พระเยซูมีความเชื่อในพระเจ้าได้ไหม?
สภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผู้ที่เชื่อตรีเอกานุภาพ
“พระเยซูมีความเชื่อได้อย่างไร? พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ทรงทราบและเห็นทุกสิ่ง โดยไม่ต้องหมายพึ่งผู้ใดอื่น. เนื่องจากเห็นชัดว่าความเชื่อหมายถึงการหมายพึ่งอีกคนหนึ่งและการยอมรับในสิ่งที่ไม่ได้เห็น ฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่พระเยซู-พระเจ้าจะมีความเชื่อ.”
ตามคำกล่าวของนักเทววิทยาชาวฝรั่งเศส ชาก กีเย นั่นเป็นความคิดเห็นที่มีอิทธิพลในลัทธิคาทอลิก. คำอธิบายนี้ทำให้คุณประหลาดใจไหม? คุณอาจคิดว่า เนื่องจากพระเยซูเป็นแบบอย่างสำหรับคริสเตียนในทุกสิ่ง พระองค์ก็ต้องเป็นตัวอย่างในเรื่องความเชื่อด้วย. หากคุณคิดเช่นนั้น คุณก็ไม่ได้คำนึงถึงคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพของคริสต์ศาสนจักร.
ข้อสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อของพระเยซูเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายจริง ๆ สำหรับนักเทววิทยาในนิกายคาทอลิก, โปรเตสแตนต์, และออร์โทด็อกซ์ ซึ่งเชื่อในตรีเอกานุภาพว่าเป็น “ความลึกลับที่สำคัญในความเชื่อและชีวิตของคริสเตียน.”a อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่ไม่ยอมรับในเรื่องความเชื่อของพระเยซู. ชาก กีเย ยืนยันว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ยอมรับว่า พระเยซูมีความเชื่อ” แม้กีเยยอมรับว่า ตามหลักตรีเอกานุภาพแล้ว เป็น “เรื่องที่ขัดแย้งกันเอง.”
ชอง กาโล นักบวชนิกายเยซูอิตชาวฝรั่งเศสและนักเทววิทยาส่วนใหญ่ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับเขา กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ในการเป็น “พระเจ้าจริง ๆ และมนุษย์จริง ๆ . . . พระคริสต์ไม่อาจมีความเชื่อในพระองค์เองได้.” วารสารรายคาบลา ชีวิลตา คัตโตลีกา ให้ข้อสังเกตว่า “ความเชื่อหมายถึงการเชื่อในอีกบุคคลหนึ่ง ไม่ใช่เชื่อในตนเอง.” ฉะนั้น อุปสรรคในการยอมรับความเชื่อของพระเยซูก็คือคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ เนื่องจากแนวคิดสองอย่างนี้แย้งกันเองอย่างเห็นได้ชัด.
บรรดานักเทววิทยากล่าวว่า “กิตติคุณไม่เคยพูดถึงความเชื่อของพระเยซู.” ที่จริง คำต่าง ๆ ที่ใช้ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกพิสทอยโอ (เชื่อ, มีความเชื่อ) และพิสทิส (ความเชื่อ) โดยทั่วไปพาดพิงถึงความเชื่อของเหล่าสาวกที่มีในพระเจ้าหรือในพระคริสต์ แทนที่จะเป็นความเชื่อของพระเยซูที่มีในพระบิดาของพระองค์ทางภาคสวรรค์. โดยวิธีนี้ เราควรสรุปไหมว่า พระบุตรของพระเจ้าไม่มีความเชื่อ? เราสามารถเข้าใจอะไรได้บ้างจากสิ่งที่พระองค์กระทำและตรัส? พระคัมภีร์กล่าวอย่างไร?
อธิษฐานโดยปราศจากความเชื่อหรือ?
พระเยซูเป็นบุรุษแห่งการอธิษฐาน. พระองค์อธิษฐานในทุกโอกาส เช่น เมื่อพระองค์รับบัพติสมา (ลูกา 3:21); ตลอดคืนก่อนเลือกอัครสาวก 12 คน (ลูกา 6:12, 13); และก่อนที่จะแปลงพระกายอย่างอัศจรรย์บนภูเขา ขณะอยู่กับอัครสาวกเปโตร, โยฮัน, และยาโกโบ. (ลูกา 9:28, 29) พระองค์กำลังอธิษฐานอยู่เมื่อสาวกคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ขอสอนพวกข้าพเจ้าให้อธิษฐาน” ดังนั้น พระองค์จึงสอนคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า (“โอพระบิดา”). (ลูกา 11:1-4; มัดธาย 6:9-13) พระองค์อธิษฐานตามลำพังและเป็นเวลานานตอนเช้าตรู่ (มาระโก 1:35-39); ในตอนใกล้ค่ำ บนภูเขา หลังจากที่ให้พวกสาวกไปกันก่อน (มาระโก 6:45, 46); พร้อมกับเหล่าสาวกและเผื่อเหล่าสาวก. (ลูกา 22:32; โยฮัน 17:1-26) ใช่แล้ว การอธิษฐานเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตของพระเยซู.
พระองค์อธิษฐานก่อนทำการอัศจรรย์ เช่น ก่อนปลุกลาซะโรพระสหายให้เป็นขึ้นจากตาย ว่า “โอพระบิดา, ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์เพราะพระองค์ได้ทรงฟังข้าพเจ้า. ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าพระองค์ได้ทรงฟังข้าพเจ้าอยู่เสมอ, แต่ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนี้เพราะเห็นแก่ประชาชนที่ยืนอยู่ที่นี่, เพื่อเขาจะเชื่อว่าพระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา.” (โยฮัน 11:41, 42) การแน่ใจว่าพระบิดาจะตอบคำอธิษฐานนั้นแสดงถึงความเข้มแข็งแห่งความเชื่อของพระองค์. ความเกี่ยวพันระหว่างการอธิษฐานถึงพระเจ้าและความเชื่อในพระเจ้านี้เป็นที่ประจักษ์แจ้งในสิ่งที่พระคริสต์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานขอพระเจ้านั้นท่านจะปรารถนาสิ่งใด, จงเชื่อว่าได้รับ.”—มาระโก 11:24.
หากพระเยซูไม่มีความเชื่อ เหตุใดพระองค์จึงอธิษฐานถึงพระเจ้า? คำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพของคริสต์ศาสนจักรซึ่งไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์ที่ว่า พระเยซูเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้าในเวลาเดียวกัน ทำให้ข่าวสารของคัมภีร์ไบเบิลคลุมเครือ. คำสอนนี้กีดกันผู้คนจากการเข้าใจความเรียบง่ายและพลังของคัมภีร์ไบเบิล. มนุษย์เยซูอ้อนวอนผู้ใด? พระองค์เองหรือ? พระองค์ไม่รู้ตัวว่าพระองค์เป็นพระเจ้าหรือ? และหากพระองค์เป็นพระเจ้าและทรงทราบเช่นนั้น เหตุใดพระองค์จึงอธิษฐาน?
คำอธิษฐานของพระเยซูในวันสุดท้ายที่พระองค์มีชีวิตทางแผ่นดินโลกทำให้เรายิ่งเห็นถึงความเชื่อที่มั่นคงซึ่งพระองค์ทรงมีในพระบิดาทางภาคสวรรค์. โดยสำแดงความหวังและการคาดหวังอย่างเชื่อมั่น พระองค์ทูลขอว่า “พระบิดาเจ้าข้า, ขอโปรดให้ข้าพเจ้ามีเกียรติยศจำเพาะพระพักตร์พระองค์, คือเกียรติยศซึ่งข้าพเจ้าได้มีกับพระองค์ในกาลก่อนเมื่อโลกนี้ยังไม่มี.”—โยฮัน 17:5.
ด้วยทรงทราบว่าการทดลองที่สาหัสที่สุดและความตายของพระองค์คืบใกล้เข้ามาแล้ว ในคืนที่พระองค์อยู่ในสวนเก็ธเซมาเนบนภูเขามะกอกเทศ “พระองค์ทรงโศกเศร้าโทมนัสในพระทัยยิ่งนัก” และตรัสว่า “จิตต์ใจของเราเป็นทุกข์เพียงจะตาย.” (มัดธาย 26:36-38) แล้วพระองค์ทรงคุกเข่าลงอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า, ถ้าพระองค์พอพระทัย, ขอให้จอกนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพเจ้า แต่ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า, ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด.” แล้ว “ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฏแก่พระองค์ช่วยชูกำลังของพระองค์.” พระเจ้าทรงสดับคำอธิษฐานของพระองค์. เนื่องด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่แรงกล้าและการทดลองที่สาหัส “เสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่.”—ลูกา 22:42-44.
การทนทุกข์ทรมานของพระเยซู, การที่พระองค์จำต้องได้รับการชูกำลัง, และคำวิงวอนของพระองค์ชี้ถึงอะไร? ชาก กีเย เขียนว่า “สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ พระเยซูอธิษฐาน และการอธิษฐานเป็นส่วนที่จำเป็นยิ่งอย่างหนึ่งในชีวิตและในสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์กระทำ. พระองค์อธิษฐานอย่างที่มนุษย์อธิษฐาน และพระองค์อธิษฐานเพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์. แต่การที่มนุษย์จะอธิษฐานโดยปราศจากความเชื่อนั้นเป็นเรื่องเหลือที่จะคิด. แล้วเราจะคิดหรือว่าพระเยซูอธิษฐานโดยปราศจากความเชื่อ?”
ขณะที่ถูกตรึงอยู่บนหลักทรมานไม่นานก่อนสิ้นพระชนม์ พระเยซูร้องเสียงดัง โดยยกข้อความตอนหนึ่งจากบทเพลงสรรเสริญของดาวิด. ครั้นแล้ว โดยความเชื่อ พระองค์ทูลวิงวอนเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเสียงอันดังว่า “พระบิดาเจ้าข้า, ข้าพเจ้าฝากวิญญาณจิตต์ของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์.” (ลูกา 23:46; มัดธาย 27:46) พระคัมภีร์ฉบับแปลพาโรลา เดล ซินโยเร ภาษาอิตาลีสำหรับนิกายต่าง ๆ กล่าวว่า พระเยซู ‘มอบชีวิตของพระองค์’ ไว้กับพระบิดา.
ชาก กีเย อธิบายว่า “โดยแสดงให้เราเห็นว่าพระคริสต์ซึ่งถูกตรึงทรงทูลด้วยเสียงอันดังต่อพระบิดาโดยใช้บทเพลงสรรเสริญของยิศราเอลนั้น ผู้เขียนกิตติคุณทำให้เรามั่นใจว่า เสียงร้องนั้นซึ่งเป็นเสียงร้องของพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดแต่องค์เดียว เสียงร้องที่สุดแสนจะเจ็บปวด เสียงร้องที่แสดงความวางใจอย่างเต็มเปี่ยม เป็นเสียงร้องที่แสดงความเชื่อ เสียงร้องแห่งการสิ้นพระชนม์ในความเชื่อ.”
เมื่อเผชิญพยานหลักฐานที่แสดงถึงความเชื่ออย่างเห็นเด่นชัดเช่นนี้ นักเทววิทยาบางคนพยายามทำให้มีความแตกต่างระหว่างความเชื่อและ “ความไว้วางใจ.” อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างดังกล่าวไม่มีรากฐานมาจากพระคัมภีร์.
แต่การทดลองอันสาหัสที่พระเยซูทรงอดทนเผยให้เห็นอะไรจริง ๆ เกี่ยวกับความเชื่อของพระองค์?
“ผู้ปรับปรุงความเชื่อของเราให้สมบูรณ์ขึ้น”ถูกทำให้สมบูรณ์ขึ้น
ในบท 11 ของจดหมายที่มีไปถึงชนชาติเฮ็บราย อัครสาวกเปาโลกล่าวถึงชายหญิงซื่อสัตย์กลุ่มใหญ่เสมือนเมฆในสมัยก่อนยุคคริสเตียน. ท่านสรุปโดยชี้ไปถึงแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์พร้อมแห่งความเชื่อว่า “เรามองเขม้นไปที่พระเยซู ผู้นำองค์เอกและผู้ปรับปรุงความเชื่อของเราให้สมบูรณ์ขึ้น. เพราะเห็นแก่ความยินดีซึ่งมีอยู่ตรงหน้า พระองค์ยอมทนหลักทรมาน ไม่คำนึงถึงความละอาย . . . จงเอาใจใส่พิจารณาพระองค์ผู้ได้ทรงอดทนเอากับการกล่าวขัดแย้งโดยคนบาปทั้งหลายผู้ซึ่งกล่าวอย่างที่ขัดกับผลประโยชน์ของตนเองเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้ไม่เบื่อระอาและปล่อยตัวหยุดกลางคัน.”—เฮ็บราย 12:1-3, ล.ม.
นักเทววิทยาส่วนใหญ่กล่าวว่า ข้อคัมภีร์นี้ไม่ได้พูดถึง “ความเชื่อส่วนตัวของพระเยซู” แต่พูดถึงบทบาทของพระองค์ฐานะเป็น “ผู้ริเริ่มหรือผู้ก่อตั้งความเชื่อ.” คำภาษากรีกเทเลอิโอเทสʹ ซึ่งปรากฏในวลีนี้อ้างถึงผู้ที่ทำให้สมบูรณ์ ผู้ที่ทำอะไรสักอย่างให้เป็นจริงหรือครบถ้วน. ในฐานะ ‘ผู้ปรับปรุงให้สมบูรณ์ขึ้น’ พระเยซูทำให้ความเชื่อครบถ้วนในแง่ที่ว่า การเสด็จมาของพระองค์บนแผ่นดินโลกทำให้คำพยากรณ์ต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลสำเร็จเป็นจริง และโดยวิธีนี้จึงเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้นสำหรับความเชื่อ. แต่ทั้งนี้หมายความว่า พระองค์ ไม่มีความเชื่อไหม?
ข้อความที่คัดจากจดหมายที่มีไปถึงชนชาติเฮ็บรายที่คุณเห็นได้จากกรอบหน้า 15 นั้นขจัดข้อสงสัยนี้จนหมดสิ้น. การทนทุกข์ทรมานและการเชื่อฟังทำให้พระเยซูสมบูรณ์ขึ้น. แม้เป็นมนุษย์สมบูรณ์อยู่แล้ว ประสบการณ์ทำให้พระองค์สมบูรณ์พร้อมและครบถ้วนในทุกสิ่ง แม้กระทั่งในความเชื่อ เพื่อพระองค์จะมีคุณวุฒิครบถ้วนในฐานะมหาปุโรหิตเพื่อความรอดของคริสเตียนแท้. พระองค์ทรงวิงวอนพระบิดา “ด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตรไหล,” พระองค์ทรง “สัตย์ซื่อ” ต่อพระเจ้า, และพระองค์ทรง “เกรงกลัวพระเจ้า.” (เฮ็บราย 3:1, 2; 5:7-9, ล.ม.) พระองค์ “ผ่านการชันสูตรทดลองมาแล้วทุกประการ เหมือนพวกเราเอง” ทุกอย่าง ดังที่พระธรรมเฮ็บราย 4:15 กล่าวไว้ นั่นคือ เหมือนคริสเตียนที่ซื่อสัตย์คนใด ๆ ที่มีความเชื่อผ่าน “การทดลองต่าง ๆ.” (ยาโกโบ 1:2, 3) มีเหตุผลไหมที่จะเชื่อว่า พระเยซูอาจถูกทดลอง “เหมือน” สาวกของพระองค์โดยไม่ถูกทดลองในด้านความเชื่อเหมือนอย่างที่พวกเขาถูกทดลอง?
คำวิงวอน, การเชื่อฟัง, การทนทุกข์ทรมาน, การทดลอง, ความซื่อสัตย์, และความยำเกรงพระเจ้าเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเชื่ออย่างครบถ้วนของพระเยซู. สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า พระองค์ได้มาเป็น “ผู้ปรับปรุงความเชื่อของเราให้สมบูรณ์ขึ้น” หลังจากที่ถูกทำให้สมบูรณ์ในความเชื่อของพระองค์เองแล้วเท่านั้น. เห็นได้ชัดว่า พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าที่เป็นพระบุตร ดังที่คำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพยืนยัน.—1 โยฮัน 5:5.
พระองค์ไม่ได้เชื่อพระคำของพระเจ้าหรือ?
หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพมีอิทธิพลต่อความคิดของนักเทววิทยาถึงขั้นที่พวกเขามีทัศนะที่เลยเถิด โดยยืนยันว่า พระเยซู “ไม่อาจเชื่อ ในพระคำของพระเจ้าและข่าวสารในพระคำนั้น” เนื่องจากในฐานะพระวาทะของพระเจ้า พระองค์ได้แต่ประกาศ พระคำเท่านั้น.”—แอนเจโล อามาโต, หนังสือเจซู อิล ซินโยเร พร้อมด้วยใบอนุญาตของทางศาสนาให้จัดพิมพ์ได้.
ถึงกระนั้น การที่พระเยซูทรงอ้างอิงถึงพระคัมภีร์อยู่เสมอนั้นจริง ๆ แล้วแสดงถึงอะไร? เมื่อพระองค์ถูกล่อใจ พระองค์ยกข้อคัมภีร์ขึ้นกล่าวทั้งสามครั้ง. คำตอบครั้งที่สามของพระองค์บอกซาตานว่า พระเยซูนมัสการพระเจ้าแต่องค์เดียว. (มัดธาย 4:4, 7, 10) ในหลายโอกาส พระเยซูกล่าวถึงคำพยากรณ์ต่าง ๆ ซึ่งเล็งถึงพระองค์เอง เป็นการแสดงถึงความเชื่อในความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์เหล่านั้น. (มาระโก 14:21, 27; ลูกา 18:31-33; 22:37; เทียบกับลูกา 9:22; 24:44-46.) จากการพิจารณานี้ เราสรุปได้ว่า พระเยซูทรงทราบข้อพระคัมภีร์ที่มีขึ้นโดยการดลใจจากพระบิดา, พระองค์ปฏิบัติตามข้อคัมภีร์เหล่านั้นด้วยความเชื่อ, และพระองค์มีความวางใจอย่างเต็มเปี่ยมในความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์เหล่านั้น ซึ่งบอกล่วงหน้าถึงการทดลอง, ความทุกข์ทรมาน, การสิ้นพระชนม์, และการกลับฟื้นคืนพระชนม์.
พระเยซู แบบอย่างแห่งความเชื่อที่ควรเลียนแบบ
พระเยซูต้องเข้าในการปล้ำสู้เกี่ยวกับความเชื่อจนถึงที่สุด เพื่อธำรงความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระบิดาและเพื่อจะ “ชนะโลก.” (โยฮัน 16:33) เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ชัยชนะเช่นนั้นโดยปราศจากความเชื่อ. (เฮ็บราย 11:6; 1 โยฮัน 5:4) เนื่องจากความเชื่อที่มีชัยนั้น พระองค์จึงเป็นแบบอย่างสำหรับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์. พระองค์มีความเชื่อในพระเจ้าองค์เที่ยงแท้อย่างแน่นอน.
[เชิงอรรถ]
a การพิจารณาที่ละเอียดกว่านี้ที่ว่าคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพไม่มีเหตุผลมีในจุลสารคุณควรเชื่อในตรีเอกานุภาพไหม? (ภาษาอังกฤษ) หรือท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก หน้า 39, 40 จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่ง นิวยอร์ก.
[กรอบหน้า 15]
ระเยซู ‘ผู้ทำให้สมบูรณ์ขึ้น’ ถูกทำให้สมบูรณ์ขึ้น
เฮ็บราย 2:10:“ในการที่พระเจ้าจะทรงพาบุตรเป็นอันมากถึงสง่าราศีนั้น, ก็สมอยู่แล้วที่พระองค์ผู้เป็นเจ้าของสิ่งสารพัตร และผู้ทรงบันดาลให้สิ่งสารพัตรบังเกิดขึ้น จะให้ผู้ที่เป็นนายแห่งความรอดของเขานั้นได้ถึงที่สำเร็จ [สมบูรณ์, ล.ม.] โดยการทนทุกข์ทรมาน.”
เฮ็บราย 2:17, 18:“สมควรอยู่แล้วที่พระองค์จะทรงถูกตกแต่งให้เหมือนอย่างพวกพี่น้องในทุกสิ่ง, เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิตประกอบด้วยความเมตตาและความสัตย์ซื่อในการทุกอย่างซึ่งเกี่ยวกับพระเจ้า, เพื่อจะได้ถวายสักการบูชาเพราะความผิดแห่งพลเมือง. ด้วยว่าเพราะพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานโดยถูกทดลอง นั้น, พระองค์จึงสามารถสงเคราะห์ช่วยคนทั้งหลายที่ถูกทดลองนั้นได้.”
เฮ็บราย 3:2: “ผู้ทรงสัตย์ซื่อ ต่อพระเจ้าผู้ได้ทรงแต่งตั้งพระองค์ไว้, เหมือนอย่างโมเซได้สัตย์ซื่อในพรรคพวกของพระองค์ทั้งสิ้น.”
เฮ็บราย 4:15 (ล.ม.): “เรามีมหาปุโรหิต มิใช่ผู้ที่ไม่สามารถเห็นใจความอ่อนแอของเรา แต่ผู้ที่ได้ผ่านการชันสูตรทดลองมาแล้วทุกประการเหมือนพวกเราเอง เว้นแต่ปราศจากบาป.”
เฮ็บราย 5:7-9 (ล.ม.): “คราวเมื่อพระองค์ดำรงอยู่ในเนื้อหนังพระคริสต์ได้ถวายคำวิงวอน และคำขอร้องด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตรไหล ถึงพระองค์ผู้ซึ่งสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตาย และพระองค์ได้รับการสดับด้วยความพอพระทัยเนื่องด้วยพระองค์เกรงกลัวพระเจ้า. ถึงแม้พระองค์ทรงเป็นพระบุตร พระองค์ได้ทรงเรียนรู้จักการเชื่อฟังจากสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทนเอา; และครั้นภายหลังพระองค์ถูกทำให้สมบูรณ์ พระองค์จึงได้เป็นผู้รับผิดชอบต่อความรอดนิรันดร์.”