การบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าด้วยความรัก
“จงบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าในความอารักขาของท่านทั้งหลาย.”—1 เปโตร 5:2, ล.ม.
1, 2. คุณลักษณะของพระยะโฮวาซึ่งโดดเด่นเป็นพิเศษได้แก่อะไร และคุณลักษณะนี้ปรากฏให้เห็นอย่างไร?
ในคัมภีร์ไบเบิลตลอดเล่มมีการพูดไว้ชัดเจนว่า ความรักเป็นคุณลักษณะเด่นของพระเจ้า. ดังแจ้งไว้ใน 1 โยฮัน 4:8 ว่า “พระเจ้าเป็นความรัก.” เนื่องจากพระองค์ทรงสำแดงความรักให้ปรากฏด้วยการกระทำ 1 เปโตร 5:7 (ล.ม.) จึงกล่าวว่า พระเจ้า “ทรงใฝ่พระทัยในท่านทั้งหลาย.” คัมภีร์ไบเบิลเปรียบวิธีที่พระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัยต่อไพร่พลของพระองค์กับวิธีที่ผู้เลี้ยงแกะเอาใจใส่ฝูงแกะของตนด้วยความรักใคร่อันอ่อนละมุนดังนี้: “ดูเถิด, พระยะโฮวาเจ้า . . . จะทรงเลี้ยงฝูงแกะของพระองค์ดุจผู้เลี้ยงแกะ, พระองค์จะทรงอุ้มลูกแกะไว้ในพระพาหุ, และจะกอดไว้ในพระทรวง. และตัวแม่ลูกอ่อนพระองค์จะทรงค่อย ๆ ต้อนไปด้วยพระทัยเอ็นดู.” (ยะซายา 40:10, 11) ช่างเป็นการปลอบประโลมที่ดาวิดสามารถพูดได้ว่า “พระยะโฮวาเป็นผู้ทรงบำรุงเลี้ยงข้าพเจ้า; ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน”!—บทเพลงสรรเสริญ 23:1.
2 นับว่าเหมาะสมที่คัมภีร์ไบเบิลเปรียบบุคคลซึ่งพระเจ้าโปรดปรานว่าเป็นแกะ เพราะแกะไม่รังแกกัน, เป็นสัตว์ว่าง่าย, ฟังเสียงผู้เลี้ยงที่เอาใจใส่. ในฐานะผู้บำรุงเลี้ยงที่เปี่ยมด้วยความรัก พระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัยอย่างลึกซึ้งต่อไพร่พลเยี่ยงแกะของพระองค์. พระองค์แสดงความใฝ่พระทัยโดยทรงจัดเตรียมให้พวกเขามีทั้งด้านวัตถุและทางด้านวิญญาณ และทรงนำทางพวกเขาผ่าน “สมัยสุดท้าย” แห่งโลกชั่วที่ยากลำบากนี้ไปสู่โลกใหม่ที่ชอบธรรมของพระองค์ที่จะมีมาในไม่ช้า.—2 ติโมเธียว 3:1-5, 13; มัดธาย 6:31-34; 10:28-31; 2 เปโตร 3:13.
3. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญพรรณนาไว้อย่างไรถึงวิธีการที่พระยะโฮวาทรงเอาพระทัยใส่ฝูงแกะของพระองค์?
3 พึงสังเกตการใฝ่พระทัยอันเปี่ยมด้วยความรักของพระยะโฮวาต่อแกะของพระองค์ที่ว่า “พระเนตรพระยะโฮวาเพ่งดูผู้ชอบธรรม, และพระกรรณของพระองค์ทรงสดับฟังคำทูลร้องทุกข์ของเขา. . . . เมื่อร้องทูลพระยะโฮวาทรงสดับฟัง, และได้ทรงช่วยให้พ้นจากทุกข์ยากของเขาทั้งสิ้น. พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ใกล้ผู้ที่มีใจชอกช้ำ, และคนที่มีใจสุภาพพระองค์จะทรงช่วยให้รอด. เหตุอันตรายมากหลายย่อมเกิดแก่ผู้สัตย์ธรรม; แต่พระยะโฮวาทรงช่วยเขาให้พ้นจากเหตุทั้งปวงเหล่านั้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 34:15-19) ช่างเป็นคำปลอบโยนอันยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ที่ผู้บำรุงเลี้ยงแห่งสกลโลกทรงจัดไว้สำหรับไพร่พลเยี่ยงแกะของพระองค์!
แบบอย่างของผู้บำรุงเลี้ยงที่ดี
4. บทบาทของพระเยซูคืออะไรในการเอาพระทัยใส่ฝูงแกะของพระเจ้า?
4 พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าได้เรียนรู้อย่างถี่ถ้วนจากพระบิดา เพราะคัมภีร์ไบเบิลเรียกพระเยซูเป็น “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี.” (โยฮัน 10:11-16, ล.ม.) การรับใช้ที่สำคัญยิ่งของพระองค์ต่อฝูงแกะของพระเจ้านั้นสังเกตเห็นได้ที่วิวรณ์บท 7. ณ ข้อ 9 (ล.ม.) ผู้รับใช้ของพระเจ้าสมัยนี้ถูกเรียกว่า “ชนฝูงใหญ่ . . . จากชาติและตระกูลและชนชาติและภาษาทั้งปวง.” แล้วที่ข้อ 17 ระบุว่า “พระเมษโปดก [พระเยซู] . . . จะบำรุงเลี้ยงพวกเขา และจะทรงนำเขาไปถึงน้ำพุทั้งหลายแห่งชีวิต. และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขา.” พระเยซูทรงพาแกะของพระเจ้าไปยังน้ำแห่งความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์. (โยฮัน 17:3) โปรดสังเกตว่า พระเยซูถูกเรียกว่า “พระเมษโปดก” ซึ่งแสดงถึงคุณสมบัติประการต่าง ๆ ของพระองค์เองที่เป็นเสมือนแกะ พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างอันดีเยี่ยมด้านการยินยอมเชื่อฟังพระเจ้า.
5. พระเยซูได้ทรงมีความรู้สึกเช่นไรต่อผู้คน?
5 เมื่ออยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางผู้คนและได้เห็นสภาพที่น่าสังเวชของเขา. พระองค์แสดงท่าทีเช่นไรต่อความทุกข์ยากของเขา? “พระองค์. . . . ทรงพระกรุณาเขา, ด้วยเขาอิดโรยกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง.” (มัดธาย 9:36) แกะที่ขาดผู้เลี้ยงย่อมตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายที่ตามล่า เช่นเดียวกับแกะที่ผู้เลี้ยงปล่อยปละละเลย. แต่พระเยซูทรงใฝ่พระทัยมาก เพราะพระองค์ตรัสว่า “บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น. จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลายและเรียนจากเรา เพราะเรามีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม และเจ้าจะได้ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของเจ้า. เพราะแอกของเราก็พอเหมาะและภาระของเราก็เบา.”—มัดธาย 11:28-30, ล.ม.
6. พระเยซูได้แสดงการคำนึงถึงผู้ที่ถูกกดขี่เบียดเบียนนั้นอย่างไร?
6 คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าว่าพระเยซูจะทรงดำเนินการกับประชาชนด้วยความรักใคร่เอ็นดูดังนี้: “พระยะโฮวาได้เจิมข้าพเจ้าให้. . . สมานหัวใจที่ชอกช้ำ . . . ให้เล้าโลมบรรดาผู้เศร้าโศก.” (ยะซายา 61:1, 2, ล.ม; ลูกา 4:17-21) พระเยซูไม่เคยดูถูกเหยียดหยามคนยากจนหรือคนด้อยโอกาส. ตรงกันข้าม พระองค์ทรงทำให้สมจริงตามคำซึ่งกล่าวในยะซายา 42:3 ที่ว่า “ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก, และไส้ตะเกียงริบหรี่อยู่แล้วท่านจะไม่ดับ.” (เทียบกับมัดธาย 12:17-21.) คนทุกข์ยากลำเค็ญก็เหมือนต้นอ้อช้ำ เหมือนไส้ตะเกียงขาดน้ำมันซึ่งริบหรี่จะดับมิดับแหล่. เมื่อพระเยซูทรงเห็นสภาพที่น่าสงสารของพวกเขาเช่นนั้นแล้ว พระองค์ทรงแสดงความเมตตาต่อเขา และทรงหนุนกำลังใจพวกเขาให้เข้มแข็งและมีความหวัง, ทรงบำบัดรักษาเขาทั้งด้านวิญญาณและด้านร่างกาย.—มัดธาย 4:23, ล.ม.
7. พระเยซูทรงชี้นำประชาชนที่ตอบรับพระองค์ให้ไปที่ไหน?
7 คนเยี่ยงแกะมากมายล้นหลามได้ตอบรับพระเยซู. การสั่งสอนของพระองค์ดึงดูดใจเขามากจนเจ้าหน้าที่ซึ่งถูกส่งตัวไปตามจับพระองค์ได้รายงานดังนี้: “ไม่เคยมีผู้อื่น ๆ พูดเช่นนี้เลย.” (โยฮัน 7:46, ล.ม.) ดูซี ผู้นำศาสนาที่หน้าซื่อใจคดถึงกับโอดครวญว่า “ทั้งโลกตามเขาไปแล้ว”! (โยฮัน 12:19, ล.ม.) แต่พระเยซูไม่ทรงต้องการเกียรติยศหรือสง่าราศีสำหรับพระองค์เอง. พระองค์ชี้นำประชาชนไปยังพระบิดา. พระองค์สั่งสอนเขาให้ปฏิบัติพระยะโฮวาด้วยความรักเนื่องด้วยคุณลักษณะอันน่ายกย่องของพระบิดาดังนี้: “จงรักพระองค์ [พระยะโฮวา] ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า, ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า.”—ลูกา 10:27, 28.
8. การเชื่อฟังซึ่งไพร่พลของพระเจ้าแสดงต่อพระองค์ต่างกันอย่างไรกับการเชื่อฟังของคนอื่น ๆ ต่อผู้มีอำนาจแห่งโลกนี้?
8 พระยะโฮวาทรงมีสง่าราศีเพราะไพร่พลเยี่ยงแกะเทิดทูนสนับสนุนพระบรมเดชานุภาพแห่งสกลโลกของพระองค์ สืบเนื่องจากพวกเขามีความรักต่อพระองค์. พวกเขาสมัครใจเลือกจะรับใช้พระองค์ก็เพราะเขามีความรู้เกี่ยวด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ ที่น่านิยมชมชอบของพระองค์. ช่างต่างไปจากพวกผู้นำของโลกซึ่งพลเมืองยอมเชื่อฟังเขาเพราะมีความกลัวเท่านั้นเอง หรือเชื่อฟังอย่างเสียไม่ได้ หรืออาจสืบเนื่องจากเจตนาอื่นที่แอบแฝงอยู่! เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกล่าวถึงพระยะโฮวาหรือพระเยซูอย่างที่มีการกล่าวถึงสันตะปาปาแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกว่า “หลายคนชมเชยเขา, ทุกคนกลัวเขา, ไม่มีใครรักเขา.”—ผู้แทนพระคริสต์—ด้านที่ฉาวโฉ่ของสถาบันโป๊ป, (ภาษาอังกฤษ) โดยปีเตอร์ เดโรซา.
ผู้เลี้ยงที่เหี้ยมโหดในยิศราเอล
9, 10. จงพรรณนาผู้นำแห่งยิศราเอลโบราณและในสมัยศตวรรษแรก.
9 ไม่เหมือนพระเยซู พวกผู้นำศาสนาแห่งยิศราเอลสมัยนั้นไม่มีความรักต่อฝูงแกะเลย. เขาเป็นเหมือนผู้ปกครองแห่งยิศราเอลสมัยก่อนซึ่งพระยะโฮวาตรัสเกี่ยวกับคนเหล่านั้นดังนี้: “วิบากแก่ผู้เลี้ยงแกะทั้งหลายแห่งยิศราเอลที่เลี้ยงตัวเอง, มิควรที่ผู้เลี้ยงแกะทั้งหลายจะเลี้ยงฝูงแกะหรือ. . . . เจ้าทั้งหลายมิได้บำรุงสัตว์ที่อ่อนหิวให้มีกำลังขึ้น. และที่เจ็บนั้นเจ้ามิได้รักษา, และที่หักนั้นเจ้ามิได้ผูกพันรักษา, และที่กระจัดกระจายไปเจ้ามิได้ให้กลับมา และที่หลงไปเจ้ามิได้แสวงหา, แต่เจ้าได้ครอบครองสัตว์ทั้งหลายนั้นด้วยข่มขี่และเบียดเบียน.”—ยะเอศเคล 34:2-4.
10 เช่นเดียวกับผู้เลี้ยงแกะฝ่ายการเมือง ผู้นำศาสนายิวสมัยศตวรรษที่หนึ่งเป็นคนใจแข็ง. (ลูกา 11:47-52) เพื่อให้อุทาหรณ์ พระเยซูทรงเล่าเรื่องชายยิวคนหนึ่งที่ถูกปล้นชิงทรัพย์, ถูกทุบตี, และถูกปล่อยไว้เกือบจะตายข้างถนน, ปุโรหิตชาวยิวผ่านมาทางนั้น เมื่อเห็นชายยิว เขาก็ผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งของถนน. คนตระกูลเลวีก็ทำเหมือนกัน. ต่อมามีผู้ที่ไม่ใช่ยิว เป็นชาวซะมาเรียที่ถูกเหยียดหยามได้ผ่านมาทางนั้นและรู้สึกสงสารผู้เคราะห์ร้าย. เขาจึงได้เอาผ้าพันบาดแผลให้, นำคนเจ็บขึ้นขี่สัตว์พาไปถึงโรงแรม และให้การเอาใจใส่. เขาได้จ่ายค่าที่พักไว้กับเจ้าของโรงแรมและสั่งว่าเมื่อกลับมาตนจะชำระค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่อาจเพิ่มเข้ามาทีหลัง.—ลูกา 10:30-37.
11, 12. (ก) ความชั่วช้าของพวกผู้นำศาสนาได้ทวีถึงที่สุดโดยวิธีใดในสมัยพระเยซู? (ข) ในที่สุดพวกโรมันได้ทำอย่างไรต่อผู้นำทางศาสนา?
11 บรรดาผู้นำศาสนาสมัยพระเยซูชั่วช้ามากถึงขนาดที่ คราวเมื่อพระเยซูทรงปลุกลาซะโรขึ้นจากตาย ปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริซายทั้งหลายได้เรียกศาลซันเฮดรินประชุมพูดว่า “เราจะทำอย่างไรกัน เพราะว่าชายผู้นี้ [พระเยซู] กระทำหมายสำคัญหลายประการ? ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ คนทั้งปวงก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมายึดเอาทั้งที่และชาติของเรา.” (โยฮัน 11:47, 48, ล.ม.) พวกเขาไม่แยแสการดีที่พระเยซูทรงสำแดงเพื่อเห็นแก่ผู้ตาย. พวกเขาเป็นห่วงฐานะตำแหน่งของตัวเอง. ดังนั้น “ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไปเขาทั้งหลายจึงคิดอ่านจะฆ่า [พระเยซู] เสีย.”—โยฮัน 11:53, ล.ม.
12 เพื่อเพิ่มความชั่วร้ายของเขาให้มากขึ้น ปุโรหิตใหญ่จึงได้ “ปรึกษากันจะฆ่าลาซะโรเสียด้วย เพราะเขาเป็นเหตุให้พวกยิวเป็นอันมากไปที่นั่นและวางใจในพระเยซู.” (โยฮัน 12:10, 11, ล.ม.) ความพยายามอย่างเห็นแก่ตัวของเขาที่จะรักษาตำแหน่งของตนไม่ก่อผลดีแม้แต่น้อย. เพราะพระเยซูได้ตรัสแก่เขาดังนี้: “เรือนของเจ้าก็ถูกปล่อยไว้ให้ร้างตามลำพังเจ้า” (มัดธาย 23:38) จริงตามคำตรัสนั้น ภายในชั่วอายุคนรุ่นนั้นเอง พวกโรมันได้มาและ ‘ยึดเอาทั้งที่และชาติของเขา’ ทั้งเอาชีวิตพวกเขาด้วย.
ผู้บำรุงเลี้ยงที่มีความรักในประชาคมคริสเตียน
13. พระยะโฮวาทรงสัญญาจะส่งใครเป็นผู้บำรุงเลี้ยงไพร่พลของพระองค์?
13 พระยะโฮวาจะตั้งพระเยซูขึ้นเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ให้ดูแลฝูงแกะของพระองค์แทนพวกผู้เลี้ยงที่เหี้ยมโหดและเห็นแก่ตัว. พระองค์ทรงสัญญาอีกด้วยว่าจะทรงจัดบรรดารองผู้เลี้ยงที่มีความรักให้เอาใจใส่ดูแลฝูงแกะดังนี้: “เราจะตั้งผู้บำรุงเลี้ยงไว้เหนือพวกเขาซึ่งจะบำรุงเลี้ยงเขาจริง ๆ; แลเขาจะไม่ต้องกลัวอีกเลย.” (ยิระมะยา 23:4, ล.ม.) ฉะนั้น ดังที่เป็นมาแล้วในประชาคมคริสเตียนศตวรรษแรกอย่างไร ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น คือมี “การแต่งตั้งผู้เฒ่าผู้แก่ไว้ในทุกเมือง.” (ติโต 1:5, ล.ม.) ผู้เฒ่าผู้แก่ฝ่ายวิญญาณเหล่านี้ซึ่งมีคุณสมบัติตามข้อเรียกร้องในคัมภีร์ไบเบิลต้อง “บำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้า.”—1 เปโตร 5:2; 1 ติโมเธียว 3:1-7; ติโต 1:7-9, ล.ม.
14, 15. (ก) ทัศนะเช่นไรซึ่งพวกสาวกประสบว่ายากที่จะพัฒนา? (ข) พระเยซูทรงทำประการใดเพื่อแสดงให้เขาเห็นว่า ผู้ปกครองพึงรับใช้ด้วยความถ่อมใจ?
14 ในการเอาใจใส่ฝูงแกะ “ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด” ผู้ปกครองต้องมี “ความรักอันแรงกล้า” ต่อพวกเขา. (1 เปโตร 4:8, ล.ม.) แต่สาวกของพระเยซูที่เป็นห่วงชื่อเสียงและฐานะตำแหน่งของตัวเองเกินไปต้องได้เรียนรู้เรื่องนี้. ดังนั้น เมื่อมารดาของสาวกสองคนทูลพระเยซูว่า “ขอพระองค์โปรดกำหนดตั้งให้บุตรของข้าพเจ้าสองคนนี้นั่งในแผ่นดินของพระองค์เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่งเบื้องซ้ายคนหนึ่ง” สาวกคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกขุ่นเคือง. พระเยซูตรัสแก่พวกเขาดังนี้: “ผู้ครอบครองของชาวต่างประเทศย่อมกดขี่บังคับบัญชาเขา. และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็เอาอำนาจเข้าข่ม. แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่. ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ก็ให้ผู้นั้นเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย. ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้นก็ให้ผู้นั้นเป็นทาสของพวกท่าน.”—มัดธาย 20:20-28.
15 ณ อีกโอกาสหนึ่ง หลังจากพวกสาวก “ได้เถียงกันว่า คนไหนจะเป็นใหญ่” พระเยซูได้ตรัสแก่เขาว่า “ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นคนต้น, ก็ให้ผู้นั้นเป็นคนท้ายสุด, และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง.” (มาระโก 9:34, 35) ความถ่อมใจและความเต็มใจรับใช้จะต้องกลายมาเป็นส่วนแห่งบุคลิกภาพของเขา. กระนั้น สาวกเหล่านั้นก็ยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับแนวความคิดเช่นนั้น เพราะคืนก่อนการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ณ อาหารมื้อสุดท้ายของพระองค์ “มีการเถียงกัน” ในท่ามกลางพวกเขาว่าใครจะเป็นใหญ่! เรื่องนี้เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่พระเยซูได้แสดงให้เขาเห็นว่าผู้ปกครองต้องรับใช้ฝูงแกะ พระองค์ได้ทรงถ่อมพระองค์ลง และล้างเท้าพวกเขา. พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเราได้ล้างเท้าพวกเจ้า แม้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ พวกเจ้าก็ควรล้างเท้าซึ่งกันและกันด้วย. เพราะเราได้วางแบบอย่างให้เจ้าทั้งหลายแล้ว เพื่อให้เจ้าทำเหมือนที่เราได้กระทำแก่เจ้านั้นด้วย.”—ลูกา 22:24; โยฮัน 13:14, 15, ล.ม.
16. ในปี 1899 วารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ให้ความคิดเห็นเช่นไรเกี่ยวกับคุณลักษณะสำคัญยิ่งของผู้ปกครอง?
16 พยานพระยะโฮวาเคยสอนตลอดมาว่า ผู้ปกครองต้องเป็นเช่นนั้น. เกือบหนึ่งร้อยปีมาแล้ว หอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 1 เมษายน 1899 ได้พิจารณาถ้อยคำของเปาโลที่ 1 โกรินโธ 13:1-8 แล้วอธิบายว่า “อัครสาวกชี้ชัดว่า ความรู้และศิลปะการพูดต่อสาธารณชนหาใช่เป็นการทดสอบขั้นสำคัญที่สุดไม่ แต่ความรักที่แทรกซึมอยู่ภายในหัวใจและสำแดงให้ประจักษ์ในทุกวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิต อีกทั้งกระตุ้นและปฏิบัติกิจอยู่ในร่างกายที่ตายได้ของเรานี้แหละเป็นการทดสอบจริง ๆ เป็นข้อพิสูจน์แท้ถึงสัมพันธภาพกับพระเจ้าของเรา. . . . บุคลิกภาพที่เด่นขึ้นหน้า ซึ่งต้องมองหาที่ตัวบุคคลทุกคนที่ถูกรับเข้ามาเป็นผู้รับใช้แห่งประชาคม เพื่อปรนนิบัติในสิ่งบริสุทธิ์ทั้งหลาย อันดับแรกสุดควรเป็นหัวใจซึ่งเปี่ยมด้วยความรัก.” บทความในวารสารฉบับนั้นมีข้อสังเกตว่าชายที่ไม่ถ่อมใจจะรับใช้ด้วยความรัก “เป็นครูที่อันตราย และมักจะก่อความเสียหายมากกว่าการดี.”—1 โกรินโธ 8:1.
17. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเน้นอย่างไรถึงคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ผู้ปกครองพึงมี?
17 ฉะนั้น ผู้ปกครองต้องไม่ “เป็นเจ้านายที่ข่มขี่” ฝูงแกะ. (1 เปโตร 5:3) ในทางตรงกันข้าม เขาควรจะนำหน้าในการเป็นคน “เมตตาซึ่งกันและกัน, มีใจเอ็นดูซึ่งกันและกัน.” (เอเฟโซ 4:32) เปาโลตอกย้ำว่า “จงสวมตัวท่านด้วยความเอ็นดูอย่างลึกซึ้ง, ความกรุณา, ใจถ่อม, ความอ่อนโยน, และความอดกลั้นไว้นาน. . . . แต่นอกจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงสวมตัวท่านด้วยความรัก เพราะความรักเป็นเครื่องเชื่อมสามัคคีที่ดีพร้อม.”—โกโลซาย 3:12-14, ล.ม.
18. (ก) เปาโลได้วางตัวอย่างที่ดีเช่นไรเมื่อปฏิบัติกับฝูงแกะ? (ข) เหตุใดพวกผู้ปกครองต้องไม่เพิกเฉยต่อความต้องการของฝูงแกะ?
18 เปาโลเรียนรู้ที่จะทำเช่นนั้น ท่านกล่าวว่า “เราได้ปฏิบัติอย่างนิ่มนวลท่ามกลางท่านทั้งหลาย เหมือนแม่ลูกอ่อนที่กำลังให้ลูกกินนมทะนุถนอมลูกของตน. ดังนั้น เนื่องจากเรามีความรักใคร่อันอ่อนละมุนต่อท่าน เราจึงยินดีจะให้ท่านทั้งหลายไม่เพียงแต่ข่าวดีของพระเจ้าเท่านั้น แต่ให้ทั้งจิตวิญญาณของเราแก่ท่านด้วย เพราะว่าท่านเป็นที่รักของเรา.” (1 เธซะโลนิเก 2:7, 8, ล.ม.) สอดคล้องกับข้อนี้ ท่านพูดว่า จง “ปลอบโยนผู้ที่หดหู่ใจ เกื้อหนุนคนที่อ่อนแอ อดกลั้นทนทานต่อคนทั้งปวง.” (1 เธซะโลนิเก 5:14, ล.ม.) ไม่ว่าแกะอาจมาหาเขาพร้อมกับปัญหารูปแบบใดก็ตาม ผู้ปกครองพึงระลึกถึงสุภาษิต 21:13 ที่ว่า “คนที่ปิดหูของตนไว้ไม่ฟังคำร้องทุกข์ของคนจน เขาเองคงจะต้องร้องทุกข์แต่จะไม่มีใครฟังเขา.”
19. เหตุใดผู้ปกครองที่เปี่ยมด้วยความรักจึงเป็นพระพร และฝูงแกะตอบสนองความรักดังกล่าวอย่างไร?
19 ผู้ปกครองที่เอาใจใส่ดูแลฝูงแกะด้วยความรักเป็นพระพรสำหรับฝูงแกะ. ยะซายา 32:2 (ล.ม.) กล่าวไว้ล่วงหน้าดังนี้: “แต่ละองค์ต่างต้องเป็นเหมือนที่หลบซ่อนให้พ้นลมและที่กำบังให้พ้นพายุฝน เหมือนสายธารในประเทศที่แล้งน้ำ เหมือนร่มเงาแห่งหินผาใหญ่ในแดนกันดาร.” พวกเราเป็นสุขใจที่รู้ว่า ผู้ปกครองของเราหลายคนทำสอดคล้องกับภาพพรรณนาที่งดงามนั้นซึ่งยังความสดชื่น. พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามหลักการที่ว่า “ด้วยความรักฉันพี่น้อง จงมีความรักใคร่เอ็นดูต่อกันและกัน. ในการให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงนำหน้า.” (โรม 12:10, ล.ม.) ตราบใดผู้ปกครองแสดงความรักและความถ่อมตามลักษณะดังกล่าว ฝูงแกะย่อมสนองตอบโดย “คำนึงถึงเขามากเป็นพิเศษด้วยความรักเนื่องด้วยการงานของเขา.”—1 เธซะโลนิเก 5:12, 13, ล.ม.
นับถือการใช้เจตจำนงเสรี
20. เหตุใดผู้ปกครองต้องเคารพเจตจำนงเสรี?
20 พระยะโฮวาทรงสร้างมนุษย์พร้อมกับให้มีเจตจำนงเสรีเพื่อเขาจะทำการตัดสินใจเองได้. ขณะที่ผู้ปกครองต้องแนะนำและถึงขั้นให้การว่ากล่าว เขาก็ไม่ควรเข้าคุมชีวิตหรือความเชื่อของอีกฝ่ายหนึ่ง. เปาโลกล่าวว่า “มิใช่ที่ว่าเราเป็นนายเหนือความเชื่อของท่าน แต่เราเป็นเพื่อนร่วมทำงานเพื่อความยินดีของท่าน เพราะโดยความเชื่อของท่านนั่นเองที่ท่านตั้งมั่นอยู่.” (2 โกรินโธ 1:24, ล.ม.) ใช่แล้ว “แต่ละคนจะแบกภาระของตนเอง.” (ฆะลาเตีย 6:5, ล.ม.) พระยะโฮวาทรงโปรดให้เรามีเสรีภาพมากมายภายในกรอบกฎหมายและหลักการของพระองค์. ดังนั้น ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงการวางกฎเกณฑ์ หากกรณีนั้น ๆ ไม่ละเมิดหลักการคัมภีร์ไบเบิล. และเขาก็ควรต้านทานแนวโน้มใด ๆ ที่จะถือเอาความคิดเห็นส่วนตัวเป็นเกณฑ์ หรือปล่อยให้ความทะนงตนแทรกเข้ามา หากว่าบางคนไม่เห็นด้วยกับทัศนะนั้น ๆ.—2 โกรินโธ 3:17; 1 เปโตร 2:16.
21. เราอาจเรียนรู้อะไรจากทัศนะที่เปาโลมีต่อฟิเลโมน?
21 โปรดสังเกตเปาโล ขณะถูกจำคุกอยู่ที่โรม ท่านดำเนินการอย่างไรกับฟิเลโมน คริสเตียนเจ้าของทาสที่เมืองโกโลซายในเอเชียไมเนอร์. ทาสของฟิเลโมนชื่อโอเนซิโมได้หลบหนีไปโรม มาเป็นคริสเตียน และได้ช่วยเหลือเปาโล. เปาโลเขียนจดหมายถึงฟิเลโมนว่า “ข้าพเจ้าใคร่จะหน่วงเขาไว้, เพื่อเขาจะได้ปรนนิบัติข้าพเจ้าแทนท่านในการซึ่งข้าพเจ้าถูกจำจองอยู่เพราะกิตติคุณนั้น. แต่ว่านอกจากข้าพเจ้าจะรู้น้ำใจของท่านเสียก่อน. ข้าพเจ้าจะไม่ทำอะไรไปเพื่อคุณการดีของท่านนั้นจะไม่เป็นการขืนใจแต่จะเป็นตามน้ำใจ.” (ฟิเลโมน 13, 14) เปาโลได้ส่งตัวโอเนซิโมกลับไปหาฟิเลโมน และขอร้องให้ฟิเลโมนปฏิบัติต่อเขาฉันพี่น้องคริสเตียน. เปาโลทราบดีว่า ฝูงแกะไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า. ท่านไม่ใช่นาย ท่านเป็นผู้รับใช้ฝูงแกะต่างหาก. เปาโลไม่ได้บงการฟิเลโมนแต่อย่างใด ท่านแสดงความนับถือเจตจำนงเสรีของเขา.
22. (ก) บรรดาผู้ปกครองควรเข้าใจว่า ฐานะของตนเป็นอย่างไร? (ข) พระยะโฮวากำลังพัฒนาองค์การชนิดใด?
22 ขณะที่องค์การของพระเจ้าเจริญเติบโต ผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้งมีมากขึ้น. ผู้ได้รับการแต่งตั้งเหล่านี้พร้อมด้วยผู้ปกครองที่ผ่านประสบการณ์มากกว่าต้องเข้าใจฐานะของตนว่าเป็นฐานะของการรับใช้ด้วยความถ่อมใจ. โดยวิธีนี้ ขณะที่พระเจ้าทรงนำองค์การของพระองค์ไปสู่โลกโหม่ องค์การก็ย่อมเติบโตต่อไปตามพระประสงค์ของพระองค์ คือจัดเป็นระเบียบที่ดีแต่ไม่ละทิ้งความรักและความเมตตาเพื่อเห็นแก่ประสิทธิภาพ. ดังนั้น องค์การของพระองค์ย่อมเป็นที่ดึงดูดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับบุคคลนิสัยเยี่ยงแกะ ผู้ซึ่งมองเห็นหลักฐานภายในองค์การว่า “พระเจ้าทรงกระทำให้การงานทั้งสิ้นของพระองค์ร่วมประสานกันเพื่อเป็นผลดีแก่คนเหล่านั้นที่รักพระเจ้า.” นี้แหละคือสิ่งซึ่งคงคาดหมายจากองค์การที่ตั้งบนฐานแห่งความรัก เพราะว่า “ความรักไม่ล้มเหลว.”—โรม 8:28; 1 โกรินโธ 13:8, ล.ม.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาอย่างไรถึงการใฝ่พระทัยของพระยะโฮวาต่อไพร่พลของพระองค์?
▫ พระเยซูมีบทบาทอย่างไรในการเอาใจใส่ฝูงแกะของพระเจ้า?
▫ บุคลิกภาพสำคัญอะไรที่ผู้ปกครองต้องมี?
▫ ทำไมผู้ปกครองพึงคำนึงถึงเจตจำนงเสรีของแกะ?
[รูปภาพหน้า 16]
พระเยซู “ผู้เลี้ยงที่ดี” ได้ทรงสำแดงความเมตตา
[รูปภาพหน้า 17]
ผู้นำศาสนาที่ชั่วช้าได้คิดอุบายสังหารพระเยซู