เกิดอะไรขึ้นกับอำนาจ?
คนช่างคิดเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีอำนาจการปกครอง. หากปราศจากโครงสร้างบางอย่างทางอำนาจการปกครอง สังคมมนุษย์จะกลายเป็นสังคมที่สับสนวุ่นวายอย่างรวดเร็ว. ดังนั้น ตำราที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่งเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสกล่าวว่า “ในกลุ่มชนใดก็ตาม จะพบคนอยู่สองประเภท คือ ผู้ที่บังคับบัญชาและผู้ที่เชื่อฟัง, ผู้ที่สั่งการและผู้ที่ทำตาม, ผู้นำและสมาชิก, ผู้ที่ปกครองและผู้ที่ถูกปกครอง. . . . การมีอำนาจการปกครองสังเกตได้ไม่ว่าในสังคมใดของมนุษย์.”a
อย่างไรก็ดี เจตคติต่ออำนาจการปกครองได้เปลี่ยนไปนับแต่สงครามโลกครั้งที่สองและโดยเฉพาะอย่างยิ่งนับแต่ทศวรรษปี 1960. สารานุกรม อูนิแวร์ซาลิส ภาษาฝรั่งเศสซึ่งแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับช่วงเวลานั้น กล่าวถึง “วิกฤตกาลที่มีการต่อต้านการปกครองตามลำดับขั้นและอำนาจการปกครอง.” วิกฤตกาลดังกล่าวไม่ได้เป็นสิ่งที่ยังความประหลาดใจมาสู่นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. อัครสาวกเปาโลบอกล่วงหน้าว่า “ท่านจงรู้ข้อความนี้, คือว่าในคราวที่สุดนั้นจะบังเกิดกลียุค. เหตุว่าคนจะเป็นคนรักตัวเอง, เป็นคนเห็นแก่เงิน, เป็นคนอวดตัว, เป็นคนจองหอง, เป็นคนหลู่เกียรติยศของพระเจ้า, เป็นคนไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา, . . . เป็นคนไม่รักซึ่งกันและกัน, . . . เป็นคนไม่มีสติรั้งใจ, เป็นคนดุร้าย, . . . เป็นคนหัวสูง, เป็นคนรักการสนุกสนานมากกว่ารักพระเจ้า.”—2 ติโมเธียว 3:1-4.
วิกฤตการณ์ทางอำนาจ
คำพยากรณ์นี้พรรณนาเป็นอย่างดีถึงสมัยและยุคของเรา. อำนาจถูกท้าทายในทุกระดับ—ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว, โรงเรียน, มหาวิทยาลัย, ธุรกิจ, การปกครองในท้องถิ่นและระดับประเทศ. การปฏิวัติทางเพศ, ดนตรีแรปที่บรรยายการผิดศีลธรรมอย่างโจ่งแจ้ง, การเดินขบวนของนักศึกษา, การนัดหยุดงานที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสหภาพแรงงาน, การขัดขืนอย่างสงบ, และการกระทำต่าง ๆ ของลัทธิก่อการร้ายล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมลงของการนับถืออำนาจ.
ณ การสัมมนาซึ่งจัดในกรุงปารีส โดยสถาบันรัฐศาสตร์แห่งฝรั่งเศสร่วมกับเลอ มองด์ หนังสือพิมพ์รายวันในกรุงปารีส ศาสตราจารย์อีฟว์ เมนี กล่าวว่า “อำนาจจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีความถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหนุนหลังเท่านั้น.” เหตุผลหนึ่งที่มีวิกฤตการณ์ทางอำนาจในทุกวันนี้ก็คือ หลายคนสงสัยในความถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของผู้ที่มีอำนาจ. นั่นคือ พวกเขาสงสัยในสิทธิของเขาที่จะมีอำนาจ. การหยั่งเสียงมหาชนเผยว่า ต้นทศวรรษปี 1980 ประชากรในสหรัฐ 9 เปอร์เซ็นต์, ในออสเตรเลีย 10 เปอร์เซ็นต์, ในอังกฤษ 24 เปอร์เซ็นต์, ในฝรั่งเศส 26 เปอร์เซ็นต์, และในอินเดีย 41 เปอร์เซ็นต์ถือว่ารัฐบาลของตนไม่ได้เป็นรัฐบาลที่ถูกทำนองคลองธรรม.
มนุษย์ใฝ่หาอำนาจการปกครองที่ถูกทำนองคลองธรรม
ตามคัมภีร์ไบเบิล ในตอนแรกเริ่ม มนุษย์อยู่ใต้อำนาจการปกครองของพระเจ้าโดยตรง. (เยเนซิศ 1:27, 28; 2:16, 17) อย่างไรก็ตาม ต่อมาไม่นาน มนุษย์เรียกร้องอิสรภาพทางศีลธรรมจากพระผู้สร้างของตน. (เยเนซิศ 3:1-6) เนื่องจากได้ปฏิเสธระบอบของพระเจ้าหรือการครอบครองของพระเจ้า พวกเขาจึงต้องหาระบบการปกครองอื่น ๆ. (ท่านผู้ประกาศ 8:9) บางคนยึดอำนาจการปกครองโดยใช้กำลัง. สำหรับพวกเขา กำลังคือสิทธิ. การมีกำลังก็เพียงพอแล้วที่จะบังคับให้เป็นไปตามเจตจำนงของตน. ถึงกระนั้น คนส่วนใหญ่รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะทำให้สิทธิในการครอบครองนั้นถูกทำนองคลองธรรม.
ตั้งแต่ยุคแรก ๆ ผู้ครอบครองเป็นจำนวนมากกระทำเช่นนี้ โดยบอกว่าตนเป็นพระเจ้า หรือไม่ก็ได้รับอำนาจจากเทพเจ้าทั้งหลาย. นี่เป็นแนวคิดเกี่ยวกับ “ตำแหน่งกษัตริย์อันศักดิ์สิทธิ์” ตามตำนาน ที่ผู้ครอบครองสมัยแรก ๆ แห่งเมโสโปเตเมียและพวกฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณกล่าวอ้าง.
อะเล็กซานเดอร์มหาราช, กษัตริย์กรีกซึ่งสืบตำแหน่งต่อมา, และจักรพรรดิโรมันหลายองค์ก็อ้างว่าเป็นพระเจ้าและถึงกับเรียกร้องการนมัสการ. ระบบต่าง ๆ ภายใต้ผู้ครอบครองเหล่านั้นจึงเป็นที่รู้จักกันว่า “การบูชาผู้ครอบครอง” และจุดประสงค์ก็เพื่อทำให้อำนาจของผู้ครอบครองเหนือชนชาติต่าง ๆ ที่ถูกครอบครองนั้นให้มั่นคงขึ้น. การปฏิเสธไม่ยอมนมัสการผู้ครอบครองถือเป็นการกระทำที่ต่อต้านรัฐ. ในหนังสือมรดกของโรม (ภาษาอังกฤษ) ศาสตราจารย์เออร์เนสต์ บาร์เคอร์ เขียนว่า “การยกย่องจักรพรรดิ [แห่งโรมัน] เป็นพระเจ้าและความจงรักภักดีที่เขาได้รับเนื่องจากความเป็นพระเจ้าของเขานั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นรากฐาน หรืออย่างน้อยที่สุด ก็เป็นเครื่องเชื่อมจักรวรรดิเข้าด้วยกัน.”
สิ่งนี้ยังคงเป็นจริงแม้แต่หลังจากที่จักรพรรดิคอนสแตนติน (ครองราชย์ปีสากลศักราช 306-337) ทำให้ “ศาสนาคริสเตียน” ถูกต้องตามกฎหมาย และต่อมาจักรพรรดิทีโอโดซิอุสที่หนึ่ง (ครองราชย์ปีสากลศักราช 379-395) รับเอามาเป็นศาสนาของรัฐแห่งจักรวรรดิโรมัน. จักรพรรดิที่เป็น “คริสเตียน” บางองค์ได้รับการนมัสการเยี่ยงพระเจ้าจนกระทั่งถึงศตวรรษที่ห้าสากลศักราชทีเดียว.
“อำนาจสองอย่าง,” “ดาบสองเล่ม”
เมื่อตำแหน่งของโป๊ปเริ่มมีอำนาจมากขึ้น ปัญหาระหว่างคริสตจักรกับรัฐเริ่มรุนแรงขึ้น. ด้วยเหตุนี้ ตอนปลายศตวรรษที่ห้าสากลศักราช โป๊ปเกลาซิอุสที่หนึ่งได้ตั้งหลักการเกี่ยวกับ “อำนาจสองอย่าง” คือ อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของโป๊ปควบคู่กับราชอำนาจของกษัตริย์—โดยมีกษัตริย์อยู่ภายใต้อำนาจของโป๊ป. หลักการนี้ต่อมาได้พัฒนาเป็นหลักเกี่ยวกับ “ดาบสองเล่ม” นั่นคือ “ดาบของทางศาสนจักรซึ่งโป๊ปเป็นผู้ถือและใช้เอง โดยมอบดาบทางอาณาจักรให้แก่ผู้ครอบครอง แต่ฝ่ายหลังต้องใช้ดาบทางอาณาจักรตามการชี้นำของโป๊ป.” (สารานุกรม นิว บริแทนนิกา) โดยอาศัยหลักนี้เป็นเกณฑ์ ในระหว่างยุคกลาง คริสตจักรคาทอลิกอ้างสิทธิที่จะแต่งตั้งจักรพรรดิและกษัตริย์ เพื่อทำให้อำนาจการปกครองนั้นถูกทำนองคลองธรรม และโดยวิธีนี้จึงทำให้ตำนานโบราณเกี่ยวกับ “ตำแหน่งกษัตริย์อันศักดิ์สิทธิ์” คงอยู่ต่อไป.
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรเอาเรื่องนี้มาปนเปกับสิ่งที่เรียกกันว่าสิทธิซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่พวกกษัตริย์ ซึ่งเป็นพัฒนาการขั้นต่อมาที่มุ่งจะปลดปล่อยผู้ครอบครองทางการเมืองจากการอยู่ใต้อำนาจของโป๊ป. ทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้านั้นถือว่า กษัตริย์ได้อำนาจปกครองโดยตรงจากพระเจ้า ไม่ใช่โดยผ่านทางโป๊ปในกรุงโรม. สารานุกรม นิว คาทอลิก แถลงว่า “ในสมัยเมื่อโป๊ปใช้อำนาจทางศาสนจักรและแม้แต่ทางอาณาจักรไปทั่วเหนือผู้ครองรัฐต่าง ๆ ความคิดในเรื่องสิทธิที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าทำให้กษัตริย์ของรัฐต่าง ๆ อยู่ในตำแหน่งที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าอำนาจของตนก็มาจากพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับอำนาจของโป๊ป.”b
ตำนานเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยปวงชน
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนเสนอแหล่งอื่น ๆ ของอำนาจการปกครอง. แหล่งหนึ่งก็คืออำนาจอธิปไตยของประชาชน. หลายคนเชื่อว่า ความคิดนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากกรีซ. อย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยแบบกรีกโบราณมีการปฏิบัติในนครรัฐเพียงไม่กี่แห่ง และแม้แต่ในนครรัฐเหล่านี้ มีเพียงพลเมืองที่เป็นผู้ชายเท่านั้นที่มีสิทธิออกเสียง. ผู้หญิง, ทาส, และผู้อยู่อาศัยที่เป็นชนต่างชาติ—ซึ่งประมาณกันว่ามีครึ่งหนึ่งถึงสี่ในห้าของประชากร—ถูกตัดออกไป. แทบจะเรียกได้ว่าไม่ใช่อำนาจอธิปไตยปวงชน!
ใครส่งเสริมความคิดเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของประชาชน? คงจะแปลกใจที่ความคิดนี้ถูกนำเข้ามาในยุคกลางโดยนักเทววิทยาโรมันคาทอลิก. ในศตวรรษที่ 13 โทมัส อะควินัส ถือว่า ขณะที่อำนาจอธิปไตยมาจากพระเจ้า แต่อำนาจนั้นก็มอบให้แก่ประชาชน. ความคิดนี้ปรากฏว่าเป็นที่เห็นชอบกันทั่วไป. สารานุกรม นิว คาทอลิก บอกว่า “ความคิดที่ว่าประชาชนเป็นแหล่งที่มาของอำนาจการปกครองนั้นได้รับการสนับสนุนจากนักเทววิทยาคาทอลิกในศตวรรษที่ 17 เป็นจำนวนมาก.”
เหตุใดนักเทววิทยาของคริสตจักรซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิมีเสียงเลยในการเลือกโป๊ป, บิชอป, หรือบาทหลวงจึงสนับสนุนความคิดเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของประชาชน? ทั้งนี้เพราะกษัตริย์ในยุโรปบางองค์ร้อนใจมากขึ้นทุกทีที่ต้องอยู่ใต้อำนาจของโป๊ป. ทฤษฎีเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของประชาชนให้โป๊ปมีอำนาจที่จะโค่นล้มจักรพรรดิหรือกษัตริย์หากเห็นว่าจำเป็น. นักประวัติศาสตร์วิลล์ กับแอเรียล ดูรันต์ เขียนว่า “ผู้ปกป้องอำนาจอธิปไตยปวงชนนั้นรวมทั้งพวกเยซูอิตหลายคน ซึ่งเห็นว่าทัศนะนั้นเป็นวิธีที่จะทอนอำนาจของกษัตริย์ที่ต่อต้านอำนาจของโป๊ป. คาร์ดินัล เบลลาร์มีน แย้งว่า หากอำนาจการปกครองของกษัตริย์มาจากประชาชน และด้วยเหตุนี้จึงขึ้นอยู่กับประชาชน จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นอำนาจที่อยู่ต่ำกว่าอำนาจของโป๊ป . . . ลูอิส โมลินา เยซูอิตชาวสเปน ลงความเห็นว่า ประชาชนในฐานะแหล่งที่มาของอำนาจทางอาณาจักรอาจถอดกษัตริย์ที่ไร้ความยุติธรรมอย่างสมเหตุผล—แต่โดยมีขั้นตอนที่เป็นระเบียบ.”
แน่นอน “ขั้นตอนที่เป็นระเบียบ” จะจัดโดยโป๊ป. ในการยืนยันเรื่องนี้ หนังสือประวัติศาสตร์สากลของคริสตจักรคาทอลิก (ภาษาฝรั่งเศส) ยกข้อความจากหนังสือชีวประวัติสากล (ภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งแถลงว่า “เบลลาร์มีน . . . สอนในฐานะหลักทั่วไปของคาทอลิกว่า ผู้ครองนครได้รับอำนาจจากการเลือกของประชาชน และประชาชนสามารถใช้สิทธินี้ภายใต้อำนาจของโป๊ปเท่านั้น.” (ตัวเอนเป็นของเรา.) ด้วยวิธีนี้ อำนาจอธิปไตยปวงชนจึงกลายเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่โป๊ปสามารถใช้เพื่อมีอิทธิพลต่อการเลือกผู้ครอบครอง และหากจำเป็น ก็ให้มีการถอดผู้ครอบครองนั้นออกจากตำแหน่ง. ในสมัยหลัง ๆ มานี้ อำนาจอธิปไตยปวงชนเปิดโอกาสให้พวกบาทหลวงในนิกายคาทอลิกโน้มน้าวใจชาวคาทอลิกที่มีสิทธิออกเสียงในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกผู้แทน.
ในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ การที่รัฐบาลถูกทำนองคลองธรรมนั้นอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ความยินยอมของผู้ที่ถูกปกครอง” เป็นหลัก. กระนั้น อย่างดีก็เป็น “ความยินยอมของเสียงข้างมาก” และเนื่องจากความไม่แยแสของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงและเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง ตามความเป็นจริงแล้ว “เสียงข้างมาก” นี้จึงมักเป็นเพียงชนส่วนน้อยของประชากร. ทุกวันนี้ “ความยินยอมของผู้ที่ถูกปกครอง” จึงมักมีความหมายไม่ต่างกันกับ “การจำยอมหรือการสละสิทธิ์ของผู้ที่ถูกปกครอง.”
ตำนานของอำนาจอธิปไตยของชาติ
ตำนานของตำแหน่งกษัตริย์อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งโป๊ปในสมัยแรก ๆ ส่งเสริมนั้นส่งผลสะท้อนกลับมาที่ตำแหน่งของโป๊ป เมื่อตำนานนั้นเปลี่ยนเป็นสิทธิที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้กษัตริย์. ทฤษฎีเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยปวงชนก็ส่งผลกลับมาที่คริสตจักรคาทอลิกในทำนองคล้ายคลึงกัน. ระหว่างศตวรรษที่ 17 และ 18 นักปรัชญาทางโลก เช่น โทมัส ฮอบส์ กับ จอห์น ล็อก ชาวอังกฤษและชอน-ชาก รูสโซ ชาวฝรั่งเศส ครุ่นคิดเรื่องความคิดเห็นเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยปวงชน. พวกเขาคิดค้นทฤษฎีหลายอย่างเกี่ยวกับ “สัญญาสังคม” ระหว่างผู้ที่ครอบครองกับผู้ที่ถูกครอบครอง. หลักการของพวกเขาไม่ได้อาศัยเทววิทยา แต่อาศัย “กฎธรรมชาติ” และแนวคิดนั้นลงเอยด้วยความคิดที่ทำความเสียหายร้ายแรงแก่คริสตจักรคาทอลิกและตำแหน่งของโป๊ป.
ไม่นานหลังจากการเสียชีวิตของรูสโซ ก็เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส. การปฏิวัตินี้ทำให้ความคิดบางอย่างของความถูกต้องตามทำนองคลองธรรมพังทลาย แต่ก่อให้เกิดความคิดใหม่ขึ้น ซึ่งเป็นความคิดเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของชาติ. สารานุกรม นิว บริแทนนิกา แสดงความคิดเห็นว่า “ชาวฝรั่งเศสปฏิเสธความคิดว่าด้วยสิทธิที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้กษัตริย์, การมีอำนาจของชนชั้นขุนนาง, เอกสิทธิ์ของคริสตจักรโรมันคาทอลิก.” แต่สารานุกรม บริแทนนิกา กล่าวว่า “การปฏิวัติได้นำมาซึ่งประดิษฐกรรมใหม่ นั่นคือ รัฐประชาชาติ.” ผู้ที่ทำการปฏิวัติจำต้องมี “ประดิษฐกรรม” ใหม่นี้. เพราะเหตุใด?
เพราะภายใต้ระบบที่รูสโซสนับสนุน พลเรือนทั้งหมดจะมีสิทธิเสมอภาคในการเลือกผู้ที่จะทำการปกครอง. สิ่งนี้น่าจะก่อให้เกิดประชาธิปไตยซึ่งอาศัยการให้สิทธิเลือกตั้งทั่วไป—อะไรบางอย่างที่ผู้นำการปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ชอบ. ศาสตราจารย์ดูแวร์เช อธิบายว่า “เพื่อหลีกเลี่ยงผลอันนี้ซึ่งถือว่าไม่พึงปรารถนา ตั้งแต่ปี 1789 ถึง 1791 ชนชั้นกลางที่อยู่ในสภาร่างรัฐธรรมนูญจึงคิดค้นทฤษฎีเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของชาติ. พวกเขาถือว่าประชาชนเป็น ‘ชาติ’ ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นตัวตนจริง ซึ่งต่างหากจากประชาชนของชาติ. เฉพาะชาติ โดยทางผู้แทน มีสิทธิใช้อำนาจอธิปไตย . . . ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนเป็นประชาธิปไตย หลักของอำนาจอธิปไตยของชาตินั้นไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเลย เพราะหลักนี้สามารถใช้อ้างเหตุผลสนับสนุนรูปของรัฐบาลแบบใดก็ได้ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอัตตาธิปไตย.” (ตัวเอนเป็นของเขา.)
ความพยายามของมนุษย์ล้มเหลว
การยอมรับรัฐประชาชาติในฐานะแหล่งอำนาจการปกครองที่ถูกทำนองคลองธรรมนั้นนำไปสู่ลัทธิชาตินิยม. สารานุกรม นิว บริแทนนิกา แถลงว่า “มักคิดกันว่า ลัทธิชาตินิยมเก่าแก่มาก บางครั้งมีการถืออย่างผิด ๆ ว่า ลัทธิชาตินิยมเป็นปัจจัยถาวรอย่างหนึ่งในพฤติกรรมทางการเมือง. ที่จริง การปฏิวัติในอเมริกาและฝรั่งเศสอาจถือว่าเป็นการแสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกถึงพลังอำนาจของลัทธิชาตินิยม.” นับแต่ที่มีการปฏิวัติเหล่านั้น ลัทธิชาตินิยมได้ลุกลามไปทั่วทวีปอเมริกาทั้งเหนือและใต้, ยุโรป, แอฟริกา, และเอเชีย. สงครามที่ชั่วร้ายเคยถือกันว่าถูกทำนองคลองธรรมในนามของลัทธิชาตินิยม.
นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ อาร์โนลด์ ทอยน์บี เขียนว่า “น้ำใจรักชาติเป็นดุจเชื้อหมักของเหล้าองุ่นใหม่แห่งประชาธิปไตยในขวดเก่าแห่งการถือเผ่า. . . . การประนีประนอมอันแปลกประหลาดระหว่างประชาธิปไตยกับการถือเผ่ามีพลังในเชิงปฏิบัติทางการเมืองของโลกตะวันตกสมัยใหม่ของเรา มากยิ่งกว่าตัวประชาธิปไตยเองเสียอีก.” ลัทธิชาตินิยมไม่ได้สร้างโลกที่สงบสุข. ทอยน์บีกล่าวว่า “หลังจากสงครามศาสนาก็มีสงครามเชื้อชาติ และในโลกตะวันตกสมัยใหม่ของเรา น้ำใจที่บ้าคลั่งทางศาสนาและน้ำใจที่บ้าคลั่งทางเชื้อชาติเป็นความรู้สึกรุนแรงอันชั่วร้ายอย่างเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด.”
โดยทางตำนานของ “ตำแหน่งกษัตริย์อันศักดิ์สิทธิ์,” “สิทธิที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้กษัตริย์,” “อำนาจอธิปไตยปวงชน,” และ “อำนาจอธิปไตยของชาติ” ผู้ครอบครองได้เพียรพยายามที่จะทำให้อำนาจการปกครองของตนเหนือเพื่อนมนุษย์นั้นถูกทำนองคลองธรรม. อย่างไรก็ตาม หลังจากพิจารณาประวัติของผู้ครอบครองที่เป็นมนุษย์ คริสเตียนมีความคิดเช่นเดียวกับที่ซะโลโมกล่าวว่า “มนุษย์มีอำนาจเหนือมนุษย์ด้วยกันเป็นผลเสียหายแก่เขา.”—ท่านผู้ประกาศ 8:9, ล.ม.
แทนที่จะนมัสการรัฐทางการเมือง คริสเตียนนมัสการพระเจ้าและยอมรับแหล่งที่มาของอำนาจการปกครองทั้งสิ้นซึ่งถูกทำนองคลองธรรมว่ามีอยู่ในพระองค์. พวกเขาเห็นด้วยกับดาวิดผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญซึ่งกล่าวว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา, ยศศักดิ์, อำนาจ, รัศมี, ความชัยชนะ, และเดชานุภาพ: คงมีแก่พระองค์, เพราะสรรพสิ่งในสวรรค์ก็ดี, ที่พิภพโลกก็ดี, เป็นของพระองค์; ข้าแต่พระยะโฮวา, ราชสมบัติสิทธิ์ขาดแก่พระองค์, พระองค์ทรงสถิตอยู่เหนือสิ่งสารพัด.” (1 โครนิกา 29:11) กระนั้น ด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาแสดงความเคารพนับถืออย่างเหมาะสมต่ออำนาจการปกครองทั้งในด้านอาณาจักรและศาสนจักร. พวกเขาสามารถทำเช่นนี้ด้วยความปีติยินดีได้อย่างไรและด้วยเหตุผลอะไรนั้นจะพิจารณากันในสองบทความถัดไป.
[เชิงอรรถ]
a กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันทางการเมือง (ภาษาฝรั่งเศส) โดยมอริส ดูแวร์เช.
b สารานุกรมคาทอลิก แถลงว่า “ความคิดเรื่อง ‘สิทธิซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่พวกกษัตริย์’ นี้ (แตกต่างกันมากจากหลักที่ว่า อำนาจทุกอย่างไม่ว่าของกษัตริย์หรือของสาธารณรัฐมาจากพระเจ้า) ไม่เคยได้รับการเห็นชอบจากคริสตจักรคาทอลิก. ในคราวการปฏิรูป ความคิดนั้นรับเอารูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับคริสตจักรคาทอลิกมาก กษัตริย์อย่างเฮนรีที่แปดและเจมส์ที่หนึ่งแห่งอังกฤษอ้างอำนาจเต็มที่ทางศาสนจักรและทางบ้านเมืองด้วย.”
[รูปภาพหน้า 15]
คริสตจักรคาทอลิกได้อ้างว่ามีอำนาจที่จะแต่งตั้งจักรพรรดิและกษัตริย์
[ที่มาของภาพ]
Consecration of Charlemagne: Bibliothèque Nationale, Paris