ตัวการก่อความชั่วร้าย
คำอธิบายในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับบทบาทของผีปิศาจในกิจธุระของมนุษย์นั้นตอบคำถามพื้นฐานในเรื่องความชั่ว ซึ่งมิฉะนั้นแล้วจะหาคำตอบไม่ได้. ตัวอย่างเช่น จงพิจารณาคำแถลงนี้จากหนังสือพิมพ์อินเตอร์แนชันแนล เฮรัลด์ ทริบูน เกี่ยวกับสงครามที่รุดหน้าไปไม่หยุดยั้งในคาบสมุทรบอลข่าน: “คณะผู้สำรวจของประชาคมยุโรปได้ลงความเห็นว่า [พวกทหาร] ได้ข่มขืนสตรีและเด็กหญิงมุสลิมถึง 20,000 คน . . . อันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่สยดแสยงที่วางไว้เพื่อจะขู่เข็ญ, ทำให้เสียขวัญและบีบบังคับพวกเธอให้ออกจากบ้านของตน.”
ข้อเขียนสั้น ๆ ในวารสารไทม์ พยายามอธิบายสภาพการณ์อย่างไม่น่าเลื่อมใสว่า “บางครั้ง ชายหนุ่มที่อยู่ในการสู้รบนั้นอาจทำการข่มขืนเพื่อที่จะให้ถูกใจผู้ปกครองคือผู้บังคับบัญชาของพวกเขา และบรรลุความพอใจในความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกแบบหนึ่ง. การข่มขืนเป็นข้อพิสูจน์ถึงการพร้อมใจกันในความดุร้ายแห่งกองทหารของเขา. ชายหนุ่มซึ่งเต็มใจกระทำสิ่งที่น่าขยะแขยงได้ลดสติรู้สึกผิดชอบของตัวเองให้ต่ำลง เพื่อที่จะรวมตัวกับวัตถุประสงค์อันเด็ดเดี่ยวของกองทหารของเขา. ชายหนุ่มยืนยันความจงรักภักดีของเขาโดยการทำสิ่งชั่วร้าย.”
แต่ทำไม “วัตถุประสงค์อันเด็ดเดี่ยวของกองทหาร” จึงต่ำกว่าสติรู้สึกผิดชอบส่วนตัวของสมาชิกในกองทหารนั้น? ในฐานะปัจเจกบุคคล แทบทุกคนปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ด้วยสันติสุขกับเพื่อนบ้านของตน. ดังนั้น ทำไมในยามสงคราม ผู้คนจึงข่มขืนกัน, ทรมาน, และฆ่ากันล่ะ? เหตุผลสำคัญคือว่าพลังของผีปิศาจดำเนินงานอยู่.
การเข้าใจบทบาทของผีปิศาจยังจัดให้มีทางแก้สำหรับสิ่งที่บางคนเรียกว่าเป็น “ปัญหาของนักเทววิทยา.” ปัญหาคือวิธีที่จะทำให้สามหัวข้อลงรอยกัน: (1) พระเจ้าทรงไว้ซึ่งฤทธานุภาพทุกประการ (2) พระเจ้าทรงประกอบด้วยความรักและความดี และ (3) สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น. บางคนมีความเห็นว่า เป็นไปได้ที่จะทำให้สองหัวข้อใด ๆ ในหัวข้อเหล่านี้ลงรอยกัน แต่จะทำให้ทั้งสามลงรอยกันไม่ได้เลย. พระวจนะของพระเจ้าให้คำตอบ และคำตอบนั้นเกี่ยวข้องกับวิญญาณที่ไม่ประจักษ์ ตัวการก่อความชั่วร้าย.
ผู้แรกที่กบฏ
คัมภีร์ไบเบิลแจ้งให้เราทราบว่า พระเจ้าเองทรงเป็นองค์วิญญาณ. (โยฮัน 4:24) ต่อมา พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างวิญญาณองค์อื่น ๆ เหล่าบุตรที่เป็นทูตสวรรค์หลายล้านองค์. ดานิเอล ผู้รับใช้ของพระเจ้า ได้เห็นทูตสวรรค์หนึ่งร้อยล้านองค์ในนิมิต. บุคคลวิญญาณทั้งหมดที่พระยะโฮวาได้ทรงสร้างนั้นชอบธรรมและประสานกับพระทัยประสงค์ของพระองค์.—ดานิเอล 7:10; เฮ็บราย 1:7.
ต่อมา เมื่อพระเจ้า “ได้วางรากแห่งพิภพโลก” บุตรของพระเจ้าที่เป็นทูตสวรรค์เหล่านี้ “แซ่ซร้องสรรเสริญ” และ “ส่งเสียงแสดงความยินดี.” (โยบ 38:4-7) แต่องค์หนึ่งในพวกเหล่านั้นได้พัฒนาความปรารถนาที่จะยึดการนมัสการที่พึงให้กับพระเจ้าโดยชอบด้วยสิทธินั้นมาเป็นของตัวเอง. โดยการกบฏต่อพระเจ้า ทูตสวรรค์องค์นี้ได้ทำให้ตัวเองเป็นซาตาน (หมายถึง “ผู้ต่อต้าน”) และพญามาร (หมายถึง “ผู้หมิ่นประมาท”).—เทียบกับยะเอศเคล 28:13-15.
โดยใช้งูตัวหนึ่งในสวนเอเดนให้พูดกับฮาวาผู้หญิงคนแรก ซาตานได้เกลี้ยกล่อมเธอให้ไม่เชื่อฟังพระบัญชาโดยตรงของพระเจ้าที่ห้ามรับประทานผลไม้จากต้นหนึ่งในสวน. หลังจากนั้น สามีของเธอได้ร่วมสมทบกับเธอ. ด้วยเหตุนี้ มนุษย์คู่แรกได้ร่วมกับทูตสวรรค์ในการกบฏต่อพระยะโฮวา.—เยเนซิศ 2:17; 3:1-6.
ขณะที่เหตุการณ์ในสวนเอเดนอาจดูเหมือนเป็นบทเรียนที่ชัดแจ้งในเรื่องการเชื่อฟัง ประเด็นทางศีลธรรมที่สำคัญสองประการได้ถูกซาตานยกขึ้นมาที่นั่น. ประการแรก ซาตานได้โต้แย้งว่า การปกครองของพระยะโฮวาเหนือผู้ที่พระองค์สร้างมานั้นมีการบริหารงานอย่างไม่ชอบธรรมและหาใช่เพื่อผลประโยชน์อันดีที่สุดของพวกเขาไม่. บางที มนุษย์อาจทำได้ดีกว่าในการปกครองตัวเอง. ประการที่สอง ซาตานสงสัยว่า บุคคลที่มีเชาวน์ปัญญาผู้ใดจะคงซื่อสัตย์และภักดีต่อพระเจ้าอยู่ต่อไปไหมเมื่อการเชื่อฟังดูเหมือนว่าไม่ได้นำผลประโยชน์ด้านวัตถุมาให้.a
ความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นที่ยกขึ้นมาในสวนเอเดน พร้อมกับความรู้ในเรื่องคุณสมบัติของพระยะโฮวา ช่วยเราให้เข้าใจทางแก้สำหรับ “ปัญหาของนักเทววิทยา” กล่าวคือที่จะทำให้ความชั่วร้ายที่ดำรงอยู่นั้นประสานกับคุณสมบัติของพระเจ้าในเรื่องอำนาจและความรัก. ขณะที่เป็นความจริงว่า พระยะโฮวาทรงมีอำนาจที่ไม่มีขีดจำกัดและทรงเป็นแบบฉบับที่ดีเยี่ยมของความรัก พระองค์ทรงไว้ซึ่งสติปัญญาและความยุติธรรมด้วย. พระองค์ทรงสำแดงคุณสมบัติทั้งสี่ประการนี้ในดุลยภาพที่สมบูรณ์พร้อม. ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงมิได้ใช้อำนาจที่ไม่อาจต้านทานได้ของพระองค์เพื่อทำลายกบฏทั้งสามนั้นทันที. นั่นคงจะยุติธรรม ทว่าไม่ได้แสดงถึงสติปัญญาหรือความรักเป็นแน่แท้. นอกจากนี้ พระองค์ไม่ได้เพียงแต่ให้อภัยและลืมเสีย อันเป็นแนวทางที่บางคนอาจรู้สึกว่าคงจะเป็นการเลือกที่แสดงถึงความรัก. การทำเช่นนั้นคงไม่ได้แสดงถึงทั้งสติปัญญาและความยุติธรรม.
จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อจัดการกับประเด็นที่ซาตานได้ยกขึ้นมานั้นให้เรียบร้อย. จำต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ว่า มนุษย์สามารถปกครองตัวเองอย่างเหมาะสมโดยไม่ขึ้นกับพระเจ้าได้หรือไม่. โดยการยอมให้กบฏทั้งสามมีชีวิตอยู่ต่อไป พระยะโฮวายังทำให้เป็นไปได้อีกด้วยสำหรับผู้ที่พระองค์ทรงสร้างนั้นจะมีส่วนในการพิสูจน์ว่า คำอ้างของซาตานนั้นไม่จริงโดยการรับใช้พระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ภายใต้สภาพการณ์ที่ลำบาก.b
พระยะโฮวาได้ตรัสแก่อาดามและฮาวาอย่างชัดแจ้งว่า หากเขารับประทานผลไม้ที่ต้องห้าม เขาจะตาย. และเขาทั้งสองก็ตายจริง ๆ ถึงแม้ซาตานได้รับรองกับฮาวาว่าเธอจะไม่ตาย. ซาตานถูกตัดสินให้ตายเช่นกัน. ในระหว่างที่รอความตาย มันยังคงนำมนุษยชาติไปผิดทางอยู่ต่อไป. ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “โลกทั้งสิ้นตกอยู่ใต้อำนาจผู้ชั่วร้ายนั้น.”—1 โยฮัน 5:19, ล.ม.; เยเนซิศ 2:16, 17; 3:4; 5:5.
ทูตสวรรค์องค์อื่น ๆ กบฏ
ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ในสวนเอเดน ทูตสวรรค์องค์อื่น ๆ ได้ร่วมการกบฏต่อพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา. คัมภีร์ไบเบิลแถลงว่า “อยู่มาเมื่อมนุษย์ทวีมากขึ้นที่พื้นแผ่นดินและมีบุตรสาวบังเกิดขึ้น, บุตรชายของพระเจ้าเห็นว่าบุตรสาวของมนุษย์สวย; ก็รับเขาไว้เป็นภรรยาตามชอบใจของตน.” กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทูตสวรรค์เหล่านี้ “ได้ทิ้งถิ่นฐาน [ในสวรรค์] อันเหมาะแก่ตน” และลงมายังแผ่นดินโลก สวมร่างกายมนุษย์ และได้รับความเพลิดเพลินทางเพศกับพวกผู้หญิง.—เยเนซิศ 6:1, 2; ยูดา 6.
เรื่องดำเนินต่อไปที่เยเนซิศ 6:4 “ในคราวนั้นในแผ่นดินบังเกิดมีคนรูปร่างล่ำสันใหญ่โต, ทั้งภายหลังเมื่อบุตรพระเจ้าได้สมสู่อยู่กับบุตรสาวมนุษย์จึงเกิดมีคนชนิดนั้น: เขาเหล่านั้นแหละเป็นคนเก่งมีชื่อเสียงเลื่องลือในกาลโบราณ.” บุตรลูกผสมเหล่านี้ซึ่งกำเนิดจากพวกผู้หญิงและมีพวกทูตสวรรค์เป็นบิดานั้นแข็งแรงอย่างผิดปกติ เป็น “คนเก่ง.” พวกเขาเป็นมนุษย์ที่ชอบความรุนแรงหรือเนฟิลิมʹ คำภาษาฮีบรูที่หมายถึง “คนเหล่านั้นที่ทำให้คนอื่นล้มลง.”
เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุการณ์เหล่านี้ภายหลังพบว่ามีการพรรณนาในตำนานของอารยธรรมโบราณ. ตัวอย่างเช่น บทกวีของบาบูโลนที่มีอายุ 4,000 ปีมาแล้วพรรณนาถึงพฤติกรรมอันห้าวหาญที่เหนือมนุษย์ของกิลกาเมช เป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ที่มีพลังมหาศาล, รุนแรง ผู้ซึ่ง “ตัณหาของเขาไม่ปล่อยให้มีสาวพรหมจารีไว้สำหรับคู่รักของนาง.” อีกตัวอย่างหนึ่งจากตำนานกรีกคือเฮอร์คิวเลส (หรือเฮราคเลส) ที่วิเศษเกินมนุษย์. กำเนิดจากอัลคเมเนที่เป็นมนุษย์ และเทพเจ้าเซอุสเป็นบิดา เฮอร์คิวเลสเริ่มต้นการผจญภัยแบบรุนแรงที่ต่อเนื่องกันหลังจากฆ่าภรรยาและลูก ๆ ของตนด้วยความบ้าคลั่ง. ถึงแม้นิทานดังกล่าวถูกบิดเบือนไปมากขณะที่มีการเล่าจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่งก็ตาม เรื่องเหล่านั้นเชื่อมโยงกับสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวในเรื่องเนฟิลิมและบิดาของพวกเขาซึ่งเป็นทูตสวรรค์ที่กบฏ.
เนื่องจากอิทธิพลของทูตสวรรค์ชั่วและเหล่าบุตรของพวกเขาที่เหนือมนุษย์ธรรมดา แผ่นดินโลกจึงเต็มไปด้วยความรุนแรงจนพระยะโฮวาตัดสินพระทัยจะทำลายโลกโดยมหาอุทกภัย. เนฟิลิมสูญสิ้นไปพร้อมกับมนุษย์ที่ไม่เลื่อมใสพระเจ้า โนฮาผู้ชอบธรรมกับครอบครัวของท่านเป็นมนุษย์ผู้รอดชีวิตกลุ่มเดียวเท่านั้น.—เยเนซิศ 6:11; 7:23.
อย่างไรก็ดี พวกทูตสวรรค์ชั่วไม่ตาย. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาถอดร่างกายมนุษย์ทิ้ง แล้วกลับไปยังแดนวิญญาณ. เนื่องจากความไม่เชื่อฟัง พวกเขาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้กลับคืนสู่ครอบครัวของพระเจ้าที่ประกอบด้วยทูตสวรรค์ที่ชอบธรรม ทั้งไม่ทรงยอมให้พวกเขาสวมร่างกายมนุษย์ดังที่เคยทำในสมัยของโนฮาอีก. กระนั้น พวกเขายังคงใช้อิทธิพลที่ยังความหายนะในกิจการของมนุษยชาติอยู่ ภายใต้อำนาจของ “นายผี [ผู้ครอบครองของพวกผีปิศาจ, ล.ม.]” ซาตานพญามาร.—มัดธาย 9:34; 2 เปโตร 2:4; ยูดา 6.
ศัตรูของมนุษยชาติ
ซาตานและพวกผีปิศาจทำให้ถึงตายและเหี้ยมโหดเสมอ. โดยวิธีต่าง ๆ ซาตานได้ปล้นเอาปศุสัตว์และฆ่าพวกคนใช้ส่วนใหญ่ของโยบ บุรุษที่ “ดีรอบคอบและชอบธรรม, เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหลบหลีกจากความชั่ว.” ถัดจากนั้น มันสังหารลูกสิบคนของโยบโดยก่อให้เกิด “พายุเพชรหึง” เพื่อทำให้บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นพังทลายลง. หลังจากนั้น ซาตานทรมานโยบด้วย “ฝีร้ายลามทั่วไปทั้งตัว, ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อมศีรษะ.”—โยบ 1:7-19; 2:3, 7.
พวกผีปิศาจแสดงนิสัยที่ชั่วร้ายเช่นเดียวกัน. ในสมัยของพระเยซู พวกมันทำให้คนเป็นใบ้และตาบอด. พวกมันทำให้ชายคนหนึ่งเอาหินเชือดเนื้อตัวเอง. มันทำให้เด็กชายคนหนึ่งล้มลงที่พื้นและ “ทำให้เขา . . . ชักดิ้นใหญ่.”—ลูกา 9:42; มัดธาย 9:32, 33; 12:22; มาระโก 5:5.
รายงานจากตลอดทั่วโลกแสดงว่า ซาตานและพวกผีปิศาจมีเจตนาร้ายอยู่เรื่อยมา. พวกมันจู่โจมบางคนด้วยโรคภัยไข้เจ็บ. พวกมันรังควานคนอื่น ๆ ด้วยการทำให้เขานอนไม่หลับ หรือโดยทำให้ฝันร้ายหรือโดยการทำร้ายทางเพศ. ยังมีคนอื่น ๆ ที่พวกมันได้ผลักดันไปสู่ความวิกลจริต, ฆาตกรรม, หรืออัตวินิบาตกรรม.
จะต้องทนกับพวกมันอีกนานเท่าไร?
ซาตานกับผีปิศาจของมันจะไม่ถูกปล่อยไว้ตลอดกาล. ด้วยเหตุผลที่ดี พระยะโฮวาทรงปล่อยให้พวกมันดำรงอยู่จนกระทั่งสมัยของเรา แต่ปัจจุบัน เวลาของพวกมันเหลือน้อย. ช่วงต้น ๆ ในศตวรรษนี้ มีการดำเนินงานขั้นสำคัญเพื่อจำกัดขอบเขตแห่งกิจกรรมของพวกมัน. พระธรรมวิวรณ์อธิบายว่า “ได้เกิดสงครามขึ้นในสวรรค์: มิคาเอล [พระเยซูคริสต์ผู้กลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว] กับเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ได้สู้รบกับพญานาค [ซาตาน], และพญานาคกับเหล่าทูตสวรรค์ของมันก็สู้รบ แต่มันไม่ชนะ ทั้งไม่มีที่สำหรับพวกมันอีกต่อไปในสวรรค์. แล้วพญานาคใหญ่ก็ถูกเหวี่ยงลง งูตัวแรกเดิมนั้น ผู้ถูกเรียกว่าพญามารและซาตาน ผู้ชักนำแผ่นดินโลกทั้งสิ้นที่มีคนอาศัยอยู่ให้หลง; มันถูกเหวี่ยงลงที่แผ่นดินโลก และเหล่าทูตสวรรค์ของมันก็ถูกเหวี่ยงลงพร้อมกับมัน.”—วิวรณ์ 12:7-9, ล.ม.
ผลเป็นประการใด? เรื่องราวกล่าวต่อไปว่า “ด้วยเหตุนี้ จงยินดีเถิด สวรรค์ทั้งหลายและบรรดาผู้ที่อยู่ในสวรรค์เหล่านั้น!” ทูตสวรรค์ที่ชอบธรรมสามารถชื่นชมยินดีได้เพราะซาตานและผีปิศาจของมันไม่ได้อยู่ในสวรรค์อีกต่อไป. แต่ผู้คนบนแผ่นดินโลกล่ะเป็นอย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “วิบัติแก่แผ่นดินโลกและทะเล เพราะพญามารได้ลงมาถึงพวกเจ้าแล้ว มีความโกรธยิ่งนัก ด้วยรู้ว่ามันมีระยะเวลาอันสั้น.”—วิวรณ์ 12:12, ล.ม.
ด้วยความโกรธ ซาตานกับลูกสมุนของมันมุ่งมั่นในการก่อภัยพิบัติมากเท่าที่เป็นไปได้ก่อนที่พวกมันจะถึงจุดอวสาน ซึ่งคืบใกล้เข้ามา. ในศตวรรษนี้ มีสงครามโลกสองครั้งและสงครามเล็ก ๆ มากกว่า 150 ครั้งตั้งแต่การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง. วลีที่สะท้อนถึงความรุนแรงของยุคนี้ได้ปรากฏอยู่ในคำศัพท์ของเรา เช่น “สงครามเชื้อโรค,” “โฮโลคอสต์” (การสังหารหมู่ครั้งใหญ่เพื่อล้างเผ่าพันธุ์ยิวและพวกอื่นโดยนาซี), “สมรภูมินรก,” “ค่ายข่มขืน,” “เพชฌฆาตสังหารหมู่,” และ “อาวุธนิวเคลียร์.” ข่าวเต็มไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับยาเสพย์ติด, ฆาตกรรม, การวางระเบิด, การกินเนื้อคนโดยผู้ที่วิกลจริต, การสังหารหมู่, ความอดอยาก, และการทรมาน.
ข่าวดีคือว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นอยู่ชั่วคราว. ในอนาคตอันใกล้ พระเจ้าจะทรงจัดการกับซาตานและภูตผีปิศาจของมันอีก. ในการพรรณนานิมิตจากพระเจ้า อัครสาวกโยฮันได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์มีลูกกุญแจสำหรับเหวอันลึกนั้น, และมือท่านถือโซ่ใหญ่. ท่านได้จับเอาพญานาคคืองูโบราณที่เรียกว่าพญามารและซาตาน, และได้ผูกมัดมันไว้จนสิ้นพันปี, และทิ้งมันไว้ในเหวอันลึกนั้น, และได้ลั่นกุญแจประทับตรา, เพื่อจะไม่ให้มันล่อลวงชนประเทศทั้งหลายต่อไปจนครบกำหนดพันปี.”—วิวรณ์ 20:1-3.
หลังจากนั้น พญามารกับภูตผีปิศาจของมันจะ “ถูกปล่อยชั่วขณะหนึ่ง” และครั้นแล้ว พวกมันจะถูกทำลายตลอดกาล. (วิวรณ์ 20:3, 10, ล.ม.) ช่างจะเป็นสมัยอันเยี่ยมยอดเสียนี่กระไร! โดยที่ซาตานกับภูตผีปิศาจของมันสูญสิ้นไปตลอดกาล พระยะโฮวาจะทรงเป็น “เอกเป็นใหญ่ในสิ่งสารพัดทั้งปวง.” และทุก ๆ คนจะ “ชื่นชมยินดีด้วยความสงบสุขอันบริบูรณ์.”—1 โกรินโธ 15:28; บทเพลงสรรเสริญ 37:11.
[เชิงอรรถ]
a มีการทำให้เรื่องนี้กระจ่างขึ้นในภายหลังเมื่อซาตานได้กล่าวถึงโยบผู้รับใช้ของพระเจ้าว่า “หนังแทนหนัง จริงละ, คนย่อมสละอะไร ๆ ทุกสิ่งได้, เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนชีวิตของตนให้คงอยู่. แต่ถ้าหากบัดนี้พระองค์จะยื่นพระหัตถ์ออกแตะต้องให้เป็นอันตรายแก่กระดูกและเลือดเนื้อของเขานั้น, เขาจะเลิกนับถือพระองค์ทีเดียว.”—โยบ 2:4, 5.
b สำหรับการพิจารณาที่ละเอียดเกี่ยวกับเหตุผลที่พระเจ้าทรงยอมให้ความชั่วมีอยู่ โปรดดูหนังสือท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
[รูปภาพหน้า 7]
มนุษย์ฝ่ายเดียวรับผิดชอบต่อสิ่งนั้นไหม หรือว่ามีพลังชั่วร้ายที่ไม่ประจักษ์มีส่วนรับการตำหนิด้วย?
[ที่มาของภาพ]
บ่อน้ำมันในคูเวตลุกไหม้อยู่, ปี 1991: Chamussy/Sipa Press
[รูปภาพหน้า 7]
ช่างจะเป็นสมัยอันวิเศษจริง ๆ เมื่อผีปิศาจจะไม่ก่อกวนมนุษยชาติอีกต่อไป!