ความทุกข์ของมนุษย์—ทำไมพระเจ้าทรงยอมให้มี?
ในตอนเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ไม่มีน้ำตาแห่งความโศกเศร้าหรือความเจ็บปวด. ความทุกข์ของมนุษย์ไม่มีอยู่. มนุษยชาติมีการเริ่มต้นที่ดีพร้อม. “พระเจ้าทรงทอดพระเนตรดูสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้นั้นเห็นว่าดีนัก.”—เยเนซิศ 1:31.
แต่บางคนคัดค้านว่า ‘ประวัติเกี่ยวกับอาดามและฮาวาในสวนเอเดนนั้นเป็นเพียงนิทานแฝงคติ.’ น่าเศร้า นักเทศน์หลายคนแห่งคริสต์ศาสนจักรกล่าวเช่นนี้. อย่างไรก็ดี ไม่มีแหล่งใดที่เชื่อถือได้แน่นอนยิ่งไปกว่าพระเยซูคริสต์เองซึ่งได้ยืนยันว่า เหตุการณ์ในสวนเอเดนเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์. (มัดธาย 19:4-6) นอกจากนี้ ทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าใจสาเหตุที่พระเจ้าทรงยอมให้ความทุกข์ของมนุษย์มีอยู่นั้นคือตรวจสอบดูเหตุการณ์เหล่านี้ในประวัติศาสตร์แรกเริ่มของมนุษย์.
อาดาม มนุษย์คนแรกได้รับมอบงานที่น่าพอใจในการดูแลสวนเอเดน. นอกจากนี้ พระเจ้าทรงตั้งเป้าหมายไว้ตรงหน้าเขาให้ขยายบ้านที่เป็นอุทยานของเขานั้นจนเป็นสวนแห่งความเพลิดเพลินทั่วโลก. (เยเนซิศ 1:28; 2:15) เพื่อช่วยอาดามทำให้ภารกิจใหญ่โตนี้สำเร็จลุล่วง พระเจ้าทรงจัดเตรียมคู่สมรสให้เขาคือ ฮาวา และทรงบัญชาเขาทั้งสองให้มีลูก ทวีจำนวนขึ้น และบุกเบิกแผ่นดินโลก. กระนั้น มีสิ่งอื่นที่จำเป็นเพื่อรับประกันว่าพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับแผ่นดินโลกและมนุษยชาติจะสำเร็จ. เนื่องจากถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า มนุษย์จึงมีเจตจำนงเสรี ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่เจตจำนงของมนุษย์จะไม่ขัดแย้งกับของพระเจ้า. มิฉะนั้น คงจะมีความยุ่งเหยิงในเอกภพ และพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะทำให้แผ่นดินโลกเต็มด้วยครอบครัวมนุษย์ที่มีสันติสุขจะไม่เป็นจริง.
การยอมอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้าไม่ใช่เป็นไปโดยอัตโนมัติ. นั่นต้องเป็นการแสดงออกซึ่งเจตจำนงเสรีของมนุษย์ด้วยความรัก. ตัวอย่างเช่น เราอ่านว่า เมื่อพระเยซูคริสต์เผชิญการทดลองอย่างหนัก พระองค์อธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า, ถ้าพระองค์พอพระทัย, ขอให้จอกนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพเจ้า แต่ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า, ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด.”—ลูกา 22:42.
เช่นเดียวกัน นั่นขึ้นอยู่กับอาดามและฮาวาที่จะพิสูจน์ว่า เขาทั้งสองต้องการอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้าหรือไม่. เพื่อจุดประสงค์นี้ พระเจ้ายะโฮวาทรงจัดเตรียมให้มีการทดสอบง่าย ๆ. ต้นไม้ต้นหนึ่งในสวนนั้นถูกเรียกว่า “ต้นไม้ที่ให้รู้ความดีและชั่ว.” ต้นไม้นั้นแสดงถึงสิทธิของพระเจ้าที่จะกำหนดมาตรฐานความประพฤติที่ถูกต้อง. พระเจ้าทรงห้ามการรับประทานผลจากต้นไม้จำเพาะต้นนี้อย่างชัดเจน. หากอาดามและฮาวาไม่เชื่อฟัง นั่นจะลงเอยด้วยความตายของเขาทั้งสอง.—เยเนซิศ 2:9, 16, 17.
ความทุกข์ของมนุษย์เริ่มต้น
วันหนึ่ง บุตรฝ่ายวิญญาณองค์หนึ่งของพระเจ้าบังอาจตั้งข้อสงสัยวิธีการปกครองของพระเจ้า. โดยใช้งูเป็นกระบอกเสียง เขาถามฮาวาว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่า ‘เจ้าอย่ากินผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้’?” (เยเนซิศ 3:1) ด้วยเหตุนี้ เชื้อแห่งความสงสัยถูกหว่านลงในจิตใจของฮาวาในเรื่องที่ว่าวิธีการปกครองของพระเจ้าถูกต้องหรือไม่.a ฮาวาได้ให้คำตอบที่ถูกต้องซึ่งเธอทราบจากสามีของเธอ. อย่างไรก็ดี ต่อจากนั้นบุคคลวิญญาณตนนั้นได้กล่าวขัดแย้งกับพระเจ้าและพูดโกหกเรื่องผลลัพธ์ของการไม่เชื่อฟัง โดยบอกว่า “เจ้าจะไม่ตายจริงดอก เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว.”—เยเนซิศ 3:4, 5, ฉบับแปลใหม่.
น่าเศร้า ฮาวาถูกหลอกลวงให้คิดว่า การไม่เชื่อฟังจะยังผล ไม่ใช่ความทุกข์ของมนุษย์ แต่เป็นชีวิตที่ดีกว่า. ยิ่งเธอมองดูผลไม้นั้นมากเท่าใด มันก็ดูเหมือนน่าปรารถนามากขึ้นเท่านั้น แล้วเธอก็เริ่มกินผลไม้นั้น. ภายหลัง เธอได้ชวนอาดามให้กินผลไม้นั้นด้วย. น่าสลดใจ อาดามเลือกที่จะรักษาความพอใจของภรรยาตนไว้ยิ่งกว่าความพอพระทัยของพระเจ้า.—เยเนซิศ 3:6; 1 ติโมเธียว 2:13, 14.
โดยการยุยงส่งเสริมการกบฏนี้ บุคคลวิญญาณตนนั้นทำให้ตัวเองกลายเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า. ด้วยเหตุนี้ มันจึงถูกเรียกว่าซาตาน มาจากคำภาษาฮีบรูที่หมายถึง “ผู้ต่อต้าน.” มันยังโกหกเรื่องพระเจ้าด้วย ทำให้ตัวเองเป็นผู้ใส่ร้าย. เนื่องจากเหตุนี้ มันจึงถูกเรียกด้วยว่าพญามาร คำเดิมในภาษากรีกหมายถึง “ผู้ใส่ร้าย.”—วิวรณ์ 12:9.
ด้วยวิธีนี้ ความทุกข์ของมนุษย์จึงเริ่มต้นขึ้น. ผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างมาสามบุคคลได้ใช้ของประทานเกี่ยวกับเจตจำนงเสรีของตนในทางผิด เลือกเอาวิถีชีวิตที่เห็นแก่ตัวซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับพระผู้สร้างของเขา. ตอนนี้เกิดคำถามขึ้นว่า พระเจ้าจะจัดการกับการกบฏนี้ในแบบเที่ยงธรรมโดยวิธีใดซึ่งจะทำให้ผู้มีเชาวน์ปัญญาที่พระองค์ทรงสร้างมานอกนั้นมั่นใจ รวมทั้งทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ในสวรรค์และลูกหลานของอาดามและฮาวาในอนาคต?
การจัดการอันแสดงถึงพระปัญญาของพระเจ้า
บางคนอาจหาเหตุผลว่าคงจะดีที่สุดหากพระเจ้าทำลายซาตาน, อาดาม, และฮาวาทันที. แต่นั่นคงจะไม่ขจัดประเด็นที่เกิดขึ้นเนื่องจากการกบฏนั้นให้หมดไป. ซาตานได้ตั้งข้อสงสัยต่อวิธีการปกครองของพระเจ้า ชวนให้คิดว่า มนุษย์จะมีชีวิตที่ดีขึ้นโดยเป็นเอกเทศจากการปกครองของพระเจ้า. นอกจากนี้ ความสำเร็จของมันในการทำให้มนุษย์คู่แรกหันมาต่อต้านการปกครองของพระเจ้านั้นก่อให้เกิดประเด็นอื่นขึ้นด้วย. เนื่องจากอาดามและฮาวาได้ทำบาป นี้หมายความว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดไปเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ไหม? พระเจ้าอาจจะมีใครสักคนบนแผ่นดินโลกไหมผู้ซึ่งจะคงซื่อสัตย์ต่อพระองค์อยู่ต่อไป? และจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับเหล่าบุตรที่เป็นทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาซึ่งได้รู้เห็นการกบฏของซาตาน? พวกเขาจะสนับสนุนความชอบธรรมแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระองค์ไหม? ปรากฏชัดว่า ต้องมีเวลามากพอที่จะขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป. เพราะเหตุนั้น พระเจ้าจึงปล่อยซาตานให้ดำรงอยู่จนกระทั่งสมัยของเรา.
สำหรับอาดามและฮาวา ในวันที่เขาไม่เชื่อฟังนั้น พระเจ้าทรงตัดสินเขาให้ถึงแก่ความตาย. ดังนั้น กระบวนการที่นำไปสู่ความตายได้เริ่มขึ้น. ลูกหลานของเขาซึ่งกำเนิดมาหลังจากอาดามและฮาวาได้ทำบาปนั้นจึงสืบทอดความบาปและความตายจากบิดามารดาที่ไม่สมบูรณ์ของพวกเขา.—โรม 5:14.
ซาตานเริ่มต้นกับมนุษย์คู่แรกให้มาอยู่ฝ่ายมันเกี่ยวกับประเด็นนั้น. มันได้ใช้เวลาที่ยอมให้มันมีนั้นพยายามที่จะทำให้ลูกหลานทั้งสิ้นของอาดามอยู่ภายใต้การควบคุมของมัน. มันยังได้ประสบผลสำเร็จในการล่อลวงทูตสวรรค์จำนวนหนึ่งเข้าร่วมสมทบในการกบฏของมัน. อย่างไรก็ดี บุตรทูตสวรรค์ส่วนใหญ่ของพระเจ้าได้สนับสนุนความชอบธรรมแห่งการปกครองของพระเจ้าด้วยความภักดี.—เยเนซิศ 6:1, 2; ยูดา 6; วิวรณ์ 12:3, 9.
การปกครองของพระเจ้าหรือของซาตานเกิดเป็นประเด็นขึ้น และประเด็นนั้นปรากฏเด่นทีเดียวในสมัยของโยบ. บุรุษผู้ซื่อสัตย์คนนี้ได้พิสูจน์ด้วยความประพฤติว่า ท่านเลือกการปกครองที่ชอบธรรมของพระเจ้ายิ่งกว่าการเป็นเอกเทศแบบซาตาน เช่นเดียวกับหลายคนที่เกรงกลัวพระเจ้า ดังเช่น เฮเบล, ฮะโนค, โนฮา, อับราฮาม, ยิศฮาค, ยาโคบ, และโยเซฟได้กระทำมาแล้ว. โยบตกเป็นเป้าของการถกกันที่เกิดขึ้นในสวรรค์ต่อหน้าทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า. ในการสนับสนุนการปกครองที่ชอบธรรมของพระองค์ พระเจ้าตรัสแก่ซาตานว่า “เคยได้สังเกตดูโยบผู้ทาสของเราหรือไม่? ว่าไม่มีใครในโลกดีเหมือนเขา; เป็นคนดีรอบคอบและชอบธรรม, เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหลบหลีกจากความชั่ว.”—โยบ 1:6-8.
โดยปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ ซาตานอ้างว่าโยบรับใช้พระเจ้าเพราะเหตุผลที่เห็นแก่ตัวเท่านั้น เนื่องจากพระเจ้าได้อวยพระพรโยบอย่างบริบูรณ์ด้วยความเจริญรุ่งเรืองด้านวัตถุ. ดังนั้น ซาตานยืนยันว่า “ถ้าหากบัดนี้พระองค์จะยื่นพระหัตถ์ออกแตะต้องให้เป็นอันตรายแก่ทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามีอยู่นั้น เขาจะเลิกนับถือพระองค์ทีเดียว.” (โยบ 1:11) ไม่เพียงแค่นั้น ซาตานยังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความซื่อสัตย์มั่นคงของบุคคลที่พระเจ้าทรงสร้างมาทั้งสิ้น. มันกล่าวหาว่า “คนย่อมสละอะไร ๆ ทุกสิ่งได้, เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนชีวิตของตนให้คงอยู่.” (โยบ 2:4) การกล่าวโจมตีใส่ร้ายนี้เกี่ยวข้องไม่เพียงแต่โยบเท่านั้น แต่ผู้นมัสการที่ซื่อสัตย์ทั้งสิ้นของพระเจ้าทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกด้วย. ซาตานแสดงนัยว่า พวกเขาจะละทิ้งสัมพันธภาพของเขากับพระยะโฮวาถ้าหากชีวิตของเขาอยู่ในอันตราย.
พระเจ้ายะโฮวามีความมั่นพระทัยเต็มเปี่ยมในความซื่อสัตย์มั่นคงของโยบ. เพื่อให้หลักฐานในเรื่องนั้น พระองค์ทรงยอมให้ซาตานนำความทุกข์ที่เกิดกับมนุษย์มาสู่โยบ. โดยความซื่อสัตย์ของโยบ ท่านไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อเสียงของตนพ้นข้อกล่าวหาเท่านั้น แต่สำคัญยิ่งกว่านั้น ท่านได้สนับสนุนความชอบธรรมแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา. พญามารได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นตัวมุสา.—โยบ 2:10; 42:7.
อย่างไรก็ดี ตัวอย่างดีที่สุดเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ภายใต้การทดลองนั้นคือพระเยซูคริสต์. พระเจ้าทรงโยกย้ายชีวิตของพระบุตรที่เป็นทูตสวรรค์องค์นี้จากสวรรค์มาสู่ครรภ์ของหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง. โดยวิธีนี้ พระเยซูจึงไม่ได้สืบทอดบาปและความไม่สมบูรณ์. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงเจริญเติบโตขึ้นเป็นมนุษย์สมบูรณ์ เท่าเทียมกันอย่างแท้จริงกับมนุษย์คนแรกก่อนที่เขาสูญเสียความสมบูรณ์ไป. ซาตานทำให้พระเยซูเป็นเป้าพิเศษ โดยนำการล่อลวงและการทดลองหลายอย่างมาสู่พระองค์ ซึ่งมาถึงจุดสุดยอดด้วยความตายที่น่าอัปยศอดสู. แต่ซาตานไม่สามารถทำลายความซื่อสัตย์มั่นคงของพระเยซูได้. พระเยซูทรงสนับสนุนความชอบธรรมแห่งการปกครองของพระบิดาในแบบที่ไม่ขาดตกบกพร่อง. พระองค์ยังพิสูจน์ด้วยว่า อาดามมนุษย์สมบูรณ์ไม่มีข้อแก้ตัวในการเข้าร่วมกับการกบฏของซาตาน. อาดามน่าจะซื่อสัตย์ได้ภายใต้การทดลองที่เล็กน้อยกว่ามากนัก.
ยังเป็นการพิสูจน์ถึงอะไรอีก?
ประมาณ 6,000 ปีแห่งความทุกข์ของมนุษย์ได้ผ่านไปนับตั้งแต่การกบฏของอาดามและฮาวา. ระหว่างช่วงเวลานี้พระเจ้าได้ปล่อยให้มนุษยชาติทดลองการปกครองหลายรูปแบบที่ต่างกัน. ประวัติบันทึกที่น่าสยดสยองเกี่ยวกับความทุกข์ของมนุษย์พิสูจน์ว่ามนุษย์ไม่สามารถปกครองตัวเองได้. ที่จริง อนาธิปไตยมีอยู่ดาษดื่นขณะนี้ในหลายพื้นที่ของแผ่นดินโลก. การเป็นเอกเทศจากพระเจ้า ดังที่ซาตานสนับสนุนนั้นก่อให้เกิดความหายนะ.
พระยะโฮวาไม่ต้องพิสูจน์อะไรสำหรับพระองค์เอง. พระองค์ทรงทราบว่า วิธีการปกครองของพระองค์นั้นชอบธรรมและเพื่อผลประโยชน์อันดีที่สุดของผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง. อย่างไรก็ดี เพื่อตอบคำถามทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นเนื่องจากการกบฏของซาตานอย่างเป็นที่น่าพอใจ พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีเชาวน์ปัญญาซึ่งพระองค์ทรงสร้างนั้นแสดงความสมัครใจในการเลือกการปกครองที่ชอบธรรมของพระองค์.
บำเหน็จสำหรับการรักพระเจ้าและการเป็นคนซื่อสัตย์ต่อพระองค์นั้นมีค่ายิ่งกว่าระยะเวลาชั่วคราวของความทุกข์โดยน้ำมือของพญามาร. กรณีของโยบเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้. พระเจ้ายะโฮวาทรงรักษาโยบให้หายจากความเจ็บป่วยที่พญามารได้นำมาสู่ท่าน. นอกจากนี้ พระเจ้า “ได้ทรงอวยพรชีวิตบั้นปลายของโยบให้รุ่งเรืองยิ่งกว่าชีวิตในบั้นต้นของท่าน.” ในที่สุด หลังจากมีชีวิตยืนไปอีก 140 ปี “โยบก็ได้ถึงแก่ความตายเป็นผู้มีอายุชราและแก่หง่อมเต็มขนาด.”—โยบ 42:10-17.
คริสเตียนยาโกโบผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลแนะให้เอาใจใส่เรื่องนี้ โดยกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายเคยได้ยินถึงความอดทนของโยบและได้เห็นผลที่พระยะโฮวาทรงประทานแล้วว่า พระยะโฮวาทรงเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่อันอ่อนละมุนและเมตตา.”—ยาโกโบ 5:11, ล.ม.
บัดนี้เวลาหมดลงแล้วสำหรับซาตานและโลกของมัน. ในไม่ช้า พระเจ้าจะทรงลบล้างความทุกข์ทั้งมวลที่การกบฏของซาตานนำมาสู่มนุษยชาตินั้น. แม้แต่คนตายก็จะถูกปลุกขึ้นมา. (โยฮัน 11:25) ครั้นแล้ว คนซื่อสัตย์เหมือนโยบจะมีโอกาสได้รับชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน. พระพรในอนาคตเหล่านี้ซึ่งพระเจ้าจะทรงหลั่งเหนือผู้รับใช้ของพระองค์นั้นจะเชิดชูพระองค์ตลอดชั่วกาลนานฐานะเป็นองค์บรมมหิศรที่ชอบธรรมผู้ “ทรงเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่อันอ่อนละมุนและเมตตา” จริง ๆ.
[เชิงอรรถ]
a ฟิลิป มอโร ทนายความและนักเขียนในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ผู้ซึ่งตรวจสอบดูประเด็นนี้ในการอภิปรายของเขาเรื่อง “บ่อเกิดของความชั่ว” ได้สรุปว่าข้อนี้เป็น “สาเหตุของความยุ่งยากทั้งมวลของมนุษยชาติ.”
[กรอบ/ภาพหน้า 8]
เทพเจ้าที่โหดร้ายของมนุษย์
มีการพรรณนาบ่อยครั้งว่าเทพเจ้าในสมัยโบราณกระหายเลือดและร้อนรุ่มด้วยราคะตัณหา. เพื่อเอาใจเทพเจ้าเหล่านี้ ผู้เป็นบิดามารดาถึงกับเผาลูกทั้งเป็นในไฟ. (พระบัญญัติ 12:31) ในความคิดสุดโต่งอีกด้านหนึ่ง นักปรัชญานอกรีตสอนว่า พระเจ้าปราศจากความรู้สึก เช่น ความโกรธหรือความสงสาร.
ทัศนะของนักปรัชญาเหล่านี้ซึ่งได้รับการดลใจจากพวกผีปิศาจมีอิทธิพลต่อชาวยิว ซึ่งประกาศตัวว่าเป็นไพร่พลของพระเจ้า. ฟิโลนักปรัชญาชาวยิวซึ่งอยู่ร่วมสมัยกับพระเยซู อ้างว่าพระเจ้า “ไม่ยินดียินร้ายต่ออารมณ์ใด ๆ เลย.”
แม้แต่พวกฟาริซายซึ่งเป็นนิกายที่เคร่งของชาวยิวยังหลีกหนีอิทธิพลของปรัชญากรีกไม่ได้. พวกเขารับเอาคำสอนของพลาโตที่ว่า มนุษย์ประกอบด้วยจิตวิญญาณอมตะที่ยังอยู่ในร่างมนุษย์. ยิ่งกว่านั้น ตามรายงานของโยเซฟุสนักประวัติศาสตร์ในศตวรรษแรก พวกฟาริซายเชื่อว่า จิตวิญญาณของคนชั่ว “ถูกลงโทษชั่วกัปชั่วกัลป์.” อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ให้รากฐานไว้สำหรับทัศนะเช่นนั้น.—เยเนซิศ 2:7; 3:19; ท่านผู้ประกาศ 9:5; ยะเอศเคล 18:4.
แล้วจะว่าอย่างไรสำหรับสาวกของพระเยซู? พวกเขาปล่อยให้ปรัชญานอกรีตมีอิทธิพลเหนือตนไหม? ด้วยตระหนักถึงอันตรายเช่นนี้ อัครสาวกเปาโลจึงเตือนเพื่อนคริสเตียนว่า “จงระวังให้ดี, เกรงว่าจะมีผู้หนึ่งผู้ใดนำท่านทั้งหลายให้หลงด้วยหลักปรัชญาและด้วยคำล่อลวงเหลวไหล, ตามเรื่องซึ่งมนุษย์สอนกันต่อ ๆ มานั้น, ตามโลกธรรม, และไม่ใช่ตามพระคริสต์.”—โกโลซาย 2:8; ดู 1 ติโมเธียว 6:20 ด้วย.
น่าเสียดาย ผู้ดูแลจำนวนหนึ่งที่ประกาศตัวเป็นคริสเตียนในศตวรรษที่สองและสามเพิกเฉยต่อคำเตือนนั้น และสอนว่าพระเจ้าไม่มีความรู้สึก. สารานุกรมศาสนา (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “ส่วนใหญ่แล้ว คุณลักษณะของพระเจ้าเป็นที่เข้าใจกันตามที่มีการยืนยันในแนวคิดของชาวยิวและตามหลักปรัชญาของสมัยนั้น . . . ความคิดที่ว่าพระเจ้าพระบิดามีความรู้สึก เช่น ความสงสาร . . . โดยทั่วไปแล้วไม่เป็นที่ยอมรับ อย่างน้อยก็จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ยี่สิบ.”
ฉะนั้น คริสต์ศาสนจักรจึงรับเอาคำสอนเท็จเรื่องเทพเจ้าผู้โหดร้าย ซึ่งลงโทษคนบาปด้วยการทำให้เขาทนทุกข์ทรมานอย่างที่รู้สึกตัวชั่วกัปชั่วกัลป์. ในทางตรงกันข้าม พระเจ้ายะโฮวากลับแถลงอย่างชัดเจนในคัมภีร์ไบเบิลพระวจนะของพระองค์ว่า “ค่าจ้างของความบาปนั้นคือความตาย” ไม่ใช่การทรมานอย่างที่รู้สึกตัวชั่วกัปชั่วกัลป์.—โรม 6:23.
[ที่มาของภาพ]
Above: Acropolis Museum, Greece
Courtesy of The British Museum
[รูปภาพหน้า 7]
พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะเปลี่ยนแผ่นดินโลกให้เป็นอุทยานแบบสวนเอเดนจะต้องบรรลุผลสำเร็จ!