรากลับมาอยู่ที่ซานแอนโตนิโอ คุณแม่ก็ตกเข้าสู่ภาวะกึ่งโคมาและเสียชีวิต. เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วจนดิฉันไม่มีโอกาสพูดบางสิ่งบางอย่างที่ดิฉันอยากจะพูดกับท่าน. สิ่งนี้สอนให้ดิฉันพูดคุยมากมายหลายสิ่งกับคุณพ่อ. หลังจากที่สมรสกันมา 65 ปี ท่านคิดถึงคุณแม่มาก แต่เราก็อยู่ที่นั่นเพื่อให้ความรักและการสนับสนุนท่าน.
ตัวอย่างที่มีมาตลอดชีวิตของคุณพ่อในการเข้าร่วมประชุมคริสเตียน, การศึกษา, และการรับใช้ ยังคงเป็นเช่นนี้ไปจนกระทั่งท่านเสียชีวิต. ท่านชอบการอ่าน. เนื่องจากท่านต้องอยู่คนเดียวในขณะที่เราอยู่ในงานรับใช้ ดิฉันจะมาที่บ้านและถามว่า “คุณพ่อเหงาไหม?” ท่านง่วนอยู่กับการอ่านและศึกษา ความคิดเช่นนั้นไม่เคยมีอยู่ในสมองของท่าน.
มีนิสัยอีกอย่างหนึ่งที่ติดตัวเราไปตลอดชีวิต ซึ่งเรายังคงรักษาไว้. คุณพ่อยืนกรานเสมอว่าครอบครัวจะต้องรับประทานอาหารด้วยกัน โดยเฉพาะมื้อเช้าเพื่อพิจารณาข้อพระคัมภีร์ประจำวัน. ดิฉันไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านโดยไม่ได้พิจารณาข้อพระคัมภีร์ประจำวัน. บางครั้ง ดิฉันจะบอกว่า “แต่คุณพ่อ ลูกจะไปโรงเรียน (หรือทำงาน) สายนะคะ.”
“การพิจารณาข้อพระคัมภีร์ประจำวันไม่ได้ทำให้ลูกสาย ลูกตื่นไม่ทันเอง” ท่านจะบอก. และดิฉันต้องอยู่ฟัง. ท่านทำให้แน่ใจว่าแบบอย่างที่ดีนี้ยังคงอยู่จนกระทั่งบั้นปลายชีวิตของท่าน. นี่คือมรดกอีกชิ้นหนึ่งที่ท่านทิ้งไว้ให้ดิฉัน.
คุณพ่อยังคงมีสติจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย. สิ่งที่ทำให้การดูแลเอาใจใส่ท่านง่ายขึ้นก็คือท่านไม่เคยจู้จี้หรือขี้บ่น. จริงอยู่ บางครั้งท่านจะพูดถึงโรคไขข้ออักเสบของท่าน แต่ดิฉันจะเตือนท่านว่าสิ่งที่ท่านเป็นจริง ๆ นั้นคือ “โรคอาดามอักเสบ” และท่านจะหัวเราะ. ขณะที่จีนและดิฉันนั่งอยู่ข้าง ๆ คุณพ่อ ท่านหลับไปอย่างสงบในเช้าวันที่ 30 พฤศจิกายน 1991.
เวลานี้ ดิฉันมีอายุกว่า 70 ปีแล้วและยังคงได้รับประโยชน์จากแบบอย่างอันดีของบิดามารดาคริสเตียนที่เปี่ยมด้วยความรักของดิฉัน. และสิ่งที่ดิฉันทูลอธิษฐานขอด้วยใจจริงก็คือขอให้ดิฉันพิสูจน์ความหยั่งรู้ค่าอย่างเต็มเปี่ยมในมรดกชิ้นนี้โดยนำไปใช้อย่างถูกต้องตลอดทุกยุคทุกสมัย.—บทเพลงสรรเสริญ 71:17, 18.
[รูปภาพหน้า 5]
คุณแม่และดิฉัน
[รูปภาพหน้า 7]
1. การประชุมใหญ่ครั้งแรกของดิฉันที่ซานมาร์คอส เท็กซัส เดือนกันยายน 1923
2. การประชุมใหญ่ครั้งสุดท้ายของคุณพ่อที่ฟอร์ตเวิร์ท เท็กซัส เดือนมิถุนายน 1991 (คนนั่งคือคุณพ่อ)
[รูปภาพหน้า 9]
จีนและบลอสซัม แบรนต์