คัมภีร์ไบเบิล—หนังสือที่มีไว้เพื่อให้เข้าใจ
บางคนเชื่อว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ชัดแจ้งซึ่งควรปฏิบัติตามตัวอักษร. สำหรับคนอื่น “ข่าวสารของคัมภีร์ไบเบิลคลุมเครือมากเกินไป.” คณะกรรมการด้านความเชื่อและเทววิทยาที่มีสมาชิก 12 คนของนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุดของแคนาดากล่าวเช่นนั้น. นักเทศน์คลิฟฟอร์ด เอลเลียตแห่งสหคริสตจักรรู้สึกว่า สำหรับบางคนแล้ว “คัมภีร์ไบเบิลกลายเป็นเรื่องเข้าใจยาก, ไกลตัว, และไม่ตรงประเด็น.”
ความเห็นดังกล่าวก่อให้เกิดคำถามที่เหมาะสมซึ่งสมควรได้รับคำตอบ. คำถามสำคัญเหล่านี้คือ ทำไมจึงมีการเขียนคัมภีร์ไบเบิล? พระคัมภีร์เป็นเรื่องยากและซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจไหม? คนธรรมดาสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ได้ไหม? คนเราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลืออะไรเพื่อเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์? และทำไมความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลจึงสำคัญยิ่งในยุคที่วุ่นวายนี้?
ทำไมจึงมีการเขียนคัมภีร์ไบเบิล?
การศึกษาพระวจนะของพระเจ้าเป็นเงื่อนไขจำเป็นอันดับแรกตลอดมาสำหรับคนเหล่านั้นที่จะได้รับความโปรดปรานและความพอพระทัยของพระยะโฮวา พระเจ้าองค์สูงสุด. เหล่ากษัตริย์, ปุโรหิต, บิดามารดา, ชาย, หญิง, และเด็ก ๆ—ทั้งคนรวยและคนจนเหมือนกัน—ได้รับการแนะนำให้ใช้เวลาจากกิจธุระในชีวิตประจำวันเพื่อพิจารณาพระวจนะของพระเจ้าที่บันทึกไว้นั้นอย่างจริงจังและด้วยความเลื่อมใส.—พระบัญญัติ 6:6, 7; 17:18-20; 31:9-12; นะเฮมยา 8:8; บทเพลงสรรเสริญ 1:1, 2; 119:7-11, 72, 98-100, 104, 142; สุภาษิต 3:13-18.
ตัวอย่างเช่น ยะโฮซูอะได้รับพระบัญชาว่า “จงแน่ใจว่าได้อ่านหนังสือพระบัญญัติในการนมัสการของเจ้าเสมอ. จงศึกษาหนังสือนั้นทั้งกลางวันกลางคืน และทำให้แน่ใจว่าเจ้าเชื่อฟังทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือนั้น. ครั้นแล้วเจ้าจะเจริญรุ่งเรืองและประสบผลสำเร็จ.” (ยะโฮซูอะ 1:8, ทูเดย์ส อิงลิช เวอร์ชัน) การศึกษาพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างถี่ถ้วนและการนำไปใช้เช่นนั้นจะยังผลด้วยความสำเร็จและความสุข. พระยะโฮวาทรงมุ่งหมายให้ “คนทุกชนิด” ไม่เพียงแต่เข้าใจคัมภีร์ไบเบิล พระวจนะของพระองค์เท่านั้น แต่เชื่อฟังพระคำนั้นด้วย พร้อมทั้งมีความหวังในการได้รับของประทานเกี่ยวกับชีวิต.—1 ติโมเธียว 2:3, 4, ล.ม.; โยฮัน 17:3.
ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจไหม?
ก่อนพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ พระองค์ทรงชี้ชัดว่าพระองค์ประสงค์ให้โครงการใหญ่โตเกี่ยวกับการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลดำเนินต่อไปทั่วแผ่นดินโลก. (กิจการ 1:8) พระองค์ทรงทราบว่าคัมภีร์ไบเบิลมีไว้เพื่อให้คนเข้าใจ. หลังจากชี้แจงว่าพระยะโฮวาทรงมอบอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกให้พระองค์แล้ว พระองค์มีพระบัญชาโดยตรงว่า “เหตุฉะนั้น จงไปและทำให้ชนจากทุกชาติเป็นสาวก [หรือผู้เรียน] ให้เขารับบัพติสมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้.”—มัดธาย 28:19, 20, ล.ม.
ก่อนการรับบัพติสมา สาวกใหม่ต้องได้รับการสอนเรื่องพระยะโฮวา, พระบุตรของพระองค์, และการดำเนินงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์. นอกจากนี้ พวกเขาต้องได้รับการสั่งสอนกฎหมายเกี่ยวกับระบบคริสเตียน. (1 โกรินโธ 9:21; ฆะลาเตีย 6:2) เพื่อบรรลุผลเช่นนี้ คนที่คู่ควรต้องเชื่อเป็นประการแรกว่าคัมภีร์ไบเบิลมาจากพระยะโฮวาและประการที่สองคือพระคัมภีร์มีไว้เพื่อให้คนเข้าใจ.—มัดธาย 10:11-13.
คุณจำเป็นต้องมีอะไรเพื่อจะเข้าใจคัมภีร์ไบเบิล? พระบุตรของพระเจ้าทรงใช้ความพยายามเป็นพิเศษเพื่อจะอธิบายพระคัมภีร์. พระองค์ทรงทราบว่าบทจารึกอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นความจริงและมีพระทัยประสงค์อันชัดแจ้งของพระยะโฮวาอยู่. (โยฮัน 17:17) พระเยซูคริสต์ตรัสเกี่ยวกับงานมอบหมายของพระองค์ว่า “เราจึงบังเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเราจะเป็นพยานถึงความจริง. คนทั้งปวงซึ่งอยู่ฝ่ายความจริงย่อมฟังเสียงของเรา.” (โยฮัน 18:37; ลูกา 4:43) พระเยซูมิได้ยับยั้งจากการสอนคนเหล่านั้นที่มีหัวใจและจิตใจตอบรับ. ที่ลูกา 24:45 แจ้งให้เราทราบว่า “ครั้งนั้นพระองค์ [พระเยซูคริสต์] ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดสว่างขึ้นเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์.”
ระหว่างงานรับใช้ของพระเยซูพระองค์ยกพระวจนะที่มีจารึกไว้ขึ้นมากล่าวอย่างไม่อั้น ทรงอธิบายและอ้างอิงถึงพระคัมภีร์ใน “บัญญัติของโมเซ, และในคัมภีร์ของเหล่าศาสดาพยากรณ์, และในคัมภีร์เพลงสดุดี [บทเพลงสรรเสริญ].” (ลูกา 24:27, 44) คนเหล่านั้นที่ได้ยินคำอธิบายของพระองค์ตามหลักพระคัมภีร์ได้รับการกระตุ้นใจอย่างมากมายเนื่องจากความเข้าใจอันชัดแจ้งของพระองค์ อีกทั้งความสามารถของพระองค์ในการสอน. (มัดธาย 7:28, 29; มาระโก 1:22; ลูกา 4:32; 24:32) สำหรับพระองค์แล้ว พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่เข้าใจได้ง่าย.
คัมภีร์ไบเบิลกับสาวกของพระเยซู
อัครสาวกเปาโล ผู้เลียนแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ ทรงเห็นความจำเป็นที่จะสอนสิ่งที่มีอยู่ในพระคัมภีร์แก่คนอื่น. ท่านทราบด้วยเช่นกันว่า พระคัมภีร์มีไว้เพื่อให้คนเข้าใจ. เพราะเหตุนั้นท่านจึงสั่งสอนอย่างเปิดเผยและอธิบายพระคัมภีร์อย่างไม่มีข้อสงสัยในบ้านของคนเหล่านั้นที่ต้องการเข้าใจพระคัมภีร์. เปาโลเปิดเผยฐานะของท่านเมื่อกล่าวว่า “สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้, แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็น, กับได้สั่งสอนท่านทั้งหลายในที่ประชุมและตามบ้านเรือน.” (กิจ. 20:20) ระหว่างการอภิปราย ท่านหาเหตุผลจากพระคัมภีร์ อธิบายและพิสูจน์จุดสำคัญของท่านด้วยข้ออ้างอิง. (กิจการ 17:2, 3) ท่านสนใจในการช่วยคนอื่นให้เข้าใจความหมายของพระคัมภีร์.
คุณมีความปรารถนาจะเข้าใจเรื่องที่พระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์สอนไหม? (1 เปโตร 2:2) ชาวเมืองเบรอยะโบราณมีความปรารถนาดังกล่าว และพวกเขากระตือรือร้นที่จะเชื่อสิ่งที่อัครสาวกเปาโลสอนเขาเรื่องพระคริสต์. ดังนั้น พวกเขาได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมั่นใจว่า ข่าวดีที่พวกเขาได้ยินนั้นเป็นความจริงโดยแท้. เพราะพวกเขามีจิตใจที่ตอบรับ “มีหลายคนในพวกเขาได้เชื่อถือ.”—กิจการ 17:11, 12.
เพื่อจะเข้าใจคัมภีร์ไบเบิล คนเราต้องมีสภาพหัวใจที่ถูกต้อง, มีความปรารถนาแบบจริงใจที่จะเรียน, และ ‘รู้สำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณของตน.’ (มัดธาย 5:3, ล.ม.) เมื่อมีการถามพระเยซูว่า “เหตุไฉนพระองค์ตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมา?” พระองค์ตรัสตอบว่า “ข้อลับลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้, แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้.” มีการบอกล่วงหน้าไว้ว่าพระองค์จะ ‘ออกปากพูดเป็นคำอุปมาและกล่าวข้อความซึ่งปิดซ่อนไว้.’ (มัดธาย 13:10, 11, 35) ดังนั้น พระเยซูตรัสโดยอุทาหรณ์ต่าง ๆ เพื่อแยกผู้ฟังที่สนใจผิวเผินและอยากรู้อยากเห็นออกจากผู้สอบถามที่จริงใจ. พวกสาวกของพระเยซูแสดงความจริงใจของตนในโอกาสหนึ่งเมื่อพวกเขาตามพระองค์เข้าไปในบ้านและทูลว่า “ขอพระองค์โปรดอธิบายให้พวกข้าพเจ้าเข้าใจคำอุปมาว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น.”—มัดธาย 13:36.
ปรากฏชัดว่าเราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือหากเราจะเข้าใจคัมภีร์ไบเบิล. นักเทศน์แฮล เลเวลลิน เลขาธิการด้านเทววิทยา, ความเชื่อและหลักปฏิบัติสากลของสหคริสตจักรได้กล่าวว่า “เป็นเรื่องสำคัญทีเดียวที่จะทำให้กระจ่างว่าคัมภีร์ไบเบิลมีความหมายอะไรสำหรับเราและจะอ่านและแปลความหมายของพระคัมภีร์อย่างไร.” แต่ถึงแม้ไม่ใช่ทุกคนสำนึกถึงเรื่องนี้ ข้อเท็จจริงคือว่า เราไม่สามารถเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลด้วยตัวเราเองได้. เราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ.
ความช่วยเหลืออะไรที่มีอยู่พร้อม?
ในคัมภีร์ไบเบิลมีบางคำพูดที่ทำให้งง, คำถามที่ทำให้ฉงน, และคำกล่าวที่ลึกซึ้งซึ่งต้องอธิบาย. ข้อความเหล่านั้นอาจแปลความหมายได้ยาก, ใช้การเปรียบเทียบที่มีความหมายซึ่งไม่ได้มุ่งหมายให้เข้าใจในสมัยที่มีการเขียนข้อความนั้น. แต่ข้อความเหล่านั้นก็เกี่ยวข้องกับพระประสงค์ของพระยะโฮวา. ตัวอย่างเช่น วิวรณ์ 13:18 (ฉบับแปลใหม่) บอกว่า “เลขของสัตว์ร้ายนั้น” คือ “หกร้อยหกสิบหก.” ถึงแม้ข้อนั้นบอกว่า “ตรงนี้แหละจึงต้องมีสติปัญญา” ข้อนั้นก็ไม่ได้อธิบายความหมายของเลขนั้น. อย่างไรก็ดี โดยทางองค์การของพระองค์พระยะโฮวาได้ยอมให้ผู้รับใช้ที่ภักดีของพระองค์เข้าใจความหมายของข้อนั้นในทุกวันนี้. (โปรดดูกรอบ “ร่องทางที่จะเข้าใจคัมภีร์ไบเบิล.”) คุณสามารถได้รับความเข้าใจนี้ด้วยเช่นกันโดยความช่วยเหลือของคนเหล่านั้นซึ่งมีประสบการณ์ในการ “ใช้คำแห่งความจริงอย่างถูกต้อง.”—2 ติโมเธียว 2:2, 15 (ล.ม.), 23-25; 4:2-5; สุภาษิต 2:1-5.
บางครั้งพระเยซูทรงใช้อุทาหรณ์เพื่อแสดงให้เห็นการตอบรับหรือการไม่ตอบรับต่อข่าวสารเรื่องราชอาณาจักร. พระองค์ทรงชี้แจงว่า บางคนจะไม่ก้าวหน้าเพราะเขารู้สึกท้อใจเนื่องด้วยการต่อต้านจากเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง. คนอื่นจะยอมให้ “การข่มเหงหรือการประทุษร้ายต่าง ๆ” ทำลายความหยั่งรู้ค่าของเขาในข่าวสารราชอาณาจักร. นอกจากนี้ ยังมีคนอื่นซึ่งจะปล่อยให้กิจธุระในชีวิตประจำวัน “ความปรารภปรารมภ์ด้วยโลกนี้และการล่อลวงแห่งทรัพย์สมบัติ” เบียดความรักใด ๆ ที่เขามีต่อข่าวดีนั้นออกไป. ในอีกด้านหนึ่ง มีคนเหล่านั้นซึ่งยินดีตอบรับและเต็มใจฟังถ้อยคำอันล้ำค่านั้นและเข้าใจความหมายของถ้อยคำนั้น. พวกเขา “ร้องครางเพราะความชั่วลามกทั้งปวงที่กระทำอยู่” ในคริสต์ศาสนจักร โดยอ้างว่าทำในนามของพระเยซูคริสต์. คนเช่นนั้นกระหายจะได้รับการสั่งสอนในวิถีทางของพระยะโฮวาและเพราะฉะนั้น จึงกระหายจะเข้าใจสิ่งที่เขาอ่านในคัมภีร์ไบเบิล.—มัดธาย 13:3-9, 18-23; ยะเอศเคล 9:4; ยะซายา 2:2-4.
สำหรับคนเหล่านั้นที่ต้องการได้รับความหยั่งเห็นเข้าใจในพระประสงค์ของพระยะโฮวาเป็นส่วนตัวแล้ว พระยะโฮวาสามารถดูแลเพื่อจัดเตรียมความช่วยเหลือที่จำเป็นไว้ให้. เพื่อเป็นตัวอย่าง คัมภีร์ไบเบิลรายงานว่า พระวิญญาณของพระยะโฮวาชี้นำฟิลิปผู้เผยแพร่กิตติคุณให้ช่วยเหลือชายชาวเอธิโอเปียซึ่งกำลังพิจารณาพระธรรมยะซายาขณะที่เขาเดินทางจากกรุงยะรูซาเลม. ระหว่างเดินทางกลับบ้าน เขาอ่านพระธรรมนั้นในรถม้าของเขา. ด้วยความเชื่อฟังต่อการนำแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา ฟิลิปวิ่งไปข้างรถม้าและถามว่า ‘ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ?’ ชายผู้นั้นเป็นคนถ่อมใจและซื่อตรงพอที่จะยอมรับว่า เขาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ. ฟิลิปยินดีสั่งสอนบุคคลที่หิวกระหายทางฝ่ายวิญญาณและพร้อมจะได้รับการสอนผู้นี้. การสอนนี้ช่วยเขาให้เข้าใจพระคัมภีร์. เขาได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้เพื่อจะมีสัมพันธภาพอันเป็นที่โปรดปรานกับพระยะโฮวาเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์. เขากลายเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาที่รับบัพติสมาแล้วซึ่งมีความสุข ผู้ซึ่งติดตามชีวิตที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย.—กิจการ 8:26-39.
คุณอาจมีคัมภีร์ไบเบิลในบ้านของคุณ และคุณอาจได้อ่านหลายครั้งแล้ว. อาจเป็นได้ทีเดียวที่คุณเคยประสบปัญหาเหมือนกับชาวเอธิโอเปียผู้จริงใจและถ่อมใจได้ประสบ. เขาไม่เข้าใจเรื่องที่เขาอ่าน. เขาต้องได้รับความช่วยเหลือและไม่ลังเลที่จะรับความช่วยเหลือที่พระเจ้ายะโฮวาพอพระทัยจัดเตรียมให้. เช่นเดียวกับฟิลิป พยานพระยะโฮวายินดีช่วยคุณให้เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าที่บันทึกในคัมภีร์ไบเบิล พระวจนะของพระองค์. พวกเขาทราบว่าพระยะโฮวาจัดเตรียมคัมภีร์ไบเบิลไว้และทรงมุ่งหมายให้พระคัมภีร์เป็นที่เข้าใจ.—1 โกรินโธ 2:10; เอเฟโซ 3:18; 2 เปโตร 3:16.
ทำไมคัมภีร์ไบเบิลจึงสำคัญยิ่ง?
เรามีชีวิตอยู่ในสมัยเร่งด่วนที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงสมัยนี้ว่าเป็น “ช่วงอวสานของระบบ.” (มัดธาย 24:3, ล.ม.) เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นตามความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลตั้งแต่ปี 1914 แสดงว่า อีกไม่ช้านี้ทีเดียวแหละราชอาณาจักรทางภาคสวรรค์ของพระเจ้าจะ ‘ทำลายรัฐบาลอื่น ๆ ลงให้ย่อยยับและเผาผลาญเสียสิ้น.’—ดานิเอล 2:44.
จงอ่านด้วยตัวเองถึงสิ่งที่มีบอกไว้ล่วงหน้าในคัมภีร์ไบเบิลที่มัดธายบท 24, มาระโกบท 13, และลูกาบท 21. คุณจะสังเกตเห็นว่า เหตุการณ์ที่พรรณนาไว้นั้นเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงทั่วโลก. เหตุการณ์เหล่านั้นรวมเอาสงครามโลกซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากสงครามอื่น ๆ ทั้งหมด. ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา เราได้เห็นกับตาถึงการขาดแคลนอาหาร, แผ่นดินไหว, และช่วงเวลาแห่งการละเลยกฎหมายอย่างผิดปกติตามที่มีบอกไว้ล่วงหน้านั้น. และขณะนี้นานาชาติดูเหมือนใกล้จะประกาศคำแถลงซึ่งจะเป็นการให้สัญญาณอันไม่ผิดพลาดที่ว่าพินาศกรรมของโลกจวนจะถึงแล้ว. อัครสาวกเปาโลเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “วันของพระยะโฮวาจะมาเหมือนขโมยที่มาในเวลากลางคืน. เมื่อไรก็ตามที่พวกเขากล่าวว่า “สันติภาพและความปลอดภัย!” แล้วความพินาศโดยฉับพลันก็จะมาถึงเขาทันที . . . และเขาจะไม่มีทางหนีให้พ้น.” (1 เธซะโลนิเก 5:2, 3, ล.ม.) ใครเป็นคนที่หนีไม่พ้น? เปาโลอธิบายว่า “คนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และไม่เชื่อฟังกิตติคุณของพระเยซูเจ้าของเรา.” (2 เธซะโลนิเก 1:7-9) ส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ที่ประกอบด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นจะต้องสำเร็จเป็นจริงโดยคนเหล่านั้นที่เชื่อฟังพระบัญชาที่ให้ไว้ในมัดธาย 24:14 ที่ให้ประกาศ “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักร . . . ทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่.”
พยานพระยะโฮวาหลายล้านคนกำลังปฏิบัติตามพระบัญชานี้ใน 231 ประเทศและหมู่เกาะต่าง ๆ ในทะเล. เขาไปเยี่ยมที่บ้านของประชาชนและเชิญชวนพวกเขาเป็นส่วนตัวให้เรียนรู้เรื่องรัฐบาลราชอาณาจักรของพระยะโฮวา. พวกเขาชี้แจงอย่างกรุณาถึงแนวทางปฏิบัติที่แต่ละคนต้องยอมรับเพื่อจะอยู่ในท่ามกลางผู้รอดชีวิตจากระบบนี้และมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานซึ่งจะไม่มีการโศกเศร้า, การคร่ำครวญ, ความเจ็บปวด, หรือความตาย.—วิวรณ์ 21:3, 4.
เวลากำลังจะสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วสำหรับโลกชั่วนี้ และจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการรอดชีวิตผ่านอวสานของโลกนี้ที่จะเรียนรู้สิ่งที่พัวพันอยู่ด้วยใน ‘การเชื่อฟังข่าวดี’ และด้วยเหตุนี้ จึงรอดพ้นความพินาศ. คราวต่อไปเมื่อพยานพระยะโฮวามาเยี่ยมที่บ้านของคุณ ลองตอบรับคำเชิญที่ให้มีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทุกสัปดาห์. หากจะให้ดียิ่งกว่านั้น ขอเขาให้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับคุณเพราะคุณต้องการเข้าใจพระคัมภีร์.
[กรอบหน้า 8]
ร่องทางที่จะเข้าใจคัมภีร์ไบเบิล
พระเยซูรับรองกับเราว่า ภายหลังความตายและการกลับคืนพระชนม์ของพระองค์แล้ว พระองค์จะทรงตั้ง “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ซึ่งจะรับใช้ฐานะเป็นร่องทางติดต่อสื่อสารของพระองค์. (มัดธาย 24:45-47) อัครสาวกเปาโลได้ระบุร่องทางนี้กับคริสเตียนชาวเอเฟโซเมื่อท่านเขียนว่า “จะได้รับรู้ถึงพระปัญญาอันหลากหลายยิ่งของพระเจ้าโดยทางประชาคม ตามพระประสงค์ชั่วนิรันดร์ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้เกี่ยวเนื่องกับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา.” (เอเฟโซ 3:10, 11, ล.ม.) ประชาคมแห่งคริสเตียนผู้ถูกเจิมซึ่งกำเนิดในวันเพ็นเตคอสเตปีสากลศักราช 33 นั่นเองที่ได้รับมอบ “ความที่ให้ปรากฏแจ้ง.” (พระบัญญัติ 29:29) ฐานะเป็นกลุ่ม คริสเตียนผู้ถูกเจิมรับใช้เป็นทาสสัตย์ซื่อและสุขุม. (ลูกา 12:42-44) หน้าที่มอบหมายจากพระเจ้าที่กำหนดไว้ให้พวกเขาคือจัดเตรียมความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับ “ความที่ให้ปรากฏแจ้ง.”
ขณะที่คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลชี้ถึงพระมาซีฮา คำพยากรณ์นั้นก็ชี้นำเราไปถึงคริสเตียนพยานฯผู้ถูกเจิมที่เชื่อมประสานกันนั้นด้วย ซึ่งปัจจุบันรับใช้ฐานะทาสสัตย์ซื่อและสุขุม.a พวกเขาช่วยเราให้เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า. ทุกคนที่ต้องการเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลควรหยั่งรู้เข้าใจว่า “พระปัญญาอันหลากหลายยิ่งของพระเจ้า” นั้นเป็นที่รู้จักได้โดยร่องทางติดต่อสื่อสารของพระยะโฮวาร่องทางเดียวเท่านั้นคือ ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม.—โยฮัน 6:68.
[เชิงอรรถ]
a ดูหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 กันยายน 1981, หน้า 24-32.