จงสำแดงความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน
“จงสวมตัวท่านด้วยความรักใคร่อันอ่อนละมุนแห่งความเมตตา, ความกรุณา.”—โกโลซาย 3:12, ล.ม.
1. เหตุใดความเมตตารักใคร่จึงจำเป็นยิ่งเวลานี้?
ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ที่ผู้คนเป็นอันมากต้องการความช่วยเหลือด้วยความเมตตารักใคร่. ยามประสบความเจ็บป่วย, ความหิว, การตกงาน, อาชญากรรม, สงคราม, ความโกลาหล, และภัยธรรมชาติ ผู้คนหลายล้านต้องการความช่วยเหลือ. แต่มีปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น และนั่นก็คือสภาพอันย่ำแย่ฝ่ายวิญญาณของมนุษยชาติ. ซาตาน ซึ่งรู้ว่าเวลาของมันเหลือน้อย กำลัง “ชักนำแผ่นดินโลกทั้งสิ้นที่มีคนอาศัยอยู่ให้หลง.” (วิวรณ์ 12:9, 12, ล.ม.) ดังนั้น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่นอกประชาคมคริสเตียนแท้จึงอยู่ในอันตรายที่จะเสียชีวิต และคัมภีร์ไบเบิลก็ไม่ได้ให้ความหวังใด ๆ เกี่ยวด้วยการปลุกขึ้นจากตายแก่พวกที่ถูกสำเร็จโทษคราววันพิพากษาของพระเจ้าที่ใกล้เข้ามา.—มัดธาย 25:31-33, 41, 46; 2 เธซะโลนิเก 1:6-9.
2. เหตุใดพระยะโฮวายังทรงยับยั้งการทำลายคนชั่ว?
2 กระนั้น จนล่วงเข้ามาถึงช่วงปลายของสมัยสุดท้ายแล้ว พระเจ้ายะโฮวาก็ยังคงแสดงความอดกลั้นพระทัยและความเมตตาต่อคนชั่วและคนที่ไม่สำนึกบุญคุณของพระองค์. (มัดธาย 5:45; ลูกา 6:35, 36) พระองค์ได้ทำเช่นนี้ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกับที่พระองค์ทรงหน่วงเหนี่ยวการลงโทษชาติยิศราเอลที่ไม่ซื่อสัตย์. “พระยะโฮวาเจ้าตรัสว่า ‘เรามีชีวิตฉันใด เรามิได้ชอบพระทัยในความตายแห่งคนชั่วฉันนั้น แต่ (ชอบพระทัย) จะให้คนชั่วกลับเสียจากทางของเขาและมีชีวิต. เจ้าทั้งหลายจงกลับเสีย, จงกลับเสียจากทางชั่วทั้งหลายของเจ้า, เหตุไฉนเจ้าจึงจะตาย, โอ้เรือนยิศราเอล?’”—ยะเอศเคล 33:11.
3. เรามีตัวอย่างอะไรเกี่ยวด้วยความเมตตารักใคร่ของพระยะโฮวาต่อบรรดาผู้คนที่ไม่ใช่ไพร่พลของพระองค์ และเราได้เรียนอะไรจากเรื่องนี้?
3 ความเมตตารักใคร่ของพระยะโฮวายังแผ่ไปถึงชาวเมืองนีนะเวที่ชั่วช้าด้วย. พระยะโฮวาทรงส่งโยนาผู้พยากรณ์ของพระองค์ไปเตือนพวกเขาให้รู้ถึงความพินาศที่ใกล้จะถึง. พวกเขาตอบรับการประกาศของโยนาและกลับใจ. การตอบรับนั้นได้เร้าพระทัยพระยะโฮวาพระเจ้าผู้มีพระทัยเมตตาให้ยับยั้งการทำลายกรุงนีนะเวในคราวนั้น. (โยนา 3:10; 4:11) ถ้าพระเจ้าทรงรู้สึกเสียดายชาวนีนะเวผู้ซึ่งมีโอกาสจะได้รับการปลุกขึ้นจากตาย มากยิ่งกว่านั้นสักเพียงใดพระองค์คงต้องรู้สึกเมตตาสงสารผู้คนสมัยนี้ที่จะประสบความพินาศถาวร!—ลูกา 11:32.
การงานที่แสดงความเมตตารักใคร่อย่างไม่เคยมีมาก่อน
4. เวลานี้พระยะโฮวาทรงสำแดงความเมตตารักใคร่ต่อผู้คนอย่างไร?
4 เพื่อประสานกับบุคลิกที่เปี่ยมด้วยความเมตตารักใคร่ พระยะโฮวาได้ทรงมอบงานให้เหล่าพยานของพระองค์ออกเยี่ยมเพื่อนบ้านอยู่เสมอ ๆ เพื่อบอก “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักร.” (มัดธาย 24:14, ล.ม.) และเมื่อผู้คนตอบรับงานช่วยชีวิตเช่นนี้ด้วยความหยั่งรู้ค่า พระยะโฮวาก็ทรงเปิดใจของเขาที่จะเข้าใจข่าวราชอาณาจักร. (มัดธาย 11:25; กิจการ 16:14) ด้วยการเลียนแบบพระเจ้าของตน คริสเตียนแท้แสดงความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนโดยการกลับเยี่ยมคนสนใจ เมื่อมีทางเป็นไปได้ก็ช่วยเขาโดยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ดังนั้น ปี 1993 พยานพระยะโฮวามากกว่าสี่ล้านห้าแสนคนในประเทศต่าง ๆ 231 ประเทศ ได้ใช้เวลามากกว่าหนึ่งพันล้านชั่วโมงประกาศตามบ้านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเพื่อนบ้านของเขา. ครั้นแล้ว คนสนใจใหม่เหล่านี้จึงมีโอกาสได้อุทิศชีวิตของตนแด่พระยะโฮวา และสมทบกับเหล่าพยานทั้งหลายของพระองค์ที่รับบัพติสมาแล้ว. โดยวิธีนี้ คนเหล่านี้จึงรับเอางานที่แสดงความเมตตารักใคร่อย่างไม่เคยมีมาก่อนนี้ มาเป็นหน้าที่รับผิดชอบของตน เพราะเห็นแก่คนเหล่านั้นที่คาดว่าจะเป็นสาวก ที่ยังติดอยู่กับโลกของซาตานซึ่งจวนประสบความพินาศอยู่แล้ว.—มัดธาย 28:19, 20; โยฮัน 14:12.
5. เมื่อความเมตตารักใคร่ของพระเจ้าถึงขีดสุดแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับศาสนาที่สอนเรื่องพระเจ้าอย่างผิด ๆ?
5 ในไม่ช้าพระยะโฮวาจะทรงปฏิบัติการฐานะ “นักรบองอาจ.” (เอ็กโซโด 15:3, ล.ม.) เพราะทรงพระกรุณาต่อพระนามและไพร่พลของพระองค์ พระองค์จะทรงขจัดความชั่วให้หมดสิ้นและสถาปนาโลกใหม่ที่ชอบธรรม. (2 เปโตร 3:13) คริสตจักรต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักรจะเป็นพวกแรกที่ประสบวันพิโรธของพระยะโฮวา. พระเจ้าไม่ได้ช่วยให้แม้แต่พระวิหารของพระองค์ที่กรุงยะรูซาเลมพ้นเงื้อมมือของกษัตริย์บาบูโลนฉันใด พระองค์ก็จะไม่ช่วยองค์การศาสนาที่สอนเรื่องพระองค์อย่างผิด ๆ ฉันนั้น. พระเจ้าจะทรงบันดาลใจบรรดาสมาชิกองค์การสหประชาชาติให้ทอดทิ้งคริสต์ศาสนจักรและศาสนาเท็จทั้งปวงทุกรูปแบบ. (วิวรณ์ 17:16, 17) พระยะโฮวาทรงแถลงดังนี้: “พระเนตรของเราจะไม่โปรด, และเราจะไม่เมตตา, และเราจะให้เป็นไปเหนือศีรษะเขาทั้งหลาย.”—ยะเอศเคล 9:5, 10.
6. โดยวิธีใดพยานพระยะโฮวาได้รับการกระตุ้นให้แสดงความเมตตารักใคร่?
6 ขณะยังมีเวลาเหลืออยู่ พยานพระยะโฮวาก็จะแสดงความเมตตารักใคร่ต่อเพื่อนบ้านของเขาต่อไป โดยประกาศข่าวสารของพระเจ้าที่ให้ความรอดอย่างกระตือรือร้น. และแน่นอน ตราบเท่าที่เป็นไปได้ พวกเขาให้การสงเคราะห์คนขัดสนยากไร้ด้วยเช่นกัน. อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ความรับผิดชอบของเขาประการแรกคือให้การเอาใจใส่ต่อความต้องการของสมาชิกในครอบครัวและของคนเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องกันในความเชื่อ. (ฆะลาเตีย 6:10; 1 ติโมเธียว 5:4, 8) การบรรเทาทุกข์ที่พยานพระยะโฮวาจัดออกไปปฏิบัติการช่วยเพื่อนร่วมความเชื่อที่ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ นั้นเป็นตัวอย่างแสดงถึงความเมตตารักใคร่อันน่าทึ่งทีเดียว. กระนั้นก็ดี คริสเตียนไม่ต้องรอจนกระทั่งมีวิกฤติการณ์เสียก่อน แล้วจึงค่อยแสดงความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน. พวกเขาพร้อมจะแสดงคุณลักษณะนี้ในการรับมือกับสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ในชีวิตประจำวัน.
ความเมตตาเป็นส่วนหนึ่งแห่งบุคลิกใหม่
7. (ก) ที่โกโลซาย 3:8-13 ความเมตตารักใคร่เชื่อมโยงกับบุคลิกใหม่อย่างไร? (ข) ความรักใคร่อันอ่อนละมุนช่วยคริสเตียนทำอะไรได้ง่ายขึ้น?
7 เป็นความจริงที่ว่าธรรมชาติของเราที่เป็นมนุษย์ผิดบาปและอิทธิพลชั่วแห่งโลกซาตานเป็นอุปสรรคขัดขวางการแสดงความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนของเรา. ด้วยเหตุนี้ คัมภีร์ไบเบิลจึงเร่งเร้าพวกเราให้เปลื้องทิ้ง “การโกรธแค้น, การมีโทโส, การชั่ว. การพูดหยาบช้า, และการพูดโลนลามก.” เราได้รับคำตักเตือนให้ “สวมบุคลิกใหม่” อันหมายถึงบุคลิกตามแบบพระฉายของพระเจ้า. แรกทีเดียว เราได้รับคำสั่งให้สวมตัวด้วย “ความรักใคร่อันอ่อนละมุนแห่งความเมตตา, ความกรุณา, ใจถ่อม, ความอ่อนโยน, และความอดกลั้นไว้นาน.” ครั้นแล้ว คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นแนวปฏิบัติเพื่อสำแดงคุณลักษณะเหล่านี้ให้ปรากฏ. “จงทนต่อกันและกันอยู่เรื่อยไปและจงอภัยให้กันและกันอย่างใจกว้างถ้าแม้นผู้ใดมีสาเหตุจะบ่นว่าคนอื่น. พระยะโฮวาทรงให้อภัยท่านอย่างใจกว้างฉันใด ท่านทั้งหลายจงกระทำฉันนั้น.” การให้อภัยจะง่ายขึ้นมากหากเราได้พัฒนา “ความรักใคร่อันอ่อนละมุนแห่งความเมตตา” ต่อพี่น้องของเรา.—โกโลซาย 3:8-13, ล.ม.
8. เหตุใดความมีน้ำใจให้อภัยกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ?
8 ตรงกันข้าม การไม่ยอมให้อภัยด้วยความเมตตารักใคร่ย่อมเป็นอันตรายต่อสัมพันธภาพระหว่างตัวเรากับพระยะโฮวา. พระเยซูทรงแสดงให้เห็นเรื่องนี้อย่างมีพลังโน้มน้าวใจในอุทาหรณ์ว่าด้วยบ่าวที่ไม่ยกหนี้ ซึ่งนายสั่งให้เข้าคุก “จนกว่าจะใช้หนี้หมด.” บ่าวคนนั้นสมควรได้รับโทษเช่นนี้ เพราะเขาไม่ได้แสดงความเมตตาสาสารเพื่อนบ่าวซึ่งวิงวอนขอความเมตตานั้น. พระเยซูทรงสรุปอุทาหรณ์ดังนี้: “ถ้าท่านขาดเมตตาจิตไม่ยกความผิดให้พี่น้องของท่านทุกคน พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำแก่ท่านทั้งหลายอย่างนั้นแหละ.”—มัดธาย 18:34, 35.
9. ความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนเกี่ยวข้องอย่างไรกับส่วนสำคัญที่สุดของบุคลิกใหม่?
9 ความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนเป็นแง่หนึ่งที่สำคัญของความรัก. และความรักเป็นเครื่องหมายระบุการเป็นคริสเตียนแท้. (โยฮัน 13:35) ดังนั้น คำพรรณนาในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวด้วยบุคลิกใหม่จึงจบลงดังนี้: “แต่นอกจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงสวมตัวท่านด้วยความรัก เพราะความรักเป็นเครื่องเชื่อมสามัคคีที่ดีพร้อม.”—โกโลซาย 3:14, ล.ม.
การอิจฉา—อุปสรรคกีดขวางความเมตตารักใคร่
10. (ก) อะไรอาจเป็นเหตุก่อความอิจฉาขึ้นภายในหัวใจของเรา? (ข) ผลเลวร้ายอะไรอาจเกิดจากความอิจฉา?
10 เนื่องจากเราเป็นมนุษย์ผิดบาป ความรู้สึกอิจฉาจึงงอกรากในหัวใจของเราได้ง่าย. พี่น้องชายหรือหญิงอาจเกิดมาพร้อมความสามารถพิเศษบางอย่าง หรืออาจมีข้อได้เปรียบทางด้านวัตถุซึ่งเราไม่มี. หรือบางทีบางคนได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณเป็นพิเศษและสิทธิพิเศษต่าง ๆ หากเรารู้สึกอิจฉาบุคคลดังกล่าว เราจะปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนได้ไหม? คงไม่ได้. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ในที่สุดความรู้สึกอิจฉาอาจแสดงออกด้วยคำพูดติเตียนหรือการกระทำอย่างไม่กรุณา เพราะพระเยซูตรัสเกี่ยวกับมนุษย์ดังนี้: “ใจเต็มบริบูรณ์อย่างไรปากก็พูดออกอย่างนั้น.” (ลูกา 6:45) คนอื่นอาจคล้อยตามการตำหนิติเตียนเช่นนั้น. ด้วยเหตุนี้ ความสงบสุขภายในครอบครัวหรือภายในประชาคมแห่งไพร่พลของพระเจ้าอาจถูกรบกวนได้.
11. พี่ชายสิบคนของโยเซฟเบียดเอาความเมตตารักใคร่ออกจากหัวใจของตนอย่างไร และมีผลอย่างไร?
11 จงพิจารณาสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง. พี่ชายสิบคนบุตรยาโคบพากันอิจฉาโยเซฟซึ่งเป็นน้องชาย เพราะเป็นลูกคนโปรดของพ่อ. ผลก็คือพวกพี่ ๆ “หาพูดดีต่อโยเซฟไม่.” ต่อมา พระเจ้าทรงบันดาลโยเซฟให้ฝัน เป็นการพิสูจน์ว่าท่านได้รับความโปรดปรานจากพระยะโฮวา. ทั้งนี้เป็นเหตุให้พวกพี่ชาย “ยิ่งชังโยเซฟมากขึ้นกว่าแต่ก่อน.” เนื่องจากพี่ชายเหล่านั้นไม่ขจัดความอิจฉาออกจากหัวใจของตน หัวใจจึงไม่มีความเมตตารักใคร่เหลืออยู่ และจึงนำไปสู่การทำบาปร้ายแรง.—เยเนซิศ 37:4, 5, 11
12, 13. เราควรทำอย่างไรเมื่อใจของเราเกิดความรู้สึกอิจฉา?
12 พวกเขาได้ขายโยเซฟไปเป็นทาสอย่างไม่ปรานี. ด้วยความพยายามจะปกปิดการชั่วของตน เขาได้โกหกบิดาให้คิดว่าสัตว์ป่ากัดกินโยเซฟเสียแล้ว. หลายปีต่อมา การชั่วของเขาถูกเปิดเผย เมื่อพวกเขาจำต้องเดินทางไปอียิปต์ซื้ออาหารคราวที่เกิดการอดอยาก. ผู้อำนวยการด้านอาหารซึ่งพวกเขาจำไม่ได้ว่าเป็นโยเซฟกล่าวหาพวกเขาว่าเข้ามาสอดแนม และบอกมิให้มาขอการช่วยเหลือจากท่านอีก เว้นเสียแต่ว่าเขาพาเบ็นยามินน้องชายคนสุดท้องมาด้วย. ตอนนั้นเบ็นยามินเป็นลูกคนโปรดของบิดา และพวกพี่ชายรู้ดีว่าบิดาคงจะไม่ปล่อยให้เขาไป.
13 ดังนั้น ขณะยืนอยู่ตรงหน้าโยเซฟ สติรู้สึกผิดชอบของพวกเขากระตุ้นให้พวกเขายอมรับดังนี้: “เราคงทำผิดไว้แก่น้องเรา [โยเซฟ] แต่ก่อน, เพราะเราได้เห็นความทุกข์ลำบากของน้องเมื่อเขาอ้อนวอน, แต่เรามิได้ฟัง. เหตุฉะนั้นความทุกข์ลำบากทั้งนี้จึงบังเกิดแก่เรา.” (เยเนซิศ 42:21) โดยการปฏิบัติด้วยความเมตตารักใคร่ แต่เด็ดเดี่ยว โยเซฟช่วยให้พวกพี่ชายพิสูจน์ความจริงใจในการกลับใจของตน. แล้วท่านก็เปิดเผยตัวต่อพี่ชายเหล่านั้นพร้อมกับให้อภัยพวกเขาอย่างใจกว้าง. ครอบครัวกลับคืนสู่สภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง. (เยเนซิศ 45:4-8) ในฐานะที่เป็นคริสเตียน เราน่าจะได้บทเรียนจากเรื่องนี้. โดยตระหนักถึงผลเลวร้ายของความอิจฉา เราควรอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยเราในการทดแทนความรู้สึกอิจฉาริษยาด้วย “ความรักใคร่อันอ่อนละมุนแห่งความเมตตา.”
อุปสรรคอื่น ๆ ที่ขัดขวางความเมตตารักใคร่
14. เหตุใดเราพึงหลีกเลี่ยงที่จะไม่ดูการแสดงความรุนแรงโดยไม่จำเป็น?
14 อุปสรรคอีกอย่างหนึ่งต่อการที่เราจะแสดงความเมตตารักใคร่อาจเนื่องมาจากการที่เรายอมมองความรุนแรงโดยไม่จำเป็น. การกีฬาและการบันเทิงซึ่งเน้นความรุนแรงย่อมส่งเสริมความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อจะตื่นเต้นระทึกใจด้วยความรุนแรง. สมัยพระคัมภีร์ ชาวนอกรีตเฝ้าดูการต่อสู้จนถึงตายระหว่างคนด้วยกันหรือคนกับสัตว์ และการทรมานมนุษย์ในรูปแบบอื่น ๆ ที่จัดขึ้นเป็นประจำ ณ สนามกีฬาหลายแห่งในจักรวรรดิโรมัน. ตามที่นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งบันทึกไว้ว่า การบันเทิงดังกล่าว “ทำลายความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่นที่ต้องทนทุกข์ ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งที่แยกมนุษย์จากสัตว์.” การบันเทิงมากมายในโลกสมัยปัจจุบันส่งผลกระทบอย่างเดียวกัน. คริสเตียนผู้ซึ่งมุ่งมั่นจะเป็นคนมีความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนจำต้องเลือกเฟ้นอย่างพิถีพิถันเกี่ยวกับสิ่งที่ตนอ่าน, ภาพยนตร์, และรายการโทรทัศน์. ด้วยความสุขุม พวกเขาจดจำถ้อยคำในบทเพลงสรรเสริญ 11:5 ไว้เสมอที่ว่า “คนใดที่รักความรุนแรงนั้นจิตวิญญาณของพระองค์ [พระยะโฮวา] ทรงเกลียดชังอย่างแน่นอน.”
15. (ก) คนเราอาจเผยให้เห็นการขาดความเมตตารักใคร่นั้นอย่างไร? (ข) คริสเตียนแท้ตอบสนองความต้องการของผู้ร่วมความเชื่อและเพื่อนบ้านโดยวิธีใด?
15 คนเห็นแก่ตัวดูเหมือนว่าเป็นคนขาดความเมตตารักใคร่เช่นกัน. เรื่องนี้น่าเป็นห่วง ดังอัครสาวกโยฮันอธิบายว่า “ใครก็ตามที่มีสิ่งจำเป็นของโลกนี้เพื่อบำรุงชีวิตและเห็นพี่น้องของตนขาดแคลนและกระนั้นปิดประตูแห่งความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนของตนต่อเขา, ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในคนนั้นอย่างไรได้?” (1 โยฮัน 3:17, ล.ม.) ปุโรหิตและชาวเลวีซึ่งถือตัวชอบธรรมในอุทาหรณ์เรื่องชายชาวซะมาเรียผู้มีไมตรีจิตได้แสดงการขาดความเมตตาสงสารทำนองเดียวกัน. พอเห็นพี่น้องชาวยิวที่เจ็บเจียนตาย คนเหล่านี้เดินข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่งและเดินเลยไป. (ลูกา 10:31, 32) ในทางตรงกันข้าม คริสเตียนที่มีความเมตตารักใคร่ไม่รอช้าที่จะตอบสนองความต้องการของพี่น้องของตนทั้งทางด้านวัตถุและฝ่ายวิญญาณ. และเช่นเดียวกับชาวซะมาเรียในอุทาหรณ์ของพระเยซู พวกเขาคำนึงถึงความต้องการต่าง ๆ ของคนแปลกหน้าด้วย. ดังนั้นเขาจึงยินดีสละเวลา, กำลังวังชา, และทรัพย์สินเพื่อจะส่งเสริมงานสั่งสอนคนให้เป็นสาวก. โดยวิธีนี้ เขามีส่วนส่งเสริมผู้คนนับล้านให้รอด.—1 ติโมเธียว 4:16.
มีความเมตตาสงสารคนเจ็บป่วย
16. เราเผชิญข้อจำกัดอะไรบ้างในกรณีที่ดำเนินการกับความเจ็บป่วย?
16 ความเจ็บป่วยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์และต้องตาย. คริสเตียนก็ไม่มีข้อยกเว้น และพวกเขาส่วนใหญ่ใช่ว่าเชี่ยวชาญทางการแพทย์ หรือพวกเขาไม่สามารถแสดงการอัศจรรย์เหมือนคริสเตียนสมัยแรกซึ่งรับฤทธิ์อำนาจเช่นนั้นจากพระคริสต์และเหล่าอัครสาวก. อำนาจรักษาโรคโดยการอัศจรรย์ได้ผ่านพ้นไปพร้อมกับการตายของเหล่าอัครสาวกของพระคริสต์และเพื่อนคริสเตียนที่ร่วมงานใกล้ชิด. ดังนั้น ขีดความสามารถของเราจึงมีจำกัดในการช่วยเหลือคนเหล่านั้นซึ่งเจ็บป่วยทางกาย รวมทั้งสมองทำงานผิดปกติและประสาทหลอน.—กิจการ 8:13, 18; 1 โกรินโธ 13:8.
17. เราได้บทเรียนอะไรจากแนวทางปฏิบัติที่บางคนกระทำต่อโยบผู้เจ็บป่วยและสูญเสียลูก ๆ?
17 ความซึมเศร้ามักจะมาควบคู่กับความเจ็บป่วย. ยกตัวอย่าง โยบผู้ยำเกรงพระเจ้ารู้สึกหดหู่เนื่องจากการเจ็บป่วยร้ายแรงและพิบัติภัยต่าง ๆ ที่ซาตานยังให้เกิดแก่ท่าน. (โยบ 1:18, 19; 2:7; 3:3, 11-13) โยบต้องการเพื่อนที่จะปฏิบัติต่อท่านด้วยความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนและ “พูดปลอบโยน.” (1 เธซะโลนิเก 5:14) แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทั้งสามคนที่อ้างตัวเป็นผู้ปลอบโยนมาเยี่ยมท่านและด่วนสรุปอย่างผิด ๆ. พวกเขายิ่งซ้ำเติมให้โยบหดหู่ใจมากขึ้น โดยบอกว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นนั้นสืบเนื่องจากความผิดบางอย่างของท่านเอง. คริสเตียนที่มีใจเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนจะเลี่ยงการตกหลุมพรางในลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ เมื่อเพื่อนร่วมความเชื่อป่วยหรือรู้สึกหดหู่. บางครั้ง สิ่งที่บุคคลในสภาพดังกล่าวต้องการจริง ๆ คือการเยี่ยมเยือนของพวกผู้ปกครองและคริสเตียนอาวุโสบางคน ผู้ซึ่งตั้งใจฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ, แสดงความเข้าใจ, และให้คำแนะนำด้วยความรักตามหลักคัมภีร์.—โรม 12:15; ยาโกโบ 1:19.
เมตตารักใคร่คนอ่อนแอ
18, 19. (ก) ผู้ปกครองควรปฏิบัติต่อคนอ่อนแอหรือคนพลาดพลั้งอย่างไร? (ข) แม้ถึงขั้นต้องตั้งคณะกรรมการตัดสินความ แต่เหตุใดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปกครองพึงปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดด้วยความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน?
18 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปกครองต้องมีความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน. (กิจการ 20:29, 35) คัมภีร์ไบเบิลกำชับดังนี้ “เราซึ่งเป็นคนที่เข้มแข็ง ก็ควรจะอดใจทนต่อความอ่อนแอต่าง ๆ ของคนเหล่านั้นที่ไม่เข้มแข็ง.” (โรม 15:1, ล.ม.) เนื่องจากเราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ ทุกคนผิดพลาดทั้งนั้น. (ยาโกโบ 3:2) ความอ่อนละมุนเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อดำเนินการกับผู้ที่ “ก้าวพลาดไปประการใดก่อนที่เขารู้ตัว.” (ฆะลาเตีย 6:1, ล.ม.) ผู้ปกครองไม่ต้องการเป็นเหมือนพวกฟาริซายที่ถือตัวว่าชอบธรรม ซึ่งพวกเขาใช้พระบัญญัติของพระเจ้าอย่างไม่เป็นไปตามเหตุผล.
19 ในทางตรงกันข้าม ผู้ปกครองติดตามแบบอย่างความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนของพระเจ้ายะโฮวาและพระเยซูคริสต์. งานหลักของเขาคือการเลี้ยงดู, ให้การชูใจ, และยังความสดชื่นแก่ฝูงแกะของพระเจ้า. (ยะซายา 32:1, 2) แทนที่จะพยายามควบคุมเรื่องต่าง ๆ โดยการตั้งกฎข้อบังคับมากมาย เขาจะใช้หลักการต่าง ๆ อันดีงามในพระคำของพระเจ้าเป็นข้อสนับสนุน. ดังนั้น หน้าที่ของผู้ปกครองควรเป็นการเสริมสร้าง, ก่อความชื่นชมยินดีและความหยั่งรู้ค่าคุณความดีของพระยะโฮวาไว้ในหัวใจของพวกพี่น้อง. ถ้าเพื่อนร่วมความเชื่อพลั้งผิดเล็กน้อยบางประการ ปกติแล้วผู้ปกครองจะเลี่ยงการกล่าวแก้ไขเขาต่อหน้าคนอื่น. ถ้าจำเป็นต้องพูดจริง ๆ แล้ว ความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนย่อมกระตุ้นผู้ปกครองให้พาผู้นั้นออกไปห่างจากคนอื่นแล้วจึงพูดกันถึงปัญหานั้น ๆ โดยไม่มีใครได้ยิน. (เทียบกับมัดธาย 18:15.) ไม่ว่าบางคนอาจเป็นคนเอาใจยากเพียงใด ผู้ปกครองควรจัดการแก้ปัญหาอย่างใจเย็นและให้การช่วยเหลือ. เขาไม่ควรหาเหตุเพื่อขับไล่คนพลั้งผิดออกจากประชาคม. แม้นถึงขั้นจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการตัดสินความ ผู้ปกครองก็จะแสดงความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนเมื่อดำเนินการกับบุคคลที่พัวพันกับการทำผิดร้ายแรง. ความอ่อนโยนของผู้ปกครองอาจชักนำคนนั้นให้กลับใจได้.—2 ติโมเธียว 2:24-26.
20. การแสดงความรู้สึกเมตตารักใคร่ไม่เหมาะสมในกรณีไหน และเพราะเหตุใด?
20 อย่างไรก็ตาม มีบางโอกาสที่ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาไม่อาจจะแสดงความเมตตารักใคร่ได้. (เทียบกับพระบัญญัติ 13:6-9.) ที่คริสเตียนจะเลิก “คบให้สนิท” กับเพื่อนหรือญาติที่ถูกตัดสัมพันธ์อาจเป็นการทดสอบอย่างแท้จริง. ในกรณีดังกล่าว นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คนเราไม่ยอมแพ้ความรู้สึกสงสาร. (1 โกรินโธ 5:11-13) การยืนหยัดมั่นคงเช่นนั้นอาจสนับสนุนคนทำผิดให้กลับใจเสียด้วยซ้ำ. ยิ่งกว่านั้น เมื่อปฏิบัติต่อเพศตรงกันข้าม คริสเตียนต้องหลีกเลี่ยงการแสดงความเมตตารักใคร่อย่างไม่เหมาะสมอันอาจนำไปสู่การผิดศีลธรรมทางเพศ.
21. ในขอบเขตอื่นอะไรอีกบ้างที่เราจำต้องแสดงความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน และมีคุณประโยชน์อะไรบ้าง?
21 หน้ากระดาษไม่พอที่จะพิจารณาขอบเขตต่าง ๆ ทั้งหมดที่ควรสำแดงความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน อาทิ การปฏิบัติต่อผู้สูงอายุ, ต่อคนโศกเศร้า, ต่อคนเหล่านั้นซึ่งทนรับการข่มเหงจากคู่สมรสที่ไม่เชื่อพระเจ้า. พวกผู้ปกครองที่ทำการงานอย่างขันแข็งก็เช่นกันสมควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน. (1 ติโมเธียว 5:17) จงนับถือพวกเขาและให้การสนับสนุนเขา. (เฮ็บราย 13:7, 17) อัครสาวกเปโตรเขียนไว้ว่า “ท่านทั้งหลายทุกคน จงมี. . . . ความเมตตาอันอ่อนละมุน.” (1 เปโตร 3:8, ล.ม.) โดยการกระทำอย่างนี้ภายใต้ทุกสภาพการณ์ที่ต้องสำแดงความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน พวกเราส่งเสริมเอกภาพและความสุขในประชาคมและชักจูงคนนอกมารู้จักความจริง. สำคัญที่สุด โดยการทำเช่นนั้นเราถวายเกียรติแด่พระยะโฮวา พระบิดาของเรา ผู้ทรงมีความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน.
คำถามทบทวน
▫ พระยะโฮวาทรงสำแดงความเมตตารักใคร่อย่างไรต่อมนุษยชาติที่ผิดบาป?
▫ ทำไมการมีความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนจึงเป็นเรื่องสำคัญ?
▫ อุปสรรคขัดขวางความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนของเรานั้นมีอะไรบ้าง?
▫ เราควรปฏิบัติอย่างไรต่อผู้ป่วยและผู้ท้อแท้?
▫ ใครโดยเฉพาะต้องเป็นคนเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน และเพราะเหตุใด?
[กรอบหน้า 19]
ฟาริซายที่ไร้ความเมตตา
วันซะบาโตแห่งการหยุดพักมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์สุขทางฝ่ายวิญญาณและทางกายสำหรับไพร่พลของพระเจ้า. อย่างไรก็ตาม ผู้นำศาสนาชาวยิวตั้งกฎเกณฑ์มากมายซึ่งก่อความเสื่อมเสียแก่พระบัญญัติของพระเจ้าเกี่ยวกับวันซะบาโต และทำให้เป็นภาระหนักสำหรับประชาชน. ยกตัวอย่าง หากใครประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย เขาไม่อาจได้รับความช่วยเหลือในวันซะบาโต เว้นเสียแต่ว่า ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย.
ฟาริซายกลุ่มหนึ่งเคร่งครัดมากในการตีความพระบัญญัติเกี่ยวกับวันซะบาโตจนถึงกับกล่าวว่า “คนเราไม่ปลอบประโลมผู้เศร้าโศก หรือเยี่ยมคนป่วยในวันซะบาโต.” ผู้นำทางศาสนาคนอื่น ๆ อนุญาตให้มีการเยี่ยมเยียนได้ในวันซะบาโต แต่วางเงื่อนไขว่า “ห้ามร้องไห้.”
ด้วยเหตุนี้ จึงถูกต้องที่พระเยซูทรงตำหนิพวกผู้นำศาสนาชาวยิวซึ่งมองข้ามข้อเรียกร้องที่มีความสำคัญกว่าในพระบัญญัติ เช่น ความยุติธรรม, ความรัก, และความเมตตา. ไม่แปลกที่พระองค์ตรัสกับพวกฟาริซายว่า “เจ้าทั้งหลายจึงทำลายพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยคำสอนของพวกเจ้า”!—มาระโก 7:8, 13; มัดธาย 23:23; ลูกา 11:42.
[รูปภาพหน้า 17]
พยานพระยะโฮวาได้แผ่ความเมตตารักใคร่ไปถึงประชาชนตามบ้านเรือน, ตามถนนหนทาง, กระทั่งในเรือนจำ ใน 231 ดินแดนอย่างไม่เคยมีมาก่อน
[รูปภาพหน้า 18]
การมองภาพความรุนแรง เช่น ภาพในทีวี ย่อมจะทำให้ความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุนเหือดหายไปทีละนิด